เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 14: มหาภูต ‘เซเนีย’ (1)

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 14: มหาภูต 'เซเนีย' (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 13 > >

“-ธ เธอคือฟัฟนิร์ใช่มั้ย?”

ผมถามด้วยเสียงสั่นๆ และเด็กสาวที่ถูกตั้งคำถาม ก็ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว หล่อนรู้ดีว่ากำลังเจอกับใคร

“ฟัฟนิร์? เด็กคนนั้นหรือครับ?”

“ไม่ผิดแน่ ใช่มั้ยยูนา”

‘…..’

เธอไม่ตอบผม ทว่า————- ‘ขยับเข้ามาใกล้ๆ ทีสิ ‘ฟัฟนิร์’ ทันทีที่ยูนาโพ่งออกไปฟัฟนิร์ก็หายไปกับสายลม

…เอ๊ะ?

แรงลมสะบัดเข้ากระแทกหน้าผมและชินเบาๆ พร้อมกับการหายตัวไปของสาวน้อยเบื้องหน้า

“…นี่มัน”

‘ไอเดนมังกรนั่นมันหนีฉันค่ะ’

‘เมื่อกี้คิดว่า ‘ช่วยไม่ได้หล่อนมันน่ากลัวนี่นา’ ใช่มั้ยคะ?’

‘-ข ขอโทษครับ!!!’

 

โชคดีที่เรื่องเมื่อคืนมันจบลงได้แบบง่ายดาย ทันทีที่กลับถึงโรงแรมผมก็หลับปุ๋ยเนื่องจากใช้พลังเยอะเกินตัวไปมาก——

‘นายท่าน’

เสียงของหญิงสาวดังลอดเข้ามาในหูผมจนทำให้ผมตื่นขณะที่ท่องราตรีอยู่

“อา อะไร?”

‘รีบตื่นได้แล้วคะ มาสเตอร์’

เจ้าของเสียงก็คือ ‘ยูนา’ วิญญาณวีรสตรีในตำนานผู้มากด้วยพลังอำนาจ—เมื่อวันก่อนผมได้ไปทำพันธสัญญานายบ่าวกับเธอแล้วเรียบร้อย

หรือก็คือตอนนี้ผมเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับเทพแล้วละ มีพลังที่หากขัดเกลาให้ถึงที่สุดได้เมื่อไหร่ก็จะสามารถต่อกรกับจอมมารได้แน่นอน …แค่ต่อกรได้ละนะ จอมมารมันเป็นสัตว์ประหลาดขนานแท้ ในเนื้อเรื่องไลทโนเวลแกเป็นผู้ใช้เวทย์ที่แกร่งที่สุดผนวกกับวงจรเวทย์ที่ดีที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา ทำให้ใช้เวทย์ได้ไม่มีหมด และครอบครองพลังกายเหนือมนุษย์ไกลโขได้ แค่ส่วนนี้ก็ทำให้กลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งสุดในยุคสมัยแล้ว เพราะนับเพียงพลังกายก็มากกว่ายูนาต้นฉบับไป 5 เท่า ด้านพลังเวทย์ก็เทียบเท่าร่างเกิดใหม่ของเทพ แต่วงจรเวทย์ดีเกินหน้าเกินตามาก

แต่มันยังมีปัจจัยอื่นอีก จอมมารดิลุคเป็นเจ้าของดาบที่โหดพอๆ กับดาบมหาภูตติของยูนา หากเขาได้จับดาบเล่มนั้นก็จะแกร่งสุดในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ในหนึ่งยุคสมัยแต่เป็นที่สุดตั้งแต่จุดเริ่มต้นยันปัจจุบัน ถ้าเกิดไม่นับไอพระเอกขี้โกงแบบยูจิ จอมมารดิลุคคือที่สุด

——ง่ายๆ คือผมไม่เอาตัวไปเสี่ยง 1-1 กับจอมมารหรอก จะอยู่ซัพพอร์ตยูจิ และช่วยเบลลามีด้วยพลังของผม แค่นั้นพอ

…แต่ก่อนหน้านั้น ผมต้องฝึกฝนตัวเองให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะกับวงจรเวทย์

‘วงจรเวทย์’ คือสิ่งสำคัญไม่แพ้มานา มานาจะได้มาแต่เกิดและไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ มีเพียงวงจรเวทย์เท่านั้นที่สามารถพัฒนาได้ และวงจรเวทย์ดันเป็นตัวกำหนดการใช้เวทย์ซะส่วนมาก ใช้มานาน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับวงจรเวทย์ อาทิเช่นไอ้คนมานาเยอะพอตัวแบบผมพอเสกบอลเพลิงได้แค่สองสามลูกก็แห้ง แต่ถ้าวงจรเวทย์สมบูรณ์เป็นร้อยลูกก็ยังไหว แถมในอนาคตยังสามารถพัฒนาได้เรื่อยๆ อีก

ระดับผมจัดว่าอนาคตไกลได้แล้วละ——

‘ใช่แล้วค่ะมาสเตอร์ มานาระดับมาสเตอร์พื้นฐานเยอะกว่าฉันหน่อยหนึ่งเชียวนะคะ’

‘ฉันสุดยอดขนาดนี้เลยสินะ เรเซอร์มันไก่ได้พลอยจริงๆ’

ตั้งใจเรียนและฝึกฝนแต่แรกก็เทพละ ครุคระเรเซอร์ต้นฉบับนี่มันจริงๆ เลย-

‘แล้วมีอะไรรึไง ถึงได้มาปลุกฉันแต่เช้า’

‘ค่ะ ฉันเห็นว่ามาสเตอร์หลับไปตั้ง 10 ชั่วโมงแล้ว จึงคิดว่าสมควรแก่การตื่น เพราะหลังจากนี้มาสเตอร์มีหน้าที่ต้องพาฉันชมเมืองสมัยนี้ด้วย’

คุณป้าอยากเที่ยวนี่เอง

เอาเถอะ ใช่ว่าผมไม่เข้าใจ ถ้าจู่ๆ ผมเกิดตายไปละฟื้นมาใน 1000 ปีให้หลัง สิ่งที่อยากเห็นสุดคงเป็นโลกเราในปัจจุบันนี่แหละ

‘ถ้านั้นก็ไปกันเถอะ’

‘—ค่ะ’

ผมลุกออกจากเตียงนอนเกรด A และทักทายคู่หู

“อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านเรเซอร์”

ชินกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส

“อรุณสวัสดิ์ แล้วก็ยูมหาภูตกับเมืองโฉมใหม่มากๆ เลย สะดวกเป็นไกด์ให้อีกรอบรึเปล่า”

“ยินดีขอรับ เดี่ยวกระผมไปเตรียมผ้าขนหนูให้นะครับ”

“เข้าใจแล้ว เอาตามนี้นะยูนา”

‘รับทราบค่ะ’

ผมเร่งรีบอาบน้ำให้เสร็จอย่างรวดเร็ว และออกจากโรงแรมพายูนาท่องเที่ยวเมืองโฉมใหม่สำหรับตัวเธอ ผลคือเธอค่อนข้างตื่นตระหนกกับสภาพเมืองที่เปลี่ยนไปมากเลยละ

ทั้งรถไฟ และอุปกรณ์ไฮเทคเล็กๆ น้อยๆ เธอค่อนข้างพึงพอใจเลย ถึงขนาดที่บ่นตลอดทางว่า ‘ในสมัยที่ฉันอยู่ บ้านทุกหลังยังทำจากไม้อยู่เลยค่ะ กำแพงเมืองก็แค่หินก้อนโง่ๆ ผู้คนที่ไร้ซึ่งพลังทำได้เพียงทำไร่ ทำนา และแรงงานทั่วไปเท่านั้น ในยุคนี้ต่างออกไปมาก ผู้คนไร้กำลังหลายคนทำงานเอกสาร รักษาความปลอดภัยบ้าง ช่วยเหลือผู้คนบ้าง นับว่าน่าประทับใจจริงๆ คะ’

ผ่านไปราว 3ชม เป็นอันจบการพาคุณป้าเที่ยวแล้วเรียบร้อย

‘เสียมารยาทคะ’

‘ขอโทษครับ…ว่าแต่มีที่ไหนที่อยากไปอีกบ้าง?’

‘หมดแล้วละค่ะ ไม่คิดเลยว่าโลกเราจะพัฒนาไปได้ขนาดนี้’

‘ต้องขอบคุณยูนาเอากระมัง ที่ช่วยปกป้องโลกไว้’

‘นั้นหรือคะ’

‘อ่า โลกใบนี้ได้เธอช่วยไว้ของแท้เลย ยืดอกภูมิใจได้เต็มทีเลยนา’

ผมกล่าวแบบกึ่งหยอกล้อเล็กน้อย

‘ฉันมองว่ามันแฟร์ๆ ดีนะคะ ยังไงก็ขอรับคำขอบคุณไว้คะ’

แบบนั้นแหละ

‘แต่ก็อย่างที่รู้นั่นแหละจากความทรงจำของฉัน โลกใบนี้ไม่ได้สงบสุขไปตลอดหรอก’

———ยูนาตกใจ

‘เรื่องนั้นไม่เห็นรู้เลยค่ะ’

‘…ไม่ใช่ว่าส่องความทรงจำของฉันหมดเลยหรือไง?’

‘ที่ส่องน่ะมีเพียงแผลในใจเท่านั้นครุคระ ฉันไม่สามารถตรวจเช็กได้นอกเหนือไปกว่าความทรงจำส่วนนี้ …ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังด้วยค่ะ ฉันไม่สามารถทราบได้เลยว่าทำไมผู้มาจากต่างโลกอย่างคุณถึงรู้อนาคตของโลกนี้’

‘เข้าใจแล้ว’

ผมเล่าทุกอย่างให้ยูนาฟังอย่างละเอียด ทั้งเรื่องที่โลกนี้บนโลกผมเป็นเพียงนวนิยาย และอนาคต—–กับเรื่องของผู้กอบกู้โลก ‘ยูจิ’

‘…เรื่องของโลกใบนี้เป็นนิยายที่ต่างโลกนั้นหรือคะเนี่ย’

‘อ่า แถมรายละเอียดมันเหมือนเป๊ะเลย’

น้ำเสียงยูนาดูเหนื่อยเล็กน้อย เพราะปัญหาที่กำลังจะเผชิญมันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องของมังกรธาตุเสียอีก

เพราะอีกฝ่ายคือ ‘จอมมารดิลุค’ ละนะ

‘เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องที่โลกใบนี้จะถูกนำไปเผยแพร่ในโลกใบอื่น …แถมยันอนาคตเลยด้วย ไม่มีทางเป็นไปได้——นอกเสียจากคนบนโลกนี้จะเดินทางไปต่างโลกคะ’

————–เห้ย

‘-ด เดี่ยวก่อนนะยูนา มันเดินทางไปกลับได้ด้วยเรอะ!?’

‘ได้แน่นอนค่ะ เพียงแต่ฉันก็ทำไม่ได้ ผู้ที่จะเดินทางข้ามโลกได้ต้องมีสิ่งวิเศษนอกเหนือความแข็งแกร่ง’

ยูนาถอนหายใจเฮือกใหญ่

‘ที่ทำได้เท่าที่ฉันรู้จักมีเพียงเหล่าเทพทั้ง 10 ตนเท่านั้นคะ’

….ประเด็นคือพวกเทพโดนจอมมารไล่กระทืบหมดเลยนี่ดิ..

‘ในตอนนี้เหลือเทพเพียงองค์เดียวแล้วค่ะ อย่างที่มาสเตอร์รู้’

แปลว่าเทพที่ส่งเรื่องราวไปยันโลกของผมก็คือคนเดียวที่ว่านั่น ‘เทพแห่งธรรมชาติ’ สินะ?

‘ไม่มีเหตุผลเลยค่ะที่คนคนนั้นจะทำ ที่สำคัญแม้แต่เทพก็ไม่อาจล่วงรู้เรื่องราวในอนาคตได้คะ’

…ถ้านั้นแล้วใครละ อา นี่มัน..

ผมก่ายหน้าผากตัวเองอย่างเคร่งเครียด ทำให้ชินชักถาม

“ปวดหัวหรือครับท่านเรเซอร์?”

“นิดหน่อย แต่ไม่ได้ปวดเพราะสุขภาพร่างกายหรอกนะ ฮะๆ”

ชินคงตีความหมายว่า ‘อย่าใส่ใจมากเลย’ จึงไม่ถามไปมากกว่านี้

‘..หรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญกัน’

‘หากตีความว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็อาจจะได้ค่ะ เพียงแค่ แทบจะเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีใครสักคนส่งเรื่องราวเป็นนวนิยายคะ ถึงจะดูน่าฟังกว่าเรื่องบังเอิญ อนาคตที่ท่านเรเซอร์ว่ามามันจริงหรือเปล่าละคะ?’

บังเอิญจริงๆ ที่มันจริงไปหมดเลย อย่างน้อยๆ ก็ลำดับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

‘…มีคนรู้อนาคตแล้วส่งเรื่องราวไป? หรือว่าเขาแค่เขียนส่งๆ กัน? ไม่เข้าใจเลย แต่อนาคตมันจริงไปหมด’

‘ถ้านั้นตีความว่าคนคนนั้นรู้อนาคตทุกอย่างเลยค่ะ แล้วก็เป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจด้วย เพราะอนาคตข้างหน้ามันจบลงอย่างดีแล้วค่ะ ไม่มีความจำเป็นต้องให้มาสเตอร์มาต่างโลกเลยสิกนิด’

‘…นั่นสินะ ทุกอย่างมันแฮปปี้ไปหมดแล้ว โลกสงบสุขจากจอมมารไปตลอดกาล’

‘เพราะฉะนั้นเลยขอให้คิดว่าคนคนนั้นไม่น่าไว้ใจ และเป็นศัตรูคะ …มันมีกรณีพิเศษอยู่หลายกรณี บางทีในอนาคตข้างหน้าไปอีก มันอาจจะไม่ได้จบลงอย่างสวยงามจริงๆ ก็ได้ค่ะ หรือว่าใครสักคนไม่ต้องการให้จบลงอย่างสวยงามก็เป็นไปได้คะ’

…ดูท่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า ถ้าเกิดการมาต่างโลกของผมไม่ใช่เรื่องบังเอิญละก็…แต่สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บใจที่สุดก็คือ—-

ยูจินายช่วยโลกไว้ไม่ได้นั้นหรอ? ————-แบบนั้นการเสียสละของเบลลามีมันก็สูญเปล่าสิ

‘อย่าเครียดมากจนเกินไปเชียว มาสเตอร์’

ยูนากล่าวขึ้นเพื่อปลอบผม

‘เหตุผลที่ท่านมายืนอยู่ตรงนี้คือต้องการจะเปลี่ยนอนาคตใช่มั้ยละคะ?’

‘…อ่า ใช่แล้ว’

ผมยิ้มให้ยูนา

‘ไม่ต้องห่วงเรื่องชีวิตนะคะ ฉันจะไม่ให้ใครทำร้ายมาสเตอร์แน่นอนค่ะ อย่างน้อยๆ ฉันก็เชื่อ ถ้ามีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ กับใครสักคน ฉันและมาสเตอร์ไม่แพ้ง่ายๆ แน่นอน กลับกันอีกฝ่ายต่างหากที่ต้องคิดว่า—จะแพ้หรือเปล่านะ? น่ะคะ’

ยูนาโพ่งอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม เธอพยายามช่วยให้ผมสบายใจโดยที่แบกรับทุกอย่างไว้

…โทษทีละกันที่ผมคงจะโยนทุกอย่างให้เธอไม่ได้ เหตุการณ์ต่อสู้กับจอมมารดิลุคจะเกิดขึ้นตอน ปีการศึกษาที่ 3 หรือก็คือ อีกเพียง 6 ปีเท่านั้น——-จริงๆ แล้วผมควรจะทำให้มันจบลงเร็วยิ่งกว่านี้ละนะ

‘อาจจะน่ารำคาญไปหน่อย แต่พวกเรารีบไปป่ามหาภูตติกันเถอะค่ะ …ฉันจะเคี่ยวเข็ญมาสเตอร์ให้เก่งให้ดูเองคะ’

ผมตอบรับไปในทันที

 

**********

 

ณ ป่ามหาภูตติ

ผม ชิน สองคนกำลังเดินตรงไปโดยที่มีวิญญาณอย่างยูนาบอกทางให้

“ท่านยูนาจะฝึกฝนพวกเราสินะขอรับ?”

“อ่า ถึงอีกแค่ไม่กี่วันก็ต้องออกจากเมืองแล้วก็เถอะ”

“แบบนั้นจะช่วยอะไรได้มากหรือครับ?”

‘เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ที่ฉันและเซเนียจะสอนคือแนวทางการพัฒนาต่างหาก เพื่อเปิดทางสู่อนาคต ทั้งสองควรจะรู้แก่นแท้ของพลังตนเองก่อน’

“…ยูนาเขาว่าจะชี้แนะให้เฉยๆ น่ะ แต่ว่านา เธอบอกกับปากเองไม่ดีกว่าหรือไง?”

‘เรื่องพวกนี้ภูตจะเชี่ยวชาญมากกว่าน่ะคะ โดยเฉพาะมหาภูตติ’

แบบนี้นี่เอง—–พวกผมเด็กปั้นคนระดับนี้เชียวรึ น่าภาคภูมิใจชะมัด

“ดูเหมือนพวกเรากำลังจะถูกมหาภูติสั่งสอนละชิน”

“…ผมชักเกร็งแล้วสิครับ ไม่คิดเลยว่าท่านเรเซอร์จะรู้จักแต่ตัวตนยักษ์ใหญ่”

จริงๆ ก็พึ่งมารู้จักไม่กี่วันเอง

ระหว่างที่พวกผมเดินอยู่นั้นเอง—————

“ช่วยด้วย!!!! ช่วยเราด้วย!!!!”

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นภายในป่ามหาภูตติ—–ทั้งผมและชินตื่นตระหนกพร้อมกัน

“ยูนา! เสียงร้องนั่น ไม่ใช่ว่าป่ามหาภูตติมันปลอดภัยหรือไง?”

‘แค่ภูตมักไม่ทำร้ายคนต่อให้เลวขนาดไหนก็จะไม่ยุ่ง แค่นั้นคะ แต่คนกับคนด้วยกันภูตทั้งหมดจะปล่อยเลยตามเลย เพราะฉะนั้นการที่จะมีคนโดนดักตีได้จึงไม่แปลก’

“-อ เอาจริงเหรอเนี่ย!? ชินรีบไปช่วยเค้าก่อนเถอะ!”

“เข้าใจแล้วขอรับ”

ด้วยความที่ชินแข็งแกร่งทางร่างกายกว่าผมมากเขาจึงวิ่งไปด้วยความเร็วสูง ส่วนผมก็วิ่งตามหลังไปเท่านั้นพอ

ชินพุ่งผ่านต้นไม้ พุ่มหญ้า และพื้นที่ครุคระได้อย่างง่ายดายด้วยความเร็วที่ไร้ผู้ใดขวางทางได้——ร่างกายของชินถูกย้อมด้วยออร่าสีขาว นั่นคือ ‘เวทย์เสริมพลังกาย’ สูตรเวทมนตร์ที่ง่ายที่สุด แต่มีประโยชน์มากที่สุดเพราะมันจะช่วยเพิ่มอัตราการทำงานของวงจรเวทย์ ให้ประสาทสัมผัสกับความเฉียบคมของการใช้มานาดียิ่งขึ้น ไม่ได้มีผลกับกายภาพมากนักแต่ก็เป็นหนึ่งในเวทย์ที่สำคัญสุดในการต่อสู้ชนิดหนึ่งเลย

ผนวกกับทักษะเวทมนตร์ของชินแล้วด้วย ทำให้ ‘เวทย์เสริมพลังกายของชิน’ สามารถมองทุกๆอย่างสโลว์ได้

พริบตาเดียวชินจึงวิ่งหายไปสุดขอบตาผมแล้ว แต่เสียงร้องของหญิงสาวดังมากผมจึงตามไปได้ถูกทาง

“-ช ชินเนี่ยสุดยอดชะมัด”

‘นั่นสินะคะ เขาจัดว่าเป็นคนที่มีแววทีเดียวคะ เหมาะแก่การเป็นมือขวามาสเตอร์ได้ไม่น่าเกลียดหรือเสียฐานะเลยค่ะ’

“เธอเนี่ยตาแหลมดีนะ!”

‘ขอบคุณค่ะ’

เธอกล่าวอย่างเรียบเฉย

——แต่น่าแปลก ทั้งๆ ที่ชินน่าจะถึงที่หมายแล้ว เธอคนนั้นควรจะถูกช่วยและปลอดภัย แต่เสียงร้องกลับไม่หยุดสักที

หรือว่าที่เจอมันจะตึงมือมากจริงๆ —————ทันทีที่ผมถึงความคิดนั้นก็สลายไป เพราะผู้ที่ร้องไห้ขอความช่วยเหลือตรงหน้านั้นมีเส้นผมสีแดงเพลิงยาว และรูปร่างเล็กราวกับเด็กอายุ 13

‘มหามังกรเพลิง ฟัฟนิร์’ ตอนนี้หล่อนกำลังถูกโคลนอะไรสักอย่างตรงพื้นดูดร่างกายลงไปทีละนิด ทีละนิด…อีกนิดจะเลยหัวและขาดอากาศหายใจตายโหง

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!! นี่แกเจ้ามนุษย์ตรงหน้า มองหาอะไรกันหะ!? ช่วยเราเร็วเข้า รีบๆ ช่วยเราได้แล้ว!!!!”

ผู้ยิ่งใหญ่เกือบทัดเทียมทวยเทพ กำลังร้องไห้โวยวายใส่เด็กอายุไม่ถึง 20 จนตอนนี้เด็กอายุน้อยกว่าได้รอบตัวได้แต่ตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก

..เธอสังเกตเห็นผม

“-จ เจ้ามนุษย์ตรงนั้น รีบ..ช่วยเรา…ได้แล้ว——-เอ๊ะ?”

ใบหน้าของหล่อนจู่ๆ ก็ซีกเผือกเหมือนกับนึกอะไรได้

“….เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ”

“-ส สวัสดีครับ”

‘ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ‘มังกรเตาย่าง’’

ฟัฟนิร์น้ำตาหยุดไหลฉับพลัน เธอเงียบกริบ

“…มะ”

มะ?

“ไม่เจอกันนานนะเพคะ ท่านยูนา”

—–เพคะ!?

‘อย่ามาประจบสอพลอ เลียแข้งเลียขากันให้ยากเลยค่ะ มันน่าขยะแขยง’

-ร แรงชิบ

“-ข ขอโทษเพคะ ไม่สิ ขออภัยเพ—–…ขออภัยคะ!!”

ฟัฟนิร์ก้มหัวอย่างรุนแรง และ

“ช่ว—บุ้งๆๆๆ ด้วย บุ้งๆๆๆๆ”

และหัวหล่อนก็ติดกับโคนที่กำลังดูดร่าง

“ยัยบื้อ!!!!!” ผมร้องประหนึ่งตัวละครสายตบมุกจืดๆ

….มหามังกรผู้ยิ่งใหญ่เทียบฟ้า ตัวตนที่ใครต่อใครก็หวาดผวา แม้แต่เหล่าวิญญาณระดับเทพด้วยกันแบบยูนา บางคนยังกลัวมังกรธาตุทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ ขนาด ‘มหาภูตติเซเนีย’ เองก็หวั่นเกรง กล่าวได้ว่าไม่มีใครต้องการมีเรื่องด้วยหากไม่จำเป็น

ทั้งอย่างนั้นไอตัวตนแสนยิ่งใหญ่ตรงหน้า กำลังจะตายลงด้วยอาการขาดอากาศหายใจจากโคลน ไม่ใช่เพราะโดนดูดด้วยซ้ำ แต่เพราะก้มหัวขอโทษคนจนหัวโดนโคลนดูด!!

“ททททททท ท่าน บุ้งๆๆๆๆ ยูนา!!!!! บุ้งๆๆๆๆๆ”

‘ถ้าโคลนโสโครกซึ่งติดหัวหล่อนด้วยกระเด็นมาโดนมาสเตอร์ของฉันจะทำยังไง? เธออยากให้ฉันโกรธหรือไง? หยุดหายใจให้มันหยุดกระเพื่อมซะ เพื่อมาสเตอร์ของฉัน แล้วจะตั้งใจรับฟัง’

…กล่าวจบปุ๊บดินโคลนก็หยุดกระเพื่อมลงทันที

ยูนาน่ากลัวยิ่งกว่าการขาดอากาศหายใจอีกหรือนี่

‘ดีมาก ไอกิ้งก่ากลายพันธุ์’

ด่าเขาไมอะคุณเธอ!?

‘ใช้ปากโสโครกนั่นบอกได้แล้วว่าต้องการอะไร’

“…ข้าไม่อยากตายคะ…….”

ไม่ใช่แค่ดินโคลนที่หยุดกระเพื่อม แต่ร่างของฟัฟนิร์ก็หยุดขยับเช่นกัน

พลันใดนั้นใบหน้าของผมกับชินก็ซีกเผือก——–

“-ฟ -ฟ ฟัฟนิร์ตายแล้ว ฟัฟนิร์ตายแล้ว!!”

“ผมทำอะไรลงไปเนี่ย กระผมทำอะไรลงไปเนี่ย!!”

‘ใจเย็นก่อนคะทั้งสองคน เหล่ามังกรธาตุนั้นเป็นอมตะหากไม่ทำลายธรรมชาติทั้งหมดบนโลก หรือก็คือทำลายโลก มังกรธาตุก็จะไม่มีวันตาย ถ้าฆ่าได้ฉันฆ่าไปตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีก่อนนั่นแล้วค่ะ ไม่ใช้วิธียุ่งยากอย่างจับแยกส่วนพลังหรอก’

-จ จะว่าไปก็จริงแฮะ

‘แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นะคะว่ามังกรธาตุ …กลัวความเจ็บปวดน่ะ เอาเถอะค่ะ ปล่อยไว้แบบนี้สัก 100 ปีเดี่ยวโคลนก็หายไป ไอเดนมังกรนี่ก็จะลอยหน้าลอยตาขโมยแกะชาวบ้านกินได้ต่อเหมือนเก่า’

-ร ร้อยปีเลยนะเว้ย!! ต้องช่วยหล่อนสิ!

‘…หึ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้านั้นก็มาสเตอร์ หน้าที่ของท่านค่ะ’

……?

‘ตัดมิติของดินโคลนนั่นแล้วช่วยฟัฟนิร์ไงคะ’

“-น นั่นสินะ”

ผมถอนหายใจ และเพ่งสมาธิของตัวเอง เพื่อใช้ ‘การตัดมิติ’

พลังการตัดมิติของยูนา ไม่ใช่เวทมนตร์ หรือไสยศาสตร์ มันคือพลังวิเศษที่มีเพียงยูนาเท่านั้นมีมันครอบครอง ไม่สามารถเรียงแบบได้ไม่ว่าทางใด ความแข็งแกร่งนี้เป็นของยูนาแต่เพียงผู้เดียว …เพราะแบบนั้นเธอจึงเป็นท็อป 3 ของเหล่าวิญญาณระดับเทพได้ไม่ยากเย็น

และทางด้านการใช้งานเองก็จัดว่าสะดวกด้วย

สัมผัส และวิญญาณ นั่นคือมิติสองสิ่งที่ยูนาสามารถ

ด้วยพลังของยูนาผมสามารถตัดมิติเพื่อแยกโลกบางส่วนออกจากกันยังได้ แต่ได้เพียงชั่วคราว เหมือนกับการสร้างกำแพงที่ไม่มีวันแตกเพราะมันคือ มิติที่แยกออกจากกัน หลักๆ พลังส่วนนี้คือ ‘มิติสัมผัส’ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และแยกส่วนออกเหมือนกับสร้างกำแพงที่ไม่มีวันตัดขาดได้ชั่วคราว หรือจะตัดเพื่อแยกส่วนประกอบข้างในก็ได้เช่นกันเพียงแต่วิธีหลังนี้จะได้แค่กับสิ่งไม่มีชีวิต เพราะมันไร้วิญญาณ

ต่อมาคือ ‘มิติวิญญาณ’ การตัดมิติวิญญาณเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากเล็กน้อย แต่ให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือการที่ผมตัดคำสาปของลีน่าก็จัดเป็น การตัดมิติวิญญาณเช่นกัน พลังเวทย์ ไสยศาสตร์ วงจรเวทย์ วิญญาณของแต่ละบุคคล ของพวกนี้นับเป็นมิติวิญญาณหมด ซึ่งหากตัดมันก็จะหายไปชั่วคราว ยกเว้นพวกพลังชีวิตที่ถ้าโดนเข้าจะหายไปธาวร การตัดมิติวิญญาณมันค่อนข้างโกงเลย เพราะถ้าใช้ดีๆสามารถฆ่าจอมมารได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ

ซึ่งแต่ละคน หรือสิ่งของก็จะมีมิติสัมผัสต่างกัน อย่างพวกอมตะจะมีมิติสัมผัสเป็นยี่สิบมิติถึงร้อยมิติ ซึ่งผมต้องฟันทีเดียวยี่สิบคราวถึงจะไปขั้นวิญญาณได้ อย่างลีน่านี้มีมิติสัมผัสสองขั้นเอง

และผมก็สามารถเลือกตัดได้แค่สิ่งเดียวด้วยต่อจำนวนหนึ่งครั้งที่โจมตี อย่างการตัดคำสาปของลีน่า ผมก็ตัดเพียงครั้งเดียวจบ มันหายไปตลอดกาล แต่ผมสามารถตัดอีกครั้งเพื่อทำลายวิญญาณเธอ มิติวิญญาณถ้าเกิดไปถึงได้มันจะง่ายต่อการทำลาย เพราะเพียงครั้งเดียวต่อหนึ่งสิ่งที่ต้องการทำลายให้หายไปตลอดกาล

….แต่พวกเก่งๆ มากมาย พอโดนตัดไปแล้วมักจะฟื้นฟูได้เสมอ อย่างโหดก็ 5นาทีในการฟื้นฟูถ้าเกิดผมจำไม่ผิด

โดยรวมแล้วเป็นพลังที่ได้ทั้งบุก และป้องกันเลยละ

ตัวอย่างตรงหน้าที่ผมต้องทำคือการตัดมิติของโคลน ซึ่งเป็นมิติสัมผัสและมีแค่ขั้นเดียวในการทำลาย

มันจึงง่ายสุดๆ เลย———-ทันทีที่ผมเริ่มใช้พลัง ดาบทรงคาตะนะสองเล่มขนาดยักษ์ 2 เมตร ซึ่งถูกออร่าสีม่วงอาบไว้ก็ปรากฏขึ้น

พริบตาเดียวดาบคาตะนะหนึ่งเล่มก็ฟาดใส่ดินโคลน และเกิดเส้นแบ่งสีม่วง

ถ้าหากทำลายสัมผัสก็จะเกิด ‘เส้นแบ่งสีม่วง(มิติสัมผัส)’ เป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงการแยกสัมผัสออกจากกัน และหากเป็นรอย ‘กระจกแตก(มิติวิญญาณ)’ มันจะคือการทำลายวิญญาณ เหมือนกับที่ยูนาทำลายวิญญาณของแต่ละมิติ เพื่อสร้างภาพอื่นๆ ให้พวกผมเห็น—–

ตอนนี้ฟัฟนิร์ถูกช่วยไว้แล้วเรียบร้อย ร่างของหล่อนกระทบกับพื้นที่แม้จะมีดินโคลนอยู่แต่มันกลับโปร่งใสจนเห็นร่างเธอ

‘ทำได้เยี่ยมมากคะ มาสเตอร์’

“ท่านเรเซอร์สุดยอดไปเลยครับ!”

“ฮะๆ ไม่หรอก ว่าแต่ว่า…หลุมโคลนจะสูงไปมั้ยนั่น!?”

หลุมโคลนที่ฟัฟนิร์ติดยาวราว 8 เมตรได้

“ไม่มีปัญหาขอรับ เดี่ยวกระผมช่วยเธอเอง”

พูดจบชินก็พุ่งตัวลงในหลุม และเอาฟัฟนิร์ขึ้นมา

ฟัฟนิร์ยังคงสลบอยู่——-

‘ตายง่ายชะมัด’

——-เอ๋!!!!!!!

‘ไม่ต้องตกใจไปค่ะมาสเตอร์ อย่างที่บอกมังกรธาตุเป็นอมตะ’

ไม่นานฟัฟนิร์ก็ลืมตาตื่นขึ้น และหันข้างมาทางผม อย่างที่ยูนาว่าเลยแฮะ แต่อดรู้สึกผิดไม่ได้ ..

“…!”

เธอหน้าซีกเผือก และไม่รีรอลุกขึ้นยืนตัวตรงทำท่าตะเบ๊ะใส่ผม ไม่สิ เธอทำความเคราพให้ยูนาต่างหาก

“ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”

‘วิ่งเห่าเหมือนหมา 100 รอบซะ ปฏิบัติ’

——–คุณเธอทำอะไรกับคนที่พึ่งตายไปครับนั่น!!!

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด