เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 346

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 346 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 213 > >

“ใช่ที่นี่จริงๆเหรอครับ?”

“ไม่น่าหรอกมั้ง”

“เบลลามีจะมาอยู่ที่นี่จริงๆเรอะ? เห็นแบบนั้นแต่รักความสะอาดจะตายไป”

ระหว่างที่พวกเราเดินอยู่ตามเศษซากบ้านเรือนที่พังทลาย ใครหลายคนก็นึกสงสัยกับสถานที่ที่พวกเราพากันมาเดิน

“ก็ตามข้อมูลที่ได้มาแหละนะ”

“แต่ว่านะ ต่อให้เป็นนักขายข่าวขั้นเทพแบบเทพมากๆก็เหอะ แต่เล่นเจาะจงที่อยู่ของเบลลามีได้เนี่ยมันน่าเชื่อถือสักที่ไหนกัน เบลลามีไม่ใช่คนดังสักหน่อย ถึงจะเป็นจอมมารก็เถอะ แต่ชื่อเสียงของเบลลามีกับจอมมารมันต่างกันมากสุดๆเลยไม่ใช่รึไง”

“ก็ตามข้อมูลที่ได้มาแหละนะ”

“ตอบดีๆหน่อยสิฟร้ะไอ้นี่!”

ผมถอนหายใจให้กับเรย์ผู้เอาแต่พล่ามอะไรก็ไม่รู้

“คนที่ฉันไปถามคือผู้ใช้วิญญาณระดับเทพด้านนี้เฉพาะเชียวนะ แถมจ่ายไปตั้งสามสิบล้านอิกดราซิลด้วย ก็แปลว่าไว้ใจได้”

“คงไม่ใช่หลอกตัวเองหรอกนะ”

ก็นิดหน่อย บอกตามตรงผมก็อยู่ในสถานะที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อีกฝ่ายคือไซเรนนี่สิ ไม่มีทางโกหกหรือโม้หรอก จากประสบการณ์ที่ได้เจอกับไซเรนแล้วน่ะนะ

ตอนนี้พวกผมมายืนอยู่ที่เมืองแห่งผู้กล้า ‘ยูซาริเซี่ยน’ ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปแซร์อิซ และปัจจุบันก็กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว เนื่องจากภัยพิบัติการบุกโจมตีของมอนสเตอร์เมื่อหลายปีก่อน ทำให้เมืองแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไปโดยปริยาย เจ้าเมืองอย่างคนจากตระกูลผู้กล้าก็ถูกลอบสังหารโดยบุคคลปริศนาจนตายจากไปหมดแล้ว

พูดถึงคนเดียวในตระกูลหลักที่ยังเหลือรอดก็มีแค่ ผู้กล้าลำดับที่ 100 กับ ..ยูจิ ทั้งหมดสองคน

จากที่ผมได้ฟังเรื่องเล่าภูมิหลังจริงๆของยูจิมาบ้าง ทำให้ทราบอย่างท่องแท้แล้วว่าคนจากตระกูลผู้กล้าสาขาอื่นก็โดนกวาดเรียบเช่นกันด้วยน้ำมือของใครบางคนจากเบื้องหลัง ยูจิบอกอีกด้วยว่าตระกูลของตัวเอง ยูจิเป็นคนฆ่าล้างบางเองอีก ..จริงๆอย่างหลังไม่ต้องบอกผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ก็นั่นแหละ เป็นความทรงจำที่ไม่น่าคิดถึงเอาซะเลยนะ

ต่างคนก็ต่างมีความทรงจำที่ไม่น่าคิดถึง เป็นปกติแหละนะ

ก็อย่างที่ว่า เมืองยูซาริเซี่ยนแห่งนี้มีสภาพไม่ต่างกับเมืองร้างหลังประสบภัยพิบัติมา ทำให้การจะหาตัวคนนั้นค่อนข้างยากเลย แถมรอบๆยังสกปรกอีก

“แยกกันหาดีมั้ย? ถ้าใครเจออะไรก็ยิงเวทย์ส่งสัญญาณขึ้นบนฟ้า”

เพราะสิ่งก่อสร้างทุกอย่างถูกทำลายจนหมดแล้ว ทำให้พวกเรามองเห็นท้องฟ้าได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเลย

“นั่นสินะครับ เห็นด้วย”

“ยังไงก็ได้”

“ถ้านั้นก็ ..”

