แม่ครัวยอดเซียน 226 ปรากฏการณ์ขณะเข้าหอ

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 226 ปรากฏการณ์ขณะเข้าหอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่ทั้งสองกำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญ หลิวหลีกำลังพึงพอใจในร่างกายที่ขาวเนียนอย่างยิ่งของหนานกงเวิ่นเทียน บรรพชนสกุลหนานกงในดินแดนลับตอนนั้นทำได้ดี ความโชคดีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ

อุณหภูมิที่หูของหนานกงเวิ่นเทียนไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทำไมนังหนูถึงได้ใจกล้าเช่นนี้ ทำราวกับว่าเขาเป็นฮูหยินเสียเอง

จนเมื่อทั้งสองตกเป็นของกันและกันแล้ว ปราณกำเนิดเซียนของทั้งสองก็เกิดความเคลื่อนไหว ปราณกำเนิดเซียนของหลิวหลีหายไปจากตัวของนางแต่ไปปรากฏในร่างกายของหนานกงเวิ่นเทียน และมันผลักปราณกำเนิดเซียนของหนานกงเวิ่นเทียนล้มลง แล้วประสาทเซียนของทั้งสองก็เกี่ยวกระหวัดอยู่ด้วยกัน ทำให้หนานกงเวิ่นเทียนตัวงอเป็นกุ้ง หลิวหลีลูบหลังเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปลอบโยนเขา จนเขาเริ่มปรับตัวได้ หลิวหลีคิดมาตลอดว่าพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาไม่ต่างกันมาก ใครจะไปนึกว่าประสาทเซียนของนางใหญ่โตกว่าของอีกฝ่ายมากจนแทบจะคลุมประสาทเซียนของอีกฝ่ายได้แล้ว

จนหนานกงเวิ่นเทียนเริ่มปรับตัวได้ การฝ่าฟันรอบใหม่ของคนทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น

บนท้องฟ้าในโลกเซียน มีภาพมังกรและหงส์ปรากฏขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึง เมื่อเห็นมังกรยักษ์เกล็ดเก้าสี และหงส์ขาว ทุกคนตื่นตระหนกอย่างยิ่งที่อยู่ๆก็มีภาพนิมิตปรากฏขึ้นในโลกเซียน ทำไมถึงได้มีภาพนิมิตมงคลขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยได้

เอ๋าเลี่ยมองภาพบนท้องฟ้า แล้วขมวดคิ้ว ทำแก้มป่อง ทำให้คนพบเห็นอยากจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มอย่างอดไม่ได้

“อาเลี่ย เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” เอ๋าเฟิงถาม รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าจะรู้อะไรมา อยู่ๆมีภาพนิมิตมงคลเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา จะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน

“ขอรับ ท่านทวด ภาพนิมิตนี้ดูคุ้นตาไม่น้อย ตอนนังหนูอยู่ในโลกเบื้องล่างมีทุกครั้งที่นางดูดซึมเพลิงอัคคี จะปรากฏภาพมังกรขนาดใหญ่ขึ้นบนฟ้า พอนังหนูพิชิตเพลิงอัคคีหนึ่งชนิด เกล็ดของมังกรยักษ์ก็จะมีสีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสี ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเทพเจ้ามังกรเก้าสี อีกอย่างหงส์ตัวนั้นก็ดูสอดคล้องกับหนานกงเวิ่นเทียน บวกกับตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังเข้าหอก็เลยคิดว่าภาพนิมิตนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขา” เอ๋าเลี่ยกล่าว

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เอ๋าเฟิงประหลาดใจ บรรพชนหลายคนที่อยู่ข้างๆก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

“นังหนูฝึกเคล็ดวิชาอะไรหรือ เป็นเคล็ดวิชาที่มีความพิเศษอะไรหรือไม่?” เฟิ่งซานที่อยู่ข้างๆ คิดๆแล้วพูดขึ้น

“เคล็ดวิชาที่นังหนูฝึกพิเศษจริงๆ นังหนูฝึกเคล็ดวิชาที่ทุกคนในโลกเบื้องล่างต่างรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก่อนนี้ไม่เคยมีใครเคยฝึกเคล็ดวิชาเพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณสำเร็จมาก่อน ตอนนี้ในร่างกายของนังหนูมีเพลิงอัคคีอยู่ 10 ชนิด แต่มีเพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้นที่บรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนแล้ว หากพูดว่าในใต้หล้านี้นังหนูเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเพลิงอัคคีอันดับสอง คงไม่มีใครกล้าเรียกตนเองเป็นอันดับหนึ่ง” เอ๋าเลี่ยรู้สึกภูมิใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

“ข้าเคยได้ยินเคล็ดวิชานี้มาก่อน เป็นเคล็ดวิชาที่ใครก็รู้จักจริงๆ แต่ไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จ นึกไม่ถึงว่านังหนูจะเป็นคนที่ฝึกสำเร็จ” ฮัวฉีพูดอย่างประหลาดใจน้อยๆ

“เรื่องของนังหนูคงจะไม่ได้มีแค่นี้แน่ เจ้าหนูเอ๋าเลี่ย เจ้าคงมีอะไรจะพูดอีกใช่หรือไม่” เอ๋าเฟิงเอ่ยถามเมื่อเห็นเอ๋าเลี่ยที่แปลกไปจากปกติ

“ใช่ขอรับ ในโลกเบื้องล่างเคยเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างผู้บำเพ็ญฝ่ายธรรมกับอธรรมขึ้น นังหนูกับเจ้าหนูพยายามต้านทานไว้ และสุดท้ายเพื่อรักษาโลกบำเพ็ญเพียร นังหนูนำมิติที่ตัวเองได้มาแยกออกเป็นห้าส่วน เพื่อช่วยโลกบำเพ็ญเพียรไว้ จึงเกิดแสงแห่งบารมีที่แรงกล้าบนตัวนาง จึงไม่เคยต้องประสบเคราะห์ร้าย โชคดีมาโดยตลอด” เอ๋าเลี่ยกล่าวต่อ

“ข้าลืมบอกไปเลยว่า มิตินั้นเป็นมิติที่มีภูตอาวุธอยู่ด้วย” เอ๋าเลี่ยพูดเสริม

“เจ้าจะบอกว่ามิติที่นังหนูหลิวหลีได้มามีภูตอาวุธอาศัยอยู่ด้วย แต่เพื่อที่ให้โลกบำเพ็ญเพียรผ่านวิบากกรรม นางแบ่งมิติออกเป็น 5 ส่วนเพื่อช่วยโลกบำเพ็ญเพียร แล้วภูตอาวุธตนนั้นล่ะ” เฟิ่งซานรู้สึกเสียดาย มิติที่มีภูตอาวุธอยู่สามารถนำมาใช้ในโลกเซียนได้ นังหนูเก่งขนาดนี้ ถึงกับทำให้เขาต้องเหงื่อตก รู้สึกละอายจริงๆ

“ภูตอาวุธ ถูกหอพยากรณ์ใส่เข้าไปในหินย้อนเวลาให้กลับไปเกิดใหม่แล้วขอรับ ก็ถือว่าจบลงด้วยดี” เอ๋าเลี่ยกล่าว

ภาพนิมิตนั้นปรากฏขึ้นยาวนานถึง 81 เดือน จึงจะสลายไป

พลังเซียนของหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเชื่อมต่อกัน แล้วต่างคนก็ต่างดูดพลังเซียนของอีกฝ่าย จนพลังเซียนภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทะลุเขตปราการพลัง แล้วสัญลักษณ์บนหน้าผากของคนทั้งสองกระพริบกลายเป็นสีทองเข้ม พลังบำเพ็ญเพียรของทั้งสองเข้าสู่ขั้นเทพเซียนสุวรรณนภา แต่คนทั้งสองก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ปราณกำเนิดเซียนของหลิวหลีพึงพอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะกลับเข้าไปในร่างของหลิวหลี ก็ไม่ลืมจะจุมพิตปราณกำเนิดเซียนของหนานกงเวิ่นเทียน ปราณกำเนิดเซียนของหนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดง แต่สีหน้าฉายแววพึงพอใจ

เมื่อทั้งสองคนลืมตาขึ้นต่างก็เห็นแววตาอ่อนโยนจากดวงตาของอีกฝ่าย

ตอนนี้พวกเขาได้หลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน มีจิตเชื่อมถึงกัน หลิวหลีจูบหนานกงเวิ่นเทียนเบาๆ

“เสี่ยวเทียน ตอนนี้ไม่มีใครสามารถแยกพวกเราออกจากกันได้ อยู่ๆก็ไม่อยากกลับวังนภาเพลิงแล้ว” หลิวหลีพูดใส่อารมณ์น้อยๆ หากกลับไปที่วังนภาเพลิงก็คงจะไม่ได้เจอสามีของนางอีก นางอุตส่าห์ได้เริ่มกินเนื้อ ไม่อยากจะกลับไปกินเจแล้ว  ขณะที่คิดก็จุมพิตหนานกงเวิ่นเทียนไปครั้งแล้วครั้งเล่า

“ข้าเองก็อยากจะมีเจ้าอยู่ข้างกาย” หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน เพิ่งจะได้เริ่มกินเนื้อ ถึงแม้เนื้อก้อนนี้จะเป็นของตัวเองแล้ว แต่ถ้าไม่ได้เจอกันก็คงจะรู้สึกแปลกๆ ในที่สุดนังหนูก็กลายเป็นของเขาแล้ว ดีจริงๆ

“เสี่ยวเทียน ข้าไม่เคยคิดเลยว่า การบำเพ็ญร่วมจะทำให้พวกเราบรรลุขั้นได้” หลิวหลีก็แปลกใจเมื่อเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของตนแต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเสียดายคือ เพลิงอัคคีของนางก็ยังคงมีเพียงแต่เพลิงวิญญาณไม้กับเพลิงบุปผาเหมันต์เท่านั้นที่กลายเป็นเพลิงเซียน ส่วนเพลิงดาราทมิฬยังคงอยู่ในสภาพกระพริบน้อยๆ พลังบำเพ็ญเพียรก็เพิ่มขึ้นแล้ว เงื่อนไขในการบรรลุขั้นของเพลิงอัคคีจะลดลงหน่อยไม่ได้เลยหรือ

“นั่นสิ” หนานกงเวิ่นเทียนพอจะเข้าใจขึ้นมาลางๆ ร่างกายของพวกเขาทั้งสองคนมีคุณสมบัติพิเศษ อีกอย่างทั้งสองยังมีคุณสมบัติเกื้อหนุนกัน ทำให้ผลจากการบำเพ็ญร่วมออกมาค่อนข้างดี แต่หากทั้งบำเพ็ญร่วมอีกหลังจากนี้ ก็คงจะไม่ได้มีประสิทธิภาพเช่นนี้อีกแล้ว

“เสี่ยวเทียน เจ้าว่าพวกเรารออีกสักพักค่อยออกไปดีไหม?” หลิวหลีเอ่ยขณะแอบอิงหนานกงเวิ่นเทียน

“เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“แม่สาวงาม ข้าลุ่มหลงในความงามใยต้องออกไปด้วย เจ้ายอมข้าเสียดีๆเถอะ” หลิวหลีจับหน้าหนานกงเวิ่นเทียน แล้วพูดกระเซ้า

จนหลิวหลีเก็บเพลิงอัคคีแล้วถึงได้พบว่ามีหลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

“นังหนู ยังดีที่นี่ไม่ใช่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นจักรพรรดิที่มัวเมาในตัณหาแน่นอน” เอ๋าเลี่ยชิงบ่นขึ้นก่อนเป็นคนแรก

“พี่เอ๋าเลี่ย ท่านกล่าวชมพี่สาวมากเกินไป หากนางยังไม่หนำใจ วันนี้ก็คงไม่ออกมาแน่” จื่อฉีมองหลิวหลีอย่างน้อยใจ พี่สาวนิสัยไม่ดี เนื้อแห้งที่เคยตกลงกันไว้ล่ะ ทำไมถึงได้บำเพ็ญร่วมนานขนาดนี้

“พวกเจ้า… พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าอยู่ในขั้นเทพเซียนสุวรรณนภาแล้วหรือ?” มือหลงเฟยหยางสั่นน้อยๆ รู้สึกเหมือนถูกทำร้ายอย่างหนัก เขาต้องบำเพ็ญอย่างยากลำบากเป็นหลายแสนปีกว่าจะมีพลังเท่านี้ ตอนนี้เวลาผ่านไปหลายแสนปี พลังบำเพ็ญเพียรก็เพิ่งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เด็กสองคนนี้บำเพ็ญร่วมกันก็มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเทพเซียนสุวรรณนภา ทำไมมนุษย์ถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้

“ใช่เจ้าค่ะ” หลิวหลียอมรับอย่างไม่เขินอาย

“นังหนู เจ้าจะไม่เขินอายเลยหรือ?” เอ๋าเลี่ยทนดูต่อไปไม่ไหว หวานกันจนชวนให้อึดอัดใจจริงๆ

“ไม่อาย ข้ามีอะไรจะต้องให้อายหรือ?” หลิวหลีไม่เขินอายหรอก พวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับการยอมรับจากฟ้าดินแล้ว ถึงหนานกงเวิ่นเทียนใบหน้าจะนิ่งเฉยแต่หูแดงๆของเขาก็ได้ทรยศเขาเป็นที่เรียบร้อย ในใจของเขาไม่ได้สงบเหมือนท่าทางภายนอกของเขา

“นังหนู ความเป็นกุลสตรีไปอยู่ที่ไหนหมด?” มือเอ๋าเลี่ยสั่นน้อยๆ เถียงกับนังหนูไม่เคยได้เปรียบเลย

“ความเป็นกุลสตรีน่ะมันกินเข้าไปได้ไหม ความสามารถเท่านั้นถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นแค่แจกันดอกไม้แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร” หลิวหลีเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสามารถ ไม่สนใจของไร้สาระพวกนั้นหรอก

“พอเถอะ เลิกเถียงกันได้แล้ว” เอ๋าเฟิงตัดบท ทำไมจะดูไม่ออกว่าทั้งสองเถียงกันจนเป็นนิสัย

“นังหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่า เจ้าสร้างปรากฏการณ์อะไรไว้ หลายล้านปีแล้วที่โลกเซียนไม่มีภาพนิมิตเกิดขึ้น” หนานกงเฉินมองพวกเขาสองคน แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีอ่อนโยน

“ข้าแค่เข้าหอเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ รู้กันไปทั้งโลกเซียนเลยหรือนี่” หลิวหลีรู้สึกไม่ดี นางยังมีความลับอยู่ไหม นางเข้าหอทุกคนต่างก็รับรู้ แล้วนางจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร

“ใช่สิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าสร้างภาพนิมิตมงคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ภาพนิมิตมงคลมังกรหงส์มงคลปรากฏอยู่ยาวนานถึง 81 เดือน สร้างสถิติใหม่เลยทีเดียว” หลงเฟยหยางพูดติดตลก

“เอ่อ สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการบำเพ็ญร่วมเป็นเรื่องที่ผิดปกติหรือ” หลิวหลีที่ไม่ค่อยจะมีความรู้รอบตัวก็พบสิ่งปกติ

“ใช่สิ คนอื่นบำเพ็ญร่วมก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอถึงคราวเจ้ากลับมีเรื่องราวเช่นนี้ จะปกติได้อย่างไร คนจำนวนไม่น้อยเริ่มมาสืบข้อมูลจากดินแดนอสูรเทพ ถูกพวกเราหลอกไป” เอ๋าเฟิงกล่าว

เอาเถอะ หนานกงเวิ่นเทียนกับหลิวหลีก็ไม่รู้จะพูดอะไร พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยสายตาหวานเยิ้ม เสี่ยวเทียนเป็นของนาง ใครก็แย่งเขาไปไม่ได้อีกแล้ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 226 ปรากฏการณ์ขณะเข้าหอ

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 226 ปรากฏการณ์ขณะเข้าหอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่ทั้งสองกำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญ หลิวหลีกำลังพึงพอใจในร่างกายที่ขาวเนียนอย่างยิ่งของหนานกงเวิ่นเทียน บรรพชนสกุลหนานกงในดินแดนลับตอนนั้นทำได้ดี ความโชคดีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ

อุณหภูมิที่หูของหนานกงเวิ่นเทียนไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทำไมนังหนูถึงได้ใจกล้าเช่นนี้ ทำราวกับว่าเขาเป็นฮูหยินเสียเอง

จนเมื่อทั้งสองตกเป็นของกันและกันแล้ว ปราณกำเนิดเซียนของทั้งสองก็เกิดความเคลื่อนไหว ปราณกำเนิดเซียนของหลิวหลีหายไปจากตัวของนางแต่ไปปรากฏในร่างกายของหนานกงเวิ่นเทียน และมันผลักปราณกำเนิดเซียนของหนานกงเวิ่นเทียนล้มลง แล้วประสาทเซียนของทั้งสองก็เกี่ยวกระหวัดอยู่ด้วยกัน ทำให้หนานกงเวิ่นเทียนตัวงอเป็นกุ้ง หลิวหลีลูบหลังเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปลอบโยนเขา จนเขาเริ่มปรับตัวได้ หลิวหลีคิดมาตลอดว่าพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาไม่ต่างกันมาก ใครจะไปนึกว่าประสาทเซียนของนางใหญ่โตกว่าของอีกฝ่ายมากจนแทบจะคลุมประสาทเซียนของอีกฝ่ายได้แล้ว

จนหนานกงเวิ่นเทียนเริ่มปรับตัวได้ การฝ่าฟันรอบใหม่ของคนทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น

บนท้องฟ้าในโลกเซียน มีภาพมังกรและหงส์ปรากฏขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึง เมื่อเห็นมังกรยักษ์เกล็ดเก้าสี และหงส์ขาว ทุกคนตื่นตระหนกอย่างยิ่งที่อยู่ๆก็มีภาพนิมิตปรากฏขึ้นในโลกเซียน ทำไมถึงได้มีภาพนิมิตมงคลขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยได้

เอ๋าเลี่ยมองภาพบนท้องฟ้า แล้วขมวดคิ้ว ทำแก้มป่อง ทำให้คนพบเห็นอยากจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มอย่างอดไม่ได้

“อาเลี่ย เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” เอ๋าเฟิงถาม รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าจะรู้อะไรมา อยู่ๆมีภาพนิมิตมงคลเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา จะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน

“ขอรับ ท่านทวด ภาพนิมิตนี้ดูคุ้นตาไม่น้อย ตอนนังหนูอยู่ในโลกเบื้องล่างมีทุกครั้งที่นางดูดซึมเพลิงอัคคี จะปรากฏภาพมังกรขนาดใหญ่ขึ้นบนฟ้า พอนังหนูพิชิตเพลิงอัคคีหนึ่งชนิด เกล็ดของมังกรยักษ์ก็จะมีสีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสี ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเทพเจ้ามังกรเก้าสี อีกอย่างหงส์ตัวนั้นก็ดูสอดคล้องกับหนานกงเวิ่นเทียน บวกกับตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังเข้าหอก็เลยคิดว่าภาพนิมิตนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขา” เอ๋าเลี่ยกล่าว

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เอ๋าเฟิงประหลาดใจ บรรพชนหลายคนที่อยู่ข้างๆก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

“นังหนูฝึกเคล็ดวิชาอะไรหรือ เป็นเคล็ดวิชาที่มีความพิเศษอะไรหรือไม่?” เฟิ่งซานที่อยู่ข้างๆ คิดๆแล้วพูดขึ้น

“เคล็ดวิชาที่นังหนูฝึกพิเศษจริงๆ นังหนูฝึกเคล็ดวิชาที่ทุกคนในโลกเบื้องล่างต่างรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก่อนนี้ไม่เคยมีใครเคยฝึกเคล็ดวิชาเพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณสำเร็จมาก่อน ตอนนี้ในร่างกายของนังหนูมีเพลิงอัคคีอยู่ 10 ชนิด แต่มีเพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้นที่บรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนแล้ว หากพูดว่าในใต้หล้านี้นังหนูเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเพลิงอัคคีอันดับสอง คงไม่มีใครกล้าเรียกตนเองเป็นอันดับหนึ่ง” เอ๋าเลี่ยรู้สึกภูมิใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

“ข้าเคยได้ยินเคล็ดวิชานี้มาก่อน เป็นเคล็ดวิชาที่ใครก็รู้จักจริงๆ แต่ไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จ นึกไม่ถึงว่านังหนูจะเป็นคนที่ฝึกสำเร็จ” ฮัวฉีพูดอย่างประหลาดใจน้อยๆ

“เรื่องของนังหนูคงจะไม่ได้มีแค่นี้แน่ เจ้าหนูเอ๋าเลี่ย เจ้าคงมีอะไรจะพูดอีกใช่หรือไม่” เอ๋าเฟิงเอ่ยถามเมื่อเห็นเอ๋าเลี่ยที่แปลกไปจากปกติ

“ใช่ขอรับ ในโลกเบื้องล่างเคยเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างผู้บำเพ็ญฝ่ายธรรมกับอธรรมขึ้น นังหนูกับเจ้าหนูพยายามต้านทานไว้ และสุดท้ายเพื่อรักษาโลกบำเพ็ญเพียร นังหนูนำมิติที่ตัวเองได้มาแยกออกเป็นห้าส่วน เพื่อช่วยโลกบำเพ็ญเพียรไว้ จึงเกิดแสงแห่งบารมีที่แรงกล้าบนตัวนาง จึงไม่เคยต้องประสบเคราะห์ร้าย โชคดีมาโดยตลอด” เอ๋าเลี่ยกล่าวต่อ

“ข้าลืมบอกไปเลยว่า มิตินั้นเป็นมิติที่มีภูตอาวุธอยู่ด้วย” เอ๋าเลี่ยพูดเสริม

“เจ้าจะบอกว่ามิติที่นังหนูหลิวหลีได้มามีภูตอาวุธอาศัยอยู่ด้วย แต่เพื่อที่ให้โลกบำเพ็ญเพียรผ่านวิบากกรรม นางแบ่งมิติออกเป็น 5 ส่วนเพื่อช่วยโลกบำเพ็ญเพียร แล้วภูตอาวุธตนนั้นล่ะ” เฟิ่งซานรู้สึกเสียดาย มิติที่มีภูตอาวุธอยู่สามารถนำมาใช้ในโลกเซียนได้ นังหนูเก่งขนาดนี้ ถึงกับทำให้เขาต้องเหงื่อตก รู้สึกละอายจริงๆ

“ภูตอาวุธ ถูกหอพยากรณ์ใส่เข้าไปในหินย้อนเวลาให้กลับไปเกิดใหม่แล้วขอรับ ก็ถือว่าจบลงด้วยดี” เอ๋าเลี่ยกล่าว

ภาพนิมิตนั้นปรากฏขึ้นยาวนานถึง 81 เดือน จึงจะสลายไป

พลังเซียนของหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเชื่อมต่อกัน แล้วต่างคนก็ต่างดูดพลังเซียนของอีกฝ่าย จนพลังเซียนภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทะลุเขตปราการพลัง แล้วสัญลักษณ์บนหน้าผากของคนทั้งสองกระพริบกลายเป็นสีทองเข้ม พลังบำเพ็ญเพียรของทั้งสองเข้าสู่ขั้นเทพเซียนสุวรรณนภา แต่คนทั้งสองก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ปราณกำเนิดเซียนของหลิวหลีพึงพอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะกลับเข้าไปในร่างของหลิวหลี ก็ไม่ลืมจะจุมพิตปราณกำเนิดเซียนของหนานกงเวิ่นเทียน ปราณกำเนิดเซียนของหนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดง แต่สีหน้าฉายแววพึงพอใจ

เมื่อทั้งสองคนลืมตาขึ้นต่างก็เห็นแววตาอ่อนโยนจากดวงตาของอีกฝ่าย

ตอนนี้พวกเขาได้หลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน มีจิตเชื่อมถึงกัน หลิวหลีจูบหนานกงเวิ่นเทียนเบาๆ

“เสี่ยวเทียน ตอนนี้ไม่มีใครสามารถแยกพวกเราออกจากกันได้ อยู่ๆก็ไม่อยากกลับวังนภาเพลิงแล้ว” หลิวหลีพูดใส่อารมณ์น้อยๆ หากกลับไปที่วังนภาเพลิงก็คงจะไม่ได้เจอสามีของนางอีก นางอุตส่าห์ได้เริ่มกินเนื้อ ไม่อยากจะกลับไปกินเจแล้ว  ขณะที่คิดก็จุมพิตหนานกงเวิ่นเทียนไปครั้งแล้วครั้งเล่า

“ข้าเองก็อยากจะมีเจ้าอยู่ข้างกาย” หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน เพิ่งจะได้เริ่มกินเนื้อ ถึงแม้เนื้อก้อนนี้จะเป็นของตัวเองแล้ว แต่ถ้าไม่ได้เจอกันก็คงจะรู้สึกแปลกๆ ในที่สุดนังหนูก็กลายเป็นของเขาแล้ว ดีจริงๆ

“เสี่ยวเทียน ข้าไม่เคยคิดเลยว่า การบำเพ็ญร่วมจะทำให้พวกเราบรรลุขั้นได้” หลิวหลีก็แปลกใจเมื่อเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของตนแต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเสียดายคือ เพลิงอัคคีของนางก็ยังคงมีเพียงแต่เพลิงวิญญาณไม้กับเพลิงบุปผาเหมันต์เท่านั้นที่กลายเป็นเพลิงเซียน ส่วนเพลิงดาราทมิฬยังคงอยู่ในสภาพกระพริบน้อยๆ พลังบำเพ็ญเพียรก็เพิ่มขึ้นแล้ว เงื่อนไขในการบรรลุขั้นของเพลิงอัคคีจะลดลงหน่อยไม่ได้เลยหรือ

“นั่นสิ” หนานกงเวิ่นเทียนพอจะเข้าใจขึ้นมาลางๆ ร่างกายของพวกเขาทั้งสองคนมีคุณสมบัติพิเศษ อีกอย่างทั้งสองยังมีคุณสมบัติเกื้อหนุนกัน ทำให้ผลจากการบำเพ็ญร่วมออกมาค่อนข้างดี แต่หากทั้งบำเพ็ญร่วมอีกหลังจากนี้ ก็คงจะไม่ได้มีประสิทธิภาพเช่นนี้อีกแล้ว

“เสี่ยวเทียน เจ้าว่าพวกเรารออีกสักพักค่อยออกไปดีไหม?” หลิวหลีเอ่ยขณะแอบอิงหนานกงเวิ่นเทียน

“เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“แม่สาวงาม ข้าลุ่มหลงในความงามใยต้องออกไปด้วย เจ้ายอมข้าเสียดีๆเถอะ” หลิวหลีจับหน้าหนานกงเวิ่นเทียน แล้วพูดกระเซ้า

จนหลิวหลีเก็บเพลิงอัคคีแล้วถึงได้พบว่ามีหลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

“นังหนู ยังดีที่นี่ไม่ใช่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นจักรพรรดิที่มัวเมาในตัณหาแน่นอน” เอ๋าเลี่ยชิงบ่นขึ้นก่อนเป็นคนแรก

“พี่เอ๋าเลี่ย ท่านกล่าวชมพี่สาวมากเกินไป หากนางยังไม่หนำใจ วันนี้ก็คงไม่ออกมาแน่” จื่อฉีมองหลิวหลีอย่างน้อยใจ พี่สาวนิสัยไม่ดี เนื้อแห้งที่เคยตกลงกันไว้ล่ะ ทำไมถึงได้บำเพ็ญร่วมนานขนาดนี้

“พวกเจ้า… พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าอยู่ในขั้นเทพเซียนสุวรรณนภาแล้วหรือ?” มือหลงเฟยหยางสั่นน้อยๆ รู้สึกเหมือนถูกทำร้ายอย่างหนัก เขาต้องบำเพ็ญอย่างยากลำบากเป็นหลายแสนปีกว่าจะมีพลังเท่านี้ ตอนนี้เวลาผ่านไปหลายแสนปี พลังบำเพ็ญเพียรก็เพิ่งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เด็กสองคนนี้บำเพ็ญร่วมกันก็มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเทพเซียนสุวรรณนภา ทำไมมนุษย์ถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้

“ใช่เจ้าค่ะ” หลิวหลียอมรับอย่างไม่เขินอาย

“นังหนู เจ้าจะไม่เขินอายเลยหรือ?” เอ๋าเลี่ยทนดูต่อไปไม่ไหว หวานกันจนชวนให้อึดอัดใจจริงๆ

“ไม่อาย ข้ามีอะไรจะต้องให้อายหรือ?” หลิวหลีไม่เขินอายหรอก พวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับการยอมรับจากฟ้าดินแล้ว ถึงหนานกงเวิ่นเทียนใบหน้าจะนิ่งเฉยแต่หูแดงๆของเขาก็ได้ทรยศเขาเป็นที่เรียบร้อย ในใจของเขาไม่ได้สงบเหมือนท่าทางภายนอกของเขา

“นังหนู ความเป็นกุลสตรีไปอยู่ที่ไหนหมด?” มือเอ๋าเลี่ยสั่นน้อยๆ เถียงกับนังหนูไม่เคยได้เปรียบเลย

“ความเป็นกุลสตรีน่ะมันกินเข้าไปได้ไหม ความสามารถเท่านั้นถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นแค่แจกันดอกไม้แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร” หลิวหลีเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสามารถ ไม่สนใจของไร้สาระพวกนั้นหรอก

“พอเถอะ เลิกเถียงกันได้แล้ว” เอ๋าเฟิงตัดบท ทำไมจะดูไม่ออกว่าทั้งสองเถียงกันจนเป็นนิสัย

“นังหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่า เจ้าสร้างปรากฏการณ์อะไรไว้ หลายล้านปีแล้วที่โลกเซียนไม่มีภาพนิมิตเกิดขึ้น” หนานกงเฉินมองพวกเขาสองคน แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีอ่อนโยน

“ข้าแค่เข้าหอเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ รู้กันไปทั้งโลกเซียนเลยหรือนี่” หลิวหลีรู้สึกไม่ดี นางยังมีความลับอยู่ไหม นางเข้าหอทุกคนต่างก็รับรู้ แล้วนางจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร

“ใช่สิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าสร้างภาพนิมิตมงคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ภาพนิมิตมงคลมังกรหงส์มงคลปรากฏอยู่ยาวนานถึง 81 เดือน สร้างสถิติใหม่เลยทีเดียว” หลงเฟยหยางพูดติดตลก

“เอ่อ สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการบำเพ็ญร่วมเป็นเรื่องที่ผิดปกติหรือ” หลิวหลีที่ไม่ค่อยจะมีความรู้รอบตัวก็พบสิ่งปกติ

“ใช่สิ คนอื่นบำเพ็ญร่วมก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอถึงคราวเจ้ากลับมีเรื่องราวเช่นนี้ จะปกติได้อย่างไร คนจำนวนไม่น้อยเริ่มมาสืบข้อมูลจากดินแดนอสูรเทพ ถูกพวกเราหลอกไป” เอ๋าเฟิงกล่าว

เอาเถอะ หนานกงเวิ่นเทียนกับหลิวหลีก็ไม่รู้จะพูดอะไร พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยสายตาหวานเยิ้ม เสี่ยวเทียนเป็นของนาง ใครก็แย่งเขาไปไม่ได้อีกแล้ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+