แม่ครัวยอดเซียน 197 หลิวหลีคนใจมาร

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 197 หลิวหลีคนใจมาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ผู้อาวุโสหลง นี่คือของที่ท่านต้องการ”

“ขอบคุณทุกท่านมาก” หลิวหลีมองของที่ตนเองต้องการ ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อยนิด ท่านลุงนี่ทำงานเก่งจริงๆ

หลงจิ่งอู๋เก็บภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไว้ในหินเก็บภาพไว้เป็นจำนวนมากและส่งไปยังสถานที่ต่างๆที่มีการปะทะกับคนจากโลกมาร

หลงจิ่งหลินนึกไม่ถึงเลยว่าภารกิจที่ตนเองคิดว่ายากลำบากจะลุล่วงได้อย่างง่ายดาย

“อมิตาพุทธ โยมหลงมีบุญคุณต่อโลกพุทธะ ช่วยไต้ซือมั่วหมิงของเรา โยมหลงสั่งการมาได้เลย โลกพุทธะจะให้ความร่วมืออย่างเต็มที่” หยวนเจินกล่าวพลางพนมมือ

“โลกพุทธะคุณธรรมสูงส่ง ขอบคุณไต้ซือทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ” หลงจิ่งหลินพูดอย่างตื้นตัน

“ทำดีย่อมได้ดี โยมหลงทำแต่ความดี ย่อมได้สิ่งที่ดีๆตอบแทน” หยวนเจินกล่าว

ณ โลกอสูร เจ้าตำหนักทั้งสามรวมตัวอยู่ด้วยกัน

“สหายหลงบอกว่าต้องการความร่วมมือจากโลกอสูรหรือ” คุนเอ่ย

“ใช่แล้ว หวังว่าสหายอสูรทุกท่านจะร่วมมือกับพวกเราสู้กับโลกมาร” หลงจิ่งหลินกล่าว

“ได้สิ สหายหลงหลิวหลีมีบุญคุณต่อโลกอสูรเรา ยิ่งไปกว่านั้นโลกมารแสนทะเยอทะยาน ทุกดินแดนต่างตกที่นั่งลำบาก โลกอสูรเราจะสนใจตัวเองไม่สนใจผู้อื่นได้อย่างไร” คุนพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย

“เจ้าตำหนักคุนช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก” หลงจิ่งหลินนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะราบรื่นเช่นนี้ เขาเตรียมตัวจะโน้มน้าวอีกฝ่ายเต็มที่ ผลคือทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันเขาก็อดนับถือหลานสาวตนเองไม่ได้ นางมีสายสัมพันธ์อันดีกับคนในทุกดินแดน

“นี่คือหินเก็บภาพที่พี่ใหญ่ข้าส่งมาให้ อยากให้ทุกท่านดูเสียหน่อย จิ่งหลิน ขอตัวก่อน” เมื่อหลงจิ่งหลินพูดจบก็ขอตัว โดยเขาเองก็ทิ้งหินเก็บภาพไว้ที่โลกพุทธะชุดหนึ่งเช่นกัน

เขานึกไม่ถึงเลยว่าคำพูดของนังหนูจะทำให้คนหึกเหิมได้ขนาดนี้ ทำให้คนมีกำลังใจ เลือดร้อนขึ้นมา เขาอยากจะไปแนวหน้าเสียในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ดินแดนต่างๆในโลกบำเพ็ญก็ได้รับหินเก็บภาพ ปลุกใจพวกเขาให้ฮึกเหิม

ณ สำนักเมฆาคล้อย เสวียนอวี่ฟังเทียนเย่ารายงานด้วยใบหน้านิ่งเฉย มองดูชางหยางที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ที่วางแขนอยู่ดีๆก็กลายเป็นผุยผงขึ้นมาในทันที

“ท่านเจ้าสำนัก สิ่งที่ศิษย์รายงานเป็นจริงทุกประการ ขอให้ท่านจัดการด้วย” เมื่อเทียนเย่ารายงานเสร็จก็รอเสวียนอวี่เป็นคนสรุป

“ชางหยาง เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 7 เจ้าเคยปรุงยาระดับ 7 ให้สำนักเท่าไหร่กันเชียว ศิษย์หลานผู้นั้นของข้าอยู่สำนักเมฆาคล้อยมา 60 ปี มอบยาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจนคนทั้งสำนักใช้ได้เป็นเวลา 30 ปี อัตราสำเร็จในการปรุงยายอดเยี่ยม และแน่นอนว่าประสิทธิภาพของยาดีเยี่ยมนัก เมื่อเทียบกันแล้วให้ผลดีกว่าของเจ้ามาก ส่วนเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 7 มาสิบปี ไม่เคยมียาศักดิ์สิทธิ์ให้สำนักสักเม็ด อีกทั้งยังสิ้นเปลืองพืชศักดิ์สิทธิ์ระดับ 7 ไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่ยาระดับ 6 ก็ให้มาแค่ไม่กี่เม็ด เจ้ากลับกล้าสั่งนังหนู ยังยกตัวเป็นผู้อาวุโสของนางอีกด้วย ใจกล้ามากจริงๆ เจ้าคิดว่าอายุมากกว่าหลิวหลีไม่กี่ร้อยปี แล้วจะคุยโวอะไรก็ได้หรือ” เสวียนอวี่พูดประโยคสุดท้ายด้วยความโมโห ชางหยางที่อยู่ด้านล่างตัวสั่นระริก

“เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ไม่ทราบว่านางคือผู้อาวุโสหลง” ชางหยางตอบอึกอัก หากเขารู้ว่านั่นคือคนในตำนานท่านนั้น เขาจะกล้าทำเรื่องโง่ๆได้อย่างไร

“ไม่รู้ว่าคือหลงหลิวหลีหรือ หากเป็นคนอื่นเจ้าจะทำตัวเช่นนี้ได้ล่ะสิ ชื่อเสียงหลายแสนปีของสำนักเมฆาคล้อยจะต้องมาด่างพร้อยเพราะคนอย่างเจ้า” เสวียนอวี่หัวเสีย หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงสำนักเมฆาคล้อยของเขาคงจะได้รับผลกระทบไม่น้อย ยังดีที่คนจัดการเรื่องนี้คือหลิวหลี ทุกคนจะแค่พูดว่านางสามารถแยกแยะเรื่องงานและงานส่วนตัวได้

“ท่านเจ้าสำนัก ใจเย็นก่อนขอรับ” เทียนเย่าเกลี้ยกล่อม หากโมโหแล้วต้องเจ็บป่วยพราะคนผู้นี้คงไม่เหมาะสมนัก

“เอาเถอะ เจ้าไปที่ผาสำรวจตนเถอะ หลังจากสงครามสิ้นสุดลง เจ้าจงพิจารณาความผิดของตัวเองไป 100 ปี พาเขาออกไปได้” เสวียนหั่วกล่าว ชางหยางหมดอาลัยตายอยาก นี่กะจะให้เขาแก่ตายอยู่ที่ผาส่องตนเลยใช่ไหม

ส่วนฟากหลิวหลีพอได้ของมาก็เริ่มหาพื้นที่ที่โล่งกว้างและไม่มีคน นางจึงเริ่มทำการทดลองของตนเอง คนที่แทบจะไม่มีความรู้ด้านสารเคมีอย่างนาง แต่ต้องมาทำระเบิดอะไรแบบนี้เวรกรรมแท้ๆ

ในขณะที่หลิวหลีกำลังครุ่นคิดวิเคราะห์อยู่นั้น หนานกงเวิ่นเทียนที่หอดารากรก็ค่อยๆลืมตาขึ้น หอดารากรแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไม่เลว พลังเซียนหนาแน่น เวลาก็เดินช้ากว่าในมิติหลิวหลีมาก บวกกับของล้ำค่าที่เขาใช้นั้นทำให้หนานกงเวิ่นเทียนเริ่มมีแววจะบรรลุขั้นต่อไป นังหนู เจ้าต้องรอข้านะ หนานกงเวิ่นเทียนหลับตาลงอีกครั้ง เพื่อบำเพ็ญเพียรต่อ

ณ โลกมาร เยี่ยซิงหวงก็ได้หินเก็บภาพมาเช่นกัน ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เพื่อที่จะปลุกใจทุกคน หลงจิ่งอู๋ก็เลยทำเก็บไว้หลายชุด

“หึหึ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หลงหลิวหลี เจ้าพูดได้ไม่เลว ใช้ศัพท์ได้ดีจริงๆ ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่ผิดจริงด้วยที่ว่าเจ้าจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในการใหญ่ของข้า แล้วเป็นแบบที่ข้าคิดไว้จริงๆ” เยี่ยซิงหวงพูดขณะมองหลงหลิวหลี

“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ส่งแม่ทัพมารระดับสูงไป อีกอย่างให้ทางนั้นเร่งมือขึ้นอีกสักหน่อย” เยี่ยซิงหวงสั่งการ

“ขอรับ นายท่าน” อั่นอิ่งตอบ

ณ โลกมาร ตำหนักที่เยี่ยซิงหวงเคยอยู่ ด้านล่างมีสระโลหิต ในนั้นมีอสูรร้ายอยู่สองตัว คือหยาจื้อกับต้าเฟิ่ง เป็นอสูรร้ายบรรพกาลที่โด่งดัง พวกเขากำลังแช่ในสระโลหิตด้วยใบหน้าพึงพอใจ ภายในนั้นมีกลิ่นอายอสูรเทพอบอวล แต่เหมือนเจือปนอะไรบางอย่างอยู่ภายใน ราวจะปลดปล่อยความชั่วร้ายทั้งหมดของพวกเขาออกมา

ณ โลกอสูรเทพ เอ๋าเลี่ย จื่อฉี เฟิ่งอิงเสวี่ย อสูรเทพทั้งสามตัวดูดซึมพลังของบรรพชนจนถึงช่วงขั้นสุดท้าย จนบนตัวเริ่มมีกลิ่นอายของบรรพชน เหลือแค่ขั้นเดียวก็จะเป็นผสานจนแนบสนิท แต่ต้องแข่งกับเวลา

ในช่วงนี้นอกจากหลิวหลีจะทำการทดลองของตัวเอง ก็จะออกไปเดินเล่นที่สนามรบบ้างเป็นบางครั้ง โลกมารมองอันดับหนึ่งผู้นี้ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะมีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้โหดร้ายมากกว่า ฆ่าศัตรูตามอารมณ์ อารมณ์ดี ก็จะเล่นด้วย เล่นจนเบื่อก็สังหารทิ้ง หากอารมณ์ไม่ดี ก็ลงมือในทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะโผล่หน้าออกมา ก็ได้กลับเข้าสู่อ้อมกอดของยมบาลแล้ว อีกทั้งยังชอบใช้ยาต่าง ๆ มาทดลองกับพวกเขา โลกมารมอบฉายาให้กับหลิวหลีว่า ‘คนใจมาร’ มารร้ายที่ทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเอง

หลิวหลีได้ยินฉายานี้จากฮัวจิงเฟยที่กินยาแล้วมาบอกนาง ตอนนั้นด้วยสีหน้าที่กวนบาทาของฮัวจิงเฟย ทำให้หลิวหลีคันไม้คันมือจนยั้งมือไว้ไม่อยู่ จนอยากจัดการเขาเพื่อระบายอารมณ์

“คนใจมาร นางเป็นเด็กที่เกิดในชาติตระกูลดี ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี แต่กลับใช้คำว่านังมารเรียกขานนาง สมองเผ่ามารเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงจะไม่มีความรู้ แต่นางก็รู้จักคำว่ามารถือเป็นคำยกย่องในโลกมาร” หลิวหลีบ่นพึมพำกับตัวเอง

เรื่องที่หลิวหลีเป็นคนใจมารแพร่กระจายไปทั่วโลกบำเพ็ญเพียร ทุกดินแดนมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรความหมายในด้านบวกก็มีมากกว่าเล็กน้อย เพราะคนที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญมารปวดหัวได้ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างไร

“ข้าคิดว่าหลิวหลีคงจะไม่ชอบฉายานี้แน่” ชิงหลวนบ่นกับหยวนเทียนและเฟยเผิงอยู่ ณ โลกอสูร

“ใช่ นางคงรู้สึกว่าโดนดูถูก” หยวนเทียนพยักหน้า

“เฮ้อ รอหลิวหลีรู้ก่อนเถอะว่าฉายาที่อยู่ๆก็ได้มานี้ ทำให้นางไปติดอันดับหนึ่งของการจัดอันดับผู้โหดร้ายก่อนเถอะ เอาเถอะ พวกเราเฝ้าทางนี้ไว้ให้ดี ถ้าไปที่นั่นดีไม่ดีอาจจะซวยเจอลูกหลงก็ได้” เฟยเผิงพูดด้วยท่าทีเกินจริง

“อมิตาพุทธ หากหลิวหลีเห็นเข้าจะต้องโมโหอย่างแน่นอน” หยวนเจินก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน

“อมิตาพุทธ โยมหลงเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก” โม่เนี่ยนพนมมือแล้วพูดขึ้น

ถามว่าหลิวหลีติดขัดอะไรหรือไม่ นางติดใจอย่างมาก แต่พอมองฮัวจิงเฟยที่มีร่างกายที่น่ารังแก พยายามมาปรากฏตัวขึ้นอยู่ในสายตาของตัวเอง มอบรายชื่อการจัดอันดับแผ่นหนึ่งให้กับหลิวหลีด้วยรอยยิ้มเยาะ รายชื่อผู้โหดร้ายอันดับหนึ่งคือนาง หลงหลิวหลี

“คนกลุ่มนี้มีเวลาทำอะไรน่ารังเกียจเช่นนี้ แต่กลับไม่มีเวลาเตรียมตัวรับมือกับศัตรู ตรงนี้ยุ่งกันจะตายอยู่แล้ว แล้วเจ้าอีก แนวหน้าไม่ต้องการคนหรือ ทำไมถึงได้ไขว้เขวไปเรื่องอื่นเสมอ มิน่าเจ้าถึงเพิ่งจะอยู่ในช่วงรวมกายา รายงานที่ข้าได้รับเมื่อครั้งที่แล้วคือ ชิงหลวนเข้าสู่ระยะกลางแล้ว อันดับผู้ถูกเลือกของนางอยู่ต่ำกว่าเจ้าด้วยซ้ำ” หลิวหลีโมโหจนสบถด่า เหยียบฮัวจิงเฟยจนแทบจะจมดิน

ฮัวจิงเฟยรู้ตัวว่าตนเองติดเล่นเกินไป จึงคิดจะแอบหนีไป ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวอีกสักครู่ ตัวเองอาจจะต้องเละไปอีกหลายวัน

“คิดว่าหลบข้าแล้วจะรอดหรือ” หลิวหลีมองแผ่นหลังของฮัวจิงเฟย แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม

ฮัวจิงเฟยเดินไปไกลแล้วแต่ยังไม่ทันได้หายใจให้เต็มปอด ก็ต้องประหลาดใจเพราะเสียงหัวเราะประหลาดลอยเข้าหู มีคนใจดีส่งกระจกวารีให้ดู

“หลงหลิวหลี เจ้าจะเอายาประหลาดของเจ้าไปทำอย่างอื่นบ้างไม่ได้หรือ” ฮัวจิงเฟยมองสภาพหัวหมูที่ชวนตกใจมากกว่าคราวก่อน แล้วคราวนี้จะต้องอยู่ในสภาพนี้อีกนานเท่าไหร่

“หึ ใครใช้ให้เจ้ามาหัวเราะเยาะข้า เสี่ยวเทียนไม่มีทางมาแกล้งข้าเช่นนี้แน่” หลิวหลีย่อมได้ยินเสียงตะโกนของฮัวจิงเฟย เสียเปรียบเขาไปหน่อย ยาทำลายใบหน้าหลังจากสาดยาไปแล้วจะทำให้ใบหน้าแปลกประหลาดแต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ จะทำให้หน้าตาดูดีขึ้น นางไม่เคยให้ใครเลยสักคน

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ฮัวจิงเฟยก็พบว่าใบหน้าของตัวเองเหมือนจะกลับไปเป็นเด็กอายุ 15-16 ไม่มีร่องรอยอารยธรรมเลยแม้แต่น้อย คนที่พบเห็นอยากจะเดินเข้ามาลูบคลำ หลงหลิวหลี จิตใจเจ้าช่างคับแคบ ฉายานั้นไม่ใช่ว่าไม่มีมูลสักหน่อย ฮัวจิงเฟยอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา

ในอีกด้านหนึ่งหลงจิ่งอู๋ได้รับรายงานมาว่า จับผู้บำเพ็ญเพียรมารที่แอบลักลอบเข้ามาอยู่ในแนวป้องกันของพวกเขาได้หนึ่งคน หลงจิ่งอู๋รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าผู้บำเพ็ญคนนี้ดูเหมือนไม่ใช่คนที่กระหายเลือดนัก ทำไมถึงต้องแอบลักลอบเข้ามาในแนวป้องกันของพวกเขา ผลปรากฏว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มผู้นั้นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ขอร้องล่ะ พาข้าไปหาหลงหลิวหลี ข้ามีเรื่องสำคัญต้องบอกนาง” ชายเผ่ามารพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 197 หลิวหลีคนใจมาร

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 197 หลิวหลีคนใจมาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ผู้อาวุโสหลง นี่คือของที่ท่านต้องการ”

“ขอบคุณทุกท่านมาก” หลิวหลีมองของที่ตนเองต้องการ ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อยนิด ท่านลุงนี่ทำงานเก่งจริงๆ

หลงจิ่งอู๋เก็บภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไว้ในหินเก็บภาพไว้เป็นจำนวนมากและส่งไปยังสถานที่ต่างๆที่มีการปะทะกับคนจากโลกมาร

หลงจิ่งหลินนึกไม่ถึงเลยว่าภารกิจที่ตนเองคิดว่ายากลำบากจะลุล่วงได้อย่างง่ายดาย

“อมิตาพุทธ โยมหลงมีบุญคุณต่อโลกพุทธะ ช่วยไต้ซือมั่วหมิงของเรา โยมหลงสั่งการมาได้เลย โลกพุทธะจะให้ความร่วมืออย่างเต็มที่” หยวนเจินกล่าวพลางพนมมือ

“โลกพุทธะคุณธรรมสูงส่ง ขอบคุณไต้ซือทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ” หลงจิ่งหลินพูดอย่างตื้นตัน

“ทำดีย่อมได้ดี โยมหลงทำแต่ความดี ย่อมได้สิ่งที่ดีๆตอบแทน” หยวนเจินกล่าว

ณ โลกอสูร เจ้าตำหนักทั้งสามรวมตัวอยู่ด้วยกัน

“สหายหลงบอกว่าต้องการความร่วมมือจากโลกอสูรหรือ” คุนเอ่ย

“ใช่แล้ว หวังว่าสหายอสูรทุกท่านจะร่วมมือกับพวกเราสู้กับโลกมาร” หลงจิ่งหลินกล่าว

“ได้สิ สหายหลงหลิวหลีมีบุญคุณต่อโลกอสูรเรา ยิ่งไปกว่านั้นโลกมารแสนทะเยอทะยาน ทุกดินแดนต่างตกที่นั่งลำบาก โลกอสูรเราจะสนใจตัวเองไม่สนใจผู้อื่นได้อย่างไร” คุนพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย

“เจ้าตำหนักคุนช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก” หลงจิ่งหลินนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะราบรื่นเช่นนี้ เขาเตรียมตัวจะโน้มน้าวอีกฝ่ายเต็มที่ ผลคือทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันเขาก็อดนับถือหลานสาวตนเองไม่ได้ นางมีสายสัมพันธ์อันดีกับคนในทุกดินแดน

“นี่คือหินเก็บภาพที่พี่ใหญ่ข้าส่งมาให้ อยากให้ทุกท่านดูเสียหน่อย จิ่งหลิน ขอตัวก่อน” เมื่อหลงจิ่งหลินพูดจบก็ขอตัว โดยเขาเองก็ทิ้งหินเก็บภาพไว้ที่โลกพุทธะชุดหนึ่งเช่นกัน

เขานึกไม่ถึงเลยว่าคำพูดของนังหนูจะทำให้คนหึกเหิมได้ขนาดนี้ ทำให้คนมีกำลังใจ เลือดร้อนขึ้นมา เขาอยากจะไปแนวหน้าเสียในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ดินแดนต่างๆในโลกบำเพ็ญก็ได้รับหินเก็บภาพ ปลุกใจพวกเขาให้ฮึกเหิม

ณ สำนักเมฆาคล้อย เสวียนอวี่ฟังเทียนเย่ารายงานด้วยใบหน้านิ่งเฉย มองดูชางหยางที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ที่วางแขนอยู่ดีๆก็กลายเป็นผุยผงขึ้นมาในทันที

“ท่านเจ้าสำนัก สิ่งที่ศิษย์รายงานเป็นจริงทุกประการ ขอให้ท่านจัดการด้วย” เมื่อเทียนเย่ารายงานเสร็จก็รอเสวียนอวี่เป็นคนสรุป

“ชางหยาง เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 7 เจ้าเคยปรุงยาระดับ 7 ให้สำนักเท่าไหร่กันเชียว ศิษย์หลานผู้นั้นของข้าอยู่สำนักเมฆาคล้อยมา 60 ปี มอบยาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจนคนทั้งสำนักใช้ได้เป็นเวลา 30 ปี อัตราสำเร็จในการปรุงยายอดเยี่ยม และแน่นอนว่าประสิทธิภาพของยาดีเยี่ยมนัก เมื่อเทียบกันแล้วให้ผลดีกว่าของเจ้ามาก ส่วนเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 7 มาสิบปี ไม่เคยมียาศักดิ์สิทธิ์ให้สำนักสักเม็ด อีกทั้งยังสิ้นเปลืองพืชศักดิ์สิทธิ์ระดับ 7 ไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่ยาระดับ 6 ก็ให้มาแค่ไม่กี่เม็ด เจ้ากลับกล้าสั่งนังหนู ยังยกตัวเป็นผู้อาวุโสของนางอีกด้วย ใจกล้ามากจริงๆ เจ้าคิดว่าอายุมากกว่าหลิวหลีไม่กี่ร้อยปี แล้วจะคุยโวอะไรก็ได้หรือ” เสวียนอวี่พูดประโยคสุดท้ายด้วยความโมโห ชางหยางที่อยู่ด้านล่างตัวสั่นระริก

“เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์ไม่ทราบว่านางคือผู้อาวุโสหลง” ชางหยางตอบอึกอัก หากเขารู้ว่านั่นคือคนในตำนานท่านนั้น เขาจะกล้าทำเรื่องโง่ๆได้อย่างไร

“ไม่รู้ว่าคือหลงหลิวหลีหรือ หากเป็นคนอื่นเจ้าจะทำตัวเช่นนี้ได้ล่ะสิ ชื่อเสียงหลายแสนปีของสำนักเมฆาคล้อยจะต้องมาด่างพร้อยเพราะคนอย่างเจ้า” เสวียนอวี่หัวเสีย หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงสำนักเมฆาคล้อยของเขาคงจะได้รับผลกระทบไม่น้อย ยังดีที่คนจัดการเรื่องนี้คือหลิวหลี ทุกคนจะแค่พูดว่านางสามารถแยกแยะเรื่องงานและงานส่วนตัวได้

“ท่านเจ้าสำนัก ใจเย็นก่อนขอรับ” เทียนเย่าเกลี้ยกล่อม หากโมโหแล้วต้องเจ็บป่วยพราะคนผู้นี้คงไม่เหมาะสมนัก

“เอาเถอะ เจ้าไปที่ผาสำรวจตนเถอะ หลังจากสงครามสิ้นสุดลง เจ้าจงพิจารณาความผิดของตัวเองไป 100 ปี พาเขาออกไปได้” เสวียนหั่วกล่าว ชางหยางหมดอาลัยตายอยาก นี่กะจะให้เขาแก่ตายอยู่ที่ผาส่องตนเลยใช่ไหม

ส่วนฟากหลิวหลีพอได้ของมาก็เริ่มหาพื้นที่ที่โล่งกว้างและไม่มีคน นางจึงเริ่มทำการทดลองของตนเอง คนที่แทบจะไม่มีความรู้ด้านสารเคมีอย่างนาง แต่ต้องมาทำระเบิดอะไรแบบนี้เวรกรรมแท้ๆ

ในขณะที่หลิวหลีกำลังครุ่นคิดวิเคราะห์อยู่นั้น หนานกงเวิ่นเทียนที่หอดารากรก็ค่อยๆลืมตาขึ้น หอดารากรแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไม่เลว พลังเซียนหนาแน่น เวลาก็เดินช้ากว่าในมิติหลิวหลีมาก บวกกับของล้ำค่าที่เขาใช้นั้นทำให้หนานกงเวิ่นเทียนเริ่มมีแววจะบรรลุขั้นต่อไป นังหนู เจ้าต้องรอข้านะ หนานกงเวิ่นเทียนหลับตาลงอีกครั้ง เพื่อบำเพ็ญเพียรต่อ

ณ โลกมาร เยี่ยซิงหวงก็ได้หินเก็บภาพมาเช่นกัน ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เพื่อที่จะปลุกใจทุกคน หลงจิ่งอู๋ก็เลยทำเก็บไว้หลายชุด

“หึหึ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หลงหลิวหลี เจ้าพูดได้ไม่เลว ใช้ศัพท์ได้ดีจริงๆ ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่ผิดจริงด้วยที่ว่าเจ้าจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในการใหญ่ของข้า แล้วเป็นแบบที่ข้าคิดไว้จริงๆ” เยี่ยซิงหวงพูดขณะมองหลงหลิวหลี

“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ส่งแม่ทัพมารระดับสูงไป อีกอย่างให้ทางนั้นเร่งมือขึ้นอีกสักหน่อย” เยี่ยซิงหวงสั่งการ

“ขอรับ นายท่าน” อั่นอิ่งตอบ

ณ โลกมาร ตำหนักที่เยี่ยซิงหวงเคยอยู่ ด้านล่างมีสระโลหิต ในนั้นมีอสูรร้ายอยู่สองตัว คือหยาจื้อกับต้าเฟิ่ง เป็นอสูรร้ายบรรพกาลที่โด่งดัง พวกเขากำลังแช่ในสระโลหิตด้วยใบหน้าพึงพอใจ ภายในนั้นมีกลิ่นอายอสูรเทพอบอวล แต่เหมือนเจือปนอะไรบางอย่างอยู่ภายใน ราวจะปลดปล่อยความชั่วร้ายทั้งหมดของพวกเขาออกมา

ณ โลกอสูรเทพ เอ๋าเลี่ย จื่อฉี เฟิ่งอิงเสวี่ย อสูรเทพทั้งสามตัวดูดซึมพลังของบรรพชนจนถึงช่วงขั้นสุดท้าย จนบนตัวเริ่มมีกลิ่นอายของบรรพชน เหลือแค่ขั้นเดียวก็จะเป็นผสานจนแนบสนิท แต่ต้องแข่งกับเวลา

ในช่วงนี้นอกจากหลิวหลีจะทำการทดลองของตัวเอง ก็จะออกไปเดินเล่นที่สนามรบบ้างเป็นบางครั้ง โลกมารมองอันดับหนึ่งผู้นี้ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะมีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้โหดร้ายมากกว่า ฆ่าศัตรูตามอารมณ์ อารมณ์ดี ก็จะเล่นด้วย เล่นจนเบื่อก็สังหารทิ้ง หากอารมณ์ไม่ดี ก็ลงมือในทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะโผล่หน้าออกมา ก็ได้กลับเข้าสู่อ้อมกอดของยมบาลแล้ว อีกทั้งยังชอบใช้ยาต่าง ๆ มาทดลองกับพวกเขา โลกมารมอบฉายาให้กับหลิวหลีว่า ‘คนใจมาร’ มารร้ายที่ทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเอง

หลิวหลีได้ยินฉายานี้จากฮัวจิงเฟยที่กินยาแล้วมาบอกนาง ตอนนั้นด้วยสีหน้าที่กวนบาทาของฮัวจิงเฟย ทำให้หลิวหลีคันไม้คันมือจนยั้งมือไว้ไม่อยู่ จนอยากจัดการเขาเพื่อระบายอารมณ์

“คนใจมาร นางเป็นเด็กที่เกิดในชาติตระกูลดี ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี แต่กลับใช้คำว่านังมารเรียกขานนาง สมองเผ่ามารเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงจะไม่มีความรู้ แต่นางก็รู้จักคำว่ามารถือเป็นคำยกย่องในโลกมาร” หลิวหลีบ่นพึมพำกับตัวเอง

เรื่องที่หลิวหลีเป็นคนใจมารแพร่กระจายไปทั่วโลกบำเพ็ญเพียร ทุกดินแดนมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรความหมายในด้านบวกก็มีมากกว่าเล็กน้อย เพราะคนที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญมารปวดหัวได้ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างไร

“ข้าคิดว่าหลิวหลีคงจะไม่ชอบฉายานี้แน่” ชิงหลวนบ่นกับหยวนเทียนและเฟยเผิงอยู่ ณ โลกอสูร

“ใช่ นางคงรู้สึกว่าโดนดูถูก” หยวนเทียนพยักหน้า

“เฮ้อ รอหลิวหลีรู้ก่อนเถอะว่าฉายาที่อยู่ๆก็ได้มานี้ ทำให้นางไปติดอันดับหนึ่งของการจัดอันดับผู้โหดร้ายก่อนเถอะ เอาเถอะ พวกเราเฝ้าทางนี้ไว้ให้ดี ถ้าไปที่นั่นดีไม่ดีอาจจะซวยเจอลูกหลงก็ได้” เฟยเผิงพูดด้วยท่าทีเกินจริง

“อมิตาพุทธ หากหลิวหลีเห็นเข้าจะต้องโมโหอย่างแน่นอน” หยวนเจินก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน

“อมิตาพุทธ โยมหลงเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก” โม่เนี่ยนพนมมือแล้วพูดขึ้น

ถามว่าหลิวหลีติดขัดอะไรหรือไม่ นางติดใจอย่างมาก แต่พอมองฮัวจิงเฟยที่มีร่างกายที่น่ารังแก พยายามมาปรากฏตัวขึ้นอยู่ในสายตาของตัวเอง มอบรายชื่อการจัดอันดับแผ่นหนึ่งให้กับหลิวหลีด้วยรอยยิ้มเยาะ รายชื่อผู้โหดร้ายอันดับหนึ่งคือนาง หลงหลิวหลี

“คนกลุ่มนี้มีเวลาทำอะไรน่ารังเกียจเช่นนี้ แต่กลับไม่มีเวลาเตรียมตัวรับมือกับศัตรู ตรงนี้ยุ่งกันจะตายอยู่แล้ว แล้วเจ้าอีก แนวหน้าไม่ต้องการคนหรือ ทำไมถึงได้ไขว้เขวไปเรื่องอื่นเสมอ มิน่าเจ้าถึงเพิ่งจะอยู่ในช่วงรวมกายา รายงานที่ข้าได้รับเมื่อครั้งที่แล้วคือ ชิงหลวนเข้าสู่ระยะกลางแล้ว อันดับผู้ถูกเลือกของนางอยู่ต่ำกว่าเจ้าด้วยซ้ำ” หลิวหลีโมโหจนสบถด่า เหยียบฮัวจิงเฟยจนแทบจะจมดิน

ฮัวจิงเฟยรู้ตัวว่าตนเองติดเล่นเกินไป จึงคิดจะแอบหนีไป ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวอีกสักครู่ ตัวเองอาจจะต้องเละไปอีกหลายวัน

“คิดว่าหลบข้าแล้วจะรอดหรือ” หลิวหลีมองแผ่นหลังของฮัวจิงเฟย แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม

ฮัวจิงเฟยเดินไปไกลแล้วแต่ยังไม่ทันได้หายใจให้เต็มปอด ก็ต้องประหลาดใจเพราะเสียงหัวเราะประหลาดลอยเข้าหู มีคนใจดีส่งกระจกวารีให้ดู

“หลงหลิวหลี เจ้าจะเอายาประหลาดของเจ้าไปทำอย่างอื่นบ้างไม่ได้หรือ” ฮัวจิงเฟยมองสภาพหัวหมูที่ชวนตกใจมากกว่าคราวก่อน แล้วคราวนี้จะต้องอยู่ในสภาพนี้อีกนานเท่าไหร่

“หึ ใครใช้ให้เจ้ามาหัวเราะเยาะข้า เสี่ยวเทียนไม่มีทางมาแกล้งข้าเช่นนี้แน่” หลิวหลีย่อมได้ยินเสียงตะโกนของฮัวจิงเฟย เสียเปรียบเขาไปหน่อย ยาทำลายใบหน้าหลังจากสาดยาไปแล้วจะทำให้ใบหน้าแปลกประหลาดแต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ จะทำให้หน้าตาดูดีขึ้น นางไม่เคยให้ใครเลยสักคน

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ฮัวจิงเฟยก็พบว่าใบหน้าของตัวเองเหมือนจะกลับไปเป็นเด็กอายุ 15-16 ไม่มีร่องรอยอารยธรรมเลยแม้แต่น้อย คนที่พบเห็นอยากจะเดินเข้ามาลูบคลำ หลงหลิวหลี จิตใจเจ้าช่างคับแคบ ฉายานั้นไม่ใช่ว่าไม่มีมูลสักหน่อย ฮัวจิงเฟยอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา

ในอีกด้านหนึ่งหลงจิ่งอู๋ได้รับรายงานมาว่า จับผู้บำเพ็ญเพียรมารที่แอบลักลอบเข้ามาอยู่ในแนวป้องกันของพวกเขาได้หนึ่งคน หลงจิ่งอู๋รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าผู้บำเพ็ญคนนี้ดูเหมือนไม่ใช่คนที่กระหายเลือดนัก ทำไมถึงต้องแอบลักลอบเข้ามาในแนวป้องกันของพวกเขา ผลปรากฏว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มผู้นั้นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ขอร้องล่ะ พาข้าไปหาหลงหลิวหลี ข้ามีเรื่องสำคัญต้องบอกนาง” ชายเผ่ามารพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+