แม่ครัวยอดเซียน 310 รองเจ้าตำหนัก

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 310 รองเจ้าตำหนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 310 รองเจ้าตำหนัก

“นายท่าน ท่านพูดเล่นใช่ไหมที่จะให้ข้าดูแลตำหนักเวิ่นเทียน” อวิ๋นเฟยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจอย่างใจกว้างเช่นนี้ จักรพรรดิจะเห็นด้วยหรือ

“ข้าดูเป็นคนชอบล้อเล่นหรือ อวิ๋นเฟย เจ้าควรมั่นใจในตนเองเสียหน่อย เจ้าไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้าตำหนักคนอื่นๆเลย กลับกันเจ้าเก่งมาก” หลิวหลีพูดให้กำลังใจอวิ๋นเฟย

“นายท่าน ความโชคดีที่สุดของอวิ๋นเฟยคือการได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท” เมื่อถูกฝ่าบาทเห็นคุณค่า ก็เหมือนประสบความสำเร็จในทันที ได้ทั้งลาภยศสรรเสริญ

“นั่นคือความสามารถของดวงตาข้า” หลิวหลีเอาความดีความชอบเข้าตัวโดยไม่ละอายเลยสักนิด

ก่อนหลิวหลีเข้าฌาน จักรพรรดิมีราชโองการถ่ายทอดลงมา อวิ๋นเฟย ขุนนางเซียนของตำหนักเวิ่นเทียน เตรียมตัวเป็นอย่างดีจนบรรลุขั้นพลังเซียนนภานพเก้า แต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน เมื่อผู้อาวุโสหลิวหลีมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นจักรพรรดิเซียนให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน

ทันทีที่ราชโองการถูกถ่ายอดลงมา เกิดเสียงวิจารณ์ทั่ววังนภาเพลิง รองเจ้าตำหนัก ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้มาก่อนเลย แถมเพิ่งเคยจะได้ยินเรื่องเป็นผู้สืบทอดตำหนักเวิ่นเทียนเป็นครั้งแรก

“องค์รัชทายาท เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีกับพระองค์เลย” ขุนนางเซียนพูด

“ไม่หรอก เขาไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของข้าได้ มีเพียงคนเดียวจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้คือหลิวหลี ซึ่งนางสนับสนุนข้า และไม่มีใครในวังนภาเพลิงกล้าแข็งข้อกับนาง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้” เหลยจ้านส่ายหน้า ในวังนภาเพลิงแห่งนี้ ขอแค่หลิวหลีไม่แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับเขาก็ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ แต่ตนเองก็ต้องพยายามเช่นกัน ดูเอาเถอะ ขุนนางเซียนตำหนักเวิ่นเทียนได้เป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ตำหนักอื่นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เรื่องนี้หักหน้ากันได้เจ็บแสบเสียจริง

“องค์รัชทายาทอยากดึงนางมาเป็นพวกด้วยหรือไม่?” ขุนนางเซียนออกความเห็น

“ไม่จำเป็น รออวิ๋นเฟยเข้ารับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแล้วค่อยส่งของขวัญไปให้ก็พอ” ที่เหลยจ้านกล้ามั่นใจเช่นนี้ ว่าหลิวหลีสนับสนุนให้เขาเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจนางย่อมไม่คัดค้าน แม้ว่านางจะบรรลุเป็นเทพไปแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ยังคงเชื่อฟังคำสั่งของหลิวหลี ยอมรับตำแหน่งรัชทายาทของเขา แต่พูดถึงตรงนี้แล้ว เหลยจ้านก็มองดูขุนนางเซียนของตน ต่างกันเกินไป ในฟากของตำหนักเวิ่นเทียนนั้นทั้งเรื่องงานในหน้าที่และการฝึกฝนบำเพ็ญไม่ขาดตกบกพร่อง ขุนนางเซียนตำหนักนั้นต่างก็รับผิดชอบงานของตนเองได้ ส่วนขุนนางเซียนของเขา ตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ทุ่มเทสนใจเรื่องงานในตำหนัก จนพลังบำเพ็ญเพียรหยุดนิ่ง เฮ้อ หากเขามีพัฒนาการไปเรื่อยๆ คนพวกนี้ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงของเขา

“ขุนนางเซียนทุกท่าน จากนี้ไปไปพวกท่านคือผู้ที่เป็นกำลังให้รัชทายาท ตอนนี้ขุนนางเซียนอวิ๋นเฟยจากตำหนักเวิ่นเทียนกลายเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว แต่พลังบำเพ็ญเพียรของพวกท่านดูจะไม่กระเตื้องเลยสักนิด” พูดถึงตรงนี้ เหลยจ้านเริ่มมองขุนนางเซียนทั้งหลายของตน ขุนนางเซียนที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างก็ปิดปากเงียบ ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนลงแรงตั้งใจเพื่อข้า แต่หากมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนขุนนางเซียนเพราะเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรก็คงไม่ดี” เหลยจ้านพูด

“องค์รัชทายาท พวกข้าเข้าใจแล้ว” ขุนนางเซียนหลายคนพูด

ณ วังนภาเพลิง อวิ๋นเฟยมองดูราชโองการที่ยังคงลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ คิดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง นายท่านไม่ได้หลอกลวงเขา

“อวิ๋นเฟย ตอนนี้เจ้าเป็นแบบอย่างให้เหล่าขุนนางเซียนพยายามประพฤติตนตาม แต่จะหลงมัวเมาไปไม่ได้ ไม่ควรดีใจจนลืมตัว ต้องจำไว้ว่าในขณะที่เจ้ากำลังพัฒนา คนอื่นก็เตรียมพร้อมเช่นกัน” หลิวหลีมองอวิ๋นเฟยที่มีใบหน้าสับสนงงงวย

“ขอรับฝ่าบาท ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นเฟยพยักหน้า เขาก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองนัก เขารู้สึกว่านายท่านของตนเองขุดหลุมพรางเอาไว้ แม้จะบอกว่ารอจนนางกลายเป็นจักรพรรดิเซียน เขาค่อยรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน แต่ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านายท่านของเขานั้นฝึกฝนบำเพ็ญเพียรรวดเร็วแค่ไหน อีกอย่างเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอะไรปิดบังอยู่

ย้อนกลับไปวันที่หลิวหลีคุยกับองค์จักรพรรดิ

“ผู้อาวุโสหลิวหลี ได้ยินมาว่าเจ้าเลี้ยงเด็กที่ดินแดนอสูรเทพมีความสุขมากเลยหรือ?” จักรพรรดิพูดอ้อมๆ

“ท่านทรงทราบ เรื่องข้าเป็นแม่นมเต็มตัวด้วย” หลิวหลีถอนหายใจ ทั้งโลกเซียนรู้กันหมดว่านางกำลังโอ๋เด็กอยู่

“ฮ่าๆ นั่นเพราะว่าเจ้าของเรื่องเป็นคนที่พวกเราให้ความสำคัญ แล้วผู้อาวุโสหลิวหลีของข้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่นั่นแสดงว่าอาชีพแม่นมของเจ้าสิ้นสุดลงแล้วหรือ?” จักรพรรดิกระเซ้า

“ให้ความสำคัญหรือ? เจ้าตัว? ฝ่าบาทคงไม่ได้ทรงคิดว่ามังกรหงส์ปรองดองหมายถึงอาเลี่ยกับอิงเสวี่ยหรอกใช่ไหม ข้าขอเป็นคนบอกพระองค์แล้วกันว่าไม่ใช่พวกเขา” นังหนูหลิวหลีย่อมรู้คำทำนาย

“เอ๊ะ? เช่นนั้นเป็นใคร” จักรพรรดิเคยได้ยินเฟิ่งซานบอกเช่นกันว่ามังกรหงส์ปรองดองที่เขาคาดเดาไว้คือใคร

“น่าจะเป็นข้ากับสามีของข้า คำพูดที่เซียนหยั่งรู้ดวงชะตากล่าวนั้น นอกจากประโยคแรกที่เอ่ยถึงหายนะแล้ว ส่วนที่เหลือก็หมายถึงพวกข้าสองคนสามีภรรยา” หลิวหลีพูดตามตรง

“นังหนู เรื่องแบบนี้เจ้าอย่าออกตัวแบกรับมันเลย” จักรพรรดิกล่าวอย่างเคร่งเครียด

“เปล่าเลย ข้าก็ไม่อยากเหมือนกัน ทำไมความจริงต้องเป็นเช่นนี้ เฮ้อ จักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ พวกท่านกลับมาเพิ่งจะเท่าไหร่เอง ข้ากับสามีก็ถูกเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเรียกให้ไปพบ ท่านคิดว่าเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเหมือนเป็นคนชอบรับแขกมากหรือ” หลิวหลีพูด

“ก็เหมือนไม่ใช่คนเช่นนั้น เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเป็นคนง่ายๆ แต่กลับเย็นชา จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ชื่อของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาสักคน” จักรพรรดิส่ายหน้า

“เล่อถง ซียนหยั่งรู้ดวงชะตานามว่าเล่อถง” หลิวหลีเอ่ยอย่างเปิดเผย

“เช่นนั้น หลิวหลี ข้าอยากถามเจ้า ว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง?” จักรพรรดิถามด้วยท่าทีจริงจังอย่างยิ่ง

“ที่ข้ารู้ก็เยอะมาก เช่นหายนะนี้จะเกิดขึ้นที่ฝั่งสุวรรณ ข้ารู้ว่าหายนะนี้เกิดจากใคร เพียงแต่พูดไปพวกท่านก็คงไม่เชื่อ ข้ามีร่างหยางบริสุทธิ์ แต่กลับเป็นเพศหญิงซึ่งเป็นธาตุหยิน ส่วนสามีของข้าเป็นร่างหยินบริสุทธิ์แต่กลับเป็นเพศชายซึ่งเป็นธาตุหยาง ส่วนมังกรหงส์ปรองดองนี้ ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องนิมิตของข้ากับสามีตอนบรรลุขั้นราชาเซียน” หลิวหลีพูด ต่อให้อีกฝ่ายไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ คนผู้นี้คือผู้กอบกู้โลกหรือ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงบำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วปานนี้ ทั้งที่เพิ่งบรรลุขั้นราชาเซียนไปได้ไม่นาน แต่ตนเองกลับมองเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของนางไม่ชัด นี่หมายความว่า ช่วงเวลาที่เจ้าเด็กนี่ไปเป็นแม่นมก็ยังพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

“นังหนู เจ้ากลับมาคราวนี้จะใช่แค่กลับมาเยี่ยมตำหนักเฉยๆเท่านั้นหรือ?” จักรพรรดิไม่ค่อยเชื่อนัก ที่นังหนูผู้นี้อยู่ๆ ก็ใจดีกลับมา

“ใช่ มีเรื่องนิดหน่อย อวิ๋นเฟยคนจากตำหนักเวิ่นเทียนของข้า หมายถึงขุนนางเซียนอวิ๋น ตอนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว อายุไม่ถือว่ามากนัก ตอนนี้ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นราชาเซียน อีกไม่นานก็จะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน ข้าตัดสินใจจะยกตำหนักเวิ่นเทียนให้อวิ๋นเฟย ให้เขาเป็นรองเจ้าตำหนักไปสักพักก่อน รอจนข้าบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนค่อยให้เขาสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนัก ฝ่าบาทมีความเห็นอย่างไร” หลิวหลีกล่าว

“ความหมายของเจ้าคือจะให้อวิ๋นเฟยรับตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนหรือ ย่อมได้ ขุนนางเซียนของเจ้าคนนี้มีพัฒนาการมากกว่าเจ้าตำหนักพวกนั้นเสียอีก” จักรพรรดิเห็นชอบ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“เอาล่ะ นังหนูเจ้าคงไม่ได้กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิเซียนแล้วกระมัง” จักรพรรดิเย้าแหย่

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลิวหลีพยักหน้าจริงจัง จักรพรรดิไม่อาจใจเย็นได้อีกต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริง นังหนูคนนี้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างไรกันแน่ถึงได้บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะพิจารณาเรื่องบรรลุแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

“มิน่าล่ะ เจ้าถึงจะยกตำแหน่งให้อวิ๋นเฟย นังหนู ตั้งแต่เจ้าเข้ามาอยู่ในวังนภาเพลิง เจ้าก็ช่างแตกต่างกับคนอื่นนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะบำเพ็ญเพียรด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ จนคนรับมือไม่ทันเช่นนี้” จักรพรรดิกล่าว

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ฝ่าบาท ความจริงแล้ว ข้าคิดว่าตลอดว่าท่านเองก็สามารถบรรลุได้ พระองค์เป็นคนมีความสามารถ พรสวรรค์เช่นข้า ก็คงจะไปขัดหูขัดตาคนจิตใจคับแคบ แต่ฝ่าบาทก็ยังคงดีต่อข้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ข้านับถือพระองค์อย่างยิ่ง” หลิวหลีพูดอย่างจริงใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 310 รองเจ้าตำหนัก

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 310 รองเจ้าตำหนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 310 รองเจ้าตำหนัก

“นายท่าน ท่านพูดเล่นใช่ไหมที่จะให้ข้าดูแลตำหนักเวิ่นเทียน” อวิ๋นเฟยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจอย่างใจกว้างเช่นนี้ จักรพรรดิจะเห็นด้วยหรือ

“ข้าดูเป็นคนชอบล้อเล่นหรือ อวิ๋นเฟย เจ้าควรมั่นใจในตนเองเสียหน่อย เจ้าไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้าตำหนักคนอื่นๆเลย กลับกันเจ้าเก่งมาก” หลิวหลีพูดให้กำลังใจอวิ๋นเฟย

“นายท่าน ความโชคดีที่สุดของอวิ๋นเฟยคือการได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท” เมื่อถูกฝ่าบาทเห็นคุณค่า ก็เหมือนประสบความสำเร็จในทันที ได้ทั้งลาภยศสรรเสริญ

“นั่นคือความสามารถของดวงตาข้า” หลิวหลีเอาความดีความชอบเข้าตัวโดยไม่ละอายเลยสักนิด

ก่อนหลิวหลีเข้าฌาน จักรพรรดิมีราชโองการถ่ายทอดลงมา อวิ๋นเฟย ขุนนางเซียนของตำหนักเวิ่นเทียน เตรียมตัวเป็นอย่างดีจนบรรลุขั้นพลังเซียนนภานพเก้า แต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน เมื่อผู้อาวุโสหลิวหลีมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นจักรพรรดิเซียนให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน

ทันทีที่ราชโองการถูกถ่ายอดลงมา เกิดเสียงวิจารณ์ทั่ววังนภาเพลิง รองเจ้าตำหนัก ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้มาก่อนเลย แถมเพิ่งเคยจะได้ยินเรื่องเป็นผู้สืบทอดตำหนักเวิ่นเทียนเป็นครั้งแรก

“องค์รัชทายาท เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีกับพระองค์เลย” ขุนนางเซียนพูด

“ไม่หรอก เขาไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของข้าได้ มีเพียงคนเดียวจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้คือหลิวหลี ซึ่งนางสนับสนุนข้า และไม่มีใครในวังนภาเพลิงกล้าแข็งข้อกับนาง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้” เหลยจ้านส่ายหน้า ในวังนภาเพลิงแห่งนี้ ขอแค่หลิวหลีไม่แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับเขาก็ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ แต่ตนเองก็ต้องพยายามเช่นกัน ดูเอาเถอะ ขุนนางเซียนตำหนักเวิ่นเทียนได้เป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ตำหนักอื่นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เรื่องนี้หักหน้ากันได้เจ็บแสบเสียจริง

“องค์รัชทายาทอยากดึงนางมาเป็นพวกด้วยหรือไม่?” ขุนนางเซียนออกความเห็น

“ไม่จำเป็น รออวิ๋นเฟยเข้ารับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแล้วค่อยส่งของขวัญไปให้ก็พอ” ที่เหลยจ้านกล้ามั่นใจเช่นนี้ ว่าหลิวหลีสนับสนุนให้เขาเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจนางย่อมไม่คัดค้าน แม้ว่านางจะบรรลุเป็นเทพไปแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ยังคงเชื่อฟังคำสั่งของหลิวหลี ยอมรับตำแหน่งรัชทายาทของเขา แต่พูดถึงตรงนี้แล้ว เหลยจ้านก็มองดูขุนนางเซียนของตน ต่างกันเกินไป ในฟากของตำหนักเวิ่นเทียนนั้นทั้งเรื่องงานในหน้าที่และการฝึกฝนบำเพ็ญไม่ขาดตกบกพร่อง ขุนนางเซียนตำหนักนั้นต่างก็รับผิดชอบงานของตนเองได้ ส่วนขุนนางเซียนของเขา ตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ทุ่มเทสนใจเรื่องงานในตำหนัก จนพลังบำเพ็ญเพียรหยุดนิ่ง เฮ้อ หากเขามีพัฒนาการไปเรื่อยๆ คนพวกนี้ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงของเขา

“ขุนนางเซียนทุกท่าน จากนี้ไปไปพวกท่านคือผู้ที่เป็นกำลังให้รัชทายาท ตอนนี้ขุนนางเซียนอวิ๋นเฟยจากตำหนักเวิ่นเทียนกลายเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว แต่พลังบำเพ็ญเพียรของพวกท่านดูจะไม่กระเตื้องเลยสักนิด” พูดถึงตรงนี้ เหลยจ้านเริ่มมองขุนนางเซียนทั้งหลายของตน ขุนนางเซียนที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างก็ปิดปากเงียบ ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนลงแรงตั้งใจเพื่อข้า แต่หากมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนขุนนางเซียนเพราะเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรก็คงไม่ดี” เหลยจ้านพูด

“องค์รัชทายาท พวกข้าเข้าใจแล้ว” ขุนนางเซียนหลายคนพูด

ณ วังนภาเพลิง อวิ๋นเฟยมองดูราชโองการที่ยังคงลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ คิดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง นายท่านไม่ได้หลอกลวงเขา

“อวิ๋นเฟย ตอนนี้เจ้าเป็นแบบอย่างให้เหล่าขุนนางเซียนพยายามประพฤติตนตาม แต่จะหลงมัวเมาไปไม่ได้ ไม่ควรดีใจจนลืมตัว ต้องจำไว้ว่าในขณะที่เจ้ากำลังพัฒนา คนอื่นก็เตรียมพร้อมเช่นกัน” หลิวหลีมองอวิ๋นเฟยที่มีใบหน้าสับสนงงงวย

“ขอรับฝ่าบาท ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นเฟยพยักหน้า เขาก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองนัก เขารู้สึกว่านายท่านของตนเองขุดหลุมพรางเอาไว้ แม้จะบอกว่ารอจนนางกลายเป็นจักรพรรดิเซียน เขาค่อยรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน แต่ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านายท่านของเขานั้นฝึกฝนบำเพ็ญเพียรรวดเร็วแค่ไหน อีกอย่างเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอะไรปิดบังอยู่

ย้อนกลับไปวันที่หลิวหลีคุยกับองค์จักรพรรดิ

“ผู้อาวุโสหลิวหลี ได้ยินมาว่าเจ้าเลี้ยงเด็กที่ดินแดนอสูรเทพมีความสุขมากเลยหรือ?” จักรพรรดิพูดอ้อมๆ

“ท่านทรงทราบ เรื่องข้าเป็นแม่นมเต็มตัวด้วย” หลิวหลีถอนหายใจ ทั้งโลกเซียนรู้กันหมดว่านางกำลังโอ๋เด็กอยู่

“ฮ่าๆ นั่นเพราะว่าเจ้าของเรื่องเป็นคนที่พวกเราให้ความสำคัญ แล้วผู้อาวุโสหลิวหลีของข้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่นั่นแสดงว่าอาชีพแม่นมของเจ้าสิ้นสุดลงแล้วหรือ?” จักรพรรดิกระเซ้า

“ให้ความสำคัญหรือ? เจ้าตัว? ฝ่าบาทคงไม่ได้ทรงคิดว่ามังกรหงส์ปรองดองหมายถึงอาเลี่ยกับอิงเสวี่ยหรอกใช่ไหม ข้าขอเป็นคนบอกพระองค์แล้วกันว่าไม่ใช่พวกเขา” นังหนูหลิวหลีย่อมรู้คำทำนาย

“เอ๊ะ? เช่นนั้นเป็นใคร” จักรพรรดิเคยได้ยินเฟิ่งซานบอกเช่นกันว่ามังกรหงส์ปรองดองที่เขาคาดเดาไว้คือใคร

“น่าจะเป็นข้ากับสามีของข้า คำพูดที่เซียนหยั่งรู้ดวงชะตากล่าวนั้น นอกจากประโยคแรกที่เอ่ยถึงหายนะแล้ว ส่วนที่เหลือก็หมายถึงพวกข้าสองคนสามีภรรยา” หลิวหลีพูดตามตรง

“นังหนู เรื่องแบบนี้เจ้าอย่าออกตัวแบกรับมันเลย” จักรพรรดิกล่าวอย่างเคร่งเครียด

“เปล่าเลย ข้าก็ไม่อยากเหมือนกัน ทำไมความจริงต้องเป็นเช่นนี้ เฮ้อ จักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ พวกท่านกลับมาเพิ่งจะเท่าไหร่เอง ข้ากับสามีก็ถูกเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเรียกให้ไปพบ ท่านคิดว่าเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเหมือนเป็นคนชอบรับแขกมากหรือ” หลิวหลีพูด

“ก็เหมือนไม่ใช่คนเช่นนั้น เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเป็นคนง่ายๆ แต่กลับเย็นชา จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ชื่อของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาสักคน” จักรพรรดิส่ายหน้า

“เล่อถง ซียนหยั่งรู้ดวงชะตานามว่าเล่อถง” หลิวหลีเอ่ยอย่างเปิดเผย

“เช่นนั้น หลิวหลี ข้าอยากถามเจ้า ว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง?” จักรพรรดิถามด้วยท่าทีจริงจังอย่างยิ่ง

“ที่ข้ารู้ก็เยอะมาก เช่นหายนะนี้จะเกิดขึ้นที่ฝั่งสุวรรณ ข้ารู้ว่าหายนะนี้เกิดจากใคร เพียงแต่พูดไปพวกท่านก็คงไม่เชื่อ ข้ามีร่างหยางบริสุทธิ์ แต่กลับเป็นเพศหญิงซึ่งเป็นธาตุหยิน ส่วนสามีของข้าเป็นร่างหยินบริสุทธิ์แต่กลับเป็นเพศชายซึ่งเป็นธาตุหยาง ส่วนมังกรหงส์ปรองดองนี้ ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องนิมิตของข้ากับสามีตอนบรรลุขั้นราชาเซียน” หลิวหลีพูด ต่อให้อีกฝ่ายไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ คนผู้นี้คือผู้กอบกู้โลกหรือ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงบำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วปานนี้ ทั้งที่เพิ่งบรรลุขั้นราชาเซียนไปได้ไม่นาน แต่ตนเองกลับมองเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของนางไม่ชัด นี่หมายความว่า ช่วงเวลาที่เจ้าเด็กนี่ไปเป็นแม่นมก็ยังพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

“นังหนู เจ้ากลับมาคราวนี้จะใช่แค่กลับมาเยี่ยมตำหนักเฉยๆเท่านั้นหรือ?” จักรพรรดิไม่ค่อยเชื่อนัก ที่นังหนูผู้นี้อยู่ๆ ก็ใจดีกลับมา

“ใช่ มีเรื่องนิดหน่อย อวิ๋นเฟยคนจากตำหนักเวิ่นเทียนของข้า หมายถึงขุนนางเซียนอวิ๋น ตอนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว อายุไม่ถือว่ามากนัก ตอนนี้ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นราชาเซียน อีกไม่นานก็จะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน ข้าตัดสินใจจะยกตำหนักเวิ่นเทียนให้อวิ๋นเฟย ให้เขาเป็นรองเจ้าตำหนักไปสักพักก่อน รอจนข้าบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนค่อยให้เขาสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนัก ฝ่าบาทมีความเห็นอย่างไร” หลิวหลีกล่าว

“ความหมายของเจ้าคือจะให้อวิ๋นเฟยรับตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนหรือ ย่อมได้ ขุนนางเซียนของเจ้าคนนี้มีพัฒนาการมากกว่าเจ้าตำหนักพวกนั้นเสียอีก” จักรพรรดิเห็นชอบ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“เอาล่ะ นังหนูเจ้าคงไม่ได้กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิเซียนแล้วกระมัง” จักรพรรดิเย้าแหย่

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลิวหลีพยักหน้าจริงจัง จักรพรรดิไม่อาจใจเย็นได้อีกต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริง นังหนูคนนี้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างไรกันแน่ถึงได้บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะพิจารณาเรื่องบรรลุแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

“มิน่าล่ะ เจ้าถึงจะยกตำแหน่งให้อวิ๋นเฟย นังหนู ตั้งแต่เจ้าเข้ามาอยู่ในวังนภาเพลิง เจ้าก็ช่างแตกต่างกับคนอื่นนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะบำเพ็ญเพียรด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ จนคนรับมือไม่ทันเช่นนี้” จักรพรรดิกล่าว

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ฝ่าบาท ความจริงแล้ว ข้าคิดว่าตลอดว่าท่านเองก็สามารถบรรลุได้ พระองค์เป็นคนมีความสามารถ พรสวรรค์เช่นข้า ก็คงจะไปขัดหูขัดตาคนจิตใจคับแคบ แต่ฝ่าบาทก็ยังคงดีต่อข้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ข้านับถือพระองค์อย่างยิ่ง” หลิวหลีพูดอย่างจริงใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 310 รองเจ้าตำหนัก

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 310 รองเจ้าตำหนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 310 รองเจ้าตำหนัก

“นายท่าน ท่านพูดเล่นใช่ไหมที่จะให้ข้าดูแลตำหนักเวิ่นเทียน” อวิ๋นเฟยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจอย่างใจกว้างเช่นนี้ จักรพรรดิจะเห็นด้วยหรือ

“ข้าดูเป็นคนชอบล้อเล่นหรือ อวิ๋นเฟย เจ้าควรมั่นใจในตนเองเสียหน่อย เจ้าไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้าตำหนักคนอื่นๆเลย กลับกันเจ้าเก่งมาก” หลิวหลีพูดให้กำลังใจอวิ๋นเฟย

“นายท่าน ความโชคดีที่สุดของอวิ๋นเฟยคือการได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท” เมื่อถูกฝ่าบาทเห็นคุณค่า ก็เหมือนประสบความสำเร็จในทันที ได้ทั้งลาภยศสรรเสริญ

“นั่นคือความสามารถของดวงตาข้า” หลิวหลีเอาความดีความชอบเข้าตัวโดยไม่ละอายเลยสักนิด

ก่อนหลิวหลีเข้าฌาน จักรพรรดิมีราชโองการถ่ายทอดลงมา อวิ๋นเฟย ขุนนางเซียนของตำหนักเวิ่นเทียน เตรียมตัวเป็นอย่างดีจนบรรลุขั้นพลังเซียนนภานพเก้า แต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน เมื่อผู้อาวุโสหลิวหลีมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นจักรพรรดิเซียนให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน

ทันทีที่ราชโองการถูกถ่ายอดลงมา เกิดเสียงวิจารณ์ทั่ววังนภาเพลิง รองเจ้าตำหนัก ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้มาก่อนเลย แถมเพิ่งเคยจะได้ยินเรื่องเป็นผู้สืบทอดตำหนักเวิ่นเทียนเป็นครั้งแรก

“องค์รัชทายาท เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีกับพระองค์เลย” ขุนนางเซียนพูด

“ไม่หรอก เขาไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของข้าได้ มีเพียงคนเดียวจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้คือหลิวหลี ซึ่งนางสนับสนุนข้า และไม่มีใครในวังนภาเพลิงกล้าแข็งข้อกับนาง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้” เหลยจ้านส่ายหน้า ในวังนภาเพลิงแห่งนี้ ขอแค่หลิวหลีไม่แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับเขาก็ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ แต่ตนเองก็ต้องพยายามเช่นกัน ดูเอาเถอะ ขุนนางเซียนตำหนักเวิ่นเทียนได้เป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ตำหนักอื่นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เรื่องนี้หักหน้ากันได้เจ็บแสบเสียจริง

“องค์รัชทายาทอยากดึงนางมาเป็นพวกด้วยหรือไม่?” ขุนนางเซียนออกความเห็น

“ไม่จำเป็น รออวิ๋นเฟยเข้ารับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแล้วค่อยส่งของขวัญไปให้ก็พอ” ที่เหลยจ้านกล้ามั่นใจเช่นนี้ ว่าหลิวหลีสนับสนุนให้เขาเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจนางย่อมไม่คัดค้าน แม้ว่านางจะบรรลุเป็นเทพไปแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ยังคงเชื่อฟังคำสั่งของหลิวหลี ยอมรับตำแหน่งรัชทายาทของเขา แต่พูดถึงตรงนี้แล้ว เหลยจ้านก็มองดูขุนนางเซียนของตน ต่างกันเกินไป ในฟากของตำหนักเวิ่นเทียนนั้นทั้งเรื่องงานในหน้าที่และการฝึกฝนบำเพ็ญไม่ขาดตกบกพร่อง ขุนนางเซียนตำหนักนั้นต่างก็รับผิดชอบงานของตนเองได้ ส่วนขุนนางเซียนของเขา ตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ทุ่มเทสนใจเรื่องงานในตำหนัก จนพลังบำเพ็ญเพียรหยุดนิ่ง เฮ้อ หากเขามีพัฒนาการไปเรื่อยๆ คนพวกนี้ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงของเขา

“ขุนนางเซียนทุกท่าน จากนี้ไปไปพวกท่านคือผู้ที่เป็นกำลังให้รัชทายาท ตอนนี้ขุนนางเซียนอวิ๋นเฟยจากตำหนักเวิ่นเทียนกลายเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว แต่พลังบำเพ็ญเพียรของพวกท่านดูจะไม่กระเตื้องเลยสักนิด” พูดถึงตรงนี้ เหลยจ้านเริ่มมองขุนนางเซียนทั้งหลายของตน ขุนนางเซียนที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างก็ปิดปากเงียบ ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนลงแรงตั้งใจเพื่อข้า แต่หากมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนขุนนางเซียนเพราะเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรก็คงไม่ดี” เหลยจ้านพูด

“องค์รัชทายาท พวกข้าเข้าใจแล้ว” ขุนนางเซียนหลายคนพูด

ณ วังนภาเพลิง อวิ๋นเฟยมองดูราชโองการที่ยังคงลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ คิดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง นายท่านไม่ได้หลอกลวงเขา

“อวิ๋นเฟย ตอนนี้เจ้าเป็นแบบอย่างให้เหล่าขุนนางเซียนพยายามประพฤติตนตาม แต่จะหลงมัวเมาไปไม่ได้ ไม่ควรดีใจจนลืมตัว ต้องจำไว้ว่าในขณะที่เจ้ากำลังพัฒนา คนอื่นก็เตรียมพร้อมเช่นกัน” หลิวหลีมองอวิ๋นเฟยที่มีใบหน้าสับสนงงงวย

“ขอรับฝ่าบาท ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นเฟยพยักหน้า เขาก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองนัก เขารู้สึกว่านายท่านของตนเองขุดหลุมพรางเอาไว้ แม้จะบอกว่ารอจนนางกลายเป็นจักรพรรดิเซียน เขาค่อยรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน แต่ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านายท่านของเขานั้นฝึกฝนบำเพ็ญเพียรรวดเร็วแค่ไหน อีกอย่างเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอะไรปิดบังอยู่

ย้อนกลับไปวันที่หลิวหลีคุยกับองค์จักรพรรดิ

“ผู้อาวุโสหลิวหลี ได้ยินมาว่าเจ้าเลี้ยงเด็กที่ดินแดนอสูรเทพมีความสุขมากเลยหรือ?” จักรพรรดิพูดอ้อมๆ

“ท่านทรงทราบ เรื่องข้าเป็นแม่นมเต็มตัวด้วย” หลิวหลีถอนหายใจ ทั้งโลกเซียนรู้กันหมดว่านางกำลังโอ๋เด็กอยู่

“ฮ่าๆ นั่นเพราะว่าเจ้าของเรื่องเป็นคนที่พวกเราให้ความสำคัญ แล้วผู้อาวุโสหลิวหลีของข้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่นั่นแสดงว่าอาชีพแม่นมของเจ้าสิ้นสุดลงแล้วหรือ?” จักรพรรดิกระเซ้า

“ให้ความสำคัญหรือ? เจ้าตัว? ฝ่าบาทคงไม่ได้ทรงคิดว่ามังกรหงส์ปรองดองหมายถึงอาเลี่ยกับอิงเสวี่ยหรอกใช่ไหม ข้าขอเป็นคนบอกพระองค์แล้วกันว่าไม่ใช่พวกเขา” นังหนูหลิวหลีย่อมรู้คำทำนาย

“เอ๊ะ? เช่นนั้นเป็นใคร” จักรพรรดิเคยได้ยินเฟิ่งซานบอกเช่นกันว่ามังกรหงส์ปรองดองที่เขาคาดเดาไว้คือใคร

“น่าจะเป็นข้ากับสามีของข้า คำพูดที่เซียนหยั่งรู้ดวงชะตากล่าวนั้น นอกจากประโยคแรกที่เอ่ยถึงหายนะแล้ว ส่วนที่เหลือก็หมายถึงพวกข้าสองคนสามีภรรยา” หลิวหลีพูดตามตรง

“นังหนู เรื่องแบบนี้เจ้าอย่าออกตัวแบกรับมันเลย” จักรพรรดิกล่าวอย่างเคร่งเครียด

“เปล่าเลย ข้าก็ไม่อยากเหมือนกัน ทำไมความจริงต้องเป็นเช่นนี้ เฮ้อ จักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ พวกท่านกลับมาเพิ่งจะเท่าไหร่เอง ข้ากับสามีก็ถูกเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเรียกให้ไปพบ ท่านคิดว่าเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเหมือนเป็นคนชอบรับแขกมากหรือ” หลิวหลีพูด

“ก็เหมือนไม่ใช่คนเช่นนั้น เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเป็นคนง่ายๆ แต่กลับเย็นชา จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ชื่อของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาสักคน” จักรพรรดิส่ายหน้า

“เล่อถง ซียนหยั่งรู้ดวงชะตานามว่าเล่อถง” หลิวหลีเอ่ยอย่างเปิดเผย

“เช่นนั้น หลิวหลี ข้าอยากถามเจ้า ว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง?” จักรพรรดิถามด้วยท่าทีจริงจังอย่างยิ่ง

“ที่ข้ารู้ก็เยอะมาก เช่นหายนะนี้จะเกิดขึ้นที่ฝั่งสุวรรณ ข้ารู้ว่าหายนะนี้เกิดจากใคร เพียงแต่พูดไปพวกท่านก็คงไม่เชื่อ ข้ามีร่างหยางบริสุทธิ์ แต่กลับเป็นเพศหญิงซึ่งเป็นธาตุหยิน ส่วนสามีของข้าเป็นร่างหยินบริสุทธิ์แต่กลับเป็นเพศชายซึ่งเป็นธาตุหยาง ส่วนมังกรหงส์ปรองดองนี้ ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องนิมิตของข้ากับสามีตอนบรรลุขั้นราชาเซียน” หลิวหลีพูด ต่อให้อีกฝ่ายไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ คนผู้นี้คือผู้กอบกู้โลกหรือ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงบำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วปานนี้ ทั้งที่เพิ่งบรรลุขั้นราชาเซียนไปได้ไม่นาน แต่ตนเองกลับมองเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของนางไม่ชัด นี่หมายความว่า ช่วงเวลาที่เจ้าเด็กนี่ไปเป็นแม่นมก็ยังพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

“นังหนู เจ้ากลับมาคราวนี้จะใช่แค่กลับมาเยี่ยมตำหนักเฉยๆเท่านั้นหรือ?” จักรพรรดิไม่ค่อยเชื่อนัก ที่นังหนูผู้นี้อยู่ๆ ก็ใจดีกลับมา

“ใช่ มีเรื่องนิดหน่อย อวิ๋นเฟยคนจากตำหนักเวิ่นเทียนของข้า หมายถึงขุนนางเซียนอวิ๋น ตอนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว อายุไม่ถือว่ามากนัก ตอนนี้ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นราชาเซียน อีกไม่นานก็จะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน ข้าตัดสินใจจะยกตำหนักเวิ่นเทียนให้อวิ๋นเฟย ให้เขาเป็นรองเจ้าตำหนักไปสักพักก่อน รอจนข้าบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนค่อยให้เขาสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนัก ฝ่าบาทมีความเห็นอย่างไร” หลิวหลีกล่าว

“ความหมายของเจ้าคือจะให้อวิ๋นเฟยรับตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนหรือ ย่อมได้ ขุนนางเซียนของเจ้าคนนี้มีพัฒนาการมากกว่าเจ้าตำหนักพวกนั้นเสียอีก” จักรพรรดิเห็นชอบ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“เอาล่ะ นังหนูเจ้าคงไม่ได้กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิเซียนแล้วกระมัง” จักรพรรดิเย้าแหย่

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลิวหลีพยักหน้าจริงจัง จักรพรรดิไม่อาจใจเย็นได้อีกต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริง นังหนูคนนี้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างไรกันแน่ถึงได้บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะพิจารณาเรื่องบรรลุแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

“มิน่าล่ะ เจ้าถึงจะยกตำแหน่งให้อวิ๋นเฟย นังหนู ตั้งแต่เจ้าเข้ามาอยู่ในวังนภาเพลิง เจ้าก็ช่างแตกต่างกับคนอื่นนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะบำเพ็ญเพียรด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ จนคนรับมือไม่ทันเช่นนี้” จักรพรรดิกล่าว

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ฝ่าบาท ความจริงแล้ว ข้าคิดว่าตลอดว่าท่านเองก็สามารถบรรลุได้ พระองค์เป็นคนมีความสามารถ พรสวรรค์เช่นข้า ก็คงจะไปขัดหูขัดตาคนจิตใจคับแคบ แต่ฝ่าบาทก็ยังคงดีต่อข้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ข้านับถือพระองค์อย่างยิ่ง” หลิวหลีพูดอย่างจริงใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 310 รองเจ้าตำหนัก

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 310 รองเจ้าตำหนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 310 รองเจ้าตำหนัก

“นายท่าน ท่านพูดเล่นใช่ไหมที่จะให้ข้าดูแลตำหนักเวิ่นเทียน” อวิ๋นเฟยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจอย่างใจกว้างเช่นนี้ จักรพรรดิจะเห็นด้วยหรือ

“ข้าดูเป็นคนชอบล้อเล่นหรือ อวิ๋นเฟย เจ้าควรมั่นใจในตนเองเสียหน่อย เจ้าไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้าตำหนักคนอื่นๆเลย กลับกันเจ้าเก่งมาก” หลิวหลีพูดให้กำลังใจอวิ๋นเฟย

“นายท่าน ความโชคดีที่สุดของอวิ๋นเฟยคือการได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท” เมื่อถูกฝ่าบาทเห็นคุณค่า ก็เหมือนประสบความสำเร็จในทันที ได้ทั้งลาภยศสรรเสริญ

“นั่นคือความสามารถของดวงตาข้า” หลิวหลีเอาความดีความชอบเข้าตัวโดยไม่ละอายเลยสักนิด

ก่อนหลิวหลีเข้าฌาน จักรพรรดิมีราชโองการถ่ายทอดลงมา อวิ๋นเฟย ขุนนางเซียนของตำหนักเวิ่นเทียน เตรียมตัวเป็นอย่างดีจนบรรลุขั้นพลังเซียนนภานพเก้า แต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน เมื่อผู้อาวุโสหลิวหลีมีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นจักรพรรดิเซียนให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน

ทันทีที่ราชโองการถูกถ่ายอดลงมา เกิดเสียงวิจารณ์ทั่ววังนภาเพลิง รองเจ้าตำหนัก ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้มาก่อนเลย แถมเพิ่งเคยจะได้ยินเรื่องเป็นผู้สืบทอดตำหนักเวิ่นเทียนเป็นครั้งแรก

“องค์รัชทายาท เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีกับพระองค์เลย” ขุนนางเซียนพูด

“ไม่หรอก เขาไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของข้าได้ มีเพียงคนเดียวจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้คือหลิวหลี ซึ่งนางสนับสนุนข้า และไม่มีใครในวังนภาเพลิงกล้าแข็งข้อกับนาง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะสั่นคลอนตำแหน่งข้าได้” เหลยจ้านส่ายหน้า ในวังนภาเพลิงแห่งนี้ ขอแค่หลิวหลีไม่แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับเขาก็ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ แต่ตนเองก็ต้องพยายามเช่นกัน ดูเอาเถอะ ขุนนางเซียนตำหนักเวิ่นเทียนได้เป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ตำหนักอื่นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เรื่องนี้หักหน้ากันได้เจ็บแสบเสียจริง

“องค์รัชทายาทอยากดึงนางมาเป็นพวกด้วยหรือไม่?” ขุนนางเซียนออกความเห็น

“ไม่จำเป็น รออวิ๋นเฟยเข้ารับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแล้วค่อยส่งของขวัญไปให้ก็พอ” ที่เหลยจ้านกล้ามั่นใจเช่นนี้ ว่าหลิวหลีสนับสนุนให้เขาเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจนางย่อมไม่คัดค้าน แม้ว่านางจะบรรลุเป็นเทพไปแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ยังคงเชื่อฟังคำสั่งของหลิวหลี ยอมรับตำแหน่งรัชทายาทของเขา แต่พูดถึงตรงนี้แล้ว เหลยจ้านก็มองดูขุนนางเซียนของตน ต่างกันเกินไป ในฟากของตำหนักเวิ่นเทียนนั้นทั้งเรื่องงานในหน้าที่และการฝึกฝนบำเพ็ญไม่ขาดตกบกพร่อง ขุนนางเซียนตำหนักนั้นต่างก็รับผิดชอบงานของตนเองได้ ส่วนขุนนางเซียนของเขา ตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ทุ่มเทสนใจเรื่องงานในตำหนัก จนพลังบำเพ็ญเพียรหยุดนิ่ง เฮ้อ หากเขามีพัฒนาการไปเรื่อยๆ คนพวกนี้ก็จะกลายเป็นตัวถ่วงของเขา

“ขุนนางเซียนทุกท่าน จากนี้ไปไปพวกท่านคือผู้ที่เป็นกำลังให้รัชทายาท ตอนนี้ขุนนางเซียนอวิ๋นเฟยจากตำหนักเวิ่นเทียนกลายเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว แต่พลังบำเพ็ญเพียรของพวกท่านดูจะไม่กระเตื้องเลยสักนิด” พูดถึงตรงนี้ เหลยจ้านเริ่มมองขุนนางเซียนทั้งหลายของตน ขุนนางเซียนที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างก็ปิดปากเงียบ ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนลงแรงตั้งใจเพื่อข้า แต่หากมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนขุนนางเซียนเพราะเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรก็คงไม่ดี” เหลยจ้านพูด

“องค์รัชทายาท พวกข้าเข้าใจแล้ว” ขุนนางเซียนหลายคนพูด

ณ วังนภาเพลิง อวิ๋นเฟยมองดูราชโองการที่ยังคงลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ คิดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง นายท่านไม่ได้หลอกลวงเขา

“อวิ๋นเฟย ตอนนี้เจ้าเป็นแบบอย่างให้เหล่าขุนนางเซียนพยายามประพฤติตนตาม แต่จะหลงมัวเมาไปไม่ได้ ไม่ควรดีใจจนลืมตัว ต้องจำไว้ว่าในขณะที่เจ้ากำลังพัฒนา คนอื่นก็เตรียมพร้อมเช่นกัน” หลิวหลีมองอวิ๋นเฟยที่มีใบหน้าสับสนงงงวย

“ขอรับฝ่าบาท ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นเฟยพยักหน้า เขาก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองนัก เขารู้สึกว่านายท่านของตนเองขุดหลุมพรางเอาไว้ แม้จะบอกว่ารอจนนางกลายเป็นจักรพรรดิเซียน เขาค่อยรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน แต่ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านายท่านของเขานั้นฝึกฝนบำเพ็ญเพียรรวดเร็วแค่ไหน อีกอย่างเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอะไรปิดบังอยู่

ย้อนกลับไปวันที่หลิวหลีคุยกับองค์จักรพรรดิ

“ผู้อาวุโสหลิวหลี ได้ยินมาว่าเจ้าเลี้ยงเด็กที่ดินแดนอสูรเทพมีความสุขมากเลยหรือ?” จักรพรรดิพูดอ้อมๆ

“ท่านทรงทราบ เรื่องข้าเป็นแม่นมเต็มตัวด้วย” หลิวหลีถอนหายใจ ทั้งโลกเซียนรู้กันหมดว่านางกำลังโอ๋เด็กอยู่

“ฮ่าๆ นั่นเพราะว่าเจ้าของเรื่องเป็นคนที่พวกเราให้ความสำคัญ แล้วผู้อาวุโสหลิวหลีของข้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่นั่นแสดงว่าอาชีพแม่นมของเจ้าสิ้นสุดลงแล้วหรือ?” จักรพรรดิกระเซ้า

“ให้ความสำคัญหรือ? เจ้าตัว? ฝ่าบาทคงไม่ได้ทรงคิดว่ามังกรหงส์ปรองดองหมายถึงอาเลี่ยกับอิงเสวี่ยหรอกใช่ไหม ข้าขอเป็นคนบอกพระองค์แล้วกันว่าไม่ใช่พวกเขา” นังหนูหลิวหลีย่อมรู้คำทำนาย

“เอ๊ะ? เช่นนั้นเป็นใคร” จักรพรรดิเคยได้ยินเฟิ่งซานบอกเช่นกันว่ามังกรหงส์ปรองดองที่เขาคาดเดาไว้คือใคร

“น่าจะเป็นข้ากับสามีของข้า คำพูดที่เซียนหยั่งรู้ดวงชะตากล่าวนั้น นอกจากประโยคแรกที่เอ่ยถึงหายนะแล้ว ส่วนที่เหลือก็หมายถึงพวกข้าสองคนสามีภรรยา” หลิวหลีพูดตามตรง

“นังหนู เรื่องแบบนี้เจ้าอย่าออกตัวแบกรับมันเลย” จักรพรรดิกล่าวอย่างเคร่งเครียด

“เปล่าเลย ข้าก็ไม่อยากเหมือนกัน ทำไมความจริงต้องเป็นเช่นนี้ เฮ้อ จักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ พวกท่านกลับมาเพิ่งจะเท่าไหร่เอง ข้ากับสามีก็ถูกเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเรียกให้ไปพบ ท่านคิดว่าเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเหมือนเป็นคนชอบรับแขกมากหรือ” หลิวหลีพูด

“ก็เหมือนไม่ใช่คนเช่นนั้น เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาดูเป็นคนง่ายๆ แต่กลับเย็นชา จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ชื่อของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาสักคน” จักรพรรดิส่ายหน้า

“เล่อถง ซียนหยั่งรู้ดวงชะตานามว่าเล่อถง” หลิวหลีเอ่ยอย่างเปิดเผย

“เช่นนั้น หลิวหลี ข้าอยากถามเจ้า ว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง?” จักรพรรดิถามด้วยท่าทีจริงจังอย่างยิ่ง

“ที่ข้ารู้ก็เยอะมาก เช่นหายนะนี้จะเกิดขึ้นที่ฝั่งสุวรรณ ข้ารู้ว่าหายนะนี้เกิดจากใคร เพียงแต่พูดไปพวกท่านก็คงไม่เชื่อ ข้ามีร่างหยางบริสุทธิ์ แต่กลับเป็นเพศหญิงซึ่งเป็นธาตุหยิน ส่วนสามีของข้าเป็นร่างหยินบริสุทธิ์แต่กลับเป็นเพศชายซึ่งเป็นธาตุหยาง ส่วนมังกรหงส์ปรองดองนี้ ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องนิมิตของข้ากับสามีตอนบรรลุขั้นราชาเซียน” หลิวหลีพูด ต่อให้อีกฝ่ายไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ คนผู้นี้คือผู้กอบกู้โลกหรือ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงบำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วปานนี้ ทั้งที่เพิ่งบรรลุขั้นราชาเซียนไปได้ไม่นาน แต่ตนเองกลับมองเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของนางไม่ชัด นี่หมายความว่า ช่วงเวลาที่เจ้าเด็กนี่ไปเป็นแม่นมก็ยังพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

“นังหนู เจ้ากลับมาคราวนี้จะใช่แค่กลับมาเยี่ยมตำหนักเฉยๆเท่านั้นหรือ?” จักรพรรดิไม่ค่อยเชื่อนัก ที่นังหนูผู้นี้อยู่ๆ ก็ใจดีกลับมา

“ใช่ มีเรื่องนิดหน่อย อวิ๋นเฟยคนจากตำหนักเวิ่นเทียนของข้า หมายถึงขุนนางเซียนอวิ๋น ตอนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว อายุไม่ถือว่ามากนัก ตอนนี้ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นราชาเซียน อีกไม่นานก็จะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน ข้าตัดสินใจจะยกตำหนักเวิ่นเทียนให้อวิ๋นเฟย ให้เขาเป็นรองเจ้าตำหนักไปสักพักก่อน รอจนข้าบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนค่อยให้เขาสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนัก ฝ่าบาทมีความเห็นอย่างไร” หลิวหลีกล่าว

“ความหมายของเจ้าคือจะให้อวิ๋นเฟยรับตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนหรือ ย่อมได้ ขุนนางเซียนของเจ้าคนนี้มีพัฒนาการมากกว่าเจ้าตำหนักพวกนั้นเสียอีก” จักรพรรดิเห็นชอบ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“เอาล่ะ นังหนูเจ้าคงไม่ได้กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิเซียนแล้วกระมัง” จักรพรรดิเย้าแหย่

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลิวหลีพยักหน้าจริงจัง จักรพรรดิไม่อาจใจเย็นได้อีกต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริง นังหนูคนนี้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างไรกันแน่ถึงได้บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะพิจารณาเรื่องบรรลุแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

“มิน่าล่ะ เจ้าถึงจะยกตำแหน่งให้อวิ๋นเฟย นังหนู ตั้งแต่เจ้าเข้ามาอยู่ในวังนภาเพลิง เจ้าก็ช่างแตกต่างกับคนอื่นนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะบำเพ็ญเพียรด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ จนคนรับมือไม่ทันเช่นนี้” จักรพรรดิกล่าว

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ฝ่าบาท ความจริงแล้ว ข้าคิดว่าตลอดว่าท่านเองก็สามารถบรรลุได้ พระองค์เป็นคนมีความสามารถ พรสวรรค์เช่นข้า ก็คงจะไปขัดหูขัดตาคนจิตใจคับแคบ แต่ฝ่าบาทก็ยังคงดีต่อข้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ข้านับถือพระองค์อย่างยิ่ง” หลิวหลีพูดอย่างจริงใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+