เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! 90: ตัวตนที่ไม่มีใครคาดเดาได้

Now you are reading เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! Chapter 90: ตัวตนที่ไม่มีใครคาดเดาได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

< < 73 > >

ผมกับเบลลามีจ้องหน้ากัน ..สักพักก็แก้มแดงกันทั้งคู่ เบลลามีเบือนหน้าหนีผมแล้วเอามือสองข้างถูแก้มตัวเองไปมา ดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสมาก แต่มันเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ 

ทางผมก็เกาแก้มแก้เขิน

แสดงด้านอ่อนแอให้คนอื่นเห็นนี่มัน ..น่าอายจริง

“ขออภัยนะครับ เกรงว่าจะถึงคิวต้องสู้กับผมแล้ว”

เอเธอร์ ไม่รู้โผล่มาตอนไหน หมอนี่ยืนโบกมือให้พวกเราสองคนด้วยรอยยิ้มคงเดิม ทั้งๆที่เข้ามาแทรกในสถานการณ์ดีๆของชาวบ้านเขา

“ถึงคิวสู้?”

พูดถึงอะไรกัน

“ไม่ใช่ว่าจะชนะผมให้ได้หรือไงครับ”

อ่า..นั่นสินะ เกือบลืมแล้วเลย ว่าแต่ว่า

“อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”

ผมกับเบลลามีคุยกันตั้งนาน ยังไม่นับรวมเวลาที่ผมหมดสติไปอีก ไม่มีทางที่เอเธอร์จะปล่อยไว้แน่ๆถ้าเป้าหมายคือฆ่าพวกผมจริงอย่างที่บอก

ผมคิดว่าตอนที่คุยกัน พวกเราควรโดนเอเธอร์ปาเวทย์อัดมาจนตายคู่ด้วยซ้ำ ถ้าผมเป็นเอเธอร์จะทำอย่างนั้น

“เห็นแบบนี้แต่ผมก็มีมารยาทพื้นฐานนะครับ อ่านบรรยากาศเป็นด้วย พอเข้าใจจังหวะเข้าไปทักและจังหวะโผล่อย่างท่องแท้” เอเธอร์พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ

ไม่ใช่ว่าจะมาฆ่าตูรึไงฟร้ะ จะมาเกรงใจอะไรเอาป่านนี้ ปัดโธ่ เอาเถอะๆ ดีสำหรับทางผม

พอหันไปมองเบลลามี เธอก็หน้าแดงยิ่งกว่าเก่า น่าจะอับอายที่ต้องมีคนอื่นนอกจากผมมาเห็นตัวเองพูดอะไรน่าอาย

พูดตรงๆเลย ต้องขอบคุณเอเธอร์มันที่ทำให้ผมได้เห็นเบลลามีตอนเขินอายสุดขีดเช่นนี้

“..ไม่ได้จังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มอะไรนะ เข้าใจผิด..แล้ว” เบลลามีพึมพำ หันหน้าหนี ร่างขยับซ้ายทีขวาทีเหมือนคนเมา “..เข้าใจผิดจริงๆนะ

เห็นแล้วอายแทนเลยวุ้ย!!

ทั้งผมและเบลลามีแอบเขินในใจโดยเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้อะไรดลใจให้เอเธอร์มันยิ้ม ถึงปกติจะยิ้มมันทุกเวลาอยู่แล้วก็เถอะ

“ความรักนี่ดีจังเลยนะครับ ไม่ใช่แค่ช่วยเยียวยาผู้อื่นได้ ..ยังเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย”

ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวตนที่ดูไม่เข้าถึงอารมณ์และความรักอย่างเอเธอร์จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา หรือว่าเพราะเข้าไม่ถึงกัน ถึงได้เข้าใจความสุดยอดของพลังความรัก ประมาณว่าสิ่งที่แตะต้องไม่ได้มักสูงส่งเสมอ

ไม่สิ คิดแบบนี้ก็เหมือนด่าเอเธอร์ทางอ้อมว่าเป็นคนที่ไม่ได้รับความรัก แย่สุดๆเลยไม่ใช่หรือไง

เอาเป็นว่า-จะยังไงก็ช่าง ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก

ผมหันไปมองเอเธอร์ เอเธอร์คงสัมผัสได้เขาจึงรีบหันความสนใจทั้งหมดมาให้ผม 

ดวงตาของเอเธอร์ส่องประกายสวยงาม มันคือดวงตามหาปราชญ์เหมือนกับของเคียวยะ แต่ผมนึกสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง อดสงสัยไม่ได้ตั้งแต่ช่วงอ่านนิยายในโลกเก่า

“ไม่ใช่ว่าดวงตามหาปราชญ์ในแต่ล่ะยุคจะมีแค่หนึ่งคนที่มีหรือไง นายไปเอามาจากไหน”

นับว่าเป็นอีกหนึ่งปริศนาที่ยังไม่กระจ่าง ในโลกเก่าก็มีคนไปตั้งกระทู้ถามเรื่องดวงตามหาปราชญ์ที่เอเธอร์ได้มาเพียบ มีทฤษฎีมากมายผุดขึ้นมา หลายอันก็น่าเชื่อ แต่ก็นะ คนเขียนไม่บอกก็ไม่มีใครรู้

ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความอยากรู้ในโลกใบเก่า ผมจึงถามเอเธอร์ไป

“ได้มาจากคนสำคัญครับ”

เอเธอร์ตอบตรงๆไม่ได้ปิดบังอะไร ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษด้วย อาจไม่ใช่เรื่องน่าใส่ใจมากนัก แต่ไม่สิ เอเธอร์เป็นพวกหน้านิ่งอยู่แล้ว ผมหยั่งถึงอารมณ์ของเอเธอร์ไม่ได้หรอก

ในที่นี้ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกเอเธอร์ได้

เอเธอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน

“แต่ก็จำไม่ได้แล้วล่ะนะครับ ผมจำไม่ได้เลยสักเรื่อง  รู้แค่ว่าเป็นเรื่องในอดีตที่แสนจะยาวนาน ..บางทีอาจจะเป็นเรื่องสมัยที่โลกพึ่งถือกำเนิดก็ได้นะครับ”

“พูดเป็นเล่น จะบอกว่าตัวเองเป็นทูตสวรรค์หรือไง”

โลกใบนี้เกิดขึ้นจากทวยเทพ จากนั้นก็มีทูตสวรรค์ตามมา เอเธอร์พูดอย่างกับว่าตัวเองเป็นทูตสวรรค์ ซึ่งผมฟันธงเลยว่าไม่ใช่ ร้อยทั้งร้อยคือไม่ใช่ เพราะตัวผู้เขียนนิยายต้นฉบับบออกมาปฎิเสธทฤษฎีนี้ของนักอ่านตรงๆเลย

ตามที่นักเขียนกล่าว เอเธอร์ไม่มีทางเป็นตัวตนในยุคจอมมารได้ ยุคยูนาก็ไม่น่าใช่ เพราะคนระดับเอเธอร์ยูนายังไม่รู้จัก

ตัวจริงของเอเธอร์ยังคงเป็นปริศนาต่อไป

“แค่เรื่องตลกครับ อย่าถือสาเลย”

คงนั้น

เอเธอร์หรี่ตาลง ไม่ทราบว่าพอนึกย้อนกลับไปสมัยอดีตแล้วจะรู้สึกยังไง

ยังไงก็ตาม ผมจำเป็นต้องขอบคุณเอเธอร์ด้วย เพราะยอมปล่อยให้คุยกับเบลลามีเลยทำให้ผมได้พลังกลับมาครบแล้ว วงจรเวทย์ที่เสียหายก็ถูกรักษาแล้ว กล่าวได้ว่า-สภาพร่างกายของผมเวลานี้คือจุดที่ดีที่สุด ดียิ่งกว่าตอนโดยบังคับให้รับมือกับมหามังกรเทียมอีก

“ขอถามซ้ำนะเอเธอร์ ไม่มีวิธีที่พวกเราจะชนะทั้งคู่เลยรึไง”

บอกตามตรง ผมไม่อยากสู้กับเอเธอร์เลยสักนิด เพราะอีกฝ่ายแกร่งเกินไป แน่นอนถ้าให้สู้แลกชีวิตผมก็ไม่ลังเลจะทำ และมั่นใจว่าโอกาสชนะตัวเองไม่ใช่ศูนย์

แต่ เจรจาได้ก็ควรเจรจา

เอเธอร์กุมคางพึมพำกับตัวเองอย่างนึกสนุก

“นั่นสินะครับ ยังไงดีนะ วินๆทั้งคู่สินะครับ ก็ดูดีอยู่หรอกนะครับ แต่เป้าหมายมันอาจจะขัดกันนี่สิ” เอเธอร์พูด “อย่างที่บอกไป ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มหามังกรเพลิงจะต้องถูกฆ่าปิดปาก ตัวมหามังกรเอง ทางอาณาจักรก็ไม่มีทางปล่อยให้ใช้ชีวิตตามปกติต่อไปได้”

แบบนี้นี่เอง พอรู้อยู่แล้วล่ะ

ว่าง่ายๆหนิงถูกออกหมายจับ คนเกี่ยวข้องโดนสั่งประหาร ไม่รู้ทางฝั่งหนิงตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

รีบชนะเอเธอร์แล้วไปสมทบกับหนิงต่อดีกว่า

“หน้าที่พาตัวมหามังกรมาเป็นงานของ ‘คาลอส’ เขาน่ะครับ ของผมมีแค่ฆ่าปิดปากทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ โดยมีข้อยกเว้นกับพวกขุนนางชั้นสูงที่ต้องจับตัวมาก่อ ..หมายถึง โดยไม่มีข้อแม้ครับ”

ตูเป็นขุนนางชั้นสูงนะเห้ย—-เอเธอร์คิดจะฆ่าผมโดยพละการ ว่าแล้วเชียว! ตอนแรกก็นึกสงสัยว่าฆ่าผมที่เป็นลูกคนใหญ่คนโตเนี่ยนะ กะอีแค่ปิดปากวิธีเบาๆก็มีให้ แต่ดันเลือกจะฆ่าผม ไม่ต้องเดาก็รู้ ทั้งหมดมาจากความตั้งใจส่วนตัวของเอเธอร์

ผมถูกเอเธอร์เล็งไว้น่ะเอง อยากจะบ้าตาย ไอ้เรามีอะไรไปให้นึกสนใจกันนะ

“เรื่องหยุมหยิมพวกนั้นไว้ทีหลังครับ เป้าหมายของคุณให้ผมเดาน่าจะต้องการช่วยภาชนะมหามังกรเพลิงแน่ๆ”

เอเธอร์มีดวงตามหาปราชญ์ รวมเวลาที่ผมสลบไปตั้งแปดชั่วโมงด้วยแล้วก็น่าจะไปตรวจสอบหลายๆเรื่องมา น่าจะรู้อยู่แล้วด้วยว่าผมเป็นคนหยุดมหามังกร และรู้ด้วยว่าผมเป็นเพื่อนกับหนิงที่เป็นเจ้าหญิงมังกรคนนั้น 

รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังอุตส่าห์มาถามกัน ตั้งใจกวนตีนชัดๆ

 “เอาเป็นว่าตอนนี้ทางคุณก็พร้อมสู้เต็มที่แล้วสินะครับ”

ไม่ใช่แค่อ่อนให้ผมตอนแรก ยังไม่ซ้ำเติมผมตอนกำลังตาย แล้วยังจงใจรอให้ผมพร้อมอีก

เอเธอร์รับมือกับผมโดยไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายแพ้

ผมหันไปหาเบลลามี

“ถ้าฉันแพ้ขึ้นมาฝากแบกร่างฉันหนีด้วยนะ”

“เข้าใจแล้ว”

ผมกับเบลลามียกนิ้วโป้งให้กัน เบลลามีรีบวิ่งไปหาที่แอบ-ผมจึงวางใจได้ หันเหความสนใจทั้งหมดมาทางเอเธอร์ เพ่งสมาธิสุดขีด

อีกไม่นาน การต่อสู้รีแมตท์ระหว่างผมกับเอเธอร์จะได้เริ่มขึ้น

“ขอเตือนไว้ก่อนล่ะกัน—–ระวังตายซะล่ะ เอเธอร์!!!!”

ผมพูดข่มสไตล์ผมออกไปและใช้ตัดมิติตัดรอบๆตัว—– [ตัดมิติ-ถลายขีดจำกัด]

คู่ต่อสู้คือเอเธอร์ ต้องใส่สุดตั้งแต่แรกก่อนที่เอเธอร์จะรู้ความสามารถของผมหมดเปลือก เน้นใช้เกมเร็วเผด็จศึกเอเธอร์ในไม่กี่จังหวะ

ผมรวบรวมมานาไว้ที่ฝ่ามือ และบีบให้เป็นรูปเป็นร่าง [ทวนสายฟ้า] จึงปรากฏขึ้นและพุ่งเข้าหาเอเธอร์อย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าเวทมนตร์ดั้งเดิมเพราะใช้ตัดมิติช่วยเสริมพลัง

ผมเร่งขยับร่างด้วยความเร็วสูง———————แต่เอเธอร์มาเร็วกว่า

อึก!!!

เอเธอร์ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าผมหลบทวนสายฟ้าและพุ่งมาประชิดร่าง

ไม่รู้ว่าที่ใช้ใช่ความเร็วสุดตัวรึเปล่า แต่บอกเลยว่าถ้าไม่ ผมหมดสิทธิ์ชนะแล้ว

เอเธอร์กะจะเสยคางผม แต่ผมเดาทางได้เลยหลบด้วยทักษะที่เหนือกว่า

“หืม?”

“ทักษะหมัดทางนี้คือแชมป์โลกเฟ้ย!!”

ผมออกหมัดด้วยความเร็วสูง เทคนิคในชาติก่อนทั้งหมดยังอยู่ในหัวดี

เอเธอร์รับการโจมตีทั้งหมดของผม และรุกรับกับผมราวสองจังหวะ ก่อนที่พวกเรากระโดดเว้นระยะทั้งคู่ และปลดปล่อยเวทมนตร์เข้าใส่กัน

“[เฮลเฟรม!]”

“[รัมปัธ]”

เพลิงสีม่วงและกำแพงดินได้ประทะกัน——-ตู้ม!!!! จนเกิดการระเบิดหมอกควันขึ้น

สภาพสถานที่ตอนนี้อย่างกับมีคนร่ายวิชาไสยศาสตร์เกี่ยวกับภาพดวงตาไม่มีผิด

“นั่นไม่ใช่เวทมนตร์ที่มนุษย์ปกติเขาใช้กันนะครับ—จำไม่ผิด เป็นเวทมนตร์ของปีศาจไม่ใช่หรือครับ”

ผมไม่ได้มีความสามารถเลียนแบบเหมือนเอเธอร์ ที่ทำก็แค่เอาเวทมนตร์ในนิยายมาใช้เท่านั้น ถ้าแค่เวทมนตร์ง่ายๆอย่าง [เฮลเฟรม] ของพวกเผ่าปีศาจ ผมพอจะเอาไปวิเคราะห์และเลียนแบบได้อยู่บ้าง ต่อให้ไม่ได้มีดวงตามหาปราชญ์

..เอเธอร์อยู่ข้างหน้าล่ะมั้ง จากเสียงที่พูดมาน่าจะราวๆ 1 เมตร

ผมพุ่งไปหาเอเธอร์โดยไร้เสียง–แต่ก็โดนเอเธอร์ขัดโดยการโผล่มาดึงคอเสื้อจากด้านข้างและเหวี่ยงผมลงพื้นอย่างกับนักกีฬายูโด โชคดีที่ผมรีบถอดเสื้อนอกออกทำให้ไม่โดนจับเหวี่ยงไปมาเหมือนก่อนหน้า

ระ รู้ได้ไงกัน ที่สำคัญเมื่อตะกี้—-อ๊ะ

พึ่งสังเกตุได้ว่าตรงจุดที่เอเธอร์อยู่มีตุ๊กตาที่เลียนแบบหน้าเอเธอร์อยู่ 

ที่พูดเมื่อกี้ก็คือเสียงเอเธอร์ด้วย ไม่มีทางที่จะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น

“..วิชาไสยศาสตร์”

ไม่รู้แขนงเหมือนกัน แต่น่าจะเกี่ยวกับตุ๊กตา และความสามารถอย่างหนึ่งคือพูดเองตามที่ผู้ใช้สั่ง พอเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่มีทางแยกได้ว่าอันไหนตัวจริงอันไหนตุ๊กตา

เป็นถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก แต่วิธีสู้ขี้ขลาดชะมัด

ในสถานการณ์ที่ทิวทัศน์ถูกปิด วิชาไสยศาสตร์จะแสดงศักยภาพได้เต็มที่

วิชาที่ผมมีอยู่ในคลังมีแค่สามอย่างเท่านั้น ซึ่งแทบไม่ได้ใช้เลยเพราะเหมือนวิชาสำหรับสืบสวนมากกว่าสู้ ถ้านั้นแล้วเป่าควันให้หมดเลยล่ะกัน..ไม่สิ ก็มีวิธีอยู่

ผมฉีกเสื้อที่โดนเอเธอร์ดึง และวาดวงแหวนพิธีไสยศาสตร์ด้วยเวทมนตร์แสงอ่อนๆ

“[วิชาไสยศาสตร์]-[ตามติด]”

เศษเสื้อผมลอยขึ้นฟ้าและลอยตามไปหาเอเธอร์—-ผมสามารถตามติดตัวบุคคลได้ ถ้าเกิดมีรอยนิ้วมือ เลือด อื่นๆ

แน่นอนมีขอบเขตุการใช้งาน อย่างไม่สามารถใช้หาตัวบุคคลที่อยู่ไกลกับผมเกิน 100 เมตรได้ แต่ผมใช้ได้แค่งูๆปลาๆ ถ้าคนเก่งเฉพาะวิชานี้ใช้ อาจจะตามติดได้ข้ามประเทศเลย ยังไงซะที่ใช้อยู่ก็เกินพอแล้ว

ผมพุ่งตามวิชาไสยศาสตร์ไป และออกจังหวะโจมตีตามระยะที่มันตาม เอเธอร์พุ่งสวนเข้าใส่ผม–จังหวะแลกหมัดผมไม่มีทางแพ้แน่ มั่นใจอย่างนั้น แต่เอเธอร์ไม่ได้ใช้หมัด เขาเอียงตัวหลบและใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุ—แสงสีขาวปรากฏที่ผ้าที่ลอยตามเอเธอร์ไป สิ่งนั้นวับหายไปโดยที่แลกกับเศษหินรอบๆ

การตามติดถุูกทำลายแล้ว—สถานการณ์ไม่ได้ได้เปรียบอีกแล้ว นั้นก็ช่วยไม่ได้ เป่าควันทิ้งให้หมดเลย่ละกัน

“[สไปรัลวิน!]”

เกลียวสายลมพัดเอาฝุ่นควันไปจนหมด ..ตามมาด้วยเสียงตบมือ แปะๆ ของเอเธอร์

“ยอดเยี่ยม ไม่เลวครับ เป็นคนที่น่าสนุกเหมือนที่ฟัฟนิร์บอกไว้เลยนะครับ”

ฟัฟนิรื? หะ? ฟัฟนิร์เนี่ยนะ!?

ผมตกใจกับชื่อของคนรู้จัก แต่ก็รีบสลัดชื่อนั้นออกไปก่อน เพราะตอนนี้ผมต้องรับมือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก–ว่าแล้วก็เอาเลย

เอเธอร์พุ่งมาจะซัดหน้า แต่ผมหลบได้ง่ายๆ เพราะรู้อยู่แล้ว

“เร็วมากครับ เป็นความเร็วที่ยอดเยี่ยมมาก แต่เคลื่อนไหวได้ไร้ศิลปะหน่อยนะครับ แต่เข้าใจได้ครับว่าคงไม่ชินกับความเร็วที่ได้จากพลังชั่วคราว ถ้าเกิดเคยชินเมื่อไหร่ น่าจะเร็วพอรับมือกับ ‘ไรเดน อาคาสะ’ ได้เลยครับ ยอดเยี่ยมครับ บนโลกมีไม่ถึงห้าสิบคนเองนะครับ ที่จะตอบโต้ความเร็วของราชาดาบมารคนนั้นได้น่ะ ยังไงซะคุณก็คงชนะเขาไม่ไหว แต่ต้องยอมรับว่า—-สุดยอดครับ”

“หนวกหูเฟ้ย!”

อารมณ์ไหนมาสู้ไปวิจารย์อีกฝ่ายไปฟร้ะ!? แล้วยังบอกว่าผมอ่อนกว่าใครแบบชัดเจนอีก จะเสียมารยาทเกินไปแล้ว!

ผมหันไปแลกหมัดกับเอเธอร์ หมัดชนหมัด และเหมือนว่าแรงผมดูจะน้อยกว่าเอเธอร์อยู่สี่ห้าขั้น ทั้งๆที่ใช้ตัดมิติถลายขีดจำกัดไปแล้ว แต่เทียบด้านพลังกายนี่ยังไม่ถึงขั้นเอเธอร์ ทำเอาอยากร้องบ่นเรียกร้องหาความเป็นธรรมเลย

นี่ขนาดผมต้องใช้ท่าลับที่ต้องทำลายร่างกายตัวเอง ยังมีด้านที่เหนือกว่าเอเธอร์สักด้านไม่ได้เลย ตัวขี้โกงของแท้–ร่างผมถึงกับทรุดจากแรงแลกหมัดที่วัดไม่ไหว

“อะ [เอิร์ธฟิลด์]”

โดมสีขาวปกคลุมทั่วบริเวณ ผมวาปหนีไปอยู่ข้างหลังที่ไกลจากเอเธอร์

“หืม? เอิร์ธฟิลด์นี่มัน เวทมนตร์ขั้นบรรลุสินะครับ ไม่เลวเล–โอ๊ะ”

เอเธอร์ปัดกระสุนหินทีเผลอที่ผมยิ่งออกไปได้ทั้งหมด 

“การโจมตีแบบนั้นเจาะผมไม่ไหวหรอกนะครับ”

“คงนั้น ..ทวนสายฟ้าก็ไม่ไหว เวทมนตร์ขั้นสูงทั่วๆไปก็ไม่ไหว”

ไม่ใช่แค่ไม่ไหว อาจโดนเอเธอร์เลียนแบบหรือสวนกลับได้ง่ายๆทั้งหมด นอกจากการตัดมิติไม่มีอะไรที่เหนือกว่าเอเธอร์เลย

ให้ตัดมิติฆ่าเอเธอร์เลยก็ไม่ไหว ตามทฤษฎีก็ได้อยู่ แต่สู้จริงจังหวะเข้าประชิดแล้วตัดเข้าร่างมันมีที่ไหน ต่อให้มีก็ต้องฟาดอย่างน้อยเป็นพันครั้งในการตัดวิญญาณ ถ้าแค่สร้างความเสียหายกายภาพให้เอเธอร์หน่อยเดียวเอาไม่อยู่หรอก อย่างที่รู้เอเธอร์มีทักษะควบคุมมานาชั้นยอด เป็นคนที่รักษาร่างกายตัวเองได้ตลอดเวลา

วิธีทำความเสียหายให้เอเธอร์ได้คือต้องมีพลังเชิงกายภาพที่รุนแรงมากๆเท่านั้น

“..เอาเถอะ ถึงจะไม่อยากใช้เพราะอาจทำให้เมืองได้รับความเสียหาย แต่ช่วยไม่ได้”

ผมตัดสินใจยอมทิ้งข้อห้ามในใจไป

“หืม? กำลังจะแสดงอะไรน่าสนใจสินะครับ”

“ประมาณนั้น จะเข้าโจมตีไม่ให้โชว์หรือหนีหางจุกตูดก็ตามใจ แต่ถ้าเลือกจะหนีก็อย่าซ่ากลับมาอีกเชียว เพราะครั้งหน้าฉันจะส่งแกไปนรกให้ได้เลยคอยดู”

โม้ปลุกใจตัวเองไปนั้นแหละ ไม่รู้ทำไมเอเธอร์ถึงตลกกับคำขู่ของผมได้หน้าตาเฉย

“ฮา ฮา ฮา ..เอาสิครับ เชิญเลย ผมจะรับมันตรงๆเลยครับ การโจมตีที่รุนแรงที่สุดนั่น”

เป็นคนที่ติดเล่นซะจนแอบเป็นห่วง—-ช่างมัน

ผมทุ่มความสนใจให้กับการโจมตีชุดใหญ่ไฟกระพริบของตัวเอง

เริ่มจากเปลี่ยนถุงมือมาเป็นไม้คทา ชี้มันขึ้นฟ้าและรวบรวมมานา–อัดมันเข้าไป ก่อให้เป็นรูปเป็นร่างก่อน

ท้องฟ้าแยกออกจากกัน อากาศสั่นไหว พื้นดินบางส่วนถูกดูดขึ้นฟ้า เหมือนจะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งเห็นได้บ่อยๆจำพวกหนังวันสิ้นโลกของฝรั่ง

เอเธอร์แหงนหน้ามองอย่างสนอกสนใจ

“แบบนี้นี่เอง ถ้าเป็นสิ่งนี้อาจฆ่าผมก็ได้นะครับ” เอเธอร์ยิ้ม “ในกรณีที่ต้องยืนรับเฉยๆน่ะนะ ซึ่งก็ตรงตามเป๊ะเลย”

เอเธอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นฟ้า

“ขอย้อมแพ้ครับ”

…หะ?

ก็จริงที่ว่าท่าโจมตีต่อไปนี้สามารถฆ่าเอเธอร์ได้ ทว่าข้อจำกัดเยอะมาก ผมจำเป็นต้องร่ายและควบคุมเวทมนตร์อย่างยาวนาน และก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะโดนเอเธอร์ ผมมั่นใจว่าถ้าเอาจริง เอเธอร์หาทางหนีได้แน่ หน้าที่ของผมเลยเป็นใช้ตัดมิติและพลังของตัวเองในการบีบวงให้เอเธอร์โดนมัน

ซึ่งก็คิดว่าเอเธอร์หนีผมได้อีกแหงๆ ทั้งอย่างนั้นทำไมถึงหนีล่ะ

ผมยืนแข็งทื่อ ต่างกับเอเธอร์ที่มีสีหน้าสบายๆ

ผมนึกว่าเขาเป็นคนจำพวกที่ไม่ยอมแพ้คนอื่น จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่ตัวเองจะเหนือกว่าทุกสิ่ง ไม่มีทางต่ำกว่า ..คิดอย่างนั้นแท้ๆ แต่ใบหน้าระรื่นย์เหมือนเห็นอะไรดีๆนั่นอะไรกัน

ด้วยความอึ้งผมเผลอยกเลิกเวทมนตร์โดยไม่รู้ตัว แอบคิดว่าเอเธอร์จะพุ่งมาจัดการผมที่ยกเลิกเวทมนตร์ไป แต่ก็ไม่เลย ซ้ำยังยกนิ้วโป้งขยิบตาให้ผมด้วย

ไม่ใช่เพื่อนเล่นนะเห้ย ท่าทางอย่างนั้นอะไรน่ะ

“ทะ ทำไม ..ทำไมถึงยอมแพ้กัน”

“โหดร้ายจังเลยนะครับ ให้ผมโดนเวทมนตร์ระดับนั้น”

“หลบก็ได้ไม่ใช่เรอะ ขามีไม่ใช่รึไง! อย่างแกพุ่งมาอัดฉันยังได้ด้วยซ้ำ!”

“‘ผมจะรับมันตรงๆเลยครับ การโจมตีที่รุนแรงที่สุดนั่น’ เหมือนผมจะพูดไว้อย่างนี้นะครับ”

จำเป็นต้องรักษาสัญญาขนาดนั้นเลยเรอะ..ไม่สามารถเข้าใจความคิดของเอเธอร์ได้ ..สมฉายาสัตว์ประหลาด หมอนี่มันเป็นสัตว์ประหลาดของจริง

“ในเมื่อผมแพ้แล้วก็จะไม่ขอยกเลิกการจับคุมตัวนะครับ เพราะฉะนั้นมาเข้าธุระต่อไปดีกว่า” 

ว่าแล้วก็ตบมือ แปะๆ เหมือนเป็นการบอกว่าเปลี่ยนเรื่อง

“เดี่ยวสิ เคลียร์ให้จบทีล่ะเรื่องก่อน!”

“ก็จบไปแล้วนี่ครับ”

หะ หา เมื่อตะกี้กำลังฆ่าแกงกันอยู่เลย..ไม่ใช่เรอะ

“ฟัฟนิร์ฝากข้อความมาให้คุณน่ะครับ” เอเธอร์พูด

ฟัฟนิร์ นี่รู้จักกับฟัฟนิร์จริงๆด้วยสินะ แถมยังเอาจดหมายของหล่อนมาให้ผมอีก

เอเธอร์เดินมาหาผม ในมือถือจดหมายอยู่ที่จั่วหัวไว้ว่าฟัฟนิร์เขียน มีอยู่สองฉบับ แต่

“อย่าเข้ามา”

กับคู่ต่อสู้ที่เกือบฆ่าผมได้แล้ว จะทำอารมณ์ดีรับของตรงๆจากมือได้ที่ไหน ไอ้บ้าที่ทำอย่างนั้นได้มีแค่เอเธอร์นั่นแหละ

เอเธอร์ไม่มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษจากปฎิกิริยาของผม

“เชิญครับ”

เอเธอร์เลยโยนให้ผมเองทั้งสองฉบับ ผมรับไว้อย่างพอดี และกางตัวหน้าเอกสารดู ..

“..เอ๊ะ”

จดหมายฉบับที่2 จั่วหัวไว้ว่า ‘จากชิน’

ผมหันไปมองเอเธอร์ด้วยความตะลึง เอเธอร์ยิ้มให้

“ผมขอแนะนำอย่างหนึ่งนะครับเรเซอร์”

จู่ๆก็มาเรียกกันว่าเรเซอร์อย่างกับสนิท ขัดใจหน่อยๆแต่ก็ช่างเถอะ

“เรื่องอะไร”

“ทางฝั่งคาลอสน่าจะพาตัวมหามังกรเพลิงไปแล้ว ซึ่งก็ควรเป็นอย่างนั้น ทว่ามีชายคนหนึ่งอยู่กับเธอด้วยไม่ใช่หรือครับ”

..ยูจิอยู่กับหนิง

ผมหน้าซีดเผือกเก็บจดหมายไว้ในกระเป๋ากางเกง เรื่องจดหมายไว้ค่อยอ่านทีหลัง

“แล้วก็อีกเรื่องครับ”

“มีอะไรก็รีบพูด คนกำลังรี–”

“ต่อจากนี้ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมจะให้ความร่วมมือกับเรเซอร์เอง สนใจรึเปล่า”

..เอ๋

“ทั้งเรื่องการรักษาเพื่อนๆคนสำคัญ หรือถ้าตั้งใจจะไปช่วยเจ้าหญิงมังกรที่ประสาทราชา ผมก็จะให้ความร่วมมือ ให้สอนเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ เล่นแร่แปรธาตุหรือเทคนิคการต่อสู้ก็ได้ ผมมั่นใจว่าตัวเองมีความรู้คลุมไปทั้งโลก เป็นประโยชน์แน่นอนครับ”

เดี่ยวสิ เดี่ยวก่อนนะ เรื่องมันชักจะงงไปใหญ่แล้ว

“..ทำไม”

ผมหันไปมองหน้าเอเธอร์ ซึ่งก็ไม่สามารถเดาความคิดหรืออารมณ์เอเธอร์ได้ดั่งเดิม

“น่าสนุกดีไม่ใช่เหรอครับ?”

ไม่เข้าใจ ยังไงก็ไม่เข้าใจ ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วย น่าสนุกนั่นมันอะไร ที่เกือบจะฆ่าผมไปนี่ก็คือสนุกด้วยรึเปล่า ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

ผมหันไปมองหน้าเอเธอร์ ..

“จะยอมทรยศอาณาจักรฟัฟนิร์ให้เลยครับ”

เอเธอร์พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร กลับกัน ดูจะมีความสุขพิลึก

เอเธอร์ ..เป็นตัวตนที่ไม่มีใครคาดเดาได้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด