เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 322

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 322 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 201 Sec1 > >

อาณาจักรเกรลคืออาณาจักรที่ถูกกล่าวขานว่า–เป็นสถานที่ที่ราตรีไม่มีอยู่จริง แม้กระทั่งยามค่ำคืนผู้คนก็ยังคงดำเนินชีวิตกันต่อไม่ต่างกับตอนที่มีพระอาทิตย์สาดส่องลงมา

เสียงฝีเท้าของคนวิ่งผ่านไปมาตามตรอกซอย การโจรกรรม และเสียงของเครื่องจักรดังอย่างน่ารำคาญตลอดค่ำคืน

ภายในบาร์ขนาดเล็กซึ่งอยู่ในตรอกลึกลับแห่งหนึ่งของอาณาจักรเกรล— ‘เคียวยะ’ ได้ปรากฏตัว ณ ที่แห่งนั้น โดยที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

“จะไม่บอกจริงๆเหรอ?”

“บอกแล้วไง ..จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่ให้หรอก ที่สำคัญแกเป็นใครกันถึงอยากได้ข้อมูลพวกนั้น?”

“ถ้าเกิดสงสัยก็แจ้งทหารที่นี่จับซะสิ”

“…..”

เคียวยะถอนหายใจเฮือกโต

“ธุระมีแค่นี้แหละ ท่านแม่ทัพ”

“–นี่แกเป็นใครกันแน่!?”

ชายวัยกลางคนยื่นมือเข้าใส่เคียวยะ พร้อมกับแสงมานาที่ส่องประกายขึ้น และดับไปในชั่วพริบตาเดียว

“เอ๊—”

“ช่วยหลับไปก่อนสักพักใหญ่ๆด้วย”

ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ด้วยแรงหมัดที่มหาศาล เคียวยะได้ส่งแม่ทัพของเกรลไปนอนกองกับพื้น

ผู้คนรอบๆพากันแตกตื่นกับเรื่องที่เกิดขึ้น เคียวยะสะบัดมือไปมาก่อนจะก้มลงสัมผัสร่างของชายผู้เป็นเหยื่อ และร่ายเวทมนตร์ [ฮิล] เพื่อรักษาบาดแผลสาหัสทั้งหมด

“ช่วยได้มากเลยละ”

กล่าวจบ เคียวยะก็ลุกขึ้น และเดินออกจากบาร์อย่างเรียบง่าย โดยไม่สนสายตาของผู้คน

“เป็นอย่างไรบ้างคะ?”

ทันทีที่เดินออก หญิงสาวผู้มีใบหน้าสุดจะธรรมดาซึ่งนี่เป็นเพียงร่างจำแลงของเธอ ‘อานิม่า’ เดินเข้ามาหาเคียวยะ พร้อมกับ ‘เมอัน’ ในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลที่เดินตามหลังอานิม่ามาต้อยๆ

“เป็นอย่างไรบ้างคะ? คุณเคียวยะ”

“ได้ข้อมูลที่ต้องการมาแล้ว”

ทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่บอกนั้นเหรอ? ใช่ ทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่คิดจะเปิดปากนั่นแหละ เพราะเคียวยะคือผู้พิเศษในรอบร้อยปีผู้ถือครอง ‘ดวงตามหาปราชญ์’ อันเป็นอำนาจของ ‘เทพแห่งปัญญา’ ‘อาเธียน่า’ พลังอันเป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาแห่งทวยเทพ

ด้วยพลังนี้ทำให้เคียวยะสามารถอ่านความคิด และชิงเอาข้อมูลที่ต้องการทั้งหมดมาได้อย่างง่ายดาย

“สมแล้วค่ะ แต่ยังไงๆก็ช่วยเบามือหน่อยจะดีกว่านะคะ ถ้าเกิดกองทัพที่นี่เริ่มรู้สึกถึงตัวตนของพวกเราเข้าจะดำเนินการณ์ได้ลำบากเอา”

อานิม่าพูดพลางมองไปที่บาร์ซึ่งมีตำรวจรักษาการณ์วิ่งมามุงดู นั่นสร้างความลำบากให้ทางอานิม่าไม่ใช่น้อย เพราะหลังจากหาข้อมูลเสร็จ พวกตนก็ไม่สามารถกลับมาหาข้อมูลที่ที่เดิมได้อีกเนื่องจากโดนเฝ้าระวังเอาไว้ ทำให้ต้องย้ายสถานที่ทุกครั้งไป 

เป็นเรื่องยากสำหรับคนขี้หัวร้อนอย่างเคียวยะก็จริง แต่ถ้าพยายามสักหน่อยต้องทำได้แน่ๆ-อานิม่าเตือนด้วยความหวังที่ริบหรี่

“ครั้งหน้าจะระวัง”

“ฝากด้วยนะคะ”

ทั้งสามออกแรงกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึกบาร์แห่งนั้น และส่งสายตามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอาณาจักรแห่งนี้

“เต็มไปด้วยแสงสว่าง”

เมอันพึมพำขึ้น

“ใช่แล้วค่ะ อาณาจักรแห่งนี้ไม่มีเวลาหยุดพัก ที่แห่งนี้ทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ว่าจะเวลาไหนมันก็คึกคักไม่ต่างกัน เห็นว่าถ้าไม่พยายามให้มากเข้าจะเป็นการยากสำหรับมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันพรุ่งนี้”

“ว่าง่ายๆก็อาณาจักรตกอับนั่นแหละ”

“อันนั้นก็ตรงเกินไปนะคะ คุณเคียวยะ”

“อาณาจักรเกรลตกอับ”

เคียวยะพยักหน้ารับ และก้าวเท้าไปยืนอยู่ตรงหัวมุมบนตึก สาดส่องสายตาไปทั่วทั้งอาณาจักรที่ส่องสว่างด้วยแสงของอุปกรณ์เวทมนตร์ และมีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายสถานที่ ไม่ว่าจะการก่ออาชญากรหรือว่าการปะทะกันระหว่างกลุ่มแก็งที่ทรงอิทธิพลภายในอาณาจักร

อาณาจักรเกรลไม่ใช่อาณาจักรที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจของราชวงศ์ เหมือนกับอาณาจักรฟัฟนิร์และอาณาจักรแซร์อิซ ที่แห่งนี้ผู้ปกครองก็คือมุมมืดของอาณาจักร

“–อาชญากร คือผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ บาร์ที่พวกเราไปนั่งก็เป็นส่วนหนึ่งของแก็งๆหนึ่งที่เลื่องชื่อในอาณาจักร เป็นแหล่งทำเงินของพวกผิดกฏหมาย ทำไมที่แห่งนั้นจึงไม่โดนสั่งตรวจค้นและทำลายทิ้งกัน เหตุผลมันก็ง่ายดาย เพราะทหารหรือราชวงศ์ไม่ได้มีอำนาจมากถึงขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว”

จากข้อมูลที่สืบมา ทำให้เคียวยะทราบถึงความเป็นไปของอาณาจักรนี้หลายๆอย่าง

“จริงๆก็เป็นปัญหามาเกือบร้อยปีแล้วที่ราชวงศ์เริ่มเสื่อมอำนาจ โดยเฉพาะเมื่ออาณาจักรแห่งนี้มาอยู่บนมือของราชาคนปัจจุบันนี่แหละ ทุกอย่างก็เลวร้ายขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่าตัว จนราชวงศ์แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว พวกกลุ่มทุนจากที่อื่น หรือผู้คนภายในอาณาจักรก็เริ่มจับกลุ่มกันรวมตัวกัน เพื่อประกาศจุดยืน หรือเพื่อกอบโกยกำไรให้ได้มากที่สุดจากที่แห่งนี้ การต่อสู้เพื่อแย่งชิงเกิดขึ้นในทุกๆวัน และทุกเวลา ในท้ายที่สุดอาณาจักรเกรลก็กลายเป็นสถานที่ที่พังได้ทุกเมื่อ” เคียวยะหรี่มอง “สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ในตอนนี้ย่ำแย่ทีเดียว ถึงแม้เจ้าชายคนปัจจุบันอย่างลีออนจะพยายามแก้ไขสถานการณ์มากแค่ไหน มันก็ไม่ทันแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่กอบโกยทุกอย่างจากอาณาจักรก็จะหนีไปเมื่อที่นี่ล่มสลาย”

อานิม่าพยักหน้าตามเรื่องที่เคียวยะเล่า

“มีข่าวว่า ‘อิกดราซิล’ ตั้งใจจะยึดครองที่นี่ด้วยนะคะ ถึงจะตกต่ำไปมาก แต่ศาสตร์ความรู้หลายๆอย่างก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกใบนี้อยู่ดี”

“ตอนนี้ในอาณาจักรก็มีพวกกลุ่มทุนภายนอก กับพวกจากอิกดราซิลตีกันอยู่ทุกวันละนะ ..อ่า แล้วก็ข่าวสำคัญที่สุดที่ได้มา”

เคียวยะหันหน้ากลับมาทางพวกอานิม่า และพูด

“เหมือนว่าราชาคนปัจจุบันได้ตายจากไปแล้วด้วย”

“เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเป็นเพียงแค่วงในหรือคะ?”

“เพราะเจ้าชายลีออนปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีจุดประสงค์อะไร แต่ว่า–ลีออนกำลังมุ่งหน้าไปที่คัลเซเรม”

“คัลเซเรม ..ที่นี่คุณยูจิเพื่อนของพวกคุณโดนจับตัวไปสินะคะ”

“ใช่ เหตุผลที่ว่าต้องไปหรือหลายๆเรื่องที่ลึกกว่านั้นคงต้อง—”

..หืม??

อะไรสักอย่างกำลังล่องลงสู่พื้น—-เคียวยะเอื้อมมือไปจับแขนของอานิม่า และพากระโดดหนีจากที่แห่งนั้น เมอันกระโดดตามเคียวยะอย่างรวดเร็ว

แสงสีขาวพุ่งลงยอดตึกของบาร์ และ— ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!! ระเบิดออก แสงสว่างจ้านั่นได้ทำให้ตึกแห่งนั้นถล่มลงมา

“แสงนั่น–”

“พลังของ ‘ทูตสวรรค์’ ค่ะ”

“ทูตสวรรค์ พอดีเลย อยากจะลองเจอดูสักครั้งเหมือนกัน ..เมอัน เตรียมพร้อม”

“อาภรณ์เทพมังกร ‘เมอันคามิ’ ”

เมอันคลุมตัวเองด้วยอาภรณ์เทพมังกรในพริบตาเดียว จากนั้นเธอก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าตามทิศทางที่แสงนั้นพุ่งลงมา

“อานิม่า หล่อนช่วยวิเคราะห์อีกฝ่ายและส่งข้อมูลมาให้อีกที–”

ร่างของเคียวยะถูกปกคลุมด้วยแสงสีม่วงจาก ‘HOPE’ เกราะสีดำส่องประกายแสนสีม่วงในยามราตรีของอาณาจักรเกรล

“[ชาร์จ]-[ONE]”

เกราะสีดำทมิฬลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยแรงดีดจากขาที่มหาศาล HOPE ส่องประกายไปตามวิถีของการเคลื่อนที่ การวิวัฒนาการณ์ที่ไร้จุดสิ้นสุดของมนุษย์ได้พุ่งไปเพื่อจะแตะต้องทูตสวรรค์ผู้อยู่บนจุดสูงสุด

อานิม่ากระพริบตาปริบๆให้กับคนสองคนที่ลอยไปจนแทบจะลับสายตา พร้อมกับแสงสว่างไม่ว่าจะสีขาวหรือสีม่วงบนท้องฟ้าที่วูบขึ้นบนท้องฟ้า เสมือนดอกไม้ไฟ

เทพแห่งจิตวิญญาณผู้ดูธรรมดาในเวลานี้ได้ถอนหายใจออกมาอันใหญ่ๆ ก่อนจะใช้มือสองข้างของตัวเองทำเป็นกล้องถ่ายรูป เพื่อซูมดูสถานการณ์บนท้องฟ้า

“.. ‘ราฟาเอล’ และ ‘กาเบรียล’ ถ้าเป็นสองคนนี้คงไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ยังไงถ้าเป็นการต่อสู้ระยะยาวคงไม่เหมาะกับคุณเคียวยะเท่าไหร่ด้วย” อานิม่ายิ้มเจื่อนๆ ““วันนี้ยังคงเป็นวันที่วุ่นวายเหมือนเคยนะคะ ..เวฟ”

 

****

(มุมมอง ยูจิ)

เจ้าชายลำดับที่ 1 แห่งอาณาจักรเกรล ‘ลีออน’ ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของผม ภายในห้องเล็กๆที่ล้อมหน้าหลังไว้ด้วยกำแพง ไร้ทางเข้า และทางออก

“..หรือว่าจำผมไม่ได้แล้วกันนะ?”

“ไม่หรอกครับ ผมจำคุณได้ดีเลย ในฐานะผู้นำที่แท้จริงของราชวงศ์แห่งเกรล”

คุณลีออนได้ยินก็อมยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะผายมือออกอย่างเว่อร์วังเกินกว่าความจำเป็น

“แบบนี้นี่เอง เอาเป็นว่าขอบคุณที่จำกันได้ แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่ต้องขอให้คุณช่วยอยู่เฉยๆอย่างนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ”

“เป้าหมายคืออะไรกันครับ”

“ไม่รู้จะดีกว่านะ”

ก่อนหน้านี้ผมอยู่ในห้องขุมขังกับคุณอลิซาเบธ และคุณแจ็คสัน แต่ว่าจู่ๆร่างกายของผมมันก็ระเบิดออก รู้ตัวอีกทีผมก็มาโผล่ตรงนี้แล้ว ..อุปกรณ์เวทย์ระเบิดจากภายในสินะที่ผู้คุมขังบอกว่าติดไว้ในตัวนักโทษทุกคน ถ้าเกิดทำอะไรฝ่าฝืนกฏหรือสร้างปัญหาใหญ่โตเข้า จะถูกระเบิดโดยผู้มีอำนาจ

ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย ถ้าเกิดรู้สึกตัวทันผมน่าจะใช้อลันดึงเอาระเบิดออกมาได้ทันก่อนที่จะลงเอยอย่างนี้ เรื่องสำคัญขนาดนั้นผมลืมได้ยังไงกัน

“คนอื่นๆละครับ?”

“ถ้าหมายถึงมือขวาของภัยพิบัติ ตอนนี้คงโดนจับตัวขนส่งไปที่ศูนย์วิจัยของอิกดราซิลแล้ว อย่างที่รู้ว่าแวมไพร์เป็นเผ่าพันธ์ุที่หายสาบสูญไปนานแสนนาน”

ว่าโดยง่ายคือตั้งใจจะใช้เธอในการวิจัยนั่นเอง ..

“คุณไม่พอใจอะไรหรือ?”

“ในฐานะผู้ที่อยู่เหนือกว่าทุกคน ไม่คิดว่านั่นเป็นการกระทำที่ชั้นต่ำไปหน่อยเหรอ ..ต่อให้เธอจะเป็นมือขวาของภัยพิบิตั หรือต่อให้เป็นเผ่าพันธ์ุที่เหลือรอดคนสุดท้ายของเผ่าพันธ์ุใดเผ่าพันธุ์หนึ่ง แต่พวกคุณก็ไม่มีสิทธ–”

“มาสวมบทเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมอะไรกันครับ ทางคุณเองก็ใช้พลังของตัวเองเพื่อสิ่งที่ต้องการเหมือนกันแท้ๆ อีกอย่างไม่ใช่แค่ผม แต่ทุกคนลงความเห็นว่าชีวิตของฆาตกรต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้สูงที่สุด ให้คุ้มกับชีวิตที่ต้องสูญเสียไปให้กับเจ้าพวกกลุ่มฆาตกร”

ลีออนหรี่ตามองผมด้วยแววตาที่หนักแน่น นั่นทำให้ผมรู้สึกกลัวบางอย่างที่ลึกลงไปในจิตใจของตัวเอง จนได้แต่เบือนหน้าหนี

“แค่มองตาก็รู้แล้วครับว่าใจจริงของยูจิมันเสแสร้ง เพื่อมนุษย์ธรรมในจิตใจเลยห้ามทำเรื่องพวกนั้นกับมือขวาของภัยพิบัติเรนนั้นเหรอ? สำหรับยูจิมันไม่น่าใช่แค่นั้นหรอกมั้ง ไม่ใช่ว่าเพราะเกิดรู้สึกสนิทกับเธอขึ้นมาเลยไม่อยากให้เธอเจอกับเรื่องน่ากลัวมากกว่าเหรอ?”

“….”

“เคลื่อนไหวเพื่อปกป้องโลกอะไรกัน”

…..

“ผมไม่รังเกียจคนเห็นแก่ตัวอย่าง ‘เรน’ หรือว่าอีกหลายๆคนหรอกนะครับ แต่ที่ผมเกลียดน่ะคือคนเสแสร้งอย่างคุณต่างหาก”

…..

…..

มาได้แค่นี้นั้นเหรอ?

ตัวผมมาได้แค่นี้จริงๆเหรอ?

ถ้าเกิดไม่พยายามมากกว่านี้ก็จะช่วยใครไม่ได้เลยแท้ๆ แต่ว่าสถานการณ์แบบนี้ต่อให้พยายามมากแค่ไหนมันก็ไม่ไหว ทุกอย่างจบลงแล้ว ผมจะต้อง ..ไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนั้นเหรอ?

เพื่อโลกใบนี้ เพื่อโลกใบนี้ เพื่อที่จะทำให้โลกใบนี้ ….เอ๊ะ?

คนเสแสร้ง

….ไม่ใช่ ผมน่ะ ..

ผมเห็น เห็นภาพบางอย่างลอยเข้ามาในหัว เป็นเรื่องราวบทหนึ่งบนโลกใบนี้

 

“เดี่ยวสิๆเจ้าพวกบ้า ที่คุยกันไว้ไม่ใช่อย่างนั้นนะโว้ย!”

เสียงของคุณเรย์ที่โผล่มาโวยวายในเรื่องบางเรื่อง

“หนวกหูน่า เรย์”

เสียงของคุณเคียวยะที่ใช้แขนข้างขวาดันหน้าคุณเรย์ไปไกลๆ

“ทะเลาะกันไม่ดีนะ!”

เสียงของคุณโซเฟียที่เข้ามาห้ามทั้งสองคน

“ปล่อยๆพวกหมาวัดมันกัดกันเองไปเถอะน่า”

เสียงของคุณหนิงที่แสนเบื่อหน่าย

“ทะเลาะกันได้ แต่อย่าแรง”

“เบลลามีก็อย่าไปยุสิ!”

เสียงของคุณเบลลามีที่แนะนำเรื่องแสนเรียบง่ายออกมาหน้าตาเฉย

“เห็นด้วยกันเบลลามีหนึ่งเสียง เจ้าพวกบ้าถ้าอยากมีเรื่องก็ซัดกันตรงนี้เลย เดี่ยวเป็นกรรมการให้เอง”

“ซัดเอ็งก่อนนั่นแหละ!”

และสุดท้าย–เสียงของคุณเรเซอร์ที่ยืนอยู่ในจุดศูนย์กลางของทุกๆคน ..โดยที่ไม่มีผมอยู่

ทุกๆคนหัวเราะร่าเริงให้กับชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตที่ปราศจากตัวผม หรือพูดให้ถูกไม่เคยมีผมอยู่ ณ ที่แห่งนั้นตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก

 

….เสแสร้ง

ใช่แล้วละ ปกป้องโลกอะไรกัน ผมมันก็แค่ ….

“….หนวกหู”

เป็นได้แค่ตัวตนที่ไม่มีอะไรเลยแท้ๆ ไม่ควรที่จะเกิดมาด้วยซ้ำ ความอบอุ่นเหล่านั้นคนอย่างผมไม่สมควรได้รับมันทั้งหมดด้วยซ้ำ—ชีวิตนี้ไม่ควรจะเกิดมาด้วยซ้ำ

“หนวกหูน่า!!!!”

เสียงหลายเสียงตีกันในหัวของผม รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าขึ้นทุกทีๆ

หวาดกลัวมาโดยตลอด ตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ที่ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะไร้ตัวตนมาโดยตลอด คิดมาโดยตลอดว่าตัวเองไม่เคยจำเป็นต่อสถานที่ที่แสนสำคัญแห่งนั้น ทุกครั้งที่หลงคิดว่าที่นี่คือบ้านของตัวเอง ความจริงในหัวเหล่านั้นก็จะหวนคืนกลับมาทำร้ายตัวผมเสมอมา ..เพราะอย่างนั้นถึงไม่อยากจะคิดแล้วยังไงละ ถึงได้ตีตัวออกห่าง ตัดขาดกับทุกคนเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกไปมากกว่านี้อีก

แต่ว่ามันทำไม่ได้ก็ผมน่ะ ..ผม

“…..”

……

ตึกๆ ตึกๆ

เสียงฝีเท้าดังขึ้น และยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ คุณลีออนหันหน้าไปทางที่มีเสียงๆนั้น และกำแพงก็ได้ถูกแยกออกจากกัน แสงสว่างสาดส่องเข้ามาภายในห้องขุมขังนั่น ‘บาคุนาว่า’ กวัดแกว่งทุกสิ่งอย่างแยกออกจากกัน กำแพงสี่ทิศถูกเปิดออกด้วยการตวัดเคียวไม่กี่ครั้ง

คุณอลิซาเบธโผล่มาจากบนท้องฟ้า ภาพนั้นราวกับมีใครสักคนยื่นมือมาให้ เหมือนกับมือคู่นั้นของคนๆนั้นที่เคยมอบให้กับผม

“มาช่วยแล้วนะคะ คุณยูจิ”

ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ความรู้สึกเหล่านี้มันก็ช่วยค้ำจุนผมไม่ให้ล้มลงไปเสมอมา

“–คุณอลิซาเบธ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด