เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 40: พวกพิลึก

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 40: พวกพิลึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< <  32  > >

ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ —-เสียงฝีเท้าคนนับสิบดังขึ้นในปราสาทแห่งหนึ่งอย่างไม่ขาดสาย เหล่าทหารมากมายต่างพากันวิ่งวุ่นไม่รู้จบ บ้างก็กัดฟันกรามตัวเองแน่น บ้างก็ร้องไห้ออกมา

ทั้งหมดทำให้อนุมานได้ว่านั่นเป็นเรื่องใหญ่

ชายผู้หนึ่งจึงเอ่ยทักทหารเหล่านั้น

“เกิดอะไรขึ้นรึ?” 

ชายผู้ที่เอ่ยมีเส้นผมสีขาวยาวถึงติ่งหู และดวงตาสีเหลืองจือจาง สวมเกราะสีฟ้าซึ่งทำมาจากเหล็กกล้าที่มีความคงทนสุดในโลก และมีผ้าคลุมสีฟ้าเลืองลางไปตามจังหวะเท้าที่ก้าว

ขนาบลำตัวนั้นมีดาบซึ่งมีสีสันต์สวยสดงดงามราวกับภาพวาด และฝักของมันที่เป็นสีทองคำแท้ๆ

ทันทีที่เหล่าทหารเห็นชายที่ราวกับหลุดมาจากภาพวาดจิตกรมากฝีมือ พวกเขาต่างพากันตกตะลึงแล้วก็โค้งศรีษะอย่างพร้อมเพรียงกัน

“-ท ท่านผู้กล้าครับ คือว่า”

ทหารตนหนึ่งกล่าวออกมาทำให้รู้สถานะของชายผู้นี้

เขาคือ ‘ผู้กล้าแห่งโลก ลำดับที่ 100’ นามนั้นคือ ‘ชุน’

ผู้กล้าที่ถูกกล่าวขานว่าเก่งเทียบเท่ากับผู้กล้ารุ่นแรก ว่าอีกอย่างคือผู้กล้าผู้แกร่งสุดในประวัติศาสตร์

ทหารดูจะอึดอัดเล็กน้อยไม่กล้าพูดกัน ผู้กล้าเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มให้

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเองต่อให้เกิดเรื่องผิดพลาดมากเพียงใด”

ผู้กล้ากล่าวอย่างนอบน้อมและเปี่ยมด้วยสเน่ห์ของผู้นำ นั่นทำให้เหล่าทหารตกอยู่ในพะวงศ์กันก่อนจะตั้งสติได้ และบอกถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน—–

“—–ดาบมหามังกรวายุถูกชิงไปแล้วครับ!!”

‘ดาบมหามังกรวายุ’ ดาบแห่งมังกรแซร์อิซซึ่งมีพลัง 9 ส่วนของมหามังกรผนึกไว้อยู่ข้างในโดยที่ให้เฉพาะผู้เหมาะสมถือครองเท่านั้น มันถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยสงครามโดยผู้ที่สร้างมันคือ ‘เทพผู้สร้าง’ และผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างมันคือ ‘วีรสตรียูนา’ ทั้งหมดก็เพื่อจะทำให้มหามังกรที่เป็นศัตรูอ่อนแรงลงจนหมดลิตรไป เป็นหนึ่งในดาบสำคัญซึ่งมากด้วยพลัง ระดับที่เป็นอาวุธสงครามลับของประเทศทีเดียว

นั่ทำให้ผู้กล้าที่แม้จะกล่าวอย่างอาจหาญไว้เช่นนั้น แต่นั่นก็ทำให้เขาเกิดผงะไปทีเดียว 

“..เป็นไปไม่ได้ ดาบเล่มนั้นคนที่ถือได้มีเพียงเจ้าหญิงคนเดียวมิใช่รึ? เช่นนั้น..อ๊ะ”

อ๊ะ—–ผู้กล้านึกได้ในชั่วอึดใจเดียว

“ค่อนข้างเรื่องใหญ่เลยนะ เอาเถอะ” ผู้กล้าสะบัดผ้าคลุมและหันหลังกลับไป “ไม่ต้องห่วง อย่างที่ว่าไว้พวกเจ้าข้าจะปกป้องเอง ตอนนี้ไประดมพลสมองคิดหาทางที่เจ้าโจรนั่นหนีไปก่อนเถิด”

ผู้กล้ายิ้มให้อย่างอ่อนโยนแม้จะอยู่ในสถานการณ์น่าฉิวน่าขวาง

“ให้จำลองสถานการณ์ว่าอีกฝ่ายสามารถบินไว้ได้ด้วยละ ..บางทีเจ้าของพลังดั้งเดิมอาจมาชิงมันไปแล้วก็เป็นได้”

เจ้าของพลังดั้งเดิม——-ทหารอุทานออกมา

“เชี่ย! อย่าบอกนะว่า!”

“-จ เจ้าบ้า อย่าพูดหยาบในปราสาทของเจ้าหญิงสิ”

ทหารพากันเล่ห์มองมาทางผู้กล้า 

‘ยังทำอะไรน่าขบขันเช่นเคย แม้จะเจอสถานการณ์เช่นนี้’ ผู้กล้าคิดเช่นนั้นในใจแบบกึ่งหน่ายใจ

“ไม่ต้องห่วง ในฐานะสหายข้าไม่คิดถือโทษหรือฟ้องอะไรหรอก ที่สำคัญตอนนี้พากันออกตามหาโจรก่อนดีกว่า”

ผู้กล้าเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาตรงออกไปที่ระเบียงของปราสาทและมองไกลออกไป

“——ต้องเดินทางไกลอีกแล้ว สินะ”

พูดจบผู้กล้าก็ชักดาบออกมา และตัดสินใจจะฟาดมันลงมาแต่ก็หยุดไว้ก่อน เนื่องจากมีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่มาเสียก่อน

เธอคนนั้นมีเส้นผมสีเขียนนีออน และดวงตาสีเช่นเดียวกัน ร่างเล็กราว 12 ปี สวมชุดเดรสสง่างามสีเขียวซึ่งทำจากมรกตซะส่วนมาก

“ผู้กล้าชุนขืนทำอย่างนั้นปราสาทก็พังพอดีสิคะ”

“..ขออภัย องค์หญิง”

เธอคนนี้คือเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรแซร์อิซ หญิงสาวผู้เป็นนายเหนือหัวของผู้กล้า ถึงจะว่าเช่นนั้นก็แค่ในนามเท่านั้น เพราะผู้กล้าไม่ขึ้นตรงกับใครทั้งนั้น เขาไม่ได้คิดจะพูดภาษาสุภาพอะไรเป็นพิธีมากด้วย

ผู้กล้าเก็บดาบกลับเข้าฝัก แล้วจ้องไปที่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งแซร์อิซ——หญิงสาวผู้มีชะตาต้องถือดาบมหามังกรวายุ

เขาจ้องไปดวงตาของเธอ ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้มให้อย่างผ่อนคลาย ดูเป็นกันเองประหนึ่งเพื่อน

“เป็นไปตามประสงค์สินะ ความคิดของท่านชั่งเดาได้ยากเหลือเกิน”

“ดาบเล่มนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรถือครองเสียหน่อย ที่สำคัญยังมีสิ่งสำคัญกว่านั้นอีกมาก”

“นั้นหรือ ถ้าตัวเจ้าของไม่ได้เดือดดาลอะไร ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องตามไปสินะ”

“ตามนั้นนะค่ะ ถึงแม้อีกไม่กี่วันท่านชุนก็ต้องออกเดินทางไปสู้กับสุดแกร่งมากมายแล้วก็ตาม”

ผู้กล้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยแววตาที่จริงจัง

“เพราะข้าคือผู้กล้า เรื่องมันก็แค่นั้น”

“เป็นอุดมคติที่เหนือมนุษย์จริงๆค่ะ”

“ไม่ใช่อุดมคติของข้าหรอก” ผู้กล้ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย “มันก็แค่สิ่งที่ได้มาจากคนสำคัญอีกต่อ เป็นเพียงความปารถนาของคนตาย ข้าก็แค่ผู้แบกนามผู้กล้าแทนเธอคนนั้น”

ทั้งสองต่างพูดเรื่องที่รู้กันเองและเข้าใจยากออกมา อาจจะเป็นเพราะพวกเขานับเพื่อนกันในระดับหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดภาพที่เจ้าหญิงกับผู้กล้าพูดคุยกันอย่างไม่สนมารยาทนัก

“สำหรับฉัน เธอคนนั้นก็แค่ร่ายคำสาปให้กับท่านนะคะ คิดว่าเลิกทำเพื่อคนอื่นจะดีกว่า”

ว่าอีกอย่าง หากผู้กล้าทำมันด้วยตัวเองเธอจะไม่ห้าม แต่กระนั้นผู้กล้าก็ส่ายหัวให้ เขาไม่ได้รั้งแต่เขาจะสานต่อในสิ่งๆนี้

“ข้าจะทำมันต่อไป หากเจ้าเกลี่ยกล่อมเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อ10ปีก่อน ข้าอาจจะล้มเลิกก็ได้ เพียงแต่—-ดาบแห่งผู้กล้าได้คร่าชีวิตคนไปมากมายแล้ว ทั้งเจตนารมณ์ที่สืบต่อกันหรือว่าความหวังมากมาย ไม่แบ่งแยกเผ่าพันธ์หรือฝักฝ่าย” ผู้กล้าทุบไปที่หัวใจของตนเอง “มันมารวมอยู่ตรงนี้แล้ว จะให้หยุดที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นเพื่อให้เจตนารมณ์เป็นจริง ต่อให้อีกฝ่ายคือจอมมารที่แท้จริงเช่นดิลุค หรือมหามังกรธาตุ หรือกระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก ตัวข้าก็ไม่คิดว่าจะแพ้หรอก”

เขาพูดด้วยสัตว์จริงทั้งนั้น เขาไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ใครทั้งนั้น ต่อให้จอมมารหรือมังกรธาตุ หรือผู้แข็งแกร่งที่สุด

ทั้งหมดก็เพื่อโลกที่ผู้กล้า ไม่สิ โลกที่อุดมคติที่ผู้กล้าถือมั่นไว้จะเป็นจริงต่างหาก

…ผู้กล้าตัดสินใจเดินจากปราสาทแห่งนี้ไป เขาคงจะเมินกำหนดการแล้วจะออกเดินทางเลยตั้งแต่ตอนนี้ 

เจ้าหญิงได้แต่ถอนหายใจกับความเด็ดเดี่ยวของเขา แม้ในมุมของเธอชายคนนี้จะแค่หัวรั้นเท่านั้น

“นั่นไม่ใช่อนาคตที่ถูกต้องอย่างแท้จริงหรอกนะคะ”

เธอกล่าวออกมาอย่างเหงางอย

 

********

“อืออออ”

ตัวผมเรเซอร์ส่งเสียงระบายอย่างเบื่อหน่ายออกมาขณะที่กำลังทำกิจวรรตประจำวัน เช่นการวิ่งจ๊อกกิ้งยามเช้า 1 ชั่วโมงก่อนเริ่มเรียน 

แม้ตัวผมในตอนนี้ต่อให้วิ่งเต็มสปีดหนึ่งชั่วโมงก็ไม่ระแคะระคายแล้ว แต่ผมชื่นชอบการวิ่งจ๊อกกิ้งมากกว่าเยอะเลยอะนะ แต่ถึงกระนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ดี 

ก็เล่นทำมาทุกๆวันตั้งหลายปีนี่นา———–ขณะที่คิดเช่นนั้นอยู่ผมก็ไปสะดุดกับคนๆหนึ่งเข้า

เขาคนนั้นกำลังเดินอยู่ในเมืองเวลาราว 6 โมงเช้าเช่นเดียวกับผม เป็นชายหนุ่มที่ไปทางหญิงสาว แต่เพราะผมสั้นแต่สวมชุดแบบผู้ชายทำให้เดาได้ว่าเป็นใคร

‘ยูจิ’ พระเอกต้นฉบับที่เคราพรักนั่นเอง นายพระเอกคนนี้กำลังเดินจ่ายตลาดด้วยรอยยิ้มสดใสกับเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นถึงเข่า

เป็นชุดสบายๆที่ดูเข้ากับบรรยากาศอบอุ่นของยูจิเหลือเกินนา

‘ขนาดตอนจ่ายตลาดก็ดูน่ารักไม่ใช่ย่อยเลยนะคะ มาสเตอร์’ 

วิญญาณระดับเทพที่เคราพรักก็ออกความเห็นเช่นกัน บอกได้เลยว่าเธอคนนี้รสนิยมดี

“นั่นสินะ ยูจิไม่ว่ากับอะไรก็เข้าหมดเลย” ผมวิ่งไปต่อ “ถ้าไม่ทักเดี่ยวจะขัดจังหวะซื้อขายพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นเอา ในฐานะตัวร้ายฉันไม่ควรไปยุ่งกับกิจวรรตประจำวันพระเอกเขามากหรอก”

‘เหอะ’ ยูนาทำเสียงเหมือนจะตำหนิกัน ‘เตรียมตัวยูจิไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือคะมาสเตอร์?’

คงหมายถึงเรื่องในอนาคตแหง

“มันต้องค่อยเป็นค่อยไปน่ะ ฉันไม่อยากไปก้าวก่ายมาก อย่างน้อยๆก็อยากให้ทำความรู้จักกันที่นี่ให้ได้สักเดือนนึง”

‘เข้าใจแล้วค่ะ’

ยูนายอมรับความเห็นผมโดยง่าย จากนั้นก็เงียบหายไปประหนึ่งปิดไมค์ไปเลย

เวลาคุยจบก็ชอบเป็นอย่างนี้ตลอด หลายครั้งเลยทำให้แอบเคืองๆกันนิดเพราะสื่อสารพลาดไป ..แต่เอาเถอะ เป็นถึงคู่หูก็ต้องทะเลาะกันบ้างอะนะเป็นธรรมดา——————–

‘—–มาสเตอร์!!!’ ยูนาตะโกนขึ้นสุดเสียงจนหูผมแทบแตก

ผมประกบหูของตัวเองแล้วขานกลับ

“-อ อะไร?”

‘ดูทางยูจิสิคะ!’

ผมหันไปดูตามที่ยูนาบอก แล้วก็ถึงกับตกตะลึงไปทันที …ยูจิโดนลวนลาม ไม่สิ ไม่ถึงขนาดนั้น

มีชายสวมฮู้ดสีน้ำตาลโทรมๆมาดึงแขนยูจิจนตัวแทบจะลอยอยู่ ยูจิเองก็ทำหน้าเหวอพอตัว—เข้าขั้นอันตราย ถ้าหมอนั่นคิดจะทำอะไรขึ้นมายูจิเดี้ยงแหง!

‘ชิ! บังอาจมาลวนลามคุณยูจิก่อนฉันซะได้!’

เดี่ยวสิหล่อน!! ผิดประเด็นไปปะ? ไม่สิๆ ตอนนี้เรื่องของยูจิสำคัญกว่า

ผมรีบพุ่งไปสุดตัวประหนึ่งกระสุนปืนเรลกันไปประจันหน้ากับชายสวมฮู้ดในอึกในเดียว จากนั้นก็ปัดแขนที่จับแขนยูจิจนลอยออกไป

“คิดจะทำอะไรกันน่ะ!” ผมถามออกไปโดยที่ไม่สนอะไร

เจ้าชายสวมฮู้ถอยไปก้าวเดียวเท่านั้น โดยที่ยืนใกล้ผมจนตัวจะชนกันอยู่แล้ว แม้ผมจะเตี้ยกว่าเล็กน้อยเลยทำให้เสียเปรียบในการข่มขวัญก็ตาม

หมอนั่นส่งยิ้มให้ภายใต้ฮู้ด

“เอ่อ คุณเรเซอร์?” ยูจิยังงงๆอยู่

ผมเอามือไปกันยูจิไว้ แล้วประกาศกร่าวออกมา

“ฉันจะปกป้องนายเอง”

‘พูดได้ดีค่ะ’ ยูนาเห็นด้วย

“…พูดแบบนั้นชวนเข้าใจผิดนะครับ” ยูจิเกาแก้มตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ชายสวมฮู้ด “คือมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”

ชายร่างใหญ่ตรงหน้าทำทีมึน จากนั้นก็เกาหัวตัวเอง

“ข้าผู้นี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ..แค่ตกใจกับปฏิกิริยาของมานาที่โคตรจะสุดยอดเข้าน่ะนะ!! พอๆกับดิลุคเลย”

หมอนั่นตะโกนสุดเสียงจนหูแทบจะแตก—–เดี่ยวนะ เมื่อตะกี้บอกว่าใครนะ

‘หมอนี่ดูท่าจะอันตรายนะคะมาสเตอร์’

ผมกลืนน้ำลายตัวเองทำทีตั้งรับสุดๆ 

“ยังไงก็ขอโทษทีถือวิสาสะไปจับมือเข้าละกัน ถ้าไม่ให้อภัยจะเตะกันสักทีก็ได้นะ วะฮ่าๆๆๆ!!!” ชายสวมฮู้ดกุมหัวตัวเองและหัวเราะร่าออกมา

พิลึกชะมัด …ไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดอย่างนี้แหง

ยูจิพยายามคุยด้วยอยู่

“-ม ไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ”

“นั่นสินะ ถ้าเจ้าเตะมีหวังขาหักเองแหง ถึงจะมีมานาเทียบเท่าดิลุคแต่ร่างกายก็ไม่ได้แกร่งตามไปด้วย ที่สำคัญข้ายังมีพรแห่งสายลมอีก อาจจะไม่ได้มีแค่ขาที่หักก็ได้นา” ชายสวมฮู้ดพูดอย่างไร้มารยาทก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะอีกคราว เหมือนเอกลักษณ์ประจำตัว “ว่าก็ว่าเถอะ แต่เป็นมนุษย์ที่รู้สถานนะตัวเองดีมาก ต่างกับพวกนักผจญภัย วะฮ่าๆๆๆๆๆ!”

—ว่าก็ว่าเถอะ หมอนี่เสียมารยาทชะมัด

‘นั่นสินะค่ะ เป็นคนประเภทที่ฉันเกลียดมากๆเลยคะ แล้วก็เสียงหัวเราะดูคุ้นๆพิลึก ..แย่กว่านั้นยังพูดนามของจอมมารดิลุคมาได้หน้าตาเฉยอีก”

ชื่อของจอมมารเป็นเหมือนคำต้องห้ามละ

หมอนั่นดูเหมือนจะอวดโอ้ตัวเองแล้วก็ชอบกดคนอื่นให้ต่ำลงโดยไม่รู้ตัว กับคนประเภทนี้ผมก็ไม่ถูกเช่นกัน แต่กับยูจิก็ดูไม่ได้รังเกียจหรืออะไรเป็นพิเศษ เขาก็แค่หัวเราะแห้งๆอย่างทุกทีเวลาทำอะไรไม่ถูก

นิสัยแบบนี้ของยูจิทำให้เขาต้องลำบากมานักต่อนัก 

“โทษทีนะ ว่าแต่มีธุระอะไรถึงมาดึงแขนเพื่อนผมกัน?” ผมถามชายตรงหน้าไปโดยไม่หวาดกลัว

“แค่เห็นพวกมานาเยอะเท่าดิลุคแล้วแปลกใจเท่านั้นเอง จึงว่าจะมาตรวจเช็คสภาพหน่อย”

“นั้นเหรอ ถ้านั้นก็พอดีกว่ามั้งครับ ไม่เอ่ยไม่ถามสักคำ จู่ๆก็มาดึงแขนเลยมันเสียมารยาทนะ ถ้าตกใจกลัวเผลอปล่อยเวทย์ขึ้นมาจะยุ่งยากอีก”

“ข้าไม่ตายหรอกนา ไม่คิดว่าเวทย์ของพวกมนุษย์จะทำอะไรด้วย”

พูดอย่างกับตัวเองไม่ใช่มนุษย์แหนะ อวดดีสุดๆเลยหมอนี่

“จะไม่ท้าทายนะครับ แต่ถ้าไม่มีธุระอะไรจริงๆก็ไม่อยากให้ยุ่งด้วยหรอก”

ผมพูดไปตรงๆ ชายสวมฮู้ดจึงจ้องมาที่ผมสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมา

“เข้าใจแล้ว ข้าไม่อยากเสี่ยงตายในตอนที่หนีคนอื่นอยู่ เพราะฉะนั้นจะยอมให้อภัยก็ได้”

ที่ต้องให้อภัยมันพวกตูต่างหากเฟ้ย!

ชายสวมฮู้ดเดินหันหลังไปและโบกมือให้

“ถ้านั้นก็ลาละนะ!! ฮะฮ่า ฮะฮ่า!!”

ตะโกนเสียงดังจบก็เดินจากฝูงชนไป

ยูจิเห็นว่าเขาไปไกลแล้วเลยประกบมือทำทีไหว้ให้ผม

“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”

ด้วยรอยยิ้มแสนจะสดใสมากสเน่ห์ด้วยอะนะ

ผมกับยูนาแอบยิ้มประหนึ่งคุณยายในอก

“ไม่เป็นไรหรอกจ้า”

“ฮะๆ” ยูจิเกาแก้มตัวเองอย่างโมเอะ จากนั้นก็ก้มหัวให้รัวๆ “ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ ที่สำคัญต้องขอโทษด้วยที่สละเวลาออกกำลังกายมาช่วยผม”

ยูจิสังเกตุเห็นได้จากการแต่งตัวของผมกับร่างที่เปียกเหงื่อแหงๆเขาเลยรู้ได้

“ไม่หรอกๆ ก็เพื่อนกันนี่นะ”

“เพื่อนกันนั้นสินะครับ ..ปลื้มมากเลยครับ!”

พูดออกมาทั้งรอยยิ้มสดใสประหนึ่งพระอาทิตย์ นั่นสร้างดาเมจให้ทั้งผมและยูนาอย่างเลี่ยงไม่ได้

‘ไม่ไหวแล้วคะ สิ่งมีชีวิตที่น่ารักนั่นมันอะไรกันคะ!? มาสเตอร์คิดว่าเราควรทำเผ่าพันธ์คุณยูจิแยกมาอีกทีดีมั้ยคะ?’

เห็นด้วย! ต้องไปจดทะเบียนสายพันธ์มนุษย์ใหม่แล้วละอีแบบนี้ มนุษย์สานพันธ์ยูจิมักจะมีรอยยิ้มที่สวยงามประหนึ่งนางฟ้า ไรงี้

ผมกับยูนาแอบโม่ยยูจิในใจสักพักตลอดการสนทนา ก่อนที่จากนั้นไม่นานก็ต้องแยกย้ายไปอาบน้ำแต่งตัวไปสถาบันเหมือนทุกวัน

******

ตอนเช้าก่อนเข้าโฮมรูมก็ไปพูดคุยกับเคียวยะและกอรี่เหมือนทุกวัน

และเรื่องที่เอาเป็นหัวข้อสนทนาก็คือคนสวมฮู้ดอวดดีเมื่อเช้า เห็นโอกาสดีเลยตั้งวงนินทาซะเลย

“ก็นั่นแหละ เจอคนแปลกๆมาน่ะตามที่เล่า”

“แปลกชะมัดหมอนั่น” กอรี่กอดอกออกความเห็น

“หึ ก็แค่พวกมั่นหน้าเท่านั้นแหละดูทรง พวกแปลกๆที่หาได้ 1ใน100” เคียวยะเองก็เท้าคางพูดแบบดูอวดดีดั่งทุกครั้ง

พวกเราสามคนนั่นจับกลุ่มคุยกันถึงคนแปลกๆ โดยหารู้เลยว่าพวกเอ็งก็แปลกไม่ต่างกัน แน่นอนเว้นผมไว้คนหนึ่ง

กอรี่ นักเลงหัวไม้ชื่อดังประจำโรงเรียนที่พยายามกลับตัวกลับใจ แต่ก็ยังคงวิทีจิกโก๋ไว้ไม่เลิก

เคียวยะ ไอ้หนุ่มอวดดีปากหมาคำพูดคำจาแต่ละทีหมาไม่แดก เป็นอัจฉริยะที่ใครต่อหลายคนก็หวั่นเกรงนับจากเหตุการณ์โจรขโมยกกน. ก็มีสถานะเป็นฮีโร่ลับ โดยมีผมเป็นต้นเหตุ(มุมภายนอก)

และผม ..โจรขโมยกกน.ชื่อดังประจำโรงเรียน โด่งดังถึงขนาดที่รุ่นพี่มักจะแซวตอนเดินผ่านประจำว่า ‘ได้เหยื่อยังๆ’ ตลอด น่าเจ็บใจนัก ยากจะยอมรับแต่ว่ากันตามตรง ไอ้ผมก็แปลกเหมือนกันนั่นแหละ มุมของคนภายนอกเท่านั้นนะ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น

สรุปความเป็นอยู่ผม ณ ปัจจุบันโดยสังเขปคือ—–ตัวร้ายประจำโรงเรียน สุดยอดคนดังละ แถมมาจับกลุ่มอยู่แต่พวกมีปัญหาอีก สภาพผมก็ประมาณพี่เลี้ยงเด็กกระมังตอนนี้

ผมยังคงมัวเมากับความแอบอวดดีที่ว่าตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่เลิก จนกระทั่งหญิงโซเฟียเดินเข้ามา

วันนี้ยังแต่ตังไม่เรียบร้อยเหมือนเคย แต่ระดับเลเวลต่ำมาก แค่เอาเสื้อออกในกระโปรงเท่านั้น

โซเฟียเธอชี้นิ้วมาทางพวกผมหลังจ้องหน้ากันสักพัก

“พวกแกนั่นแหละที่อวดดี แถมแปลกด้วย”

ว่ามาอย่างนั้นเฉย ในพริบตาเดียวเคียวยะก็ทุบโต๊ะขึ้นมาประจันพร้อมๆกันกับกอรี่

“จะเอารึไงหะ!!?” เคียวยะโพ่งออกมาประหนึ่งหมาคลั่ง เวลามีคนเข้าใกล้บ้านเจ้านาย

“พูดแบบนั้นไม่มีมารยาทเลยนะ ในฐานะนักเรียนเราควรเป็นตัวอย่างที่ดีเซ้!!” 

ไอกอรี่ที่พูดบ่นยังแต่งตัวผิดระเบียบทุกอย่างกับวางเท้าไว้บนโต๊ะตลอดการสอนอยู่เลยละครับ ส่วนเคียวยะก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว จะว่าชินก็ได้แล้วตอนนี้น่ะ

ผมเอือมๆกับทั้งสองที่ทำท่าจะบวกตลอดมีใครหาเรื่อง ..ส่วนโซเฟียที่ทำตัวเป็นนักเลงตอนนี้ก็หงออย่างกับลูกแมวน้อย

“..-อ อะไรเล่า ทำไมพวกแกต้องทำเสียงดังด้วยละ” โซเฟียตัวหดไป และพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา บ่งบอกถึงความกลัวได้ดี “..พวกแกนั่นแหละที่แปลก ไม่เห็นผิดตรงไหนเลย แค่จะมาเตือนว่าอย่าทำตัวผิดระเบียบให้มากเอง”

-ท โทษทีนะ หล่อนคนที่จงใจทำผิดระเบียบตลอดเวลาเนี่ยนะมาพูดอย่างนั้น? วันนี้เห็นว่าเลเวลอัพหน่อยก็ตรงเอาเสื้อออกในกางเกงนั่นแหละ

โซเฟียกอดไหล่ตัวเองและเว้นระยะห่างกับเคียวยะให้มากที่สุด ตัวสั่นไม่หยุดด้วย

“เอ่อ ทุกคนใจเย็นก่อนๆ”

ผมเอ่ยปากปรามไป เคียวยะกับกอรี่เลยยอมความแล้วก็นั่งลงแบบถูกระเบียบ ยกเว้นกอรี่ที่เอาขาพาดกับโต๊ะ ..นั่นเลยทำให้โซเฟียยังคงระแหวงอยู่บ้าง แต่เธอคุ้นชินกับกอรี่อยู่

“-ฉ ฉันคิดว่าแกจะเป็นคนดีซะอีกกอรี่! คนดีแบบนายหายาก ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเป็นเพื่อนกับฉันมันจะติดนิสัยนักเลงเอา แต่ไปคบกับพวกนั้นหนักกว่าอีกนะ”

อยู่กับหล่อนมีแต่ได้กับได้ ทั้งนิสัยและการเรียนเฟ้ย

 โซเฟียชี้นิ้วใส่ผม นั่นทำให้โดนเคียวยะทำตาขวางใส่ แต่ครั้งนี้โซเฟียจ้องตากลับสู้

“ถ้าทำอะไรฉัน ฉันฟ้องครูแน่นะบอกเลย โดนเข้าห้องปกครองแล้วพ่อแม่จะเสียใจเอานะ”

“เป็นคำขู่ที่น่ารักชะมัด สมกับเป็นลูกคุณหนูดี”

เคียวยะพูดข่มเต็มที่

“พอเลยๆ” ผมจับไหล่เคียวยะ

“หา?”

น่ากลัววุ้ย!

“-ท โทษที แต่อย่าทำตัวกร่างจะดีกว่านะ ดีกับตัวนายเยอะเลย”

“..แค่ทำตัวตามปกติเอง …ก็ได้ๆ ดูกร่างไปสินะ”

เคียวยะถอนหายใจ แล้วชี้ไปที่เสื้อของโซเฟียที่หลุดจากกระโปรง

“ก่อนจะมาว่ากัน ก็ดูตัวเองก่อนละ”

หวา หมอนี่เตือนให้ดีหน่อยไม่ได้เรอะ

โซเฟียมองไปที่เสื้อที่หลุดของตัวเองก่อนจะหน้าซีกตกใจ แล้วรีบเก็บเข้ากระโปรงทันที

“อาาาาาา! คุณแม่ไม่เห็นเตือนเลย!”

หล่อนรีบเก็บอย่างเร็วก่อนจะมาประจันหน้ากับผมแบบสมภาคภูมิ …เรียกคุณแม่ด้วยละ น่าร๊าก

“โซเฟีย เธอนี่มันเด็กดีตัวอย่างเลย” ผมพูดชมไป

“เอ๋ จริงเหรอ?” เธอเผลอยิ้มแบบสดใสไปก่อนจะทำทีเก็กหน้านิ่ง แล้วชี้นิ้วใส่ผม “โจร กกน. นายติดกระดุมไม่ครบ! เสื้อก็ไม่ใส่ข้างในกางเกง”

“เดี่ยวดิ เรียกใครว่าโจรกกน.หะ!!”

โซเฟียทำเมินแล้วชี้ไปทางเคียวยะต่อ

“เสื้อไม่ใส่ข้างในกางเกง แถวยังเอาผ้าอะไรต่อมิอะไรไม่รู้มาติดกับเสื้อเต็มไปหมด ผิดระเบียบนะ!”

“ยุ่งยากชะมัด เอาเป็นว่าช่วยคิดบัญชีกับโจร กกน.กา่อนเถอะ?”

“เห้ยๆ ฉันไม่ได้ชื่อนั้นสักหน่อย เรียกเรเซอร์เถอะขอร้อง!”

แล้วเอ็งนั่นแหละโจร กกน. ตัวจริงน่ะ ไอ้ถ่อยเคียวยะ!

“…อือ”

โซเฟียพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วหันหน้ามาทางผม

“…”

ดูจะอึดอัดเล็กน้อย เวลาคุยกันทุกครั้งมักเป็นอย่างนี้ตั้งแต่คราวเทศกาลล่าโจร กกน.

“..แต่งตัวให้เรียบร้อยซะนะ ทีหลังน่ะ ..เดี่ยวเด็กภายนอกที่จะเข้ามาจะเอาเยี่ยงอย่าง”

“อ่า”

..การสนทนาจบแค่นั้น

กอรี่เห็นเช่นนั้นจึงเข้ามากระซิบกับผม

“ปล่อยไว้แบบนั้นจะดีเหรอ ถึงจะไม่ได้เข้าใจผิดก็เหอะ”

“..นั่นสินะ”

ปล่อยความสัมพันธ์ของพวกเราไว้แบบนี้ ไม่ดีเลยละบอกตามตรง

 

โซเฟียเดินกลับไปนั่งที่เดิมแล้วก็เอาขาพาดกับโต๊ะด้วย จากนั้นสักพักครูประจำชั้นก็เข้ามาเตือนจนโซเฟียต้องขอโทษยกใหญ่ แล้วจึงเริ่มโฮมรูมกัน

ครูหัวล้านดูแก่เข้ามาในห้อง กวาดสายตาไปที่นักเรียนทุกคนและเริ่มชี้แจ้งรายละเอียด ถึง ‘งานราตรีสานสัมพันธ์’

งานที่จะให้นักเรียนทุกคนในเวลากลางคืนแต่งตัวเข้างานเลี้ยงเพื่อสานสัมพันธ์กัน เปรียบได้ดั่งงานเลี้ยงขนาดยักษ์

สำหรับโรงเรียนที่มีขุนนางอยู่เป็นส่วนใหญ่ก็ต้องมีงานนี้อยู่เป็นธรรมดา

อธิบายไว้ว่างานจะเริ่มอาทิตย์หน้าวันศุกร์มืดๆ ก็อีกราวๆ 10 วัน

เด็กนักเรียนทุกคนพยักหน้ารับกัน หลายๆคนตื่นเต้นกับมันพอตัว

ส่วนผมก็ ..ตื่นเต้นได้แหละมั้ง ยังไงอีเว้นต์น่าตื่นเต้นอย่างการดวลระหว่าง เรเซอร์กับยูจิก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแล้วเพราะตัวผมปรับตัวใหม่ไปอะนะ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด