เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 373

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 373 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 229 Sec1 > >

หนึ่งวันผ่านไป นับถอยหลังอีกสามวันสู่การถือกำเนิดของเทพมังกร

“บายจ้า”

ผม ดิลุค และเบลลามี ยืนโบกมือลาคนจากสภาโลกอยู่ตรงปลายท่าเรือ หลังจากจบการเจรจาแล้ว คนจากสภาโลกก็จะไปรวมตัวกันแจกแจงหน้าที่กันอีกที ซึ่งทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในวันนี้ตามกำหนดการณ์ จากนั้นอีกสองวันที่เหลือ ..ก็จะต้องทำอะไรหลายๆอย่างน่ะนะ อาทิเช่นการออกตามล่าพวกทูตสวรรค์ และจัดการกับพวกวิญญาณระดับเทพที่เริ่มออกอาละวาดในบางพื้นที่

ให้พูด ตอนนี้หลายๆคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปทำอะไรหลายๆอย่างกันแล้ว อย่างพวกเคียวยะ ยูจิ งี้ แน่นอนว่าต้องจับกลุ่มกันไปแหละนะ เพื่อความปลอดภัย

“ถ้านั้นก็”

“อือ”

“ไปกันเถอะ”

พวกเราสามคนเดินหันหลังกลับมาโดยมีคนแบ่งกันเป็นสองกลุ่มรออยู่

ทางซ้ายมี ชิน ฟัฟนิร์ แล้วก็ยูนา 

ทางขวามี แอสโมเดียส ซาตาน ลิเวียธาน แล้วก็อังเฟกอร์

“แยกกันแบบนี้จะดีรึ?” ผมถาม

“ไว้จะนัดวันกันอีกที เรเซอร์ไปทำเรื่องที่ต้องทำก่อนเถอะ”

“ใช่ มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำแล้วก็เรื่องที่คาอยู่ในใจอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

ก็ใช่แหละนะ แต่ว่า …อืม

ผมปิดตาตัวเอง และโพล่งออกมาอย่างเขินอาย

“มะ ไม่อยากแยกจากกันเลยน้าาาา”

ว่าไปนั่น

“แหวะ”

“บะ บะ แบบว่า”

“ฮึบไว้ ฮึบไว้”

พวกปีศาจมหาบาปข้างหลังทั้งสองคนดูท่าจะเสียมารยาทกับผมน่าดู ..ไม่ใช่แค่นั้น

“เหอะๆ น้ำเน่าสิ้นดีค่ะ”

“ต้าวเรเซอร์กี่ขวบแล้วนะ?”

“ทั้งสองคน ‘จิ๊’ ขอรับ ‘จิ๊’ เงียบๆไว้ก่อนเถอะครับ”

พวกข้างหลังผมเองก็พอกัน อะไรฟร้ะ ก็แค่พูดเล่นๆเองจริงจังไปซะได้ แค่พูดเล่นโดยหวังว่ามันอาจจะเป็นจริงได้แค่นั้นเองแท้ๆ เชอะ!

เบลลามีก้าวมาชิดตัวผม และจับมือผมไว้แน่น

“ไม่อยากแยกจากกันเหมือนกัน”

“..เบลลามี”

บรรยากาศความรักกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ– 

“แค่วันสองวันอดทนกันหน่อยเถอะ”

ทว่าก็โดนดิลุคขัดจังหวะจนได้ เธอเดินมาคว้ามือเบลลามีและลากไปจุดๆเดิมที่ยืนอยู่ ท่าทางเธอดูหงอยๆยังไงไม่รู้ผมก็เลย

“มะ ไม่อยากแยกจากกันเลยน้าาา ดิลุค”

“…..”

พอพูดไปแบบนั้นหูของหล่อนก็แดงแจ๋ขึ้นมา

สุดยอดเลยแฮะ ความแตกต่างทางนิสัยของทั้งสองนั้นน่าสนใจสุดๆ ในขณะที่เบลลามีอัปเกรดตัวเองจนแทบจะเขินอายไม่เป็นแล้ว แต่ดิลุคกลับเขินอายได้ง่ายๆด้วยประโยคพูดน้ำเน่าน่าอายของผม นี่มันช่างน่าค้นหา

“ดิลุค รักน้—อุ้ก!”

ผมถูกแรงที่มหาศาลปิดปาก และลากไปข้างหลังในพริบตาเดียว

“หยุดสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านได้แล้วค่ะ มาสเตอร์ มานี่เลย”

“อุ้ว อือ อุ้ว!”

“ตามคำสัญญาค่ะ ดิลุค เบลลามี ฉันจะดูแลมาสเตอร์ให้เอง ระหว่างนั้นก็รีบๆเคลียร์ทุกอย่างให้จบๆ แล้วมารับคืนโดยเร็วด้วยนะคะ”

เบลลามี พร้อมด้วยปีศาจมหาบาปโบกมือลาให้ ยกเว้นดิลุคคนเดียว จากนั้นพวกเราก็แยกทางกันชั่วคราว และจะกลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อถึงวันแห่งการตัดสิน

 

****

หลังจากแยกกับพวกเบลลามีกับดิลุคไปได้สักพักหนึ่ง พวกเราสี่ชีวิตก็เดินไปตามทางเดินภายในป่า พลางชมวิวทิวทัศน์ที่ถูกทำลายจนเละจากการต่อสู้ ทั้งมีไอร้อนอย่างกับอยู่บนลาวา หรือป่าที่ถล่มเละจนเหลือแค่ดินเป็นสัดส่วนแยกกันอย่างเห็นได้ชัด

บอกได้เลยว่า-เป็นสงครามที่ใหญ่เอาเรื่อง

“แล้วจะไปไหนกันต่อล่ะทีงี้!?”

ฟัฟนิร์ซึ่งก้าวใหญ่ๆนำหน้าพวกผมราวสามก้าวโพล่งขึ้นอย่างสดใสร่าเริง ประหนึ่งน้องประถมที่กำลังจะไปทัศนศึกษา

“จริงๆแล้วฉันอยากแวะไปป่ามหาภูตน่ะค่ะ”

“ป่ามหาภูตสินะ ก็ดีนะ ฉันว่าจะแวะไปเจอวินแล้วก็โทมิเรียด้วยเหมือนกัน ว่าแต่เธอมีธุระอะไรที่นั่นล่ะ”

“ค่ะ คิดว่าจะกลับไปทำพันธสัญญากับ ‘เซเนีย’ อีกครั้ง”

“เห๋ น่าสนใจดีนี่นา วีรสตรียูนาคนนั้นจะกลับคืนสู่ยุครุ่งเรืองสินะนเนี่ย”

ยูนาในช่วงรุ่งเรืองที่ทำพันธสัญญากับ ‘ดาบมหาภูต’ ‘เซเนีย’ นั่นคือช่วงชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดของยูนาไม่ผิดแน่ อย่างน้อยๆความแข็งแกร่งของเธอตอนนั้นก็มากพอจะใส่เดี่ยวกับมหามังกรร่างสมบูรณ์พร้อมกันทุกตัวได้อย่างสูสี และจะบดขยี้มหามังกรจนเละได้ง่ายๆเลยหากสู้พร้อมกันมากสุดแค่สองตัว จึงอาจกล่าวได้ว่ายูนาช่วงนั้นมีความแข็งแกร่งเป็นที่สุดของยุคสมัยเลยละ

“จะตั้งตาดูเลยขอรับ”

“…ยุคสมัยที่ท่านยูนาบ้าคลั่ง ..แบบว่าน่ากลัวอะ”

ยูนามีท่าทางเขินอายเล็กน้อยหลังจากถูกชม เธอเกาแก้มตัวเองพลางแหงนหน้ามองฟ้ากลบเกลื่อน

“ถึงนิสัยจะไม่ค่อยเอาอ่าว แต่ก็เป็นถึงมหาภูตที่ฉันปั้นเองกับมือค่ะ ยังไงก็คงสร้างประโยชน์เล็กๆสักสองสามข้อได้อยู่แล้ว”

“นั่นสินะ ไว้ค่อยแวะไปหาละกัน”

“ตอนนี้มีเป้าหมายอื่นอยู่หรือคะ?”

ผมพยักหน้ารับ

“พวกเราจะไปตามจับ ‘ผู้กล้า’ ‘แอสทอเรียส’ กัน”

คิดว่าน่าจะอยู่ไปได้ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ เห็นว่าตอนพวกทูตสวรรค์ถอยทัพไป แอสทอเรียสก็แอบแยกตัวออกจากสนามรบแล้วด้วย ตอนนี้คงจะไม่ได้อาศัยอยู่กับพวกทูตสวรรค์ ซึ่งนี่แหละจังหวะอันดี ผมจำเป็นต้องไปชิงตัวแอสทอเรียสและอาเบลมาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะตอนนี้อะไรๆมันก็เร็วไปหมดแหละนะ

“มีเรื่องอะไรกับท่านผู้กล้าหรือขอรับ?”

“สองคนนั้นมีเรื่องให้ตะหงิดใจนิดหน่อยน่ะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไว้เจอกันแล้วเดี่ยวก็คงรู้เรื่องเองแหละมั้ง”

“เข้าใจแล้วขอรับ เช่นนั้นก็”

“อ่า”

ผมพยักหน้ารับ และชี้นิ้วขึ้นฟ้าเป็นการออกคำสั่ง

“เป้าหมายคือผู้กล้าและเจ้าหญิงมรกต จับเป็นเท่านั้น”

อีกสามวันจะถึงวันที่เทพมังกรถือกำเนิด— 

 

****

ผู้กล้าคืออะไรกันแน่?

ภาพลวงตา?

หรือว่าสัญลักษณ์?

ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่ามันเป็นเพียงอุดมคติเท่านั้น เพื่ออุดมการณ์บางอย่าง การทำให้อุดมคตินั้นใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยใช้ทุกอย่าง ไม่เว้นกระทั่งการสร้างภาพลวงตา เพื่อหลอกลวงอาจจะหมายถึงการเป็นผู้กล้าที่แท้จริงก็เป็นได้ นั่นแหละคือการสร้างอุดมการณ์ในอุดมคติ

“แฮก ..แฮก ..แฮก”

แต่ว่า ..ไม่ใช่

สิ่งที่ได้เห็นในค่ำคืนนั้น ชีวิตของผู้เป็นน้องชายที่เปล่งประกายแม้ว่าจะตายนั้นงดงาม ไม่ใช่ทั้งภาพลวงตา หรือสิ่งจอมปลอมอะไรทั้งนั้น เธอเป็นของจริง ผิดกับพี่ชายคนนี้

“แฮก ..อา ..ลาล่า ..ขอโทษ ..พี่ขอโทษ”

ภายในกระท่อมขนาดเล็กในป่า แอสทอเรียสนอนอยู่บนเตียง เขากำลังฝันร้ายถึงเรื่องบางอย่างที่แสนสำคัญ ..เจ้าหญิงมรกต อาเบล นั่นอยู่ข้างๆผู้กล้าของเธอ

“หนีตายจากสงคราม และพาตัวฉันหลบหนีจากการต่อสู้ในอนาคต ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วพาฉันออกมาแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้ ..ตกต่ำลงไปมากๆเลยนะคะ แอสทอเรียส”

เพียงแค่คำโกหกจากเด็กผู้หญิงคนเดียวก็ทำให้ผู้กล้าสิ้นชื่อ นั่นเป็นเรื่องที่น่าตลกที่สุด เธอคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด ..ทว่า มีบางอย่างแปลกไปจากปกติ

ความรู้สึกกำกวมข้างในใจลึกๆนี่มันคืออะไรกันนะ?

“..น่ารังเกียจ”

“..อาเบล ..อาเบล”

ชื่อของเธอถูกเรียกซ้ำไปมา แอสทอเรียสผู้อ่อนแอเรียกหาแต่ชื่อของเธอ ช่างน่าสมเพซ อาเบลทำตามบทบาท เธอใช้มือคู่นั้นของตัวเองกุมมือของแอสทอเรียสเอาไว้ด้วยสีหน้าที่รู้สึกรังเกียจจากสุดขั้วหัวใจ

……

………

เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดแอสทอเรียสก็ลืมตาตื่น ใบหน้าของเขายามตื่นเต็มไปด้วยความแตกตื่น เหงื่อท่วมทั้งตัว และมีใบหน้าที่ซีดเผือกอย่างกับไปเจอเรื่องร้ายๆมาในฝัน

“ฝันร้ายเหรอคะ?”

“อ่า ..ครับ”

“เล่าให้ฟังได้นะคะ แอสทอเรียส”

เสียงที่แสนอ่อนโยนนั่นคือสิ่งค้ำจุลสุดท้ายของแอสทอเรียส เรื่องนั้นเป็นที่แน่นอน และอาเบลก็จงใจให้เป็นอย่างนั้นด้วย

“ผมฝันถึงเรื่องเมื่อคืนที่พวกเราพบกันครั้งแรกครับ ..คืนที่เมืองยูซาริเซี่ยนถูกอาร์คเดม่อนทำลาย และผู้กล้าลาล่าถูกสังหาร”

รวมถึงเป็นคืนที่แอสทอเรียสได้ขึ้นเป็นผู้กล้าอีกด้วย เป็นค่ำคืนที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือฝันร้ายตลอดกาลของแอสทอเรียส

“ผมฝันว่าลาล่าตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้เป็นผู้กล้าแทนเธอ หรือแข็งแกร่งเทียบเท่าตอนนี้แล้วมันก็ไร้ค่า ไม่ว่าหนทางไหน ลาล่าก็จะต้องตายอยู่ดี ..สถานะผู้กล้าของเธอจะถูกส่งต่อมาให้ผม และผมก็จะเป็นคนที่ทำให้มันเปื้อนมลทิลในที่สุด”

ทรยศอาณาจักรแซร์อิซ เข้าร่วมกับศัตรูของมนุษยชาติ มุ่งสู่การทำลายล้างโลกใบนี้พร้อมชื่อของผู้กล้า

อาเบลแอบยิ้มมุมปาก เธอกั้นไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา วินาทีที่จะสบตากัน เธอก็ปั้นโปคเกอร์เฟคสีหน้าเศร้า

“ได้ยินแอสทอเรียสเรียกชื่อของฉันด้วย”

“ผมฝันว่าท่านอาเบล จะตายเหมือนกับลาล่า ท่านและลูกในท้อง—ผมจะปกป้องไว้ไม่ได้”

“..เรื่องนั้น”

ไม่เห็นต้องสนใจเลยก็ได้นี่นา

อาเบลคิดเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไป

ยังไงเรื่องลูกในท้องก็เป็นแค่คำโกหกที่หวังใช้ควบคุมแอสทอเรียสเฉยๆด้วย เด็กในท้องอะไรนั่นมีอยู่จริงที่ไหนกัน และก่อนที่จะรู้ว่าลูกในท้องอะไรนั่นไม่มีอยู่จริง แอสทอเรียสคงตายไปก่อนแล้วด้วยซ้ำ …ช่างน่าบันเทิงใจจริงๆ การสละชีวิตให้แก่สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนี้ นี่แหละคือเรื่องที่อาเบลปารถนามาโดยตลอด ความเจ็บปวดแสนน่าสงสาร การบดขยี้สิ่งที่บริสุทธิ์ให้เละเทะ นี่แหละคือความสุขสูงสุดในการใช้ชีวิตของผู้หญิงสวะเช่นเธอ

ทุกครั้งที่ได้เห็นแอสทอเรียสพยายามอย่างไร้ความหมาย คือความสุขเดียวของอาเบล ….กระนั้น

“แอสทอเรียส”

อาเบลก้มตัวลงไปประกบปากกับหุ่นเชิดผู้มอบความสำราญใจให้แก่เธอนับครั้งไม่ถ้วน และใช้มือลูบไล้ไปตามตัว

“ทะ ท่านอาเบล?”

“แอสทอเรียส ..คืนนี้ได้รึเปล่าคะ?”

“…หากท่านต้องการ”

……

……..

“รู้สึกดีมากเลยค่ะ แอสทอเรียส”

“ผมเองก็เหมือนกัน”

ทำไมกันนะ?

 

****

เวลาล่วงเลยผ่านไปยามค่ำคืน อาเบลตื่นขึ้นบนเตียงนอน ข้างกายของแอสทอเรียส ด้วยขนาดเตียงที่เล็กทำให้ร่างของทั้งสองทับกันเล็กน้อย

“…เป็นเซ็กส์ที่ห่วยแตก”

แม้แต่ความรู้สึกนี้เธอก็หลอกลวง

อาเบลลุกขึ้นออกจากเตียงในร่างเปลือยเปล่า เธอคว้าเอาเสื้อผ้ามาสวมใส่ และจ้องมองแอสทอเรียสซึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หลังจากที่ทั้งสองมีอะไรกัน แอสทอเรียสจะหลับสนิทเสมอ ต่อให้ตัวเขาจะมีพลังกายที่มากมายมหาศาลแค่ไหนก็ตาม

เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าแปลกใจ

“จะทำสีหน้ายังไงกันนะถ้ารู้ว่าตัวเองมันห่วยแตกกระทั่งเรื่องพวกนี้”

แล้วก็—-

“จะมีสีหน้ายังไงกันนะ ถ้ารู้ว่าความรักของพวกเราเป็นแค่การหลอกลวงจากฉัน ..ลูกในท้องอะไรนั่น กระทั่งตัวแทนของความรักทางกายภาพเองก็ไม่มีอยู่จริง ศักดิ์ศรี ความฝันที่รับฝากมา ตำแหน่งผู้กล้าของท่านที่ทิ้งมันทุกอย่าง หากรู้ว่าทุกอย่างมันสูญเปล่า” อาเบลยิ้ม “จะทำสีหน้ายังไงกันนะ”

อาเบลเลื่อนมือไปสัมผัสท้องของตัวเอง ..รอยยิ้มค่อยๆจางหายไป ไม่สามารถปั้นหน้าเย็นชาได้อีกต่อไปแล้ว

ความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนกำลังปะทุขึ้น

“..เอ๊ะ?”

ทำไมกัน? 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด