เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 28: รั้วโรงเรียนกับไอ้ตัวร้าย (2)

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 28: รั้วโรงเรียนกับไอ้ตัวร้าย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < Sec 2 > >

พักเที่ยงมาเยือนแล้ว ที่นี่พักตอนราว 11 นาฬิกา 30 นาที

เด็กหลายคนเดินจับกลุ่มกันออกจากห้องไป จนเหลือแค่ผม โซเฟีย กอรี่ และชายผมสีม่วงท่าทางดุร้าย

“ไปกินข้าวกันมั้ยเรเซอร์”

โซเฟียเข้ามาทักผม เธอถูกคอกับผมทีเดียว

“โรงอาหารคนน่าจะเยอะนะวันแรก มีทางลัดมั้ย?”

ผมมีข้อมูลจากเนื้อหาในนิยาย วันแรกรอเป็นสามสิบนาทีก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยมั้ง

“มีคนขายอาหารนอกโรงเรียนอยู่ ถ้าไปตามจุดก็ซื้อกันได้สบายเลย—แต่ผิดกฎโรงเรียน ห้าม”

“เธอนี่คนดีจริงๆ”

ผมยิ้มให้ โซเฟียกอดอกแน่นท่าทางเหมือนนักเลงเชิดหน้าเอาเรื่อง น่าเสียดายที่เธอไม่ใช่นักเลง อย่าว่าแต่นิสัยเลย หน้าตาการแต่งตัวก็ไม่ใช่แล้ว ดูเป็นลูกคุณหนูใจดีมากกว่า แค่ดูห้าว

“จริงๆ แล้วมีคุณป้าขายขนมปังตามทางของโรงเรียนอยู่ เป็นการขายของที่โรงเรียนจัดนำเองด้วย สำหรับเด็กที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเร็วๆ หลายคนยังไม่รู้แหล่งแต่ฉันได้แหล่งมาละนะ เพราะวันก่อนไปช่วยเขาขนของมา”

“เยี่ยมเลย นำทางทีสิ”

“เข้าใจแล้ว…”

โซเฟียหันไปมองกอรี่ และพ่อหนุ่มผมม่วง

“พวกนายสองคนถ้าอยากรู้แหล่งก็ตามมา ช่วยๆ กัน”

พ่อหนุ่มผมสีม่วงทำเมินเฉย ส่วนกอรี่ลุกขึ้นเดินมาหาพวกผมในทันที หน้าตายิ้มเล็กยิ้มน้อย

“หึ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวล่ะนะ”

อะไรละนั่น?

“ฉันได้ซื้อข้าวด้วยความรวดเร็ว และได้จับตาดูเจ้าเรเซอร์จอมชั่วช้าด้วย ในฐานะคนดีแล้วฉันย่อมรับข้อเสมอ”

ได้ยินแล้วโซเฟียก็หันไปตวาดใส่

“อย่างแกมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าคนดียังไง!!?”

กอรี่สะดุ้งเฮือก เขาถูกโซเฟียกดดันอย่างง่ายดาย นี่มันละครแม่ลูกชัดๆ…

“คนดีเขาไม่จับผิดชาวบ้านกันหรอก ที่สำคัญถ้าเป็นคนดีจริงๆ น่ะ—–คงไม่ฟังความด้านเดียว และกล่าวว่าร้ายใส่เรเซอร์หรอก แกมันจอมปลอม ก่อนนอนไปคิดกับตัวเองซะนะว่ามีหน้าเรียกตัวเองว่าคนดีได้ยังไงน่ะ!!?”

….คนดี โซเฟียโคตรคนดี

กอรี่…น้ำตาซึมแล้ว

เขาหันหน้ามาหาผมและก้มหัวให้

“ขอโทษนะเรเซอร์”

ท่าทางดูสงบเสงี่ยมสุดๆ แถมพูดสุภาพด้วย—-ไอ้หมอนี่ก็คนดี

“มะ ไม่เป็นไรๆ ไม่ถือสาหรอก”

“อือ”

กอรี่ถึงกับซึมไปเลย

โซเฟียพยักหน้าพึงพอใจ พลางกอดอก

“ทีหลังทำอะไรก็คิดถึงจิตใจคนอื่นด้วยนะ”

“อ่า …จะไม่ใส่ร้ายใครอีกแล้ว”

“โอ้ อย่าทำให้คุณเมดแสนน่ารักที่สอนคุณค่าในตัวคนให้นายเสียใจเอาละ”

“—เข้าใจแล้ว”

ทั้งสองชนหมัดกัน—-และตัดสินใจไปกินข้าวด้วยกันรวมถึงผมด้วยทันที

สนิทกันเร็วดีจริงๆ พวกคนดีเนี่ย …ว่ากันตามตรงผมน่าจะนิสัยแย่สุดในกลุ่มเลยมั้ง

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางเดินตามพวกเขาสองคนไป แต่ก็เกิดสะกิดใจกับเจ้าหนุ่มผมสีม่วง …ดูหดหู่ คล้ายกับเบลลามีแต่เป็นประเภทที่ต่างกันเล็กน้อย

…ผมยิ้มให้

“ไปกินข้าวมั้ย?”

“..เสียเวลา”

ตอบกลับมาทันควัน—ผมโบกมือลา และเดินตามสองคนข้างหน้าไป

หวังว่าสักวันพวกเราจะได้มีโอกาสคุยกันจริงๆ นะ ผมคาดหวังจริงๆ

 

“อร่อยๆ”

“อย่ากินแบบไม่สุภาพสิ กอรี่”

“…อร่อยใช่เล่น”

พวกเราสามคนได้แก่ เรเซอร์ ผมเอง กอรี่ และโซเฟีย กำลังนั่งตักข้าวเข้าปากอย่างมีความสุขกัน ยกเว้นผม เพราะผมกินขนมปัง

อร่อยใช้ได้เลย คงเพราะโรงเรียนนี้กว่าครึ่งเป็นขุนนางกระมัง จึงต้องมีอาหารดีๆ ให้นักเรียนเสพสุขกัน

ขุนนางนี่ชีวิตดีจังนา—อย่างเรเซอร์ต้นฉบับ ชีวิตเขาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ผมแค่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเท่านั้นจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ยังได้ แค่ถ้าทำอย่างนั้นเบลลามีอาจจะตาย ผมจึงต้องขยันหน่อย

“จะว่าไปเรเซอร์ ทำไมแกถึงโดนใส่ความได้เรอะ?”

กอรี่ถามผม เขายังคงคาใจเรื่องผมอยู่ไม่ผิดแน่ เพราะผมบอกปัดแค่ว่า ‘ไม่ได้ทำ’

“นั่นสินา จริงๆ แล้วเรื่องมันก็ยาวเอาเรื่อง …คืองี้นะ”

ผมจึงเล่าให้ฟังทั้งหมด แน่นอนว่ารวมเรื่องที่ผมขู่พวกผู้หญิงด้วย แต่เหตุผลรองรับทุกอย่างผมมีหมด

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีเหตุผลต้องปิดบัง ..

“แบบนี้นี่เอง …”

ทั้งกอรี่และโซเฟียกอดอกพยักหน้ารับฟังความจริงจากผม

“เจ้าเรย์นั่น กระทืบเลยมั้ย?”

กอรี่โพ่งออกมา นักเลงเกินไปแล้ว ไหงบอกว่าจะเป็นคนดีไง

“ไม่ได้สิเจ้าบ้ากอรี่ ใช้ความรุนแรงไม่ว่าทางไหนมันก็ผิด ไปคุยกันให้ถูกวินัยดีกว่า”

โซเฟียหล่อนอย่าเรียกตัวเองว่านักเลงเลย อายกอรี่ที่ดูเป็นนักเลงมากกว่าคนดีบ้าง

ผมยิ้มเจื่อนกับนิสัยพิลึกของทั้งสองคน

“จริงๆ แล้วคนร้ายไม่น่าใช่เรย์หรอก”

” “…?” ”

ทั้งสองทำหน้าเอียงคอฉงนพร้อมกัน เป็นภาพที่ดูน่ารัก

“หลังจากนี้จะมีโจรขโมยกางเกงในอาละวาดไปทั่วน่ะ ระวังด้วยละ”

“แกรู้ได้ยังไงละ?”

กอรี่ถามด้วยคำและน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสุภาพ คงเป็นคาแรคเตอร์ของเขานั่นแหละ ไม่ว่ากัน

“เพราะคนร้ายป้ายความผิดให้คนอื่นสำเร็จยังไงละ ดูจากทรงแล้วขโมยแต่วางทิ้งไว้น่าจะสนองนีทตัวเองเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้นละลอกต่อไปต้องมาแน่”

โซเฟียถูปลายคางตัวเอง กำลังใช้สมอง

“จะว่าไป …มีเด็กรุ่นเดียวกันมาแจ้งว่ากางเกงในหายด้วย”

“ใครรึ?”

“รู้สึกจะชื่อ ‘เบลลามี’ ”

ทันใดนั้นขนมปังในมือก็แหลกด้วยแรงบีบของไอ้ผม—–เบลลามีเป็นเหยื่อโดนขโมยกางเกงใน?

นั่นก็หมายความว่า กกน นั่นเป็นของเบลลามีน่ะสิ …แม่งเอ๊ย มันยังอยู่กับตัวผมอยู่เลยในห้องนอนน่ะ!

กางเกงในของเบลลามีปัจจุบันอยู่ดี เพราะถูกเก็บไว้อย่างดีในห้องผม

จริงๆ แล้วก็กะจะคืนนั่นแหละ แต่ผมไม่อยากให้มีข่าวลือไปทั่วจึงเก็บไว้กับตัวเองก่อน ค่อยไปให้เจ้าของตัวจริง——แต่แบบนี้ผมก็ดูเป็นคนชั่วเลยดิ กลายเป็นไอ้โรคจิตโดยสมบูรณ์แล้ว ปวดหมองเฟ้ย!

ผมปาขนมปังทิ้ง และกุมขมับตัวเองด้วยมือสองข้าง ทันทีนั้นก็ถูกโซเฟียและกอรี่บ่น

“กินไม่หมดแบบนี้คุณป้าที่ทำขายไม่น่าสงสารแย่เลยเหรอ!?” โซเฟียว่า

“เดี๋ยวก็ต่อยซะหรอก!! เรเซอร์แกอุตส่าห์คิดว่าเป็นคนดีแล้วแท้ๆ!” กอรี่ว่า

ผมรีบเก็บขนมปังนั้นขึ้นมาใส่ถุงและมัดทันที

“โทษทีพอดีเรื่องที่โซเฟียพูดสะเทือนใจเล็กน้อยน่ะ …ใครมันบังอาจทำเบลลามีกัน”

ผมกัดฟันกรามตัวเองแน่น พลางคิดว่าต้องรีบเอากางเกงในไปคืนแล้ว

“สนิทกับเบลลามีเหรอ?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก …แล้วหลังจากนั้นเบลลามีทำยังไงต่อละ”

“เธอบอกว่ามันพึ่งใส่ไป เพราะฉะนั้นยังมีเชื้อโรคอยู่เป็นไปได้อยากได้คืนมากๆ เธอกลัวว่าเชื้อโรคจะติดกับคนที่เอาไปน่ะ” พูดถึงตรงนี้โซเฟียก็ยิ้ม เป็นคนดีใช้ได้เลย ถ้าฉันไม่ได้อยู่โลกของพวกเลวฉันคงชวนเธอคุยไปแล้วนั่นแหละ”

โซเฟียกล่าวอย่างชื่นชม—-ที่ชวนผมคุยคือคิดว่าผมมันเลวสินะ? กอรี่ด้วย

….จะคืนแน่นอน ขอสัญญา ผมไม่ใช่พวกโรคจิตขโมยกางเกงใน เพราะฉะนั้นจะคืนแน่นอน ต่อให้กางเกงในตัวนั้นเบลลามีจะใส่แล้วพึ่งถอด—ผมก็จะคืน ไม่ให้ความทุเรศภายในจิตใจของตัวเองครอบนำแน่นอน

มันคือคำสาบานลูกผู้ชายของผม

“เข้าใจแล้ว ฉันจะเอาไปคืนแน่นอน”

…..โซเฟียยกมือถาม

“กางเกงใน…ยังอยู่กับนายเหรอ?”

….ผมยิ้ม

ผมทุบหน้าอกตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ–

“จะรีบเอาไปคืนทันทีเลย”

“จับตัวไอ้โรคจิตนี่ไว้ซะ กอรี่!” “อย่าหนีเลยไอ้โจรปล้น กกน!!” 

—หลังจากนั้นก็ทะเลาะกันเล็กน้อยราว 10 นาที แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกันมาก ปรับความเข้าใจกันง่ายๆ เลยละ

ตอนนี้ผมได้คนสนิทด้วยแล้วราวสองคนได้

 

*****

 

เหลือเวลาราว 20 นาทีก่อนจะเริ่มคาบบ่าย

ผมตัดสินใจจะแยกทางกัน เพราะผมมีธุระต้องสะสางกับเบลลามีต่อ

ส่วนโซเฟียเธอจะแวะไปช่วยคุณยายทำอาหารเย็นสำหรับคณะอาจารย์ ยังคงเป็นเด็กดีดั้งเดิม

สุดท้ายกอรี่บอกจะไปชกศึกตัดสินกับเด็กสายทฤษฎีห้องข้างๆ จึงขอตัว—-รายนี้ถูกโซเฟียทักอย่างหนักว่าไม่ใช่วิธีของคนดี แต่กอรี่ก็บอกปัดแล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่ามันต้องเคลียร์กันด้วยกำปั้น ทำให้โซเฟียยอมปล่อยไปให้ทำเรื่องไม่ดีได้—ไอคนที่อยากเป็นคนดีที่สุดดันทำเรื่องไม่ดีอยู่ซะนั้น

ค่อนข้างเพลียเลยการอยู่กับพวกเขาสองคนนั้น นิสัยพิลึกเกินไปแล้ว คนธรรมดาอย่างผมละเพลีย—-ว่าไปนั่น จริงๆ แล้วอยู่กับสองคนนั้นก็สนุกดีเหมือนกัน

ผมอมยิ้มเล็กน้อย ไม่นานก็มาถึงห้องสมุดแล้ว

ขนาดใหญ่มาก อย่างกับบ้านคนรวยทรงไม้ มีทั้งหมดสามชั้น และหนังสือแยกประเภทไว้อย่างดีเยี่ยมด้วย

ผมเดินเข้าไปข้างใน และพบกับเบลลามีได้ไม่ยาก

เธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่จริงๆ ด้วย

ตั้งแต่วันแรกก็เอาเลย เธอไม่คิดจะหาเพื่อนก่อนหรือไงนะ?

“…ให้ตายสิ”

สมกับเป็นเบลลามีจริงๆ

ผมเดินเข้าไปหาเธอและนั่งลงฝั่งตรงข้าม

เบลลามีความรู้สึกถึงตัวผมได้จึงจ้องมา

“บังเอิญดีนะ”

“นั่นสินา”

ผมยิ้มให้เธอ

“จริงๆ แล้วมีเรื่องสำคัญต้องบอก”

เบลลามีพยักหน้ารับ ว่าแล้วผมก็พยักหน้ารับด้วย

“—กางเกงในของเธอที่หายไปอยู่กับฉัน”

“….จริงหรือ?”

“จริง”

เบลลามีเงียบไป 3วิ—-ไม่รู้กี่วิแล้ว …แต่…จู่ๆ แก้มก็เริ่มแดง จึงนำหนังสือมาปิดหน้าตัวเองด้วยมือข้างเดียว และยื่นมืออีกข้างมาในสภาพแบมือ

“ขอคืนได้มั้ย?”

“แน่นอน”

“จริงๆ แล้วมันสกปรกน่ะ มีเชื้อโรคอยู่ถ้าเอาไปมันไม่ดีแน่ๆ เพราะฉะนั้น …? จริงหรือ?”

ถามอะไรแปลกดี

แต่เดิมถ้าขโมยของมาก็ต้องคืน …ไม่สิ จริงๆ แล้วถ้ากะจะขโมยเขาไม่คืนกันหรอก แต่ถ้าเก็บได้โดยบังเอิญอย่างผมมันต้องคืนอยู่แล้ว

“อ่า จะคืนให้แน่นอน วันนี้ตอนเย็นเพราะมันอยู่ห้องนอนฉันน่ะ”

“…ไม่ใช่ว่าอยากได้เหรอ?”

อยากได้? ไออยากมันก็…ไม่หรอก ผมไม่ใช่คนร้ายกาจขนาดนั้น

“ไม่นี่”

“…แล้วจะขโมยไปทำไม?”

ไม่ได้ขโมยสักหน่อย

เบลลามีนำหนังสือซึ่งปิดหน้าออก ก่อนวางหนังสือลงโต๊ะ นั่งกุมเข่าเรียบร้อย ท่าทางดูจริงจัง

ว่าแล้วผมก็นั่งกุมเข่าตาม

“ขโมยไปทำไมเหรอ?”

เธอถามซ้ำ—อย่ากดดันกันสิ

“จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ขโมยน่ะ”

“…แล้วทำไมถึงมีได้ละ”

“ฉันบังเอิญเก็บได้น่ะ ไม่สิ เรียกว่าสถานการณ์บังคับให้เก็บต่างหาก”

“…ยังไง?”

ผมอธิบายให้ฟังทั้งหมด

“นั้นหรือ”

เบลลามีพึมพำ

“คนชื่อเรย์นิสัยแย่”

“แม่นแล้ว ระวังตัวหน่อยนะเบลลามี”

“อือ”

ฮุฮุ เจ้าโรคจิตนั่นถ้าโดนเด็กสาวน่ารักแบบเบลลามีเกลียดคงใจสลายน่าดู

“แล้วก็ฉันว่าจะตามจับเจ้าโจรขโมย กกน. น่ะ”

ผมเร่งพูดต่อ

“เพราะมีแววที่เจ้านั่นจะออกขโมยกางเกงในต่อ มันจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

เบลลามีพยักหน้าให้

“…พยายามเข้านะ”

“ทีนี้เลยอยากขอความร่วมมือเธอหน่อยน่ะ”

เบลลามีเอียงคอฉงน

“เราไม่เก่งนะ”

“เก่งจะตาย สอบได้ตั้งอันดับสอง ฉลาดสุดๆ ที่สำคัญเธอเป็นผู้เสียหายคนสำคัญ”

ผมยิ้มให้

“ต้องให้ความสำคัญ แล้วก็ต้องขอสอบถามข้อมูลอยู่แล้ว”

เพราะฉะนั้น

“หลังจากนี้อาจจะต้องคุยกันบ่อยหน่อยนะ”

จะว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็ว่าได้—

เบลลามีไม่รู้ทำไมแต่จู่ๆ เธอก็เงียบลง…

“แปลกคนจังนะ”

เสียงของเธอนั้นเบาหวิว ใบหน้าของเธอดูเศร้าหมอง เธอผงกหัวลงส่งสายตาไปที่หนังสือซึ่งอ่านค้างไว้

เป็นหนังสือนิยาย

“ปกติไม่ค่อยมีคนมาคุยกับเราน่ะ ปกติถ้ามาคุยก็คุยรอบเดียวแล้วไม่ได้คุยกันต่อเลย …จริงๆ แล้วเราผิดเองแหละ”

เธอรู้ดีเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ต้องบอกก็รู้

“แล้วก็เรื่องกางเกงในโดนขโมยน่ะไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

—-หา?

“แต่ปกติไม่มีใครเขาเอามาคืน ยิ่งกว่านั้นยังบอกว่าจะจับคนร้ายให้อีก”

ผมรับฟังโดยที่เงียบกริบ ปล่อยให้เธอพูดตามใจอยาก

“ก่อนหน้าที่จะมาโรงเรียนเวทมนตร์เพราะโควตา เราเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่สถานเลี้ยงเด็กในตัวเมือง และเราก็เป็นเด็กที่ถูกรังเกียจด้วย จะว่าโดนแกล้งไม่เว้นวันยังได้เลย หนึ่งในการแกล้งก็คือขโมยกางเกงในไปให้เด็กผู้ชาย เพื่อแกล้งเด็กผู้ชายอีกทีน่ะ..ว่าได้กางเกงในของเราไป”

เรื่องนั้นรู้แล้ว ผมได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในโลกใบนี้เท่านั้น จากปากของเบลลามีตรงๆ ต่อตัวผม

เธอเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิดก็ได้ครอบครองวิญญาณของจอมมารโดยไม่รู้ตัว และก็ถูกรังเกียจตั้งแต่เด็กโดยไม่ทราบสาเหตุจนเป็นแผลใจ ไม่สามารถสนิทกันใครหลายๆ คนได้อีกเลย …จะว่าสูญเสียความสามารถในการตีสนิทกับคนอื่นไปก็ว่าได้

เบลลามีถอนหายใจเบาหวิว

“จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนักหรอก …แต่การมีคนมาทำดีด้วย ถึงจะนิดเดียวมันหาได้ยากนะ สำหรับเรา”

เธอจ้องหน้าผมตรงๆ —–ก่อนจะยิ้มให้

“ขอบคุณนะ จะช่วยสุดความสามารถเลย”

เป็นครั้งแรกที่เห็นเธอยิ้มจริงใจแบบนี้ รอยยิ้มของเธองดงาม เปรียบเทียบไม่ได้ อะไรที่งดงามบนโลกผมไม่รู้เลยว่ามีสิ่งใดเปรียบเทียบได้บ้าง เว่อร์ไปนิดแต่ก็จริง งดงามเกินไปแล้ว…ผมตะลึงไป ค้างสนิท สมองรวนก็ว่าได้

เธอจึงเอียงคอฉงนอีกรอบเป็นเอกลักษณ์

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

…ไม่หรอก

ผมตั้งสติตัวเอง ตอบเธอ

“เปล่า ไม่มีอะไร”

—ติง ตอง เสียงนาฬิกาดังขึ้น คงหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว

ต้องรีบกลับห้องเรียน

ผมลุกขึ้นยืน แต่ก่อนจะไปก็ชี้แจงรายละเอียดกับเบลลามีไว้ก่อน

“เย็นวันนี้ฉันนัดอีกคนไว้คุยแล้วน่ะ เขาเป็นพยานคนสำคัญเหมือนกัน …เจอกันหน้าโรงเรียนได้หรือเปล่า?”

“ถ้าไม่รบกวนเกินไป”

เบลลามีพยักหน้ารับทันที

“อือ เข้าใจแล้ว”

“ถ้านั้นก็ไว้เจอกันนะ”

“อือ”

ผมเดินกลับห้องเรียนของตัวเอง

 

*********

 

ระหว่างทางดันไปเจอกับพ่อหนุ่มผมม่วงห้องเดียวกันได้

เขากับผมยืนจ้องหน้ากันขณะที่อยู่หน้าห้องเรียนของตัวเอง—อย่างที่บอก สายผมมีสี่ห้องได้แก่ A B C D และผมเองก็อยู่ห้อง B

ณ หน้าห้อง B มีชายผมม่วงท่าทางดุร้ายยืนอยู่ เขาจ้องตาผมเป็นวาวเลย

“…นายชื่อเรเซอร์สินะ?”

“อ่า แล้วนายละ?”

“จริงๆ ก็ไม่ได้จะทำความรู้จักหรอก”

เขาพยายามปัดไม่บอกชื่อผมอย่างเห็นได้ชัด คงไม่อยากสนิทกับผมกระมัง?

“แต่ว่านายจ้องฉันบ่อยน่าดูนี่ หรือว่าเล็งฉันเป็นเหยื่อรังแกคนต่อไป?”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ดูน่ากลัว—ถ้าหากผมพูดไม่เข้าหูนิดเดียวคงเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทแน่นอน

แม้หุ่นเขาจะดูแห้งๆ ไม่มีแรงก็ตาม ..แต่นี่คือโรงเรียนเวทมนตร์ อีกฝ่ายอยู่ภาคปฏิบัติด้วยคงจะมีของพอตัว ในรูปแบบเวทมนตร์ละนะ

“พูดอะไรแบบนั้นฉันไม่เคยไปรังแกใครสักหน่อย”

ผมยิ้มให้

“ยิ้มแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”

ดูโมโหร้อนกว่าเดิมซะอย่างนั้น

“แค่อยากให้บรรยากาศผ่อนคลายลงเท่านั้นเอง …อืม นั่นสินะ ฉันไม่อยากมีเรื่องด้วยหรอก”

“ก็ดี ฉันเองก็ไม่อยากทะเลาะวิวาททั้งๆ ที่พึ่งเข้าโรงเรียนวันแรก”

“เข้าใจเลย”

แต่

“ท่าทางแบบนั้นไม่อวดดีไปหน่อยเรอะ?”

ผมเองก็ชักจะหงุดหงิดแล้วสิ อีกฝ่ายตั้งใจหาเรื่องสินะ? ข่มกัน? ไม่รู้หรอก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่อยากข่มใครกลับหรอก แต่—พึ่งวันแกก็เล่นมาข่มผมแล้วเนี่ย ไม่ไหวนะ เรเซอร์ในอกผมมันร้อนระอุแล้วนะเฟ้ย!

ผมจ้องเขม็งกลับในทันที

“ฉันชื่อ ‘เคียวยะ’ ”

ชื่อฉบับชาวญี่ปุ่นของแท้เลย เท่จริงๆ …. ‘เคียวยะ’

ผมนิ่งลงทันที ก่อนจะยิ้มให้เคียวยะผู้เย่อหยิ่ง

จำได้แล้ว ก็ว่าทำไมหน้าคุ้นๆ ก่อนหน้านั้นไว้ทรงผมแบบนี้สินะเจ้า ‘ตัวร้าย’ นี่

“ ‘เคียวยะ’ ตาสวยดีนะ”

เขาเบิกตาโพลงกว้างเมื่อได้ยิน—–‘เคียวยะ’ เป็นชื่อที่คุ้นหู เขาเหมือนกับผมแต่ต่างกัน เคียวยะคือหนึ่งในตัวร้ายหลักในเรื่องราวของยูจิ

เป็นตัวละครที่มีความสำคัญยิ่งกว่าเรเซอร์สุดๆ

‘เคียวยะ’ เด็กหนุ่มผู้โดนหลอกใช้และถูกชักนำให้ลงไปสู่ความมืด ว่าอีกอย่างคือกลายเป็นตัวร้าย เจ้าตัวประกอบธรรมดาอย่างเคียวยะ กลายเป็นตัวร้ายผู้น่าหวาดกลัวและแข็งแกร่ง ต่างกับเรเซอร์ที่เป็นที่น่าขบขันของผู้คน เขามีแต่คนสงสารและรัก ต่างกับเรเซอร์อย่างผมที่เป็นตัวตลกแสนตัวน่าสมเพช

ถ้าหากเปรียบเทียบกันผมคือตัวร้ายโหลยๆ ที่จ้องแต่จะแหกปากโวยวายเอาท่าเดียว ทำแต่เรื่องไม่สมเหตุสมผล แต่เคียวยะคือตัวร้ายชั้นยอด มีอดีตน่าเศร้าและน่าเห็นใจ เวลาทำชั่วก็มีเหตุผลรองรับเสมอ ระดับต่างกันโดยสนิท ทั้งระดับพลังและระดับของตัวร้าย

เขาแข็งแกร่ง อย่างน้อยๆ ในช่วงที่เขาเป็นตัวร้ายเต็มตัวก็แข็งแกร่งกว่าเรเซอร์ในตอนนั้นมากโข ทาบไม่ติดสักนิด—-บางทีตอนนี้หากเขาก้าวไปสู่การเป็นตัวร้ายเมื่อไหร่ หากมีพลังเทียบเท่ากับเรื่องราวต้นฉบับเมื่อไหร่ …แม้แต่ผมตอนนี้ก็อาจจะแพ้ก็ได้ ใครจะรู้

ไม่ได้เกินจริงเลย อีกฝ่ายมีคุณสมบัติที่จะทัดเทียมหรือเหนือกว่าผมได้

ว่าแล้วผมก็จ้องไปดวงตาของเขาไม่วางตา มองเข้าไปให้ลึกกว่านั้น—–เจ้าสิ่งนั้น ‘ดวงตามหาปราชญ์’ นั่นคือพลังที่น่ากลัวของเคียวยะ

เหตุผลที่ทำให้เคียวยะเป็นตัวร้ายสุดแกร่งยอดนิยมหนีไม่พ้น ‘พรสวรรค์’ สุดยอดสิ่งติดตัวตั้งแต่เกิดอย่าง ‘ดวงตามหาปราชญ์’ สิ่งนั้นร้อยปีจะมีครั้งหนึ่งทีปรากฏขึ้น ดวงตานั้นมองเห็นได้ทุกอย่าง สูตรเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ การเล่นแร่แปรธาตุ เส้นชีวิต ทุกสรรพสิ่ง แม้กระทั่งโชคชะตา อนาคตก็สามารถเห็นได้หมดเปลือก แน่นอนเส้นการตัดมิติของผม ถ้าเกิดพัฒนาความสามารถของดวงตามากพอก็สามารถมองเห็นการโจมตีของยูนาได้ไม่ยาก

พลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณระดับเทพก็คือดวงตามหาปราชญ์ เพราะผู้ครอบครองดวงตามหาปราชญ์สามารถขึ้นไปทัดเทียมกับวิญญาณระดับเทพได้ กล่าวคือเป็นผู้มีคุณสมบัติแกร่งสุดในโลก

และผู้ครอบครองดวงตามหาปราชญ์ เท่าที่ผมรู้จักมีเพียงสองคนเท่านั้นในปัจจุบันนี้——ชายตรงหน้าผม ‘เคียวยะ’ และชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก ‘เอเธอร์’

ทั้งสองคนต่างมีดวงตามหาปราชญ์ และมีศักยภาพพอจะไปถึงระดับแกร่งสุดในโลกได้ อย่างน้อยก็มีคนหนึ่งแล้วที่ไปถึง—-‘ระดับของยูนา’ ไม่ก็ เหนือกว่านั้นไปแล้ว

“เคียวยะ ก็รู้อยู่หรอกนะว่านายมีของดีอยู่กับตัวน่ะ”

ถ้าช่วงที่เขาเข้าด้านมืดก็ว่าไปอย่าง ระดับนั้นให้ไปฟัดกับแกร่งสุดในยุคสมัยปัจจุบันนี้ยังได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้—แค่สร้างสถานการณ์ให้ผมใช้ยูนายังไม่ได้เลย ซ้ำร้ายผมให้แค่2วิ การต่อสู้ก็จบแล้วแบบง่ายๆ

ผมเดินผ่านตัวเคียวยะไปโดยไม่พูดอะไร หมอนั่นเห็นท่าทางเช่นนั้นก็เกิดน้ำโห

“จะลองดูมั้ยละ เจ้าขุนนางชั้นต่ำ”

“..หา?”

คิดว่าผมดูถูกละมั้ง เอาเถอะ

“ก็รู้อยู่หรอกกว่านายมีพรสวรรค์ ไม่ใช่แค่ในรอบสิบปี แต่เป็นรอบร้อยปี นายคือสุดยอดของพรสวรรค์”

แน่นอนถ้าวัดแค่พรสวรรค์เขานำผมไปไกลแล้วละ การมีอยู่ของดวงตามหาปราชญ์สุดยอดขนาดนั้นเชียว

“แต่ว่านะ—-คิดเรอะว่าตอนนี้จะชนะฉันได้น่ะ”

เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูก

“ชั้นต่ำแบบแกเนี่ยนะ จะชนะฉันได้”

ช้ำต่ำ? นั่นสินะ ถ้าแค่ผมคนเดียวน่ะมันก็ชั้นต่ำจริงๆ แหละ

“ดวงตาก็ดีแท้ๆ แต่ไม่คิดคำนวณกำลังอีกฝ่ายก่อนนั้นหรือไง …ใช้ดวงตานั่นมองมาที่ฉันซะ แล้วลองตั้งคำถามกับตัวเองดูละว่า—–คิดดีแล้วเหรอ?”

ไม่ได้อยากจะโม้หรอก แต่มันคือความจริง

เขาไม่มีทางชนะผมได้ ในตอนนี้ละนะ

เคียวยะ—จู่ๆ หน้าก็ซีกเป็นไข่ต้ม เขาพึมพำกับตัวเองเบาหวิว

“ไอนั่นมัน…อะไรน่ะ”

‘ยูนา’ ไง

…ไม่ใช่แค่นายหรอกนะที่มีสิ่งพิเศษอยู่กับตัวน่ะ อย่าประมาทเชียว หลังจากนี้คงเจอพวกประมาณฉันอีกเพียบ…ระวังปากไว้หน่อยก็ดี

แค่ในโรงเรียนก็ปาไป 4 คนแล้วรวมผม ไม่นับเคียวยะ—

— ‘ยูจิเทพผู้กลับมาเกิดใหม่ ผู้ครอบครองวิญญาณระดับเทพ ‘อลัน’ ร่างกายมีปริมาณมานามากที่สุดในประวัติศาสตร์’

‘หนิงราชวงศ์ผู้ครอบครองพลังของมหามังกรเพลิง ‘ฟัฟนิร์’ เป็นผู้ใช้พลังฟัฟนิร์ที่สมบูรณ์สุด’

‘เบลลามี ร่างสถิตของวิญญาณระดับเทพ จอมมาร ‘ดิลุค’ ภาชนะจอมมารที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์’

‘สุดท้ายผม ไอ้ตัวร้ายเรเซอร์ ผู้ครอบครองวิญญาณระดับเทพ ‘ยูนา’ ผู้ครอบครองยูนา’

หลังจากนี้เองก็จะมีอีกมากมายเช่นกัน คนที่มีพรสวรรค์ระดับเดียวกับยูจิ หนิง เบลลามีน่ะ

ผมยื่นมือไปให้เขา

“ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่อยากแตกหักกับนายหรอก”

เคียวยะยังคงเขม็งใส่ผม ส่งออร่าหวาดระแวงมาเต็มที่เลย

“หลังจากนี้ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเถอะนะ”

ถ้าตามเนื้อเรื่องเคียวยะจะถูกเป่าหู จนเข้าด้านมืด …แต่การที่ผมมาครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรสักหน่อย

“เออ”

พูดตอบกลับมาสั้นๆ และเดินเข้าไปในห้อง ท่าทางดูหัวร้อนเอาเรื่อง …ผมเตือนเพราะความหวังดีแท้ๆ

ไม่นานผมจึงเข้าห้องตามไป นั่งที่เดิม—เพียงแต่ครั้งนี้มีเวทมนตร์รี่มานั่งข้างด้วยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โซเฟียนั่งชั้นบนสุดดั้งเดิม เด็กในห้องก็หายไปกว่าครึ่งเหมือนทุกที

“คุยอะไรกับเจ้าคนผมม่วงมาเรอะ?” กอรี่กระซิบถามผม

คงสังเกตได้จากลำดับการเข้ามาในห้อง และท่าทางหัวร้อนของเคียวยะ

โซเฟียเองก็สงสัยจึงยื่นหน้ามาฟัง

“ดักฟังมันไม่ดีนาหล่อน”

“…ขอโทษด้วย จะไม่ทำอีกแล้ว”

“พูดเล่นน่า”

ผมยิ้มให้พวกเขา

“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่มีปากเสียงกันเล็กน้อย”

“…เป็นไปได้อย่าทะเลาะกันเลย มันไม่ดี”

เธอกอดอกพูดทั้งอย่างนั้น ท่าทางดูเชิดดั่งทุกที

“วันหนึ่งจะเสียใจเอานะถ้าทะเลาะกัน”

นั่นสินะ ว่าตามตรง ถ้าต้องเป็นศัตรูกับคนที่มีศักยภาพการเติบโตเร็ว และสามารถขึ้นไปเหนือกว่าผมได้แบบเคียวยะ—ไม่อยากเป็นอริด้วยหรอก อย่างที่บอกว่าอยากเป็นเพื่อนกันมากกว่า

แต่ที่โซเฟียเตือนเหมือนไปในทาง เพื่อนกันทะเลาะกันแล้วจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต มากกว่า—เป็นคนดีที่ใส่ใจคนอื่นดีชะมัด

“อ่า ฉันไม่คิดจะมีเรื่องอยู่แล้ว ….อ๊ะ ครูเข้าแล้วๆ”

อาจารย์เข้ามาข้างในห้อง

“หมดเวลาคุยแล้วสินะ …เดี่ยวค่อยคุยกันต่อช่วงพักละกัน”

โซเฟียมักจะตั้งใจเรียนเสมอ จะคุยเฉพาะตอนที่อาจารย์ไม่สอนเท่านั้น กอรี่ก็เช่นกันถึงจะกำลังฝืนทำก็ตาม แต่ตั้งใจเรียนก็คือตั้งใจเรียน ความอยากเป็นคนดีของเขามันมากขนาดนั้นเลยละ

“นั้นเหรอ จะว่าไปเย็นนี้มีกำหนดการอะไรหรือเปล่า?”

“…ไปดูแลเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพื่อวางแผนการไกลหลอกใช้เด็กพวกนั้นทำเรื่องชั่ว ใช้แรงงานเด็ก ให้ไปจับโจรตามตลาดนัด” โซเฟียตอบ

ปั้นเด็กเป็นตำรวจสินะ?

“เคลียร์ให้รู้เรื่องกับพวกมาเฟีย เพื่อให้อนาคตฉันสามารถเป็นคนดีได้เต็มตัว” กอรี่ตอบ

มัวแต่ใช้กำปั้นแบบนั้นก็ไม่ได้หลุดพะวงกับพวกชั่วๆ สักทีดิ

…ไม่น่าถามเลย

ผมยิ้มอ่อนล้า ก่อนจะถามเคียวยะที่อยู่ไม่ไกลกันนักเล่น

“แล้วนายละ?”

“—-ไปย่านรื่นรมย์มั้ง?”

…เป็นข้อมูลที่น่าสนใจดีแฮะ

“ส่วนฉันก็จะไปจับโจรขโมยกางเกงในน่ะ”

“ไร้สาระ”

ปากเสียดีแฮะ

เคียวยะสบถถ้อยคำไม่สุภาพใส่ผม ทำให้โซเฟียวีนใส่

“นี่”

“หนวกหู คนจะตั้งใจเรียน”

โซเฟียเดาะลิ้นไม่พอใจ และนั่งฟังครูสอน——ทฤษฎีเวทมนตร์ละ ตายละหล่อน ไม่เถียงต่อหน่อยเรอะ

ไม่สิ ตั้งใจเรียนดีกว่าเนอะ

ผมจดเนื้อหาการสอน พลางทำความเข้าใจกับมันไปด้วย บรรยกาศการเรียนดำเนินไปอย่างราบรื่น

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด