เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 120: เกาะวาเรอร์ (2)

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 120: เกาะวาเรอร์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 97 Sec2 > >

ผมสวมถุงมือเวทย์ทันทีที่พบเจอกับตัวตนปริศนา ที่มีกลิ่นอายน่าสงสัยและอันตรายออกมา

เจ้าหล่อนที่เห็นก็สะดุ้งโหยง เอามือปัดอากาศไปมาด้วยความรุนแรงจนเกิดลมกระแทกหน้าผมเบาๆ ที่ทำบ่งบอกถึงพลังกายของเธอได้ดี นั่นยิ่งประมาทไม่ได้เข้าไปใหญ่

“ดะ เดี่ยวสิ ใจคอไม่คิดจะฟังกันหน่อยเหรอ?”

“ถ้ามีอะไรก็รีบพูด ฉันจะอยู่ในสภาพพร้อมสู้แบบนี้แหละ”

“อาาาา โธ่ว!! แล้วให้ฉันพูดขณะที่โดนจ่อหมัดใส่เนี่ยนะ!?”

“เออสิ!”

ผมตะคอกใส่ อีกฝ่ายถึงกับผวา——-ให้ตายสิ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ว่ามา ชื่ออะไร มาที่นี่เพื่ออะไร”

“…”

หล่อนเงยหน้ามองท้องฟ้า ทำหน้าดูงงกับตัวเองในระดับหนึ่ง

“ว่าไง”

พอทวงคำตอบ เจ้าหล่อนก็กุมขมับแล้วหันหน้าหนีผม

“คิดชื่อแปปนะ แล้วก็ที่อยู่ ที่อยู่ ..เอาเป็น”

มันใช่ของที่ต้องคิดกันด้วยเรอะ!?

ไม่รอช้าผมพุ่งเข้าใส่ทันที

เริ่มด้วยเวทย์เวทย์เพลิงทั่วๆไป ผมโยนบอลเพลิงเข้าใส่

“—–บ้ารึไงเนี่ย!?”

แทนที่จะหลบ แต่หล่อนกลับออกหมัดสวนบอลเพลิงของผม

จังหวะนั้นผมก็รีบอัดเวทย์ลมเข้าไปทำให้เพลิงมันระเบิด เพื่อหลีกเลี่ยงหมัดของเธอ–เพราะสังหรณ์ได้ว่า ถ้าหล่อนจับเพลิงของผมได้ อาจจะเกิดเรื่องซวยๆตามมา 

หล่อนเดาะลิ้นไม่พอใจ และก้าวเท้าย่ะระยะมาหาผมอย่างรวดเร็ว

ความเร็วสุดยอดมาก—–มันยิ่งกว่าเรย์ที่อยู่ขั้นนักดาบขั้นสูง

แต่เพราะเว้นระยะกันในระดับหนึ่ง และจังหวะการย่นระยะมันก็แค่พุ่งมาแบบปกติ ไม่ได้มีเทคนิคอะไรเฉกเช่นนักดาบ ทำให้ผมคำนวณระยะการเคลื่อนไหวได้หมด และไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบหมัดที่เจ้าหล่อนปล่อยออกทันทีที่ย่นระยะ

เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นหมัดที่ดี หากวัดแค่ความรุนแรง เธอสามารถปล่อยหมัดได้แรงกว่าตัวผมอีก ซึ่งเรื่องนี้บ่งบอกว่าเธอมีพลังกายมากกว่าผมได้เป็นนัยน์หนึ่ง

พอเห็นว่าหมัดแรกพลาดก็ปล่อยหมัดที่สอง และสามตามมา

หมัดที่สองผมใช้ศอกหลับ และพุ่งตัวเข้าไปหลบหมัดที่สาม และใช้ศอกกระแทกเข้าหน้า

ตุ้บ!!!!! เกิดเสียงกระแทกหน้าดังสนั่น เทียบกับแรงเหนือมนุษย์ในโลกแฟนตาซี การออกศอกเมื่อสักครู่ทำให้คนตายได้เลยล่ะ

แน่นอนว่าอีกฝั่งก็มีความแกร่งระดับแฟนตาซีด้วยเช่นกัน

หมวกของหญิงสาวหล่น และมีเลือดกำเดาไหล

แค่นั้นแหละ

เธอกระโดดถอยหลังมา และมองผมด้วยแววตาที่คิดจะสู้ต่างกับก่อนหน้า

ทันทีที่เห็นผมก็รวมมานาไว้รอบๆให้มากที่สุด——พวกเราพุ่งใส่กัน

เมื่อขาอีกฝ่ายแตะพื้นเมื่อไหร่ ผมจะรีบใช้เวทย์ขั้นบรรลุ ‘เอิร์ธฟิลด์’ เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการเคลื่อนที่

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะจบการต่อสู้ในสามจังหวะ——-มีอยู่สองแผนการปะทะที่คิดไว้

หล่อนผสานนิ้วเข้าหากัน และกางมันออก มีคลื่นมานาปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ และกำลังแปรรูปเป็นบางอย่าง

‘วิชาไสยศาสตร์’

ยูนาพึมพำขึ้น ผมลงมือเตรียมตัวใช้ตัดมิติเพื่อทำลายวิชาไสยศาสตร์ของหล่อนทิ้ง

—-ทว่า

ในจังหวะที่พวกเราใกล้จะถึงตัวกันนั้นเอง ก็มีใครที่ไหนไม่รู้โผล่มาจับขาผมและโยนขึ้นฟ้า

“—เอ๊ะ”

เพราะเพ่งเล็งอยู่แต่อีกฝ่าย เลยไม่ได้สังเกตุว่ามีใครย่องมาเลย 

พอหันไปดู เจ้าหล่อนที่สู้กับผมอยู่ก็โดนจับเหวี่ยงไปชนกับต้นไม้ และล้มกองกับพื้นในสภาพเดียวกับผม

แค่เชี่ยววิเดียว พวกเราทั้งคู่ก็รีบลุกจากพื้น และตกใจกันถ้วนหน้า

“..เอเธอร์”

ชายที่มาหยุดพวกผมคือสุภาพบุรุษสูทสีขาว ‘เอเธอร์’ นั่นเอง

ถ้าผมจับสัมผัสแปลกๆได้ ก็มีหรือที่เอเธอร์จะจับสัมผัสไม่ได้ การที่เขาโผล่มาอยู่แถวนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างไร

“โอ้ยๆ เจ็บนะเนี่ย ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย” 

เธอจับหัวและร้องบ่น แต่แค่ดูก็รู้ว่าบ่นเล่นๆไม่ได้เจ็บจริงหรอก

“ยะ ยังไงก็เถอะ” คู่กรณีของผมพูดแบบติดๆขัดๆ “ไม่เจอกันนานเลย..นะ”

เอเธอร์จ้องหน้าเธอ นั่นทำให้เธอถึงกับเหงื่อตก ..ไม่นานเอเธอร์ก็ถอนหายใจ

“อย่าประเมินตัวเองต่ำนักเลยครับ การหยุดพวกคุณโดยไม่ใช้กำลัง มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไมไ่ด้อยู่แล้วครับ”

“ฉันไม่ชอบความรุนแรงเลยน้า ต่อต้านความรุนแรงค่า”

เอเธอร์ไม่ตอบอะไร ทำเพียงย้มแต่เปลือกให้ 

ทั้งสองน่าจะรู้จักกัน อีกอย่าง ต่อให้อีกฝ่ายคือศัตรูเอเธอร์ก็อยู่ฝั่งผมด้วย เลยหายห่วงได้ เกิดยัยนี่เป็นศัตรูขึ้นมาจัดซัดให้เละแบบ 2-1 เลยคอยดู

ผมลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นออกจากร่างด้วยท่าทางหงุดหงิดหน่อยๆ ผมหรี่มองเจ้าหล่อนที่ยังนอนร้องหาความเป็นธรรมอยู่

“แล้วก็นายน่ะ! นาย!”

พอบ่นเอเธอร์เสร็จก็หันมาบ่นผมต่อ

“จู่ๆก็เข้ามาหาเรื่องโดยไม่ฟังอะไรเลย แบบนี้มันได้ที่ไหน พูดตรงๆแบบนี้เกลียดอ่า”

แล้วทำไมตอนถามชื่อต้องคิดด้วยฟร้ะ ..เอาเถอะ ทางผมก็รีบร้อนหาเรื่องเกินไปล่ะมั้ง

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ลงมือปรับอารมณ์และน้ำเสียงตัวเองให้เป็นมิตรขึ้น

“เป็นคนรู้จักของเอเธอร์เหรอ?”

“..อืม ก็นิดหน่อย”

ดูไม่เต็มใจจะตอบเท่าไหร่ ว่าแล้วเชียว ยังไงก็น่าสงสัยจริงๆน่ะแหละ ถึงจะเป็นคนรู้จักของเอเธอร์ก็ตาม

ไม่สิๆ เพราะเป็นคนรู้จักเอเธอร์ต่างหากเลยน่าสงสัย ผมควรคิดอย่างนี้มากกว่า

“เหรอ เข้าใจแล้ว ฉันผิดเองแหละ ขอโทษด้วย”

แต่ก่อนอื่น ยังไงสองคนนั้นก็รู้จักกัน ขอโทษที่เสียมารยาทไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย

“ทำไมท่าทางต่างกับตอนที่ข่มฉันจังเนี่ย สวิตซ์เปิดปิดอารมณ์สุดยอดเลยนา”

ผมยิ้มให้หล่อนที่พูดแซะผมทั้งๆที่ผมหาทางคุยด้วยดีๆแล้ว

“การควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งต้องมีในตัวมนุษย์นะ”

“..ค่ะ”

หล่อนเดินไปหยิบหมวกขึ้นมาสวมด้วยท่าทางซึมๆ สภาพเหมือนเด็กที่โดนดุ

“แล้วเธอเป็นใครเหรอ”

แทนที่จะถามหล่อนโดยตรง แต่ผมเลือกที่จะถามเอเธอร์แทน

เพราะท่าทางที่คล้ายจะปกปิดชื่อตัวเอง ทำให้ผมต้องเลือกถามคนที่เป็นพวกเดียวกับผมอย่างเอเธอร์ ยังไงก็รู้จักกันอยู่แล้วด้วย

“ดะ…เดี่ยว เดี่ยว ไม่ถามฉันเองล่ะ”

“โทษทีนะ ถามเอเธอร์น่าวางใจกว่าน่ะ”

หล่อนยืนตัวสั่น เอเธอร์เห็นก็หรี่ตาลงและยิ้มมุมปาก

“มิรันด้าครับ เป็นคนจากเนลยอน ลูกพี่ลูกน้องของคนรู้จักผมเอง”

เนลยอน?

อาณาจักรคู่แค้นกับฟัฟนิร์เลยนี่หว่า มาทำไมที่นี่ล่ะเนี่ย

“นักเรียนแลกเปลี่ยนครับ”

“เหรอ แบบนี้นี่เอง”

ช่วงนี้ข่าวการเมืองระหว่างฟัฟนิร์และเนลยอนเริ่มสงบแล้ว เพราะทั้งสองอาณาจักรตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนก็เริ่มร่วมแรงร่วมใจกัน แทนที่จะสู้ก็เปลี่ยนมาจับมือกันในหลายๆครั้ง

ไม่ถึงกับเป็นพันธมิตร แต่ก็อยู่ระหว่างสานสัมพันธ์เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันอยู่ ความสัมพันธ์ประมาณนี้แหละ แล้วยิ่งเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วย

แต่ใจกล้าแฮะ เล่นส่งนักเรียนตัวเองมาอาณาจักรคู่อริเมื่อสิบปีก่อนเช่นนี้ ที่ทำคือการส่งเธอมาตายชัดๆ

นึกภาพเจ้าหล่อน–มิรันด้าโดนคนทั้งโรงเรียนแกล้งได้เลย มันเกิดขึ้นแน่ๆถ้าไม่มีไม้กันหมา

มิรันด้ายืนเหวอ ไม่รู้ทำไม แต่หล่อนยืนเหวอ

“มิรันด้าสินะ”

“อะ ..ค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉัน ‘เรเซอร์ ดราแคล์’”

“ดราแคล์ ..ลูกชายท่านดยุกสินะ”

เธอจับมือผมกลับ

พอจับมือกับมิรันด้าแล้วก็ทำให้ผมรู้ว่ามันต่างกับตอนจับมือกับเบลลามีมาก ความรู้สึกที่ได้ตอนจับมือเบลลามีมันทำให้ผมรู้ตัวว่า ..นี่สินะ ความรัก

ราวกับฉากหลังผมมีพื้นหลังดอกไม้และสายรุ้งขึ้นมา มิรันด้าทำหน้าแหยงๆใส่

“จะว่าไปมิรันด้า ..เมื่อตะกี้ทำอะไรอยู่ล่ะ”

ผมยังไม่วางใจทีเดียว มิรันด้าตอบกลับผมทันควัน

“ขุดรังมดเล่นอยู่น่ะ”

…ถ้าจะอ้างก็เอาดีๆหน่อยได้มั้ยเนี่ย

ผมจ้องเขม็ง มิรันด้าวิ่งเตาะแต๊ะไปหลบหลังเอเธอร์ และชะโงกหัวดูผม

เอเธอร์ออกหน้ารับแทน

“ผมขออธิบายแทนได้รึเปล่าครับ อย่างที่เห็น มิรันด้า เขาคุยไม่ค่อยเก่ง”

“ดูจะตั้งใจปกป้องอีกฝ่ายจังนะ เอเธอร์”

“หึงเหรอครับ”

“ล้อเล่นครับ อย่าจ้องกันแบบนั้นสิครับ ยังไงเธอก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของคนรู้จักผมนะ”

“อ่า”

ผมถอนหายใจ มิรันด้าเดินออกจากหลังเอเธอร์ด้วยท่าทางดูกวนประสาท

“เอาเป็นว่า” มิรินด้าหัวเราะ “ฉันมาแลกเปลี่ยนอยู่หนึ่งเดือนน่ะ วิทยาลัยที่เนลยอนเขาอยากศึกษารูปแบบการสอนของที่นี่เลยส่งฉันมา

วิทยาลัยของเนลยอนส่งมิรินด้าเป็นตัวแทน 

ที่มาความแข็งแกร่งของเธอไม่มีที่ต้องสงสัยอีกต่อไป เพราะเป็นตัวแทนเลยต้องแข็งแกร่งให้ได้ระดับนี้นี่แหละ

มิรันด้าตบไหล่ผมเบาๆ

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนา”

ผมไม่ถือสาที่เธอเล่นตบร่างกายชาวบ้านตั้งแต่เจอหน้ากัน แต่ถ้าเป็นคนอื่น อาทิเช่นเคียวยะ หล่อนคงจะโดนหาเรื่องแล้ว

ยังไงก็เถอะ

“ยินดีต้อนรับนะ ถ้ามีอะไรสงสัยเกี่ยวกับหลักสูตรที่นี่ก็ถามได้ ฉันเองก็อยากรู้หลักสูตรของเนลยอนเหมือนกัน ที่นั่นสอนวิชาไสยศาสตร์สินะ?”

“ก็ อ่า! วิชาไสยศาสตร์นี่ยุ่งยากสุดๆ เลือกได้ฉันก็ไม่อยากเรียนหรอก”

“สุดยอดเลยนะ เวทมนตร์เองก็ง่าย แต่ปฎิบัติจริงได้ยากสุดๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”

ผมและมิรันด้าหัวเราะผสานเสียงกัน เอเธอร์ลูบคางมองพวกเราคุยเรื่องความยากของสายการเรียน

“พวกคุณน่าจะสนิทกันได้ไม่ยากนะครับ”

“คิดนั้นเหรอ” มิรันด้าพูด

“ครับ ก็เท่าที่รู้จัก พวกคุณเป็นสายปฎิบัติกันทั้งคู่มากกว่าสายทฤษฎี”

ง่ายๆเป็นพวกสมองกล้ามเหมือนกัน

“แต่ที่แน่ๆ คุณสองคนมีฝีมือระดับที่ผมยอมรับเลยครับ ภูมิใจกับตัวเองเข้าไว้ครับ”

ทำไมพูดอวดเบ่งอย่างนั้นล่ะ เอเธอร์

 

หลังจากนั้นผมก็คุยกับมิรันด้าและเอเธอร์ไปสักพักแล้วก็ขอตัวไปก่อน เพราะต้องจัดเตรียมข้างของก่อน

พวกเรามีเวลาเตรียมตัวราวสองวัน ก่อนที่จะเริ่มเรียนจริงๆจังๆล่ะนะ

 

****

มิรันด้าและเอเธอร์มองส่งเรเซอร์ มิรันด้าโบกมือให้จวบจงเรเซอร์ไปไกลลับสายตา ..เมื่อเห็นว่าไปแล้ว เธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แกร่งสุดๆเลยนะ คนชื่อเรเซอร์เนี่ย จับสัมผัสวิชาไสยศาสตร์ของฉันได้ไม่พอยังแลกหมัดกับฉันได้อีก คนๆนั้นเป็นนักเวทย์แน่นะ”

มิรันด้ากล่าวอย่างชื่นชม เธอดึงหมวกลงมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ได้ทรัพยากรณ์บุคคลดีๆไปซะแล้วสิ อาณาจักรฟัฟนิร์”

“นั่นสินะครับ ..ว่าแต่ว่า มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”

เอเธอร์ยิ้มสวยๆ กลับกัน มิรินด้าก็หน้าเปลี่ยนสี

“ใจเย็นๆนะ เดี่ยวจะค่อยๆอธิบาย ถ้าฟังแล้วต้องเข้าใจแน่”

“ครับ ขึ้นอยู่กับคำตอบต่อจากนี้”

มิรินด้าหรือว่า—- ‘วิน’ หล่อนสามารถกลายเป็นสาหร่ายทะเลได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับคำตอบต่อจากนี้

เธอตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ดี สภาพตอนนี้เลยดูเกร็งสุดๆ

“คะ คือว่า”

บอกความจริง หรือ โกหก ..

“ปิดบังไปมีแต่จะแย่ลงนะครับ”

เอเธอร์พูดอย่างนั้นก็เป็นอันล็อคคำตอบแล้ว 

“เมื่อกี้ยังช่วยฉันปิดบังอยู่เลยนา ฮะ ฮะ ฮา”

“ถ้าบอกความจริงไปเรเซอร์เขาจะเครียดเปล่าๆไปสิครับ คิดซะว่าการที่ผมออกหน้ารับปัญหาของ ‘วิน’ แทน เป็นการแบ่งเบาภาระให้เรเซอร์ก็ได้ครับ”

ภาระที่ว่าคือการทำให้เรเซอร์ไม่ระแวง ‘วิน’ ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพจากเนลยอน ถ้ารู้เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็เครียดกันหมด โดยเฉพาะเรเซอร์ที่ทำหน้าที่คล้ายผู้พิทักษ์ยิ่งแล้วใหญ่

“ดูใส่ใจคนชื่อเรเซอร์จังนะ”

“หึงเหรอครับ”

….

“มุกซ้ำนะนั่น แล้วก็ไม่ขำเอาซะเลย”

“น่าเสียดายขริงๆครับ แล้ว ..สรุปว่าคุณมาทำอะไรหรือครับ”

วินเท้าสะเอว และโพล่งออกมาตรงๆ

“ฉันมาสอดแนมนะ เนลยอนสั่งให้หาผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพยูนา”

“แบบนี้นี่เอง ..”

เอเธอร์ล้วงกระดาษมาจากเวทมนตร์กระเป๋า ทักษะเวทย์ของอัศวินแห่งฟัฟนิร์ ไม่รู้ว่านักเวทย์ราชสำนักจากเอเธอร์ได้รับการสอนเวทย์นี้จากใคร

“สะดวกจังนะ”

“นิดหน่อยครับ” เอเธอร์ยื่นกระดาษไปให้วิน

วินรับและอ่าน ก่อนจะสบถเสียงดัง

“บ้าป่ะเนี่ย!? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ข้อมูลของคุณ ทางวิทยาลัยเรดฮอตรู้หมดทุกอย่าง และชื่อปลอมที่ผมถือวิสาสะตั้งให้เองอย่าง ‘มิรันด้า’ เองก็ด้วย ทางเนลยอนมาเจรจากับฟัฟนิร์เรื่องของคุณและอนุมัติแล้วครับ ทางวิทยาลัยรู้ตัวจริงของวินกันแค่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็มีผมด้วยครับ และหน้าที่ของคุณที่ทางเนลยอนส่งมาคือ—ช่วยคุ้มครองบุตรของขุนนาง เป็นอันสานสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร”

เบื้องหน้าวินถูกส่งมาเป็นตัวแทนสานสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร เป็นข้อมูลลับๆที่ทางอาณาจักรเนลยอนและอาณาจักรฟัฟนิร์ตกลงกัน ..เรื่องนี้วินไม่ยักจะรู้มาก่อน

“นะ นึกว่าให้แอบลอบมาเนียนๆซะอีก”

“ไม่ใช่ว่ารู้ตั้งแต่แรกหรือครับ”

“ไม่ๆ ไม่รู้เลย”

“..น่าสนใจนะครับเนี่ย”

เอเธอร์ถูคาง ยิ้มเล็กยิ้มน้อย เหมือนนึกอะไรได้—วินแอบหลอนเวลาเอเธอร์สนอกสนใจบางเรื่องเล็กน้อย จึงไม่คิดจะทักถามอะไร

“จะว่าไป คุณถูกผู้อำนวยการณ์เรียกไปคุยด้วยใช่รึเปล่าครับ”

“อืม ว่าจะทำกับ..หมายถึงขุดรังมดเสร็จจะไปคุยน่ะ”

กับดักชัวร์ๆ วินคิดจะทำกับดักก่อนเข้าโรงเรียนเผื่อกรณีฉุกเฉินที่โดนรู้ตัวจริง และต้องหนีหางจุกตูด

“คิดว่าเรื่องตัวปลอมของคุณ ทางวิทยาลัยจะเป็นคนอธิบายให้โดยระเอียดครับ”

“แบบนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ ถ้านั้นฉันควรไปเลยดีมั้ยนะ”

“อย่าให้เขารอเลยครับ เชิญเลย”

เอเธอร์ผายมือให้วิน วินพยักหน้ารับและรีบออกวิ่ง

…เอเธอร์รอให้วินพ้นระยะได้ยิน ก่อนจะเริ่มพึมพำเองคนเดียว

“อาณาจักรเนลยอนนี่ใจร้ายจังเลยนะ ..จากเนลยอน ต่อให้เป็นเรือที่ดีที่สุดก็ใช้เวลา 14 วันกว่าจะถึงเกาะวาเรอร์ แต่ตัวสัญญาที่ให้กันอย่างเร็วก็พึ่งทำสัญญากันเมื่อ 10 วันก่อน”

หมายความว่าเนลยอนส่งวินมาก่อนที่จะตกลงกับฟัฟนิร์เสร็จ

“มีแนวโน้มว่าถ้าข้อเสนอของอาณาจักรเนลยอนถูกปฎิเสธ วินจะต้องลอบเข้ามาจริงๆตามที่ตัวเองคาดไว้ทีแรกแน่นอน ..ถึงจะเป็นเจ้านาย แต่ก็ใช้งานกันหนักและไร้ความเมตตาเอาเรื่อง ดูแล้วน่าจะไม่รู้ว่าผมสมัครเป็นอาจารย์ของวิทยาลัยด้วย ..ขืนเกิดเรื่องเมื่อกี้เกิดขึ้น แต่ข้อเสนอของเนลยอนโดนปัดตกล่ะก็ ถ้าเกิดอยู่ในจุดที่วินต้องแฝงตัวเข้ามาจริงๆล่ะก็”

เอเธอร์หัวเราะเบาหวิว

“ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ ..วินคงจะโดนผมฆ่าไปแล้วกระมังครับ”

เพราะถ้าข้อเสนอโดนปัด แต่วินมาถึงแล้ว

วินจะมีสถานะไม่ต่างกับศัตรูเลย

ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนั้น

ทั้งเรเซอร์และเอเธอร์จะได้ร่วมมือกันสู้กับวิน และไม่มีทางที่วินจะเอาชนะสองคนนี้ได้พร้อมๆกัน

เหตุผลที่เอเธอร์ไม่บอกให้วินฟังตรงๆนั่นก็เพื่อรักษะขวัญกำลังใจของวิน เพราะถ้าเจ้าตัวรู้ว่าชีวิตตัวเองโดนใช้งานเป็นของใช้แล้วทิ้งแบบนี้ น่าจะจิตตกน่าดู

“มหามังกรวารี ..เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้หัวใจเอาเสียจริง”

ผู้เป็นนายโดยตรงของวิน—-เนลยอน นี่แหละที่ใช้งานวินแบบนี้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด