แม่ครัวยอดเซียน 272 อำลาส่งเพลิงเซียน

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 272 อำลาส่งเพลิงเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“น้องหญิง เจ้าเตรียมตัวจะไปเยี่ยมเยี่ยชิงขวงหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เข้าใจเลย คนหน้าตาชั่วร้ายอย่างเจ้านั่นมีอะไรต้องให้ไปเยี่ยมเยียน

“จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อข้าเป็นคนที่ทำให้เขาบาดเจ็บต่อหน้าทุกคน ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย” หลิวหลีจนใจ ถึงแม้นางจะไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ คนที่เข้าใจต่างรู้ดีว่าตนไม่ผิดแต่ก็ต้องทำเพื่อศักดิ์ศรี ไม่เช่นนั้นใครจะไปรู้ว่าคนที่ไม่รู้เรื่องจะด่านางลับหลังอย่างไร

“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน” หนานกงเวิ่นเทียนตัดสินใจจะไปด้วย เจ้าคนหน้าตาชั่วร้ายนั่นแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร

ตอนที่ทั้งคู่ไปถึงคนจากดินแดนนภาสุวรรณก็เตรียมตัวจะจากไปแล้ว

“ท่านหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิง ท่านเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธารา ไม่ทราบว่ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ”

“มาเยี่ยมท่านชิงขวง ไม่รู้ว่าฟื้นตัวหรือยัง” หลิวหลีพูดเป็นทางการราวขุนนางเซียนจนตนเองยังพาลรู้สึกแปลกพิกลตามไปด้วย

“เชิญทางนี้ขอรับ”

“ขอบใจมาก”

“เจ้านี่ช่างจิตใจดีเสียจริง ท่านชิงขวงเกือบถูกหลิวหลีฆ่าตาย”

“นั่นสิ ทั้ง ๆที่ประกาศว่านางชนะแล้วก็ยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดอีก”

“ตอนนั้นพวกเราเป็นคนแบกท่านชิงขวงกลับมาด้วยซ้ำ”

“เหตุใดพวกเจ้าถึงมองแต่ภายนอกเล่า ท่านหลิวหลียังอายุไม่ถึงหมื่นปีด้วยซ้ำ แต่กลับมีแข็งแกร่งขนาดนี้ หากพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือขย้ำคนในมือเล่น พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่านางฝึกเคล็ดวิชาพิเศษ จึงต้องใช้เพลิงเซียนจำนวนมาก เดาว่านางคงควบคุมเพลิงเซียนไม่ได้ อีกอย่างพอนางมองออกว่าเกิดเรื่องผิดปกติจึงรีบช่วยท่านชิงขวง ไม่เช่นนั้นท่านชิงขวงคงสลายหายไปแล้ว ท่านจักรพรรดิยังไม่ตรัสอะไรแล้วคนอย่างเราๆจะพูดเหลวไหลอะไร”

“อีกอย่างนางบำเพ็ญเพียรจนบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า  พวกเรามันก็แค่เซียนสุขาวดี เจ้าคิดว่านางไม่รู้หรือไงว่าเรากำลังพูดถึงนางกันอยู่”

“นังหนู อย่าถือสาเลยนะ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

“ข้าจะถือสาได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาพูดถูก เหตุที่จักรพรรดินภาสุวรรณไม่สืบหาความจริงก็เพราะเยี่ยชิงขวงไม่ได้ถูกทำร้าย โรคที่เก็บซ่อนไว้ก็พลอยถูกข้ารักษาหายไปด้วย” หลิวหลีกลอกตา พวกเขาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ต่างหากล่ะ

“ดูท่าจักรพรรดินภาสุวรรณควรขอบคุณเจ้าสินะ” หนานกงเวิ่นเทียนเข้าใจขึ้นมาทันที พอโรคที่ซุกซ่อนไว้หายไป ก็จะฝึกบำเพ็ญได้เร็วขึ้น

“ทำดีชดใช้ความผิดอย่างไรล่ะ แต่ในสายตาคนทั่วไปข้าเสียเปรียบเข้าให้แล้ว” ในเมื่อไม่มีคนรู้เรื่องนี้ จักรพรรดินภาสุวรรณและเยี่ยชิงขวงก็คงไม่ป่าวประกาศหรอก นางได้แต่กล้ำกลืนเก็บความเสียเปรียบแบบนี้ แต่การมาเยี่ยมเยียนตามมารยาทของนางในตอนนี้คงเปลี่ยนความคิดของคนทั่วไปให้ดีขึ้นได้บ้างมั้ง

“น้องหญิง เจ้าเสียเปรียบจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนทำสีหน้าราวนางไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ช่างเถอะ การเสียเปรียบครั้งนี้ข้ายอมรับไว้แล้วกันแต่ว่าข้าเจอสิ่งที่น่าสนใจอยู่บ้าง แต่พูดไม่ได้” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีลึกลับ เสมือนเจอสิ่งน่าสนใจเข้าแล้

“ของน่าสนใจหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว

“เรื่องนี้น่ะ รอพวกเรากลับไปค่อยว่ากัน” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีลึกลับ

“สหายชิงขวงดีขึ้นแล้วใช่ไหม เรื่องการประลองต้องขอโทษด้วยจริง ๆ” หลิวหลีแสดงความขอโทษอย่างจริงใจ

“ข้ารู้ว่าท่านมิได้ตั้งใจแต่ต้องขอบคุณท่านสหายด้วยแล้วกัน” ตอนที่เยี่ยชิงขวงขยับตัวได้ก็พบว่าโรคที่ซุกซ่อนอยู่ของตนเองหายไปจนหมด เขาประหลาดใจมากแต่ก็กังวลใจอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลิวหลีจะเจอะไรเข้าหรือไม่

“ท่านรู้ก็ดีแล้ว” สีหน้าของหลิวหลีบอกว่าท่านช่างเข้าใจไปเสียทุกอย่างจริง ๆ

“ข้ามีหนึ่งคำถามอยากจะถามท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะคลายข้อข้องใจข้าได้หรือไม่” เยี่ยชิงขวงครุ่นคิดแล้วตัดสินใจลองหยั่งเชิง

“เชิญ”

“ข้ารู้สึกว่าตอนที่ท่านเจอข้าครั้งแรกเหมือนจะเกลียดขี้หน้าข้าแต่ข้าจำได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน” เยี่ยชิงขวงทำสีหน้างุนงง ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ทั้งที่พวกเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก

“นั่นก็เพราะท่านหน้าตาน่าเกลียด” หลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

“หน้าตาน่าเกลียด” เยี่ยชิงขวงทำหน้างงงวย

“เพราะท่านดูเป็นคนชั่วร้าย” สีหน้าของนางบอกให้เขาควรไปเปลี่ยนหน้า

“เช่นนั้นหรือ?” เยี่ยชิงขวงลูบใบหน้าตนเอง ถึงแม้จะรูปงามสู้ตัวประหลาดทั้งสองตัวไม่ได้แต่ก็เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้าน จะดูเช่นไรก็ดูไม่เหมือนคนชั่วร้ายสักนิด

“ใช่ สหายเยี่ยเองก็รู้ว่าข้าบรรลุเซียนมาจากโลกเบื้องล่าง ตอนนั้นได้ผ่านวิบากกรรมมา คนที่สร้างวิบากกรรมนั้นใบหน้าเหมือนท่านไม่มีผิดเพี้ยน กระทั่งตำแหน่งไฝยังเหมือนกันเลย พวกเรานึกว่าท่านเป็นคนสร้างวิบากกรรมนั่นกลับชาติมาเกิด จึงตกอกตกใจยกใหญ่เลย” สีหน้านางไม่ค่อยดีนัก หนานกงเวิ่นเทียนก็เย็นชามากขึ้นกว่าเดิม

“ดังนั้นหลิวหลีจึงคิดว่าข้าเป็นคนชั่วร้ายหรือ พูดขนาดนี้ข้าคงหน้าตาน่าเกลียดจริงๆ” เยี่ยชิงขวงพูดพลางถอนหายใจ คิดไม่ถึงจริงๆว่าหลิวหลีจะขวานผ่าซาก อีกอย่างก็ไม่ได้ดูเสแสร้ง  เขานึกว่าหลิวหลีโป้ปด คิดไม่ถึงว่าจะพูดความจริง เมื่อบวกกับความทรงจำของเยี่ยซิงหวงแล้ว เขาย่อมต้องสามารถแยกแยะเรื่องจริงเท็จได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะพอรู้คุณสมบัติที่แสนเย้ายวนของชายหนุ่มที่มีไอเย็นชาข้างๆ น่าเสียดาย ครั้งแรกจะได้ผลดีที่สุดแต่กลับถูกหลิวหลีฉกฉวยผลประโยชน์ไปเสียแล้ว

“ใช่แล้ว” หลิวหลียืนยันว่าเจ้าหน้าตาน่าเกลียด

“บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว เฮ้อ ของแบบนี้ข้าพูดไปก็ไม่ช่วยอะไร ขอบใจท่านมากที่ช่วยคลายข้อข้องใจให้ข้า” เยี่ยชิงขวงพูดอย่างจริงใจ

“ท่านเยี่ยเกรงใจแล้ว”

“ข้ามีของให้ท่าน ท่านรับไว้เถอะ” เยี่ยชิงขวงพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังเด็ดขาดมาก ไม่ยอมให้นางได้ฏิเสธ

“อ๋อ สิ่งใดหรือ?” หลิวหลีประหลาดใจน้อยๆ

เยี่ยชิงขวงหยิบเพลิงไฟสีทองลูกหนึ่งออกมา เพลิงสุวรรณพรางในตัวหลิวหลีเริ่มแผดร้อง แต่ครั้งนี้ไท่จี๋เชื่อฟังหลิวหลีกำราบเพลิงสุวรรณพรางที่อยากจะวิ่งออกไปได้อย่างอยู่หมัด

“เพลิงเซียน เหตุใดเจ้าถึงเอาสิ่งนี้ให้ข้า ข้ารับไว้ไม่ได้” หลิวหลีส่ายศีรษะ คนผู้นี้โหดใช่ย่อยถึงขนาดเอาเพลิงเซียนออกมาโต้งๆเลย

“ท่านได้โปรดรับไว้เถิด คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ว่าที่ข้ามีโรคก็เพื่อพิชิตเพลิงเซียนนี้ ถึงแม้จะควบคุมได้แต่พอใช้แล้วผลลัพธ์กลับธรรมดา เพลิงเซียนนี้มีประโยชน์ต่อท่านมาก แต่อยู่กับข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้เท่าที่ควร อยู่กับท่านน่าจะดีกว่า” เยี่ยชิงขวงพูดอย่างจริงใจ

“ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ในเมื่อท่านสหายเยี่ยเป็นคนพิชิตเพลิงเซียนนี้มาได้นั่นก็เป็นตัวยืนยันว่าเพลิงเซียนนี้มีวาสนากับท่าน การตัดสินใจนี้ของท่านจะสะเพร่าเกินไปแล้ว” หลิวหลียังไม่รับไว้อยู่ดี ของแบบนี้หากไม่มีวาสนาต่อกันแล้วจะมาอยู่ในมือของเจ้าได้เช่นไร นี่ถือเป็นโชคของเยี่ยชิงขวงนางจะไปยื้อแย่งมาได้อย่างไร ทำเช่นนี้ช่างไร้ซึ่งความเมตตาและความเป็นธรรมเกินไป

“ข้าตัดสินใจแล้ว อีกอย่างจักรพรรดิเองก็สนับสนุนข้า บัดนี้มีท่านสหายหลิวหลีคอยช่วยเหลือ โรคที่ซุกซ่อนของข้าถึงได้หายเป็นปลิดทิ้ง ความเร็วในการบำเพ็ญก็จะเพิ่มขึ้น หวังเพียงว่าพอถึงเวลานั้นท่านจะไม่หวงแหนคำชี้แนะ” เยี่ยชิงขวงถึงขนาดอ้างถึงจักรพรรดิ  เพลิงเซียนเป็นไปตามโชควาสนาก็จริงแต่คนที่มีวาสนาถึงจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ของเพลิงเซียนนี้ออกมาได้ เขาจะจิตใจคับแคบได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยากรู้ว่าคนที่ทำลายเขาได้จะเก่งกาจสักแค่ไหนกันเชียว

“จักรพรรดิก็สนับสนุนท่านหรือ?” หลิวหลีรู้สึกเหนือคาด จักรพรรดิเล่นอะไร ท่านไม่รู้ถึงความสำคัญของเพลิงเซียนหรือ  ทำไมรู้สึกราวพวกเขาเห็นมันเป็นผักกาดขาวเลย

“ใช่แล้ว หากฝ่าบาทไม่เห็นด้วยข้าจะให้ท่านได้อย่างไร ถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็ต้องยกให้คนอื่นในวังนภาสุวรรณแต่เพลิงเซียนนี้ไปตกอยู่ในมือใครก็ไร้ประโยชน์ มีก็แต่อยู่ในมือของท่านถึงจะแสดงคุณค่าของมันออกมาได้เต็มที่ ข้าทูลจักรพรรดิไปท่านจักรพรรดิก็เห็นพ้องด้วย” เยี่ยชิงขวงอธิบาย

“ข้าไม่รับไว้ได้ไหม” หลิวหลีพูดไม่ออก ถึงแม้นางจะต้องการเพลิงเซียนมากแต่เพลิงเซียนนี้เป็นดั่งมันร้อนที่ลวกมือ นางบารมีไม่ถึง

“เกรงว่าจะไม่ได้ เพราะบอกไว้แล้วหากท่านสหายหลิวหลียังไม่รับไว้อีก จะให้ข้าแต่งกับท่าน และนี่เป็นสินเดิมของข้า” เยี่ยชิงขวงยิ้มชั่วร้าย

“จักรพรรดินภาสุวรรณไม่รู้หรือว่านางมีคนรักแล้ว” เสี่ยวเทียนเริ่มเย็นชา นี่อยากจะให้สามีภรรยาทะเลาะกันหรืออย่างไร

“ทราบแล้ว ข้าจะฝืนเป็นคนรองแล้วกัน” เยี่ยชิงขวงจงใจเค้นคำพูด

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าขอรับไว้ ขอบใจท่านมาก”

……………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่ครัวยอดเซียน 272 อำลาส่งเพลิงเซียน

Now you are reading แม่ครัวยอดเซียน Chapter 272 อำลาส่งเพลิงเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“น้องหญิง เจ้าเตรียมตัวจะไปเยี่ยมเยี่ยชิงขวงหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เข้าใจเลย คนหน้าตาชั่วร้ายอย่างเจ้านั่นมีอะไรต้องให้ไปเยี่ยมเยียน

“จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อข้าเป็นคนที่ทำให้เขาบาดเจ็บต่อหน้าทุกคน ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย” หลิวหลีจนใจ ถึงแม้นางจะไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ คนที่เข้าใจต่างรู้ดีว่าตนไม่ผิดแต่ก็ต้องทำเพื่อศักดิ์ศรี ไม่เช่นนั้นใครจะไปรู้ว่าคนที่ไม่รู้เรื่องจะด่านางลับหลังอย่างไร

“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน” หนานกงเวิ่นเทียนตัดสินใจจะไปด้วย เจ้าคนหน้าตาชั่วร้ายนั่นแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร

ตอนที่ทั้งคู่ไปถึงคนจากดินแดนนภาสุวรรณก็เตรียมตัวจะจากไปแล้ว

“ท่านหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิง ท่านเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธารา ไม่ทราบว่ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ”

“มาเยี่ยมท่านชิงขวง ไม่รู้ว่าฟื้นตัวหรือยัง” หลิวหลีพูดเป็นทางการราวขุนนางเซียนจนตนเองยังพาลรู้สึกแปลกพิกลตามไปด้วย

“เชิญทางนี้ขอรับ”

“ขอบใจมาก”

“เจ้านี่ช่างจิตใจดีเสียจริง ท่านชิงขวงเกือบถูกหลิวหลีฆ่าตาย”

“นั่นสิ ทั้ง ๆที่ประกาศว่านางชนะแล้วก็ยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดอีก”

“ตอนนั้นพวกเราเป็นคนแบกท่านชิงขวงกลับมาด้วยซ้ำ”

“เหตุใดพวกเจ้าถึงมองแต่ภายนอกเล่า ท่านหลิวหลียังอายุไม่ถึงหมื่นปีด้วยซ้ำ แต่กลับมีแข็งแกร่งขนาดนี้ หากพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือขย้ำคนในมือเล่น พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่านางฝึกเคล็ดวิชาพิเศษ จึงต้องใช้เพลิงเซียนจำนวนมาก เดาว่านางคงควบคุมเพลิงเซียนไม่ได้ อีกอย่างพอนางมองออกว่าเกิดเรื่องผิดปกติจึงรีบช่วยท่านชิงขวง ไม่เช่นนั้นท่านชิงขวงคงสลายหายไปแล้ว ท่านจักรพรรดิยังไม่ตรัสอะไรแล้วคนอย่างเราๆจะพูดเหลวไหลอะไร”

“อีกอย่างนางบำเพ็ญเพียรจนบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า  พวกเรามันก็แค่เซียนสุขาวดี เจ้าคิดว่านางไม่รู้หรือไงว่าเรากำลังพูดถึงนางกันอยู่”

“นังหนู อย่าถือสาเลยนะ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

“ข้าจะถือสาได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาพูดถูก เหตุที่จักรพรรดินภาสุวรรณไม่สืบหาความจริงก็เพราะเยี่ยชิงขวงไม่ได้ถูกทำร้าย โรคที่เก็บซ่อนไว้ก็พลอยถูกข้ารักษาหายไปด้วย” หลิวหลีกลอกตา พวกเขาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ต่างหากล่ะ

“ดูท่าจักรพรรดินภาสุวรรณควรขอบคุณเจ้าสินะ” หนานกงเวิ่นเทียนเข้าใจขึ้นมาทันที พอโรคที่ซุกซ่อนไว้หายไป ก็จะฝึกบำเพ็ญได้เร็วขึ้น

“ทำดีชดใช้ความผิดอย่างไรล่ะ แต่ในสายตาคนทั่วไปข้าเสียเปรียบเข้าให้แล้ว” ในเมื่อไม่มีคนรู้เรื่องนี้ จักรพรรดินภาสุวรรณและเยี่ยชิงขวงก็คงไม่ป่าวประกาศหรอก นางได้แต่กล้ำกลืนเก็บความเสียเปรียบแบบนี้ แต่การมาเยี่ยมเยียนตามมารยาทของนางในตอนนี้คงเปลี่ยนความคิดของคนทั่วไปให้ดีขึ้นได้บ้างมั้ง

“น้องหญิง เจ้าเสียเปรียบจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนทำสีหน้าราวนางไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ช่างเถอะ การเสียเปรียบครั้งนี้ข้ายอมรับไว้แล้วกันแต่ว่าข้าเจอสิ่งที่น่าสนใจอยู่บ้าง แต่พูดไม่ได้” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีลึกลับ เสมือนเจอสิ่งน่าสนใจเข้าแล้

“ของน่าสนใจหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว

“เรื่องนี้น่ะ รอพวกเรากลับไปค่อยว่ากัน” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีลึกลับ

“สหายชิงขวงดีขึ้นแล้วใช่ไหม เรื่องการประลองต้องขอโทษด้วยจริง ๆ” หลิวหลีแสดงความขอโทษอย่างจริงใจ

“ข้ารู้ว่าท่านมิได้ตั้งใจแต่ต้องขอบคุณท่านสหายด้วยแล้วกัน” ตอนที่เยี่ยชิงขวงขยับตัวได้ก็พบว่าโรคที่ซุกซ่อนอยู่ของตนเองหายไปจนหมด เขาประหลาดใจมากแต่ก็กังวลใจอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลิวหลีจะเจอะไรเข้าหรือไม่

“ท่านรู้ก็ดีแล้ว” สีหน้าของหลิวหลีบอกว่าท่านช่างเข้าใจไปเสียทุกอย่างจริง ๆ

“ข้ามีหนึ่งคำถามอยากจะถามท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะคลายข้อข้องใจข้าได้หรือไม่” เยี่ยชิงขวงครุ่นคิดแล้วตัดสินใจลองหยั่งเชิง

“เชิญ”

“ข้ารู้สึกว่าตอนที่ท่านเจอข้าครั้งแรกเหมือนจะเกลียดขี้หน้าข้าแต่ข้าจำได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน” เยี่ยชิงขวงทำสีหน้างุนงง ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ทั้งที่พวกเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก

“นั่นก็เพราะท่านหน้าตาน่าเกลียด” หลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

“หน้าตาน่าเกลียด” เยี่ยชิงขวงทำหน้างงงวย

“เพราะท่านดูเป็นคนชั่วร้าย” สีหน้าของนางบอกให้เขาควรไปเปลี่ยนหน้า

“เช่นนั้นหรือ?” เยี่ยชิงขวงลูบใบหน้าตนเอง ถึงแม้จะรูปงามสู้ตัวประหลาดทั้งสองตัวไม่ได้แต่ก็เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้าน จะดูเช่นไรก็ดูไม่เหมือนคนชั่วร้ายสักนิด

“ใช่ สหายเยี่ยเองก็รู้ว่าข้าบรรลุเซียนมาจากโลกเบื้องล่าง ตอนนั้นได้ผ่านวิบากกรรมมา คนที่สร้างวิบากกรรมนั้นใบหน้าเหมือนท่านไม่มีผิดเพี้ยน กระทั่งตำแหน่งไฝยังเหมือนกันเลย พวกเรานึกว่าท่านเป็นคนสร้างวิบากกรรมนั่นกลับชาติมาเกิด จึงตกอกตกใจยกใหญ่เลย” สีหน้านางไม่ค่อยดีนัก หนานกงเวิ่นเทียนก็เย็นชามากขึ้นกว่าเดิม

“ดังนั้นหลิวหลีจึงคิดว่าข้าเป็นคนชั่วร้ายหรือ พูดขนาดนี้ข้าคงหน้าตาน่าเกลียดจริงๆ” เยี่ยชิงขวงพูดพลางถอนหายใจ คิดไม่ถึงจริงๆว่าหลิวหลีจะขวานผ่าซาก อีกอย่างก็ไม่ได้ดูเสแสร้ง  เขานึกว่าหลิวหลีโป้ปด คิดไม่ถึงว่าจะพูดความจริง เมื่อบวกกับความทรงจำของเยี่ยซิงหวงแล้ว เขาย่อมต้องสามารถแยกแยะเรื่องจริงเท็จได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะพอรู้คุณสมบัติที่แสนเย้ายวนของชายหนุ่มที่มีไอเย็นชาข้างๆ น่าเสียดาย ครั้งแรกจะได้ผลดีที่สุดแต่กลับถูกหลิวหลีฉกฉวยผลประโยชน์ไปเสียแล้ว

“ใช่แล้ว” หลิวหลียืนยันว่าเจ้าหน้าตาน่าเกลียด

“บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว เฮ้อ ของแบบนี้ข้าพูดไปก็ไม่ช่วยอะไร ขอบใจท่านมากที่ช่วยคลายข้อข้องใจให้ข้า” เยี่ยชิงขวงพูดอย่างจริงใจ

“ท่านเยี่ยเกรงใจแล้ว”

“ข้ามีของให้ท่าน ท่านรับไว้เถอะ” เยี่ยชิงขวงพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังเด็ดขาดมาก ไม่ยอมให้นางได้ฏิเสธ

“อ๋อ สิ่งใดหรือ?” หลิวหลีประหลาดใจน้อยๆ

เยี่ยชิงขวงหยิบเพลิงไฟสีทองลูกหนึ่งออกมา เพลิงสุวรรณพรางในตัวหลิวหลีเริ่มแผดร้อง แต่ครั้งนี้ไท่จี๋เชื่อฟังหลิวหลีกำราบเพลิงสุวรรณพรางที่อยากจะวิ่งออกไปได้อย่างอยู่หมัด

“เพลิงเซียน เหตุใดเจ้าถึงเอาสิ่งนี้ให้ข้า ข้ารับไว้ไม่ได้” หลิวหลีส่ายศีรษะ คนผู้นี้โหดใช่ย่อยถึงขนาดเอาเพลิงเซียนออกมาโต้งๆเลย

“ท่านได้โปรดรับไว้เถิด คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ว่าที่ข้ามีโรคก็เพื่อพิชิตเพลิงเซียนนี้ ถึงแม้จะควบคุมได้แต่พอใช้แล้วผลลัพธ์กลับธรรมดา เพลิงเซียนนี้มีประโยชน์ต่อท่านมาก แต่อยู่กับข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้เท่าที่ควร อยู่กับท่านน่าจะดีกว่า” เยี่ยชิงขวงพูดอย่างจริงใจ

“ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ในเมื่อท่านสหายเยี่ยเป็นคนพิชิตเพลิงเซียนนี้มาได้นั่นก็เป็นตัวยืนยันว่าเพลิงเซียนนี้มีวาสนากับท่าน การตัดสินใจนี้ของท่านจะสะเพร่าเกินไปแล้ว” หลิวหลียังไม่รับไว้อยู่ดี ของแบบนี้หากไม่มีวาสนาต่อกันแล้วจะมาอยู่ในมือของเจ้าได้เช่นไร นี่ถือเป็นโชคของเยี่ยชิงขวงนางจะไปยื้อแย่งมาได้อย่างไร ทำเช่นนี้ช่างไร้ซึ่งความเมตตาและความเป็นธรรมเกินไป

“ข้าตัดสินใจแล้ว อีกอย่างจักรพรรดิเองก็สนับสนุนข้า บัดนี้มีท่านสหายหลิวหลีคอยช่วยเหลือ โรคที่ซุกซ่อนของข้าถึงได้หายเป็นปลิดทิ้ง ความเร็วในการบำเพ็ญก็จะเพิ่มขึ้น หวังเพียงว่าพอถึงเวลานั้นท่านจะไม่หวงแหนคำชี้แนะ” เยี่ยชิงขวงถึงขนาดอ้างถึงจักรพรรดิ  เพลิงเซียนเป็นไปตามโชควาสนาก็จริงแต่คนที่มีวาสนาถึงจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ของเพลิงเซียนนี้ออกมาได้ เขาจะจิตใจคับแคบได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยากรู้ว่าคนที่ทำลายเขาได้จะเก่งกาจสักแค่ไหนกันเชียว

“จักรพรรดิก็สนับสนุนท่านหรือ?” หลิวหลีรู้สึกเหนือคาด จักรพรรดิเล่นอะไร ท่านไม่รู้ถึงความสำคัญของเพลิงเซียนหรือ  ทำไมรู้สึกราวพวกเขาเห็นมันเป็นผักกาดขาวเลย

“ใช่แล้ว หากฝ่าบาทไม่เห็นด้วยข้าจะให้ท่านได้อย่างไร ถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็ต้องยกให้คนอื่นในวังนภาสุวรรณแต่เพลิงเซียนนี้ไปตกอยู่ในมือใครก็ไร้ประโยชน์ มีก็แต่อยู่ในมือของท่านถึงจะแสดงคุณค่าของมันออกมาได้เต็มที่ ข้าทูลจักรพรรดิไปท่านจักรพรรดิก็เห็นพ้องด้วย” เยี่ยชิงขวงอธิบาย

“ข้าไม่รับไว้ได้ไหม” หลิวหลีพูดไม่ออก ถึงแม้นางจะต้องการเพลิงเซียนมากแต่เพลิงเซียนนี้เป็นดั่งมันร้อนที่ลวกมือ นางบารมีไม่ถึง

“เกรงว่าจะไม่ได้ เพราะบอกไว้แล้วหากท่านสหายหลิวหลียังไม่รับไว้อีก จะให้ข้าแต่งกับท่าน และนี่เป็นสินเดิมของข้า” เยี่ยชิงขวงยิ้มชั่วร้าย

“จักรพรรดินภาสุวรรณไม่รู้หรือว่านางมีคนรักแล้ว” เสี่ยวเทียนเริ่มเย็นชา นี่อยากจะให้สามีภรรยาทะเลาะกันหรืออย่างไร

“ทราบแล้ว ข้าจะฝืนเป็นคนรองแล้วกัน” เยี่ยชิงขวงจงใจเค้นคำพูด

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าขอรับไว้ ขอบใจท่านมาก”

……………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+