 

****

จากนั้นพวกเราก็ออกตามหาคนโดยที่แบ่งกลุ่มออกทั้งหมดสามกลุ่ม ได้แก่ ผมกับฟัฟนิร์ ชินกับเรย์ และ หนิงกับยูจิ

เป็นการแบ่งคู่ที่เหมาะที่ควร ผมจงใจเลือกคนที่มีความเป็นผู้นำพึ่งพาได้ผิดกับอีกคน ให้คู่กับคนที่ดูจะซวยเอาถ้าอยู่คนเดียว อย่าง ฟัฟนิร์ เรย์ แล้วก็หนิง อืม อาจจะดูเสียมารยาทไปหน่อยแล้วก็ยกหางตัวเองซะสูงไปนิด แต่ทุกอย่างก็เพื่อสิ่งที่มีประสิทธิภาพนั่นแหละนะ อย่าได้ถือโทษโกรธกันเลยละ

ผมภาวนาเช่นนั้นด้วยความรู้สึกผิดลึกๆในใจ

ด้วยเหตุนั้น ผมกับฟัฟนิร์เลยเดินสำรวจกันสองคน โดยที่ฟัฟนิร์เดินนำหน้าด้วยท่าเดินแกว่งขามากเกินพอดี เสมือนกับเด็กอนุบาลที่กำลังอารมณ์ดีอย่างไรอย่างนั้น

“เมืองแห่งผู้กล้าไม่ได้มานานทีเดียว”

“เคยมาด้วยรึ?”

“อือ ตัวข้าสนิทกับผู้กล้ารุ่นที่สิบเป็นพิเศษแหละ การมาเยี่ยมยูซาริเซี่ยนในช่วงนั้นจึงเสมือนกับรางวัลชีวิต ได้รับการต้อนรับอย่างดีไม่พอ ยังมีบริการจากคนใช้มากมายอีก เป็นสถานที่ที่วิเศษสุดๆ ตั้งแต่รุ่นที่สิบถึงรุ่นเกือบๆยี่สิบ ข้าได้รับการปฏิบัติอย่างดีทีเดียว”

พูดแบบนี้แปลว่าถัดจากนั้นก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควรกระมัง ไม่ไปกระตุกหนวดเสื้อดีกว่าเรา เรื่องน่าหดหู่ของฟัฟนิร์น่ะเอาแต่พอดีก็พอแล้ว ใช่ ควรคิดอย่างนี้ได้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ

‘อยากฟังเรื่องน่าหดหู่ของฟัฟนิร์จังเลยค่ะ มาสเตอร์ นะๆๆ ช่วยถามทีเถอะนะ’ 

พอเลยๆ

ผมถอนหายใจเฮือกโต และ..หยุดเดิน

“ฟัฟนิร์”

“ว่าไงเล่า”

“เงียบก่อน”

ผมมองไปที่จุดๆหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากตรงนี้มาก ..

“ต้าวเรเซอร์? อ๊ะ หรือว่าจู่ๆก็เกิดกลัวผีขึ้นมา ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ตอนนี้ยังเช้าอยู่ด้วยไม่โผล่มาหรอก แล้วถึงโผล่มาข้าจะสวดส่งวิญญาณสดๆให้ดูเอง หายห่วงๆ ฮ่าๆๆๆๆ ปะๆ ไปกันต่อดีกว่า เร็วๆ–”

อะไรบางอย่างพุ่งผ่านเศษซากเข้ามา—-ผมถีบตัวเอง พุ่งไปบังฟัฟนิร์ พร้อมกับห่อหุ้มเพลิงไว้ที่แขนขวา ไม่แม้แต่จะมอง ผมคาดเดา และกระแทกแขนไปในทิศทางเดียวกับที่บางอย่างพุ่งเข้ามา

แค่พริบตาเดียว แขนข้างขวาที่ยื่นไปของผมก็หลุดออกจากร่าง ถูกตัด? ไม่ใช่ ถูกกระซากต่างหาก

ผมพุ่งไปข้างหลัง พร้อมกับพาฟัฟนิร์ไปด้วย

“เดี่ยวสิๆๆๆ!!”

ฟัฟนิร์ร้องลั่นด้วยความตกใจ—อีกฝ่ายไม่ตามมา

ผมรักษาแขนตัวเองด้วยวิหคอมตะ และกางผ้าที่คลุมเรลันดาฟออก ผมถือเรลันดาฟไว้แน่น ชี้ไปทางศัตรูตรงหน้า ….

“ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องทักทายกันรุนแรงขนาดนี้”

น้ำเสียงวิธีการพูดแสนคุ้นเคยทำให้ผมเบาใจไปเปราะหนึ่ง ..ก็แย่แล้ว

อีกฝ่ายคือ ‘เอเธอร์’ ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง

การที่จู่ๆหมอนี่ก็โผล่มาดึงแขนผมแล้วทักทายกันไม่ได้สบายใจอะไรเลย กลับกันเลย กลับกัน ผมตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะหลุดออกมา ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเข้าต่อสู้กับเอเธอร์ย้อนกลับมาเป็นช็อตต่อช็อต

ที่เขาเรียกว่าอาการ PTSD กระมัง? ตัวผมตอนนี้สั่นกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“แต่ว่ามีเหตุจำเป็นน่ะครับ คิดว่าเรื่องนี้เรเซอร์น่าจะเข้าใจตรงกัน”

“เออ ไม่ต้องบอกก็รู้”

ผมกลัวเอเธอร์ ความพ่ายแพ้ในวันนั้นฝังเข้าไปลึกในหัวใจดวงน้อยของผม แต่ว่า–จะถอยไม่ได้เด็ดขาด

“พาใครมาบ้างล่ะ?”

“ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกครับ”

บ่ายเบี่ยงที่จะตอบ ให้เดาน่าจะ ‘มิคาเอล’ อาจมีมากกว่านี้ ผมเองก็ไม่ทราบ

คาดเดาเป้าหมาย—ก็น่าจะเป้าหมายเดียวกับผมนั่นแหละ นั่นคือการตามหาเบลลามีที่เป็นจอมมารให้พบ

“แต่ว่าเกินคาดเลยนะครับ ที่เรเซอร์กับทุกคนสามารถเกลี่ยกล่อมให้ยูจิกลับมาเป็นพวกพ้องได้อีกครั้ง เรื่องนั้นกระทั่งตัวผมก็ทำไม่ไหวหรอกนะ”

เอเธอร์พูดกับผมทั้งรอยยิ้มที่ไม่ต่างกับตอนยังเป็นพวกเดียวกัน

“แหงอยู่แล้วสิ ไอคนที่พูดไม่เป็น เก่งแต่ใช้กำลังอย่างนายจะไปทำอะไรที่คนมีสมองเขาทำได้กัน ถ้าทำได้–ก็น่าจะเคลียร์กับน้องสาวตัวเองไปนานเป็นร้อยๆชาติแล้วด้วยซ้ำ คงไม่อยู่มาถึงตอนนี้แล้วเป็นกาฝากให้น้องสาวตัวเองลำบากจนถึงปัจจุบันหรอก จริงมั้ยไอวัตถุโบราณหลงยุค ..ฮะ ฮะ ฮะ สมเพซวะ เอเธอร์”

“เป็นคำพูดที่รุนแรงทีเดียวครับ แต่ก็แฝงด้วยความอ่อนแอ”

เอเธอร์ยังคงยิ้มอย่างมั่นคง

“เพราะหวาดกลัวจึงพยายามยกระดับตัวเองด้วยคำพูด ตามปกติผมก็อยากจะชมว่าเป็นวิธีที่ฉลาด เพียงแต่–ให้ว่ากันตามตรง นี่คือวิธียกระดับตัวเองของกลุ่มคนที่ไร้น้ำยาจะยกระดับตัวเองครับ ไม่สิ เรียกว่ายกระดับตัวเองยังดูดีเกินไป เรียกว่าเป็นวิธีพูดที่อยากจะเหนือกว่าคนที่พูดใส่จะดีกว่านะครับ ละเลยการยกระดับตัวเอง เลือกที่จะเหนือกว่าแค่บุคคลแค่บุคคลเดียว ประโยคพูดที่ออกมาจากปากคนที่มีรูปแบบเช่นนั้น ไม่มีเหตุผลต้องสนใจ นอกจากเห็นใจครับ”

เถียงไม่ออกเลยแฮะ

“ฉะนั้นผมจึงไม่คิดมากกับที่เรเซอร์พูดหรอกครับ เพราะมันออกมาจากปากคนที่ต่ำกว่าผมหนึ่งขั้นเป็นอย่างต่ำอยู่แล้ว”

อะ ไอ้หมอนี่ ก็จริงอย่างที่มันพูด แต่ไม่แรงไปหน่อยรึไงวะ!? บัดซบเอ้ย บัดซบเอ้ย!! พ่อจะตบให้เละเลยคอยดู

“เหอะ! ปากดีให้มันได้ตลอดรอดฝั่งละ!–ฟัฟนิร์ วิ่งหนีไปหาคนอื่นเดี่ยวนี้เลย ฉันหยุดมันเอง”

“ระดับเอเธอร์เลยนะ!!!”

“เอาเถอะน่า เธออยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้ว!”

“..ก็จริง” ฟัฟนิร์เอากำปั้นทุบฝ่ามือ

ก็จริงอะไรฟร้ะ!? โว้ยยย สักหมัดดีมั้ยเนี่ยยัยนี่

“เร็วๆ รีบๆไปเถอะ!”

“เดี่ยวจะรีบตามคนมาช่วยเลย รอก่อนนะต้าวเรเซอร์”

ผมพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปทางเอเธอร์—เอเธอร์พุ่งเข้าใส่ฟัฟนิร์จากข้างหลัง ผมพัดออกด้วยเวทย์ลม

ร่างของเอเธอร์ปลิวไปกับสายลม ทำแม้แต่แผลบาดเล็กๆไม่ได้ก็จริง แต่ก็ช่วยได้เยอะแล้ว 

ผมวิ่งเข้าไปประชิด และกระแทกเรลันดาฟเข้าสู่พื้น

เปลวเพลิงที่ร้อนละอุ ปะทุขึ้นจากพื้น เปลวเพลิงเข้าปกคลุมรอบตัวผม และเอเธอร์—-ผมลั่นออกมาสุดเสียง

“[อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง]”

ภาพได้ตัดไป—สู่โลกแห่งเปลวเพลิงของผม

 

****

“แฮก แฮก แฮก แย่แล้ว แย่แล้วๆๆๆๆๆ!”

ฟัฟนิร์วิ่งหนีจากการต่อสู้ เธอวิ่งไปตามที่เรเซอร์สั่ง พลางยิงสัญญาณไฟรัวๆสุดชีวิต

ไม่ต้องพูดก็รู้ คู่ต่อสู้ระดับเอเธอร์ แค่สามวิก็เล่นฟัฟนิร์จมดินได้แล้ว การที่ฟัฟนิร์คิดจะช่วยเรเซอร์สู้แม้แต่วิเดียว มันไม่ต่างอะไรกับการถ่วงแข้งถ่วงขาเลยสักนิด เพราะอย่างนั้นถึงอยากจะช่วยมากแค่ไหน เธอก็ควรจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือมากกว่า ให้เร็วที่สุดก่อนที่เรเซอร์จะโดนฆ่าทิ้ง

“แหม่ๆ ก็ว่าใครกัน ฟัฟนิร์นี่เอง”

ขณะที่ออกวิ่งสุดชีวิต ‘มิคาเอล’ ก็บินมาดักข้างหน้าเอาไว้ ทันทีที่พบกับฟัฟนิร์ หล่อนก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสยอง ประหนึ่งว่าเจอของเล่นที่น่าสนใจ …ฟัฟนิร์ตัวแข็งทื่อ หน้าซีด ปากสั่นรัวๆ

“มะ มะ มะ มิคาเอล!!!”

“ใช่ค่ะ ไม่ได้พบกันนาน ล่าสุดก็น่าจะช่วงสงครามกับจอมมารคราวก่อน ..เห็นว่ายังจำกันได้อยู่แบบนี้ก็โล่งอกเลยนะคะ”

“ซวยแล้ว”

“คงจะอย่างนั้น ฟัฟนิร์ตอนนี้ไม่ได้เป็นอมตะแล้ว ก็แปลว่าตายได้ง่ายๆเลย”

“…ถือว่าเห็นแก่ข้า ปล่อยไปสักครั้งจะได้รึเปล่านะ?”

“ไม่ได้ค่ะ”

ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าใส่ฟัฟนิร์นับสิบประกายย ซึ่งฟัฟนิร์ไม่อาจตามความเร็วนี้ได้ทัน เธอจึงตั้งใจจะสวมใส่ ‘อาภรณ์เทพมังกร’ เพื่อเข้าต่อสู้กับมิคาเอล

ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องทำ

“ไม่จำเป็นต้องร้องขอชีวิตหรอกครับ คุณฟัฟนิร์”

ยูจิดโผล่มาถีบแสงศักดิ์สิทธิ์จนปลิวด้วยเท้าเปล่า จากนั้นก็ใช้แขนข้างเดียวของตัวเองปัดการโจมตีต่อจากนั้นทั้งหมดโดยไม่ยากเย็น

“ขอโทษด้วยนะครับที่มาช้าไปหน่อย”

“ยะ ยูจิ ไม่สิ ต้าวยูจิ!!!!

ราวกับการปรากฏตัวของพระเอก ครั้งนี้ยูจิมาได้ทันเวลาพอดี หนิงวิ่งตามมาทีหลัง เธออุ้มฟัฟนิร์ขึ้นหลังอย่างกับน้ำหนักฟัฟนิร์เป็นศูนย์

“ช่วยไปตามคุณเรย์กับคุณชินด้วยนะครับ เดี่ยวผมรับมือกับทูตสวรรค์ให้เอง”

“จะรีบตามคนมาช่วย!”

“คาดหวังอยู่นะครับ”

ยูจิยิ้มให้ พร้อมกับหนิงที่วิ่งกระโดดไต่ตามซากปรักหักพัง

เมื่อเห็นว่าไปกันจนพ้นระยะต่อสู้แล้ว ยูจิก็หันหน้ากลับมาจดจ่อกับมิคาเอลแทน

“..ชิ! โผล่มาจนได้นะ ผลผลิตที่ผิดพลาด”

“ถ้าทำให้ไม่พอใจก็ขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ–”

ยูจิก้าวพริบตา มาอยู่ตรงหน้ามิคาเอล

ตุ้บ!!!!!!!!! ทั้งคู่แลกหมัดกันหนึ่งครั้ง แขนของมิคาเอลบิดไปคนละทิศทางทันทีที่เกิดการปะทะ

“อึก!!”

“[ไฟเยอร์]”

ระเบิดเพลิงสีส้มระยะประชิด ทำให้มิคาเอลต้องกระโดดถอยหลังไปอย่างช่วยไม่ได้–เธอถอยหลังมา และเผลอแปปเดียวก็ถูกยูจิแทงเข้าที่หน้าท้องจนกระอักเลือด

“อั้ก!!”

ยูจิยื่นมือเข้าใกล้ทูตสวรรค์ผู้เปื้อนด้วยเลือด 

“อย่ามาแตะต้อง!”

มิคาเอลเรียกแสงศักดิ์สิทธิ์ทิ่มแทงแขนข้างเดียวจนลอยขึ้นฟ้า จากนั้นเธอก็หยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์

“จงออกมา ‘ดาบแสงแห่งดวงดารา’ ‘อัสโตรเฟร์ย่า’”

ดาบยักษ์ขนาดสองเมตรที่สลักด้วยรูปจักรวาลถูกเรียกออกมา วินาทีที่มันปรากฏ พื้นที่โดยรอบก็โดนย้อมด้วยท้องฟ้าบนอวกาศ

“ฮึย!”

มิคาเอลเหวี่ยงดาบเข้าใส่ยูจิที่เสียการควบคุมแขนของตัวเอง เป็นจังหวะการสวนกลับที่สมบูรณ์แบบ ทว่า–

“[ชาโดว์อาร์ม(แขนความมืด)]”

แขนอีกข้างกลายเป็นความมืด ยูจิใช้ความมืดรับการโจมตี จากนั้นก็ขยายความมืดออกจากแขนข้างนั้นจนเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างของมิคาเอล

ทิวทัศน์ถูกบดบัง–ยูจิเข้าประชิดอีกครั้ง

“[เฟลมบาสเตอร์]”

เพลิงทำลายล้างขั้นบรรลุทะลุความมืดอัดเข้าร่างของมิคาเอล—ร่างถูกแผดเผาส่วนหนึ่ง แต่มิคาเอลก็หลบหลีกได้ทัน เธอทยานขึ้นท้องฟ้าด้วยปีกที่สยายออกมา ทิ้งระยะห่างจากยูจิ และกระหน่ำแสงศักดิ์สิทธิ์ใส่โดยไม่สนอะไร

ยูจิรักษาแขนอีกข้างด้วย [ฮิล] พลางใช้แขนความมืดที่สร้างขึ้นมาปัดการโจมตีจากแสงทุกประการด้วยความเร็วกับแม่นยำ เสมือนจับวาง

สุดท้ายก็ไม่มีประกายแสงไหนเข้าถึงตัวยูจิได้เลย

“ทูตสวรรค์มิคาเอลสินะครับ ..หนึ่งในคนที่คุณเรเซอร์บอกให้ระวังตัวเอาไว้” ยูจิเอียงคอฉงน “ผิดคนรึเปล่านะครับ?”

และกล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสา ไร้ซึ่งความคิดจะดูถูกอีกฝ่าย แต่ผลลัพธ์ออกไปทางตรงกันข้าม

“จะฆ่าให้ดู—”

“คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย ทั้งทางคุณและผม”

 

****

“เห้ยๆๆ เอาจริงดิ”

“ตามที่ท่านเรเซอร์ว่าเอาไว้ พวกเราต้องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือกันนะครับ เรย์”

สองพี่น้องตระกูลคามาเลียพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ต่างคนละขั้ว เรย์เรียกว่ากระต่ายตื่นตูมก็ได้ ทางชินนั้นตอบโต้กับสิ่งที่เจอโดยการทวนคำเตือนของผู้เป็นนาย

เอาเป็นว่าเจรจาก่อนดีกว่า

“ท่านผู้กล้า เป็นไปได้ไม่อยากจะเป็นศัตรูกันท่านเลยขอรับ”

“โทษทีนะ ทางผมเองก็มีเหตุผลเหมือนกัน”

ผู้กล้าลำดับที่ 100 แอสทอเรียส ชี้ดาบแห่งผู้กล้าเข้าใส่ชิน

“จะปล่อยให้พวกคุณหนีไปไม่ได้ด้วย”

“..นั้นหรือครับ”

ชินชักดาบออกมาจากฝัก เตรียมตัวเข้าต่อสู้กับผู้กล้าอีกครั้งในรอบหลายปี แม้ว่าอีกฝ่ายจะจำหน้าตาชินไม่ได้แล้วก็ตาม

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด