แม่ครัวยอดเซียน 317 สงครามปะทุ

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 317 สงครามปะทุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อจื่อฉีออกจากฌานมาพบว่าคนสนิทของเขาล้วนอยู่ที่นี่กันหมดจึงตื้นตันใจน้อยๆ แต่ไม่นานก็พบว่าสายตาของทุกคนไม่ได้จดจ้องอยู่ที่เขาทำให้พูดอะไรไม่ออก ไม่ได้มาแสดงความยินดีที่เขาได้เป็นราชาเซียนหรือ จนเมื่อมองไปเห็นภรรยาของเขาที่อยู่ตรงกลาง ดูไม่เลวเลยทีเดียว บำรุงจนตัวอ้วนกลม ไม่ได้ลำบากอะไร

“ท่านพี่ ท่านออกณาณแล้ว” มู่มู่พบว่าจื่อฉีออกจากฌานแล้วจึงรีบไปต้อนรับ ส่วนคนที่เหลือถึงได้เหมือนกับว่าเพิ่งเห็นจื่อฉี

“น้องหญิง เจ้าดูไม่เลวเลยทีเดียว” มีเนื้อมีหนัง มองแล้วรู้สึกดีทีเดียว

“อืม เมื่อครู่ตอนที่ท่านพี่กลายเป็นราชาเซียน ลูกดิ้นด้วย” มู่มู่รีบพูด

“จริงหรือ ลูกของเราต้องน่ารักมากแน่ๆ” จื่อฉีรู้สึกว่าการมีทายาทที่มีสายเสือดเกี่ยวดองกับตนนั้นดีมากทีเดียว แต่ก่อนเขาเห็นพ่อแม่ของเขารักใคร่กันมาก็มาก ราวกับว่ามีแค่กันและกันนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์ ต้องมีทายาทถึงจะสมบูรณ์

“อืม ท่านพี่บอกว่าเป็นกิเลนน้อย” มู่มู่รีบโยนให้หลิวหลี ทำเอานางอยากก่ายหน้าผาก จะทำให้สามีตนเองประหลาดใจไม่ได้เลยหรือ คิดไม่ถึงว่าจะรีบร้อนพูดออกมา โชคดีที่แต่งกับจื่อฉี ไม่เช่นนั้นคงโดนปอกลอกไปจนหมดตัวไม่เหลืออะไร

“เช่นนั้นหรือ เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพียงแค่เป็นเด็กที่น้องหญิงคลอดออกมา” สิ่งที่จื่อฉีตอบกลับมาคือไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องเป็นกิเลนน้อยหรือเป็นเด็ก อย่างไรก็คือลูกของเขา

“ท่านพี่ ท่านช่างแสนดีนัก”

อยู่ๆหลิวหลีก็รู้สึกว่าสองคนนี้เลี่ยนกันเหลือเกิน จึงจงใจกระแอมออกมา

“ท่านพี่ ข้าดูดซับไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว” แล้วก็เป็นอย่างที่คิด จื่อฉีสังเกตเห็นแล้ว เมื่อเขาเห็นหลิวหลีก็ลากมู่มู่มาพูดตรงหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่พบว่าท่านพี่ของเขาดูเหมือนจะลึกล้ำกว่าเดิม

“ไม่เลว แต่ว่าอีกสักพักเจ้าต้องเข้าฌานพร้อมกับมู่มู่ และจะต้องดูดซับมาให้หมด” หลิวหลีเอ่ยอย่างเคร่งเครียด

“ท่านพี่ ข้าบรรลุขั้นพลังในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้หรอก ข้าขอค่อยๆหลอมรวมมันได้หรือไม่ ข้าอยากอยู่กับมู่มู่ด้วย” จื่อฉีรู้สึกว่าตนเองคงไม่มีอะไรก้าวหน้าในระยะเวลาสั้นๆนี้แน่ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าฌาน

“ไม่ได้ จำเป็นต้องหลอมรวมทั้งหมด เจ้ารู้แค่สิ่งที่เจ้าดูดซับไปตอนนั้นเป็นของดี อีกทั้งหากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นพลังของเจ้าได้ เมื่อเจ้าได้เจอกับคนนั้น เขาก็จะสามารถขโมยพลังในส่วนที่เจ้าดูดซับไปได้” หลิวหลียืนกรานและบอกเรื่องสำคัญออกไป

“ท่านพี่ อยู่กับข้าและลูกเถอะ เสด็จแม่บอกว่าจะให้ข้าเข้าไปในหอกาลเวลาเพื่อให้ลูกได้คลอดเร็วขึ้น” มู่มู่พูดพลางดึงแขนจื่อฉี

“ได้” จื่อฉีเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ ท่านพี่ก็คงไม่ขอร้องตนด้วยน้ำเสียงตึงเครียดเช่นนั้น

อีกด้านหนึ่ง ณ วังนภาสุวรรณ การเข้าฌานของเยี่ยชิงขวงใกล้จะสิ้นสุดลงเช่นกัน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มีสีเลือดเป็นเส้นขึ้นมาแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ ผมของเขาค่อยๆกลายเป็นสีเลือด ในที่สุดร่างกายก็ได้กลายเป็นสายเลือดราชวงศ์อย่างสมบูรณ์ เมื่อเยี่ยชิงขวงรู้สึกตัว เผ่ามารรัตติกาลหรือผู้ที่มีสายเลือดเผ่ามารรัตติกาลล้วนสัมผัสได้ว่าราชาของพวกเขาปรากฎตัวขึ้นแล้ว ดีจริงๆ ในที่สุดเวลาที่พวกเขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง

“ขอแสดงความยินดีที่ได้ออกจากฌานขอรับฝ่าบาท” ขุนนางเซียนเคารพเขามากขึ้นถึงขนาดเปลี่ยนคำเรียกราชาของพวกเขาอุบัติขั้นแล้ว

“ลุกขึ้นเถอะ เรียกขุนนางเซียนอีกสามคนมา ถึงเวลาต้องทดลองพลังสายเลือดราชวงศ์แล้ว” เยี่ยชิงขวงกุมหมัดพูด

“กระหม่อม” ขุนนางเซียนตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ จะใช้เคล็ดวิชาของเผ่ามารรัตติกาลหรือ

“เอาล่ะ ตอนนี้สายเลือดของข้าถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ถึงเวลาใช้พลังสายเลือดแล้ว” เยี่ยชิงขวงมองขุนนางเซียนที่บ้าคลั่ง ตัวเขาเองก็รู้สึกคลั่งเล็กน้อยเช่นกัน

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เหล่าขุนนางเซียนถวายเคารพโดยเอาหน้าผากแตะพื้นด้วยความตื้นตัน

เยี่ยชิงขวงยื่นมือออกมา นิ้วทั้งสี่นิ้วปล่อยหยดเลือดกลมๆสี่หยดออกมาและยิงไปทางช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียนทั้งสี่คน หลังจากที่หยดเลือดหลอมรวมเข้าไปในช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียน เสื้อผ้าด้านบนของขุนนางเซียนก็ขาดออกไปเป็นเสี่ยงๆ ปีกที่ถูกซ่อนไว้สยายออกมาให้ประจักษ์ ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวไปทั่วปีกของพวกเขา ปีกสีดำมหึมากำลังร้องเรียกตัวตนของพวกเขา เผ่ามารรัตติกาล อาจบอกได้ว่าตำหนักของเยี่ยชิงขวงล้วนมีแต่เผ่ามารรัตติกาล ทุกคนคุกเข่ามองไปยังตำแหน่งที่เยี่ยชิงขวงอยู่ ยกเว้นหลิวอิ๋งที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวอยู่บนปีกขนาดยักษ์นั้นแล้วค่อยๆเคลื่อนกลับไปที่หน้าผากอย่างเชื่องช้า หน้าผากของพวกเขามีจุดสีชาดปรากฎขึ้นแสดงให้เห็นว่าขุนนางเซียนทั้งสี่คนนี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว แต่ภายนอกกลับสงบนิ่ง ไม่ปรากฏข่าวจักรพรรดิเซียนคนใหม่เลยสักนิด

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสี่คนหุบปีก มองไม่ออกว่าจริงๆแล้วพวกเขาคือเผ่ามารรัตติกาล มีเพียงจุดบนหน้าผากที่ดูแปลกตาเป็นพิเศษเท่านั้น

“เท่านี้ยังไม่พอ พลังบำเพ็ญเพียรในขั้นต่ำที่สุดต้องอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเจ้าลองหาคนเผ่ามารรัตติกาลที่บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเราต้องการจักรพรรดิเซียนอย่างน้อยยี่สิบคนถึงจะสามารถหารือเรื่องใหญ่กันได้” เยี่ยชิงขวงกล่าว

“น้อมรับคำสั่งขอรับ” ทั้งสี่พูดอย่างพร้อมเพรียงกัน

“โลกเซียนจะต้องกลายเป็นโลกของข้า ฮ่าๆ” เยี่ยชิงขวงพูดพลางมองท้องฟ้าและหัวเราะ ใกล้แล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้ก็คือกลืนกินดินแดนนภาสุวรรณนี้เสียก่อน

“หลิวหลี เวิ่นเทียน ข้าเยี่ยซิงหวงกลับมาแล้ว คงคาดไม่ถึงกันล่ะสิ” เยี่ยชิงขวงเอ่ยเบาๆ แล้วนึกถึงคำพยากรณ์ที่หลิวอิ๋งใช้พลังชีวิตทำนายออกมา น่าเสียดายจริงๆที่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ในโลกเซียนนี้ น่าเสียดายนัก

หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าพญามารได้ตื่นขึ้นมาแล้ว แถมยังวางแผนมากมายเสียด้วย

จากที่จื่อฉีได้เข้าไปในหอกาลเวลากับมู่มู่ เด็กทั้งสองก็ตามเข้าไปด้วยเช่นกัน แล้วคนที่ตามเข้าไปด้วยยังมีหลิวหลีกับเวิ่นเทียน เด็กทั้งสองอยากจะแสดงกระบวนท่ารวมร่างของพวกตนอยู่ตลอด ผู้ใหญ่ทั้งสองได้เข้าไปกับเด็กๆในฐานะที่เป็นคนชี้แนะ เอ๋าเลี่ยและอิงเสวี่ยจะอยู่ต่อก็เกรงใจ จึงสั่งสอนบุตรชายทั้งสองคนและกลับดินแดนอสูรเทพเพื่อเข้าฌาน

“ไม่เลวนี่ มีการพัฒนา” หลิวหลีพอใจที่เด็กทั้งสองรู้ใจกันมาก จึงยิ่งชื่นชมเด็กทั้งสอง

“น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถสู้ท่านน้าหลิวหลีได้” เด็กทั้งสองออกตัวว่าเสียดาย พวกเขายังห่างชั้นกับท่านน้ามาก

“เจ้าสองคน พวกเจ้ายังเด็ก ไม่ต้องตั้งเงื่อนไขกับตนเองสูงขนาดนั้น มีความสุขทุกวันก็พอแล้ว” หลิวหลีลูบศีรษะเด็กทั้งสอง พลางบอกพวกเขาว่าในเมื่อเป็นเด็กก็ต้องทำตัวเป็นเด็กเข้าไว้ ใบหน้าบึ้งตึงไม่เหมาะกับพวกเขา เด็กวัยเยาว์ช่างไร้เรื่องทุกข์ร้อนจริงๆ แล้วจะอยากเครียดไปเพื่ออะไรกัน

“ท่านน้า พวกข้ารู้ว่าพวกท่านมีเรื่องปิดบังพวกข้าอยู่ ไม่อยากให้พวกข้ารู้ แต่จะช้าหรือเร็วพวกข้าก็ต้องโตขึ้น” ปิงเซียวกล่าว

“เป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่ แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังเป็นเด็ก เด็กต้องมีความสุขกับช่วงเวลาดีๆในวัยเยาว์” ถึงหลิวหลีจะชอบใจที่เด็กทั้งสองมีความคิดความอ่าน แต่นางก็ยังไม่อยากให้เด็กโตเร็วเกินไป

“ท่านน้า พวกข้าอยากโตขึ้นให้เร็วสักหน่อย” เหลยรุ่ยกล่าว

“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องขยัน พอพวกเจ้าโตขึ้นก็จะคิดถึงความไร้กังวลในวัยเยาว์” หลิวหลีถอนหายใจ เด็กทั้งสองคนเป็นเข้าใจเรื่องราวอะไรๆ จนน่าปวดใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 317 สงครามปะทุ

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 317 สงครามปะทุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อจื่อฉีออกจากฌานมาพบว่าคนสนิทของเขาล้วนอยู่ที่นี่กันหมดจึงตื้นตันใจน้อยๆ แต่ไม่นานก็พบว่าสายตาของทุกคนไม่ได้จดจ้องอยู่ที่เขาทำให้พูดอะไรไม่ออก ไม่ได้มาแสดงความยินดีที่เขาได้เป็นราชาเซียนหรือ จนเมื่อมองไปเห็นภรรยาของเขาที่อยู่ตรงกลาง ดูไม่เลวเลยทีเดียว บำรุงจนตัวอ้วนกลม ไม่ได้ลำบากอะไร

“ท่านพี่ ท่านออกณาณแล้ว” มู่มู่พบว่าจื่อฉีออกจากฌานแล้วจึงรีบไปต้อนรับ ส่วนคนที่เหลือถึงได้เหมือนกับว่าเพิ่งเห็นจื่อฉี

“น้องหญิง เจ้าดูไม่เลวเลยทีเดียว” มีเนื้อมีหนัง มองแล้วรู้สึกดีทีเดียว

“อืม เมื่อครู่ตอนที่ท่านพี่กลายเป็นราชาเซียน ลูกดิ้นด้วย” มู่มู่รีบพูด

“จริงหรือ ลูกของเราต้องน่ารักมากแน่ๆ” จื่อฉีรู้สึกว่าการมีทายาทที่มีสายเสือดเกี่ยวดองกับตนนั้นดีมากทีเดียว แต่ก่อนเขาเห็นพ่อแม่ของเขารักใคร่กันมาก็มาก ราวกับว่ามีแค่กันและกันนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์ ต้องมีทายาทถึงจะสมบูรณ์

“อืม ท่านพี่บอกว่าเป็นกิเลนน้อย” มู่มู่รีบโยนให้หลิวหลี ทำเอานางอยากก่ายหน้าผาก จะทำให้สามีตนเองประหลาดใจไม่ได้เลยหรือ คิดไม่ถึงว่าจะรีบร้อนพูดออกมา โชคดีที่แต่งกับจื่อฉี ไม่เช่นนั้นคงโดนปอกลอกไปจนหมดตัวไม่เหลืออะไร

“เช่นนั้นหรือ เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพียงแค่เป็นเด็กที่น้องหญิงคลอดออกมา” สิ่งที่จื่อฉีตอบกลับมาคือไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องเป็นกิเลนน้อยหรือเป็นเด็ก อย่างไรก็คือลูกของเขา

“ท่านพี่ ท่านช่างแสนดีนัก”

อยู่ๆหลิวหลีก็รู้สึกว่าสองคนนี้เลี่ยนกันเหลือเกิน จึงจงใจกระแอมออกมา

“ท่านพี่ ข้าดูดซับไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว” แล้วก็เป็นอย่างที่คิด จื่อฉีสังเกตเห็นแล้ว เมื่อเขาเห็นหลิวหลีก็ลากมู่มู่มาพูดตรงหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่พบว่าท่านพี่ของเขาดูเหมือนจะลึกล้ำกว่าเดิม

“ไม่เลว แต่ว่าอีกสักพักเจ้าต้องเข้าฌานพร้อมกับมู่มู่ และจะต้องดูดซับมาให้หมด” หลิวหลีเอ่ยอย่างเคร่งเครียด

“ท่านพี่ ข้าบรรลุขั้นพลังในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้หรอก ข้าขอค่อยๆหลอมรวมมันได้หรือไม่ ข้าอยากอยู่กับมู่มู่ด้วย” จื่อฉีรู้สึกว่าตนเองคงไม่มีอะไรก้าวหน้าในระยะเวลาสั้นๆนี้แน่ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าฌาน

“ไม่ได้ จำเป็นต้องหลอมรวมทั้งหมด เจ้ารู้แค่สิ่งที่เจ้าดูดซับไปตอนนั้นเป็นของดี อีกทั้งหากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นพลังของเจ้าได้ เมื่อเจ้าได้เจอกับคนนั้น เขาก็จะสามารถขโมยพลังในส่วนที่เจ้าดูดซับไปได้” หลิวหลียืนกรานและบอกเรื่องสำคัญออกไป

“ท่านพี่ อยู่กับข้าและลูกเถอะ เสด็จแม่บอกว่าจะให้ข้าเข้าไปในหอกาลเวลาเพื่อให้ลูกได้คลอดเร็วขึ้น” มู่มู่พูดพลางดึงแขนจื่อฉี

“ได้” จื่อฉีเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ ท่านพี่ก็คงไม่ขอร้องตนด้วยน้ำเสียงตึงเครียดเช่นนั้น

อีกด้านหนึ่ง ณ วังนภาสุวรรณ การเข้าฌานของเยี่ยชิงขวงใกล้จะสิ้นสุดลงเช่นกัน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มีสีเลือดเป็นเส้นขึ้นมาแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ ผมของเขาค่อยๆกลายเป็นสีเลือด ในที่สุดร่างกายก็ได้กลายเป็นสายเลือดราชวงศ์อย่างสมบูรณ์ เมื่อเยี่ยชิงขวงรู้สึกตัว เผ่ามารรัตติกาลหรือผู้ที่มีสายเลือดเผ่ามารรัตติกาลล้วนสัมผัสได้ว่าราชาของพวกเขาปรากฎตัวขึ้นแล้ว ดีจริงๆ ในที่สุดเวลาที่พวกเขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง

“ขอแสดงความยินดีที่ได้ออกจากฌานขอรับฝ่าบาท” ขุนนางเซียนเคารพเขามากขึ้นถึงขนาดเปลี่ยนคำเรียกราชาของพวกเขาอุบัติขั้นแล้ว

“ลุกขึ้นเถอะ เรียกขุนนางเซียนอีกสามคนมา ถึงเวลาต้องทดลองพลังสายเลือดราชวงศ์แล้ว” เยี่ยชิงขวงกุมหมัดพูด

“กระหม่อม” ขุนนางเซียนตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ จะใช้เคล็ดวิชาของเผ่ามารรัตติกาลหรือ

“เอาล่ะ ตอนนี้สายเลือดของข้าถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ถึงเวลาใช้พลังสายเลือดแล้ว” เยี่ยชิงขวงมองขุนนางเซียนที่บ้าคลั่ง ตัวเขาเองก็รู้สึกคลั่งเล็กน้อยเช่นกัน

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เหล่าขุนนางเซียนถวายเคารพโดยเอาหน้าผากแตะพื้นด้วยความตื้นตัน

เยี่ยชิงขวงยื่นมือออกมา นิ้วทั้งสี่นิ้วปล่อยหยดเลือดกลมๆสี่หยดออกมาและยิงไปทางช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียนทั้งสี่คน หลังจากที่หยดเลือดหลอมรวมเข้าไปในช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียน เสื้อผ้าด้านบนของขุนนางเซียนก็ขาดออกไปเป็นเสี่ยงๆ ปีกที่ถูกซ่อนไว้สยายออกมาให้ประจักษ์ ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวไปทั่วปีกของพวกเขา ปีกสีดำมหึมากำลังร้องเรียกตัวตนของพวกเขา เผ่ามารรัตติกาล อาจบอกได้ว่าตำหนักของเยี่ยชิงขวงล้วนมีแต่เผ่ามารรัตติกาล ทุกคนคุกเข่ามองไปยังตำแหน่งที่เยี่ยชิงขวงอยู่ ยกเว้นหลิวอิ๋งที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวอยู่บนปีกขนาดยักษ์นั้นแล้วค่อยๆเคลื่อนกลับไปที่หน้าผากอย่างเชื่องช้า หน้าผากของพวกเขามีจุดสีชาดปรากฎขึ้นแสดงให้เห็นว่าขุนนางเซียนทั้งสี่คนนี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว แต่ภายนอกกลับสงบนิ่ง ไม่ปรากฏข่าวจักรพรรดิเซียนคนใหม่เลยสักนิด

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสี่คนหุบปีก มองไม่ออกว่าจริงๆแล้วพวกเขาคือเผ่ามารรัตติกาล มีเพียงจุดบนหน้าผากที่ดูแปลกตาเป็นพิเศษเท่านั้น

“เท่านี้ยังไม่พอ พลังบำเพ็ญเพียรในขั้นต่ำที่สุดต้องอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเจ้าลองหาคนเผ่ามารรัตติกาลที่บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเราต้องการจักรพรรดิเซียนอย่างน้อยยี่สิบคนถึงจะสามารถหารือเรื่องใหญ่กันได้” เยี่ยชิงขวงกล่าว

“น้อมรับคำสั่งขอรับ” ทั้งสี่พูดอย่างพร้อมเพรียงกัน

“โลกเซียนจะต้องกลายเป็นโลกของข้า ฮ่าๆ” เยี่ยชิงขวงพูดพลางมองท้องฟ้าและหัวเราะ ใกล้แล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้ก็คือกลืนกินดินแดนนภาสุวรรณนี้เสียก่อน

“หลิวหลี เวิ่นเทียน ข้าเยี่ยซิงหวงกลับมาแล้ว คงคาดไม่ถึงกันล่ะสิ” เยี่ยชิงขวงเอ่ยเบาๆ แล้วนึกถึงคำพยากรณ์ที่หลิวอิ๋งใช้พลังชีวิตทำนายออกมา น่าเสียดายจริงๆที่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ในโลกเซียนนี้ น่าเสียดายนัก

หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าพญามารได้ตื่นขึ้นมาแล้ว แถมยังวางแผนมากมายเสียด้วย

จากที่จื่อฉีได้เข้าไปในหอกาลเวลากับมู่มู่ เด็กทั้งสองก็ตามเข้าไปด้วยเช่นกัน แล้วคนที่ตามเข้าไปด้วยยังมีหลิวหลีกับเวิ่นเทียน เด็กทั้งสองอยากจะแสดงกระบวนท่ารวมร่างของพวกตนอยู่ตลอด ผู้ใหญ่ทั้งสองได้เข้าไปกับเด็กๆในฐานะที่เป็นคนชี้แนะ เอ๋าเลี่ยและอิงเสวี่ยจะอยู่ต่อก็เกรงใจ จึงสั่งสอนบุตรชายทั้งสองคนและกลับดินแดนอสูรเทพเพื่อเข้าฌาน

“ไม่เลวนี่ มีการพัฒนา” หลิวหลีพอใจที่เด็กทั้งสองรู้ใจกันมาก จึงยิ่งชื่นชมเด็กทั้งสอง

“น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถสู้ท่านน้าหลิวหลีได้” เด็กทั้งสองออกตัวว่าเสียดาย พวกเขายังห่างชั้นกับท่านน้ามาก

“เจ้าสองคน พวกเจ้ายังเด็ก ไม่ต้องตั้งเงื่อนไขกับตนเองสูงขนาดนั้น มีความสุขทุกวันก็พอแล้ว” หลิวหลีลูบศีรษะเด็กทั้งสอง พลางบอกพวกเขาว่าในเมื่อเป็นเด็กก็ต้องทำตัวเป็นเด็กเข้าไว้ ใบหน้าบึ้งตึงไม่เหมาะกับพวกเขา เด็กวัยเยาว์ช่างไร้เรื่องทุกข์ร้อนจริงๆ แล้วจะอยากเครียดไปเพื่ออะไรกัน

“ท่านน้า พวกข้ารู้ว่าพวกท่านมีเรื่องปิดบังพวกข้าอยู่ ไม่อยากให้พวกข้ารู้ แต่จะช้าหรือเร็วพวกข้าก็ต้องโตขึ้น” ปิงเซียวกล่าว

“เป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่ แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังเป็นเด็ก เด็กต้องมีความสุขกับช่วงเวลาดีๆในวัยเยาว์” ถึงหลิวหลีจะชอบใจที่เด็กทั้งสองมีความคิดความอ่าน แต่นางก็ยังไม่อยากให้เด็กโตเร็วเกินไป

“ท่านน้า พวกข้าอยากโตขึ้นให้เร็วสักหน่อย” เหลยรุ่ยกล่าว

“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องขยัน พอพวกเจ้าโตขึ้นก็จะคิดถึงความไร้กังวลในวัยเยาว์” หลิวหลีถอนหายใจ เด็กทั้งสองคนเป็นเข้าใจเรื่องราวอะไรๆ จนน่าปวดใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 317 สงครามปะทุ

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 317 สงครามปะทุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อจื่อฉีออกจากฌานมาพบว่าคนสนิทของเขาล้วนอยู่ที่นี่กันหมดจึงตื้นตันใจน้อยๆ แต่ไม่นานก็พบว่าสายตาของทุกคนไม่ได้จดจ้องอยู่ที่เขาทำให้พูดอะไรไม่ออก ไม่ได้มาแสดงความยินดีที่เขาได้เป็นราชาเซียนหรือ จนเมื่อมองไปเห็นภรรยาของเขาที่อยู่ตรงกลาง ดูไม่เลวเลยทีเดียว บำรุงจนตัวอ้วนกลม ไม่ได้ลำบากอะไร

“ท่านพี่ ท่านออกณาณแล้ว” มู่มู่พบว่าจื่อฉีออกจากฌานแล้วจึงรีบไปต้อนรับ ส่วนคนที่เหลือถึงได้เหมือนกับว่าเพิ่งเห็นจื่อฉี

“น้องหญิง เจ้าดูไม่เลวเลยทีเดียว” มีเนื้อมีหนัง มองแล้วรู้สึกดีทีเดียว

“อืม เมื่อครู่ตอนที่ท่านพี่กลายเป็นราชาเซียน ลูกดิ้นด้วย” มู่มู่รีบพูด

“จริงหรือ ลูกของเราต้องน่ารักมากแน่ๆ” จื่อฉีรู้สึกว่าการมีทายาทที่มีสายเสือดเกี่ยวดองกับตนนั้นดีมากทีเดียว แต่ก่อนเขาเห็นพ่อแม่ของเขารักใคร่กันมาก็มาก ราวกับว่ามีแค่กันและกันนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์ ต้องมีทายาทถึงจะสมบูรณ์

“อืม ท่านพี่บอกว่าเป็นกิเลนน้อย” มู่มู่รีบโยนให้หลิวหลี ทำเอานางอยากก่ายหน้าผาก จะทำให้สามีตนเองประหลาดใจไม่ได้เลยหรือ คิดไม่ถึงว่าจะรีบร้อนพูดออกมา โชคดีที่แต่งกับจื่อฉี ไม่เช่นนั้นคงโดนปอกลอกไปจนหมดตัวไม่เหลืออะไร

“เช่นนั้นหรือ เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพียงแค่เป็นเด็กที่น้องหญิงคลอดออกมา” สิ่งที่จื่อฉีตอบกลับมาคือไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องเป็นกิเลนน้อยหรือเป็นเด็ก อย่างไรก็คือลูกของเขา

“ท่านพี่ ท่านช่างแสนดีนัก”

อยู่ๆหลิวหลีก็รู้สึกว่าสองคนนี้เลี่ยนกันเหลือเกิน จึงจงใจกระแอมออกมา

“ท่านพี่ ข้าดูดซับไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว” แล้วก็เป็นอย่างที่คิด จื่อฉีสังเกตเห็นแล้ว เมื่อเขาเห็นหลิวหลีก็ลากมู่มู่มาพูดตรงหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่พบว่าท่านพี่ของเขาดูเหมือนจะลึกล้ำกว่าเดิม

“ไม่เลว แต่ว่าอีกสักพักเจ้าต้องเข้าฌานพร้อมกับมู่มู่ และจะต้องดูดซับมาให้หมด” หลิวหลีเอ่ยอย่างเคร่งเครียด

“ท่านพี่ ข้าบรรลุขั้นพลังในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้หรอก ข้าขอค่อยๆหลอมรวมมันได้หรือไม่ ข้าอยากอยู่กับมู่มู่ด้วย” จื่อฉีรู้สึกว่าตนเองคงไม่มีอะไรก้าวหน้าในระยะเวลาสั้นๆนี้แน่ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าฌาน

“ไม่ได้ จำเป็นต้องหลอมรวมทั้งหมด เจ้ารู้แค่สิ่งที่เจ้าดูดซับไปตอนนั้นเป็นของดี อีกทั้งหากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นพลังของเจ้าได้ เมื่อเจ้าได้เจอกับคนนั้น เขาก็จะสามารถขโมยพลังในส่วนที่เจ้าดูดซับไปได้” หลิวหลียืนกรานและบอกเรื่องสำคัญออกไป

“ท่านพี่ อยู่กับข้าและลูกเถอะ เสด็จแม่บอกว่าจะให้ข้าเข้าไปในหอกาลเวลาเพื่อให้ลูกได้คลอดเร็วขึ้น” มู่มู่พูดพลางดึงแขนจื่อฉี

“ได้” จื่อฉีเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ ท่านพี่ก็คงไม่ขอร้องตนด้วยน้ำเสียงตึงเครียดเช่นนั้น

อีกด้านหนึ่ง ณ วังนภาสุวรรณ การเข้าฌานของเยี่ยชิงขวงใกล้จะสิ้นสุดลงเช่นกัน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มีสีเลือดเป็นเส้นขึ้นมาแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ ผมของเขาค่อยๆกลายเป็นสีเลือด ในที่สุดร่างกายก็ได้กลายเป็นสายเลือดราชวงศ์อย่างสมบูรณ์ เมื่อเยี่ยชิงขวงรู้สึกตัว เผ่ามารรัตติกาลหรือผู้ที่มีสายเลือดเผ่ามารรัตติกาลล้วนสัมผัสได้ว่าราชาของพวกเขาปรากฎตัวขึ้นแล้ว ดีจริงๆ ในที่สุดเวลาที่พวกเขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง

“ขอแสดงความยินดีที่ได้ออกจากฌานขอรับฝ่าบาท” ขุนนางเซียนเคารพเขามากขึ้นถึงขนาดเปลี่ยนคำเรียกราชาของพวกเขาอุบัติขั้นแล้ว

“ลุกขึ้นเถอะ เรียกขุนนางเซียนอีกสามคนมา ถึงเวลาต้องทดลองพลังสายเลือดราชวงศ์แล้ว” เยี่ยชิงขวงกุมหมัดพูด

“กระหม่อม” ขุนนางเซียนตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ จะใช้เคล็ดวิชาของเผ่ามารรัตติกาลหรือ

“เอาล่ะ ตอนนี้สายเลือดของข้าถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ถึงเวลาใช้พลังสายเลือดแล้ว” เยี่ยชิงขวงมองขุนนางเซียนที่บ้าคลั่ง ตัวเขาเองก็รู้สึกคลั่งเล็กน้อยเช่นกัน

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เหล่าขุนนางเซียนถวายเคารพโดยเอาหน้าผากแตะพื้นด้วยความตื้นตัน

เยี่ยชิงขวงยื่นมือออกมา นิ้วทั้งสี่นิ้วปล่อยหยดเลือดกลมๆสี่หยดออกมาและยิงไปทางช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียนทั้งสี่คน หลังจากที่หยดเลือดหลอมรวมเข้าไปในช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียน เสื้อผ้าด้านบนของขุนนางเซียนก็ขาดออกไปเป็นเสี่ยงๆ ปีกที่ถูกซ่อนไว้สยายออกมาให้ประจักษ์ ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวไปทั่วปีกของพวกเขา ปีกสีดำมหึมากำลังร้องเรียกตัวตนของพวกเขา เผ่ามารรัตติกาล อาจบอกได้ว่าตำหนักของเยี่ยชิงขวงล้วนมีแต่เผ่ามารรัตติกาล ทุกคนคุกเข่ามองไปยังตำแหน่งที่เยี่ยชิงขวงอยู่ ยกเว้นหลิวอิ๋งที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวอยู่บนปีกขนาดยักษ์นั้นแล้วค่อยๆเคลื่อนกลับไปที่หน้าผากอย่างเชื่องช้า หน้าผากของพวกเขามีจุดสีชาดปรากฎขึ้นแสดงให้เห็นว่าขุนนางเซียนทั้งสี่คนนี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว แต่ภายนอกกลับสงบนิ่ง ไม่ปรากฏข่าวจักรพรรดิเซียนคนใหม่เลยสักนิด

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสี่คนหุบปีก มองไม่ออกว่าจริงๆแล้วพวกเขาคือเผ่ามารรัตติกาล มีเพียงจุดบนหน้าผากที่ดูแปลกตาเป็นพิเศษเท่านั้น

“เท่านี้ยังไม่พอ พลังบำเพ็ญเพียรในขั้นต่ำที่สุดต้องอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเจ้าลองหาคนเผ่ามารรัตติกาลที่บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเราต้องการจักรพรรดิเซียนอย่างน้อยยี่สิบคนถึงจะสามารถหารือเรื่องใหญ่กันได้” เยี่ยชิงขวงกล่าว

“น้อมรับคำสั่งขอรับ” ทั้งสี่พูดอย่างพร้อมเพรียงกัน

“โลกเซียนจะต้องกลายเป็นโลกของข้า ฮ่าๆ” เยี่ยชิงขวงพูดพลางมองท้องฟ้าและหัวเราะ ใกล้แล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้ก็คือกลืนกินดินแดนนภาสุวรรณนี้เสียก่อน

“หลิวหลี เวิ่นเทียน ข้าเยี่ยซิงหวงกลับมาแล้ว คงคาดไม่ถึงกันล่ะสิ” เยี่ยชิงขวงเอ่ยเบาๆ แล้วนึกถึงคำพยากรณ์ที่หลิวอิ๋งใช้พลังชีวิตทำนายออกมา น่าเสียดายจริงๆที่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ในโลกเซียนนี้ น่าเสียดายนัก

หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าพญามารได้ตื่นขึ้นมาแล้ว แถมยังวางแผนมากมายเสียด้วย

จากที่จื่อฉีได้เข้าไปในหอกาลเวลากับมู่มู่ เด็กทั้งสองก็ตามเข้าไปด้วยเช่นกัน แล้วคนที่ตามเข้าไปด้วยยังมีหลิวหลีกับเวิ่นเทียน เด็กทั้งสองอยากจะแสดงกระบวนท่ารวมร่างของพวกตนอยู่ตลอด ผู้ใหญ่ทั้งสองได้เข้าไปกับเด็กๆในฐานะที่เป็นคนชี้แนะ เอ๋าเลี่ยและอิงเสวี่ยจะอยู่ต่อก็เกรงใจ จึงสั่งสอนบุตรชายทั้งสองคนและกลับดินแดนอสูรเทพเพื่อเข้าฌาน

“ไม่เลวนี่ มีการพัฒนา” หลิวหลีพอใจที่เด็กทั้งสองรู้ใจกันมาก จึงยิ่งชื่นชมเด็กทั้งสอง

“น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถสู้ท่านน้าหลิวหลีได้” เด็กทั้งสองออกตัวว่าเสียดาย พวกเขายังห่างชั้นกับท่านน้ามาก

“เจ้าสองคน พวกเจ้ายังเด็ก ไม่ต้องตั้งเงื่อนไขกับตนเองสูงขนาดนั้น มีความสุขทุกวันก็พอแล้ว” หลิวหลีลูบศีรษะเด็กทั้งสอง พลางบอกพวกเขาว่าในเมื่อเป็นเด็กก็ต้องทำตัวเป็นเด็กเข้าไว้ ใบหน้าบึ้งตึงไม่เหมาะกับพวกเขา เด็กวัยเยาว์ช่างไร้เรื่องทุกข์ร้อนจริงๆ แล้วจะอยากเครียดไปเพื่ออะไรกัน

“ท่านน้า พวกข้ารู้ว่าพวกท่านมีเรื่องปิดบังพวกข้าอยู่ ไม่อยากให้พวกข้ารู้ แต่จะช้าหรือเร็วพวกข้าก็ต้องโตขึ้น” ปิงเซียวกล่าว

“เป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่ แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังเป็นเด็ก เด็กต้องมีความสุขกับช่วงเวลาดีๆในวัยเยาว์” ถึงหลิวหลีจะชอบใจที่เด็กทั้งสองมีความคิดความอ่าน แต่นางก็ยังไม่อยากให้เด็กโตเร็วเกินไป

“ท่านน้า พวกข้าอยากโตขึ้นให้เร็วสักหน่อย” เหลยรุ่ยกล่าว

“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องขยัน พอพวกเจ้าโตขึ้นก็จะคิดถึงความไร้กังวลในวัยเยาว์” หลิวหลีถอนหายใจ เด็กทั้งสองคนเป็นเข้าใจเรื่องราวอะไรๆ จนน่าปวดใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+