เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 23: การทดสอบของไอ้ตัวร้าย

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 23: การทดสอบของไอ้ตัวร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 21 > >

ข้างในรถม้าอันหรูหรา มีไอ้ตัวร้ายแสนจะโหลยโท่ย และเมดสุดน่ารัก ที่เติบโตขึ้นมาก จากแต่ก่อนในหลายๆ ความหมาย

“พับผ่าสิ อุตส่าห์จากกันยังจะพูดไม่ดีกับฉันอีก” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พวกนั้นไม่มีน้ำตาสินะ”

“แฮะๆ ไม่หรอกค่ะ คงจะเป็นการบอกลาแบบฉบับพวกเขามากกว่า”

“เฮ้อ แต่ว่านาบอกกันดีๆ ก็ได้นี่”

—–ตรงหน้าผมคือสาวงามยากจะหาได้ง่ายๆ เธอมีเรืองผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงไหล่ อยู่กึ่งกลางระหว่างผมสั้นกับยาว ดวงตาสีเขียวดูสดใส ผิวสีแทนค่อนไปทางขาวอ่อนๆ สวมชุดเมดทั่วๆ ไป มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่พิเศษจากเมดทั่วไป ชายหลายต่อหลายคนคงเห็นเธอเป็นยาใจแน่ๆ ยิ่งกว่านั้นหน้าอกของเธอยังใหญ่พอตัวเลย คัพEได้ ชุดเมดนั่นโชว์เนินอกเล็กน้อย ซึ่งอยู่ในฐานความพอดี—–ชื่อของเธอคือ ‘เรเซล’ ตอนนี้อายุได้ 16 ปี

เรียกได้ว่าโตเป็นสาวแล้วละ

“ท่านเรเซอร์เป็นคนดีค่ะ ฉะนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะเกลียดท่านแน่นอน..คิดว่านะคะ ท่านเรเซอร์วิเศษจะตายไป”

ที่สำคัญเธอคือนางฟ้าขนานแท้ ยาใจขนานแท้ ออร่าความเป็นแม่ฉุนออกมาเลย แค่มีเธอมาอยู่ข้างเวทมนตร์ในฐานะเมดก็ไม่มีอะไรที่ต้องการมากไปกว่านี้แล้วละ 

ผมยิ้มรับการปลอบใจแสนอ่อนโยนนั่น

“ขอบใจนะเรเซล”

ใบหน้าของเธอพลันแดงก่ำ

“-ม ไม่หรอกค่ะ! ขอโทษนะคะที่ล่วงเกิน”

“อยากพูดอะไรก็พูดเลย สำหรับฉันต่อให้โดนเธอด่าก็ไม่คิดจะสวนคืนหรืออะไรหรอก”

การโดนด่าคือรางวัล พวกโรคจิตชอบพูดราวๆนี้ เช่นนั้นผมก็จะถือคติประมาณนี้

“..ค่ะ”

ผมหันไปมองกระจอกซึ่งสะท้อนให้เห้นหน้าตาของผม ที่โตขึ้นมาก อายุประมาณ 17 ปี เข้าเรียนช้ากว่าชาวบ้านเขาหน่อยแต่ก็ชั่งประไร

เรเซอร์ที่ตัวผมเป็นอยู่ ณ ตอนนี้มีรูปร่างกำยำแบบพอดีตัว มีทั้งกล้าม และ ‘ซิกแพค’ ของรักเลยละร่างกายแบบนี้ กล้ามไม่ได้ใหญ่มากเกินไปด้วย สูงก็ตั้ง 179 ซม มีสิทธิ์สูงถึง 190 หรือต่ำกว่านั้นก็ไม่แคร์แล้วละ

มีเส้นผมสีทองเข้มยาวถึงบ่า แต่ผมมัดจุกไว้ทำให้ดูรกเกินไป ดวงตาก็น่ากลัวเช่นเคย ตอนนี้ยังคงยิ้มได้น่าสยองเหมือนแต่ก่อน โดยสรุปแล้วค่อนข้างต่างกับเรเซอร์ต้นฉบับทีเดียว เรเซอร์ต้นฉบับเป็นชายหุ่นแห้งผมยาวจนบังตามิด ที่สำคัญปากเสียมาก ใจร้ายกับเรเซลด้วย สารเลวเลยละไอ้เรเซอร์คนนั้น 

ตอนนี้ผมสวมเสื้อเชิ้ตลายดอก และกางเกงขายาวตามปกติ เป็นรูปแบบการแต่งตัวที่ผมชื่นชอบตั้งแต่โลกใบเก่า

เอาเถอะ ร่างกายผมตอนนี้ถือว่าเป็นความภูมิใจใหม่ละนะ ไม่น่ามีผลกระทบอะไรกับเนื้อเรื่องมากหรอก

ผมนั่งเท้าคางมองไปข้างนอก เผยให้เห็นเมืองที่ดูครึกครื้น

ที่นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรฟัฟนิร์—-เมือง ‘ฟัฟนิร์’ นั่นแหละ

ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผมต้องมาที่นี่ก็ตามที่วางแผนไว้แต่แรก ..ผมจำเป็นต้องเข้าโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อช่วยเหลือเบลลามี และร่วมมือกับยูจิในการปราบจอมมาร ถือว่าเป็นชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้ของตัวผมตอนนี้เลย ไม่สิ ไอเลี่ยงได้ก็เลี่ยงได้อยู่หรอก แต่ผมไม่ทำละ

ก่อนหน้านี้ผมจึงตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วทั้งโลกด้วย แน่นอนว่าไปได้ไม่ทั่วหรอก แต่ก็ไปได้หลายที่พอสมควร เจอกับอะไรต่างๆ มากมายจนทำให้คิดเลยว่า ‘ตูมีชีวิตรอดถึงทุกวันนี้ได้ไงหว่า?’ เลยละ

และพวกคนที่ผมบ่นให้ฟังในตอนแรกก็คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ผมเจอระหว่างทาง ‘ปาร์ตี้นักผจญภัยจากแดนแห่งสายลม’ — ‘ทวีปแซร์อิซ’ ..เป็นสถานที่สุดท้ายก่อนที่ผมจะกลับมายันทวีปฟัฟนิร์

พอนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมเจอกับพวกเขาผมก็เผลออมยิ้มไปโดยปริยาย ความสนุกสนานปนเศร้าใจย้อนเข้ามาในสมอง

ที่ทวีปแซร์อิซมีดันเจี้ยนด้วยล่ะ บอกเลยว่า—เกือบตาย มันเป็นสถานที่โหดหินระดับที่ตัวผมซึ่งตอนนี้มั่นใจว่าเก่งมากๆ ยังผ่านได้ลำบาก ถ้าไม่พึ่งพาใครเลยเป็นบ้าเป็นหลังมาเดี่ยวๆ ต่อให้ยูจิต้นฉบับก็อาจจะลำบาก โหดขนาดนั้นเลยเชียวเลย เพราะดันเจี้ยนมันมีกำดัก กับสภาพแวดล้อมที่โคตรไม่เอื้ออำนวย ไม่ได้จะตายเพราะมอนสเตอร์หรอก แต่ตายเพราะกำดักที่วาปไปหุบเขาน้ำแข็งซึ่งไม่มีอะไรกินมากกว่า นั่นแหละความเถื่อน

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางถามเรื่องสงสัยกับเรเซลผู้น่ารัก

“ทางอันนาเป็นยังไงบ้างละเรเซล? ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งปี”

“ค่ะ คุณอันนาตอนนี้ยังคงทำงานฝ่ายการค้าอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนทุกที แล้วหลายครั้งก็คิดถึงท่านเรเซอร์ด้วยนะคะ” เรเซลยิ้มร่าตอบ

“..ให้เดาเรื่องที่บอกว่าคิดถึงฉัน อันนาคงกำซับไว้ด้วยสินะ ว่าห้ามบอกฉัน?”

‘—–เอ๊ะ’ เกิดขึ้นในใจเรเซล หล่อนถึงกับหน้าเหวอเลยที่เอาความลับเพื่อมาโพ่งประกาศ

“..ลืมไปเลยค่ะ?”

“จะไม่ทักอันนาเรื่องนี้ให้ละกันนะ ฮะๆ”

เรเซลพยักหน้ารับอย่างรู้สึกผิด

..น่ารักจังเลยนาเด็กคนนี้

“ไหนๆ ก็ว่างแล้ว ช่วยบอกกำหนดการหน่อยสิเรเซล”

“-ค ค่ะ!”

เรเซลรีบทำท่าร่าเริงทันทีหลังจากหดหู่ไปเมื่อกี้ เธอหยิบสมุดจดขึ้นมาอธิบายกำหนดการให้ฟัง

“เวลาเก้าโมงตรงจะเข้าทดสอบความสามารถทางเวทมนตร์ เกี่ยวกับทฤษฎีค่ะ”

—-ใช่แล้ว ผมกำลังจะเข้ารับการทดสอบเข้าโรงเรียนเวทมนตร์

อย่างที่รู้กันว่าหน้าที่ของผมคืออะไร ..และแน่นอนว่าโรงเรียนเวทมนตร์แค่จ่ายตังค์ก็ใช่ว่าจะได้เข้าเรียน มีความจำเป็นต้องทดสอบความสามารถด้วยในระดับหนึ่ง ทั้งทฤษฎีเวทย์และการต่อสู้จำเป็นต้องมีในตัวจอมเวททุกคน

“เวลาสิบโมงครึ่งเลิกสอบ และพักครึ่งถึงบ่ายโมงตรงค่ะค่อยมาทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้ต่อ คะแนนเฉลี่ย 60/40 ค่ะ”

“ฉันไม่ค่อยมั่นใจเรื่องทฤษฎีเวทมนตร์เลยแฮะ”

การใช้เวทย์ของผมมันต่างกับคนบนโลกนี้เล็กน้อย  เพราะเวทย์ของผมเป็นแบบเน้นอิสระ และขาดทฤษฎีไปมาก ถ้าให้ร่ายเวทย์ในฐานะที่ว่าเป็นวิชาเดียวกัน เวทย์ผมจะด้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อย นับว่าเป็นหนึ่งในข้อเสียที่หลายปีมานี้มุ่งแต่ฝึกการต่อสู้จริง นอกจากทฤษฎี จะว่าใช้สู้ดีกว่าก็ได้ แต่ไม่คิดว่าจะดีกว่าเกินหน้าเกินตาใครเขามากหรอก

สิ่งที่จะไม่มีวันคิดเลย คือการคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดนั่นแหละ ตั้งแต่โลกเก่าแม้จะได้เป็นนักมวยมากประสบการณ์แล้ว ผมก็ห้ามคิดว่าเก่งที่สุดเป็นอันขาดไม่นั้นจะมีความคิดประมาทเข้าหัวเอาได้ง่าย ที่สำคัญผมไม่ได้เก่งที่สุดจริงๆ ด้วย

เผลอๆ ตอนนี้ถ้าไม่มียูนา ผมยังทาบเซบาสเตียนไม่ติดด้วยซ้ำ คิดว่านะ ไม่ได้เจอเขามาตั้งแต่ตอนออกผจญภัย ผมประเมินไม่ได้หรอก แต่ถ้าไม่มียูนาคงหืดขึ้นคอสุดๆ

เรเซลที่เห็นใบหน้าหดหู่ของผมจึงปลอบใจ

“ท่านเรเซอร์ฉลาดค่ะ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็คิดแผนเอาตัวรอดได้เสมอและช่วยเหลือทุกคนได้ตลอด ถึงจะสอบตกฉันก็จะเชื่อตลอดไปคะว่าท่านเรเซอร์ฉลาดแน่นอน”

เหมือนความคิดที่ว่า ‘ต่อให้—–ก็อยู่ดี’ เลยแฮะ เตรียมใจว่าผมจะสอบตกไว้แล้ว..ไม่สิๆ มั่นใจในตัวเองไว้ท่าจะดีกว่า

“เข้าใจแล้วละ จะเล่นสุดแรงเกิดเลย”

“-ด เดี่ยวคนอื่นเขาจะตายเอานะคะ”

“หมายถึงการสอบทฤษฎีน่ะ อย่าเป็นห่วงเลย” ผมทุบหน้าอกตัวเองสร้างความมั่นใจ “ก่อหน้านั้นก็อุตส่าห์มีเธอมาสอนหนังสือด้วย หายห่วงน่า”

“เข้าใจแล้วค่ะ!” เรเซลตอบทั้งรอยยิ้ม

 

*****

 

มาถึงหน้าโรงเรียนเวทมนตร์แล้ว สถานที่สอบคือโรงเรียนเวทมนตร์

โรงเรียนเวทมนตร์แห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ ‘เรตวอร์ด’ เป็นโรงเรียนขนาดยักษ์ราวกับมหาลัย มีฟิตเนสฉบับต่างโลก สนามวิ่งยาวหนึ่งกิโลเมตรเป็นวงรี สระว่ายน้ำ ชมรมทุกชมรมต่างมีห้องของตัวเอง ขนาดเล็กใหญ่ตามความสำคัญต่อโรงเรียน เพราะฉะนั้นที่แห่งนี้จึงใหญ่อย่างกับเมืองจำลองขนาดกลางเลยละ

สมกับเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ที่ดีที่สุดในโลก ‘เรตวอร์ด’

รอบโรงเรียนถูกล้อมด้วยปูนหินสีแดงทอง ผมยืนอยู่หน้าทางเข้าซึ่งเป็นรั้วประตูเหล็กสีดำขนาดกว้างราว 15 เมตร

มีผู้คนอายุพอกันกับผมมากมายหลายสิบคนเดินเข้าไปข้างในกันให้ผับ ว่าแล้วผมจึงก้าวเท้าเดินเพื่อเข้ารับการทดสอบ

“พยายามเข้านะคะท่านเรเซอร์”

มีเรเซลคอยส่งกำลังใจจากข้างหลังอย่าบกับแม่แบบนี้ ยิ่งยอมไม่ได้–โอ้ว!

การสอบได้เริ่มขึ้นแล้ว 

 

…แย่แล้ว ฉิบหายแล้ว

สถานการณ์วิกฤต พึ่งได้กำลังใจจากเรเซลมาหยดๆแท้ๆ ดันเจอวิกฤตแทบทันทีที่อวยพร ผมกำลังประสบพบเจอกับความยากลำบากของเด็กวัยมัธยมปลายของแท้ ไอเราก็แก่แล้วเลยลืมความรู้สึกนี้ไปสนิทเลย ความรู้สึกของ—— ‘การสอบ’ น่ะ

เบื้องหน้าผมบนโต๊ะไม้มีแผ่นกระดาษ A4 ซึ่งเพียบไปด้วยวงเวทย์อันเป็นเนื้อหาข้อสอบ ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยคำถามเชิงทฤษฎีเน้นๆ ไม่มีคำถามง่ายๆอย่าง ‘ใช้เวทมนต์อย่างไรไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น’ เลย นี่มันกะให้ระดับนักวิจัยเวทมนตร์มาตอบถึงจะผ่าน—–ว่าง่ายๆข้อสอบยากไปปะ?

ผมหน้าซีกเผือก และปากสั่นพะงาบๆ

ไม่ว่าจะโลกไหนการสอบก็คือสิ่งที่ผมไม่ถูกด้วยเสมอ ..อย่างที่รู้กันตัวผมคือกล้าม ใช่ กล้ามกับเรเซอร์คือสิ่งเดียวกัน ผมมักไม่ใช้สมองเสียเท่าไหร่ แต่เผอิญร่างต้นของเป็นบ้าเป็นหลังมันฉลาดพอตัว ทำให้พอถ่วงดุลมันสมองตัวเองได้ดีในระดับเกือบฉลาด เพียงแต่ระดับแค่นี้ไม่สามารถก้าวข้ามข้อสอบโหดหินตรงหน้าได้แน่นอน

—-ไม่ไหวแน่นอนอีแบบนี้!

ผมใช้ปากกาที่สั่นระรัวของตัวเอง วาดลวดลายลำดับทฤษฎีเวทมนตร์ลงในกระดาษคำตอบ ..มั่วราว 80/100ได้ บ้าจริง

“..ไม่ยากไปหน่อยหรอฟร้ะแบบนี้”

ผมพึมพำออกมาเบาหวิว—-พลันใดนั้นเสียงหัวเราะจึงดังขึ้นเล็กน้อย

ชายที่นั่งข้างโต๊ะสอบของผมเขาหัวเราะอย่างกับเย้ยหยันกัน

“ก็ง่ายๆ ไม่ใช่รึไง”

เหมือนกับผมโดนบอกว่า ‘แกมันโง่’ ไม่มีผิด—ไอ้หมอนี่

ผมสบตากับมัน—-ชายร่างบางแต่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย ดูแข็งแรงในระดับหนึ่ง รูปหล่อเอาเรื่อง หมอนั่นส่งสายตาดูถูกผมเป็นระยะตลอดการสอบ

ไม่รู้ชื่อหรอก แต่จะจำหน้านั้นไว้ไม่มีลืม

“—-ไม่คุยระหว่างการสอบสิ”

เสียงของผมจงใจให้มันดังระดับที่ครูคุมสอบได้ยิน—–เจ้าหมอนั่นหน้าซีกเผือกเช่นเดียวกับผมที่ทำข้อสอบมั่ว

ผมแสยะยิ้ม เยาะเย้ยอีกฝ่ายกลับ

“—เห้ย”

“หรือคิดจะลอกกันน่ะ?” ผมทำเสียง ‘ชิ’ “อย่ามองดิ!”

ทันทีนั้นเด็กทุกคนจึงหันมามอง ทำให้ครูคุมสอบจ้องเขม็งมาอย่างจริงจัง

เป็นจุดสนใจในเชี่ยววินาที

“ไม่ใช่เฟ้ย! ยังไม่ได้ลอกอะไรเลย”

“ถ้านั้นก็อย่ามาชวนคุยสิ ทฤษฎีเวทมนตร์มันยากเอาเรื่องนา เสียสมาธิหมดเลย อุตส่าห์ตั้งใจอ่านหนังสือมาเพื่อการนี้ อย่าทำให้เรื่องเสียสิ—ให้ตายเถอะ..อ๊ะ เงียบๆ นะเดี่ยวครูคุมสอบได้ยินเอา”

ทั้งหมดล้วนจงใจให้ทุกคนได้ยิน

หน้าคู่กรณีของผมบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ เขากัดฟันกรามตัวเองแน่นและเขียนทฤษฎีเวทมนตร์ต่อ

“เออ”

“ขอบใจนะที่เข้าใจ ฉันตั้งใจอ่านหนังสือมาเพื่อวันนี้เลยน่ะ”

—กรอบ ดูท่าจะกัดฟันซะแน่นเลย

..ให้ได้แบบนี้สิ—-ผมแอบลอกเค้ามาสองข้อแล้ว ..ก่อนจะลบไปเพราะพอคิดดูดีๆแม่งก็ตอบผิดนี่หว่า

 

ผมตรงไปดูตารางคะแนนตัวเองซึ่งถูกตรวจให้เพียงหนึ่งชั่วโมง ผู้เข้าสอบทั้งหมด 500 คน และตัวผมในการสอบทฤฎฎีก็ได้อันดับที่——————–478

….อย่างน้อยก็ยังมีคนได้น้อยกว่าตั้ง 22 คน

ปลอบใจเช่นนั้นแล้วผมก็คลุกลงไปกับพื้น เช็ดน้ำตาปริ่มๆ ของตัวเอง และยิ้มข่มใจสู้

“ให้ปะป๋าเอ็งทำเหอะ ยากขนาดนี้ ..”

ทฤษฎีเวทมนตร์คือส่วนที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ และไม่ได้ศึกษาจริงๆ จังๆ หลังออกเดินทางผมก็ไปศึกษาแต่วิธีเอาตัวรอดกับการต่อสู้ตลอดจนลืมเรื่องพื้นฐานสำคัญอย่างทฤษฎีไป  ถึงช่วงก่อนสอบจะไปนั่งหมกตัวอ่านเป็นบ้าเป็นหลัง เอาให้ตายไปข้างแล้วแต่ก็ไม่ช่วยให้ผมผ่านได้

..ผมควรตั้งใจเรียนกว่านี้แท้ๆ บ้าเอ๊ย

ในช่วงที่จมลงกับความโศกเศร้านั้นเอง—-คู่กรณีในช่วงสอบ เขาเดินมาหาผม

“..โย้ว”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อ ‘เรเซอร์’ ช่วงสอบช่วยได้เยอะเลย เพราะนายยอมเงียบปากฉันเลยมีสมาธิ—-”

อีกฝ่ายแสยะยิ้ม

“มีสมาธิแล้วแท้ๆ ดันได้ที่ 478 อีกรึเนี่ย?”

—–หา?

แอบตามดูคะแนนผมละ สตอกเกอร์ละ เลวที่สุด 

“..ฉันทำข้อสอบเลื่อนเล็กน้อยน่ะ”

“อย่ามาอ้างเลยน่าไอหน้าโง่”

—-หน้าโง่!? เห้ย นี่แกด่าคนพึ่งเจอกันว่าหน้าโง่เลยเรอะ!?

“-ห เห๋? แล้วนายได้เท่าไหร่กันเชียว?”

“..469”

—-พู้ด!!!!! น้ำลายพุ่งออกจากผมทันที

“หะ!? หา!? นี่แกมีหน้ามาด่าฉันด้วยเรอะ!?” ผมหัวเราะ ก๊ากๆ “ได้ดีกว่าตึงเดียวทำเป็นพูด ตั้งใจอ่านหนังสือบ้างเปล่าหว่า!?”

“อะไรเล่า โง่กว่าแท้ๆปากดีจริง”

“-ก ก็จริงของแก แต่พูดแบบนี้มันส่อหาเรื่องกันนี่ จะดีเรอะ?”

คู่กรณีแสยะยิ้ม

“จะอวดเบ่งบารมีพ่อหรือไง? คุณหนูเรเซอร์ผู้ชีวิตดี๊ดี”

แบบนี้นี่เอง

“แกเป็นพวกที่เกลียดฉันสินะ”

“เออ โคตรจะรังเกียจเลยเด็กอย่างแกน่ะ”

ทำไมกันนะ ช่วงสี่ห้าปีมานี้ผมก็สงบปากสงบคำไปมากจากแต่ก่อน ระดับที่หายไปจนหลายคนลือกันว่าผมโดนพ่อเก็บแล้ว ถึงผมจะแย่ขนาดไหน แต่เวลาตั้งหลายปีน่าจะช่วยเพลาๆ ชื่อเสียผมบ้างสิ ให้ตายเถอะ

“ฉันว่าฉันเองก็ปรับตัวแล้วนา ยังมีเรื่องที่เกลียดฉันอีกเนอะ? ฉันไม่ได้ไปทำอะไรให้นายสักหน่อย”

“ไม่ได้ทำอะไรให้? ..อ่อ ก็ตั้งนานแล้วนี่เนอะ คงจะลืมกันไปบ้าง”

เคยทำด้วยเรอะ ไม่ยักจะจำได้ หรือว่าเยอะไปจนจำไม่ได้กันนะ ตัวผมช่างเสียมารยาท

“..แล้วจะเอายังไงต่อละ?”

ผมเอ่ยถามเพราะตั้งใจจะเคลียร์ปัญหาทั้งหมด

“ฉันจะดวลกับแกตอนการทดสอบพลัง—–คงจะยังไม่ได้ไปดูสินะ ตรงบอร์ดจับคู่ เดี๋ยวจะบอกให้เองว่าแกได้คู่กับใคร ..ฉันไงละ”

ผมยิ้มตอบ

“เข้าใจแล้ว ความรู้สึกนั้นฉันจะตอบรับมันเองแบบสุดตัว ..จะว่าไปนายชื่ออะไร?”

“..ฮาเก้น”

“อืม ถ้านั้นก็ไว้เจอกัน”

กล่าวจบผมกับฮาเก้นก็เดินแยกกันไป

 

—จำได้แล้ว

ผมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ ใช้ความคิดของตัวเองอย่างสุดตัวนึกถึงบุคคลที่ชื่อว่าฮาเก้น ไม่นานผมก็จำได้ถึงตัวตนของเค้า หนึ่งในตัวประกอบที่ช่วยบรรยายความชั่วของเรเซอร์ ‘ฮาเก้น’ เขาเป็นชายที่ครอบครัวได้รับผลกระทบจากการกระทำของเรเซอร์ในตอนเด็ก จนฮาเก้นแค้นฝังใจ

ในช่วงสอบเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ ฮาเก้นเองในเนื้อเรื่องต้นฉบับก็มาหาเรื่องเรเซอร์เหมือนกัน และโดนรุมกระทืบ เขาคิดเพียงแค่อยากแก้แค้นเรเซอร์โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น รู้ทั้งรู้ว่าจะจบยังไง

สุดท้ายก็ถูกยูจิช่วยไว้ และไปร้องไห้ระบายทุกอย่างให้ฟัง ก่อนที่ยูจิจะช่วยเหลือและตบเรเซอร์ให้ หลังจากนั้นฮาเก้นก็เข้าเรียนใหม่ตอนพวกยูจิขึ้นปี 2 ในฐานะรุ่นน้องผู้เคราพรักยูจิสุดหัวใจ

…แต่ในโลกนี้ต่างออกไป ผมไม่ใช่ ‘เรเซอร์สารเลว’ เพราะฉะนั้นฮาเก้น..ผมจะปรานีให้นายแน่นอน

 

*****

 

ผ่านไปแล้วราว 2 ชั่วโมงหลังจากเริ่มการทดสอบการต่อสู้ ณ สนามประลองฝีมือซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือน ‘โคลอสเซียมยักษ์’

เหล่าขุนนาง และปุทุชนคนธรรมดาต่างงัดทุกอย่างที่มีออกมาประชันกัน เพื่อชัยชนะ ผลการแข่งคือคะแนนสอบถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่คะแนนน้อยๆ เลยสักนิด กล่าวได้ว่าผลการสอบขึ้นอยู่กับการต่อสู้นี้มากพอดู

จะไม่เอาจริงคงไม่ได้—-ผมก้าวขึ้นไปบนเวทีประลอง ที่เบื้องหน้ามีฮาเก้นถือคทาเวทย์รออยู่

ท่าทางดูจริงจังขึงขัง กะเอาตาย? ไม่รู้สิ ที่แน่ๆ เอาจริงสุดตัว

ผมเองก็ถือคทาเวทย์ที่โรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้

“ยูนาครั้งนี้ไม่ต้องช่วยนะ”

‘—รับทราบค่ะ’

อย่างที่ว่าไว้ การเดินทางของผมตลอดมามันยากเย็นแสนเข็ญ ระดับที่หากไม่เอาจริงชีวิตก็จะหาไม่ได้ไม่ยาก ทำให้ผมใช้งานยูนาบ่อยสุดๆ จนติดนิสัยเสียไปเล็กน้อย เพราะพึ่งพลังยูนาของผมมากเกินไป

จริงๆ แล้วผมอาจจะไม่ได้เก่ง ที่ดูเก่งบ่อยครั้งอาจเป็นเพราะยูนา ครั้งนี้อาจจะตึงมือก็ได้เพราะผมไม่ได้เก่ง หรือว่าไม่ก็ไม่รู้ ผมไม่รู้หรอก ที่รู้ๆ คือ..ผมจะทุ่มสุดตัวกับชายตรงหน้า นั่นคือการตอบรับความต้องการของเขา

ผมยื่นคทาขึ้นเหนือหัวเล็กน้อย เตรียมร่ายเวทมนตร์เช่นเดียวกับฮาเก้น————-

 

*****

 

ณ ที่นั่งคนดูที่ราวบนโคลอสเซียม

ชายวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อหลุดๆ ลุยๆ กำลังนั่งอย่างเอ้อระเหย มองไปบนเวทีซึ่งเป็นลูกของขุนนางชั้นสูงสองคน โดยเฉพาะกับเด็กที่ชื่อเรเซอร์ เป็นขุนนางชั้นสูงที่ทางโรงเรียนจัดให้เป็นตัวปัญหาแล้วในระดับหนึ่งเนื่องจากนิสัยแย่ๆ ที่เป็นข่าวลือไปทั่วอาณาจักร

เขามองไปอย่างสนอกสนใจ ทำให้หญิงสาวซึ่งนั่งข้างกันแอบสงสัย

หญิงสาวอายุราว 22 ปี สวมเสื้อคลุมตัวขนาดใหญ่ที่มีเสื้อฮู้ด มีหน้าอกที่ใหญ่และสวมใส่แว่น

“รุ่นพี่มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“…เด็กผมทองคนนั้นน่าสนใจดี”

“น่าสนใจ? นั่นสินะคะ ก็อีกฝ่ายเป็นถึงขุนนางชั้นสูงนิสัยเสีย”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ ที่นี่โรงเรียนเวทมนตร์นะ ถ้าพูดถึงคนน่าสนใจก็ต้องเวทมนตร์สิ”

หญิงสาวรุ่นน้องทำหน้าฉงน

“อย่าสนใจเลย”

เขาถอนหายใจและจ้องบนเวทีเขม็ง

 

*******

 

“ชายคนนั้น”

….หญิงสาวผู้มีรูปร่างสมส่วนและหน้าอกที่พอดีมือ เลืองผมยาวสีขาว และดวงตาสีเหลืองอ่อน—เธอมองลงไปตรงเวทีเบื้องล่างและเผลอพึมพำกับตัวเอง

เธอ– ‘หนิง’ จำชายผู้นั้นได้ดี

“…มะ หมอนั่น”

ข้างๆหนิงมีชายคนหนึ่งอยู่ด้วยโดยบังเอิญ เขาเป็นหนุ่มรูปงามผมสีน้ำเงินยาวซึ่งมัดจุกไว้ ..หากจำไม่ผิดเขาคนนี้ก็มีชื่อเสียงทีเดียว

รู้สึกจะชื่อ ‘คามาเลีย เรย์’ ..น้องชายของยอดอัศวินที่จากไปเมื่อ 5 ปีก่อน

“..เรเซอร์ ดราแคล์” เรย์จ้องเขม็งไปยันชายคนนั้น “มาอยู่ที่นี่เองสินะ”

หนิงมองเรย์ ก่อนจะถอนหายใจและเดินออกจากตัวเรย์

 

“เรื่องของชาวบ้าน ..ไม่ได้อยากยุ่งเท่าไหร่หรอกนะ” 

หนิงพึมพำเบาหวิว ไม่กะให้ใครได้ยินทั้งนั้น—-

 

******

 

“การประลองจะจบลงก็ต่อเมื่อมีฝ่ายใดคทาเวทหล่นลงจากมือ หรือหมดสภาพ หรือว่ากล่าวยอมแพ้ ตกลงตามนี้นะครับ”

ผู้ตัดสินมองซ้ายขวา เมื่อเห็นทั้งสองไม่ได้เล่นตุกติก แล้วเตรียมการพร้อมแล้วจึงได้ให้สัญญาณฝ่ามือ—ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มการแข่ง

ฮาเก้นไม่รอช้ารีดพลังเวทย์ของตัวเองและปล่อยบอลน้ำขนาด 1 เมตร ราว 5 ลูก รีบเร่งปาใส่ผม

—-เร็วเอาเรื่อง

ผมตอนนี้ยังไม่ได้แม้แต่จะรีดพลังเวทย์ออกมา—-ฮาเก้นแสยะยิ้มเมื่อเห็นแบบนั้น

‘ร่ายเวทย์ช้าชิบ!’ เขานึกได้ใจ “ช้าแบบนี้ระวังแห้งนะจ๊ะ!!”

ผมกระโดดหลบบอลน้ำไปสองลูกในพริบตาเดียว และยื่นคทาเวทย์ไปแตะบอลน้ำตรงหน้าหนึ่งลูก—— ‘ยึดครองสูตรเวทมนตร์’

ทันใดนั้นบอลน้ำก็ถูกดีดกลับไปหาฮาเก้น

“—-หะ!?”

ฮาเก้นพุ่งตัวหลบบอลน้ำนั่นได้ทัน แต่หวิดไปแล้ว

“..แกทำอะไร?” ฮาเก้นถึงกับปากสั่น

‘การยึดครองสูตรเวทย์’ หนึ่งในเทคนิคทรงประสิทธิภาพ กับเวทย์ที่ใช้ได้ง่ายๆ และโครงสร้างไม่ยากมาก เราจะสามารถเอาเวทย์คนอื่นมาเป็นของตัวเองได้ แน่นอนว่าถ้าเวทย์ที่มีโครงสร้าง หรือเวทย์เฉพาะของตัวบุคคล ผมไม่สามารถย้อนหรือควบคุมได้

มันเป็นความรู้จาก ‘ทวีปแซร์อิซ’ นักผจญภัยที่นั่นเขาเน้นชิงไหวชิงพริบกันเอาเรื่อง จึงเกิดเทคนิคน่ากลัวนี้ขึ้นมา เพราะแค่เวทย์อ่อนๆ หากควบคุมของอีกฝ่ายได้และย้อนกลับ มันถึงตายเลยละ การทะเลาะกันของมนุษย์ด้วยกันมักประลองกันด้วยความเร็ว และฉวยโอกาสเอาทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวทย์ร่ายนานๆ หรือรุนแรงมากหรอก แค่เวทย์ที่ฆ่าคนได้ก็พอแล้ว

ผมไม่บอกกล่าวอธิบายใดๆให้เขา เพราะมันเป็นวิธีต้องห้ามสำหรับตัวร้าย ผมหลบบอลน้ำอีกหนึ่งลูก ก่อนจะใช้ปลายคทาแตะที่บอลน้ำอีกที—-มันพุ่งกลับไปหาผู้ร่าย ราวกับผมมีโล่สะท้อน

ฮาเก้นใช้เวทย์เพลิงสวนทันที—คงกะใช้ปฏิกิริยาระเหย ซึ่งเป็นการระเบิด ด้วยความเร็วที่ต่างของน้ำกับไฟ ทำให้ไฟถึงได้ก่อนทั้งๆ ที่บอลน้ำของผมพึ่งดีดกลับ ดีไม่ดีผมอาจโดนผลของปฏิกิริยาระเหยนั่นจนบาดเจ็บหนักด้วย

“ไม่เลว”

เมื่อคาดเดาการกระทำอีกฝ่ายเสร็จสรรพผมจึงใช้คทาแตะพื้นราวสองที จงกำแพงหินที่สมบูรณ์ปรากฏขึ้น

ปฏิกิริยาระเหยระดับนั้นไม่สามารถทำลายกำแพงหินของผมได้แน่นอน

ผมใช้คทาเวทย์สร้างคลื่นลมรูปทรงมีด เพื่อแทงกำแพงหินให้มีรูทะลุ—เพื่อจะเห็นการเคลื่อนไหวของฮาเก้นได้

เห็นชัดแจ๋วเลย—-ผมชี้คทาใส่กำแพงหิน อัดเวทย์ลมอัดใส่หินทำให้เกิดเป็น [แคนน่อนเอิร์ท ฉบับลวกๆ] มันพุ่งเข้าใส่มือขวาที่ถือคทาอยู่ของฮาเก้นจนกระเด็น

“—–ไม่จริง”

…การประลองจะจบลงก็ต่อเมื่อมีฝ่ายใดคทาเวทย์หล่นลงจากมือ หรือหมดสภาพ หรือว่ากล่าวยอมแพ้

กล่าวโดยนัยคือผมชนะแล้ว

ว่าแล้วผมจึงเคาะพื้นหนึ่งทีเพื่อสลายลำดับเวทย์ดิน และส่งยิ้มให้ฮาเก้นที่ยืนเหวออยู่

ฮาเก้น—ไม่สิ แม้แต่ผู้ตัดสินหรือผู้คนโดยรอบต่างตกใจกับการต่อสู้ของผม

ไม่แปลกหรอกที่จะมีปฏิกิริยาแบบนั้น ก็เทคนิคการสู้ของผมเป็นของนักผจญภัยนี่นะ ไม่ใช่ของนักเวทย์แท้ๆ แน่นอนว่าผมไม่คิดว่าเทคนิคนี้จะเหนือกว่าทุกด้านหรอก เวทมนตร์แท้ๆ มันเร็วกว่า ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะมีสูตรตายตัว เหมาะกับการใช้สู้พวกมอนสเตอร์หรือทำลายบางอย่างตรงๆ

แต่กลับกันรูปแบบเวทมนตร์ของทวีปแซรอิซ เป็นการเล่นเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงอีกฝ่าย อย่างการสร้างกำแพงหิน และใช้เวทย์ลมอัดเอาของผม ก่อให้เกิดแคนน่อนเอิร์ทฉบับเอาสองเวทย์มาผสมกัน มันกันไม่ให้ยึดครองสูตรเวทย์ได้ง่ายๆ และ—-เป็นรูปแบบการใช้เวทมนตร์ที่ใช้ฆ่าคนโดยส่วนมากละนะ ว่าก็ว่าเถอะ ผมเคยเกือบตายด้วยท่านี้แล้วละ ถ้าตอนนั้นไม่ได้ยูนาตัดมิติขวางไว้ เรเซอร์คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

การเดินทางไปทั่วทวีปของผม—มันเป็นอะไรที่มีค่าสุดๆ

ผมควงคทาของตัวเองอย่างอารมณ์ดีและเอาไปคล้องกับคอพลางส่งยิ้มให้ทุกคน

“เป็นการดวลที่สนุกมาก ฮาเก้น”

การประลองจบลงแล้ว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด