การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 104

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 104 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันต่อมา

 

ฉันตัดสินใจถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้

 

“เป็นกลยุทธที่สมกับอัลดีนะ”

 

“คิดงั้นหรอ? ข้าว่าเป็นแผนการที่ดีใช้ได้เลยใช่ไหมหล่ะ?”

 

“ก็นะ, ดูเหมือนว่างานหลอกลวงนี่จะเป็นของถนัดของเจ้าจริงๆ”

 

ฉันทำหน้าบึ้งให้กับความคิดเห็นตามตรงของเอลน่า

 

แน่นอนว่า, ฉันเป็นคนที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณความเป็นอัศวิน

 

ตามหลักแล้ว, การส่งหน่วยพิเศษที่จะทำการโจมตีทีเผลอไปเป็นผู้ส่งสารนั้นคงจะเป็นแผนการที่ขี้ขลาดมากๆ

 

อย่างไรก็ตาม, ถ้าแผนการนี้สามารถลดจำนวนผู้เสียสละได้มันก็จำเป็นต้องทำ

 

“แล้วคิดว่ามันจะได้ผลไหม?”

 

“นั่นสินะ  ข้าคิดว่ามันคงจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิดหรอก”

 

เอลน่าพูดออกมาเช่นนั้น

 

เอลน่าเคยเดินทางไปหลายที่ในฐานะอัศวินหลวง ในหน้าที่ของเธอ, เธอน่าจะเคยไปวุมเม่, เมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้, และเป็นบ้านของดยุคครูเกอร์

 

ความจริงที่เอลน่าบอกว่าแผนการจะไม่สำเร็จก็หมายความว่าการป้องกันของวุมเม่นั้นแน่นหนา

 

“วุมเม่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?”

 

“เจ้าสามารถฝ่ากำแพงชั้นนอกได้อย่างสบายๆในฐานะผู้ส่งสารแต่ปัญหาก็คือข้างใน ปราสาทที่ดยุคครูเกอร์อาศัยอยู่นั้นมีขนาดกว้างขวางและเส้นทางข้างในก็ซับซ้อนมาก ด้วยความที่โครงสร้างมันซับซ้อนเนี่ยแหล่ะมันจึงทำให้เจ้าไปถึงส่วนบนได้ยาก……”

 

“แสดงว่าพวกเราจำเป็นต้องมีแผนที่ข้างในสินะ…..”

 

“คงจะต้องอย่างนั้น ถ้าเจ้าไม่มีก็อย่าหวังว่าจะสำเร็จเลย ซึ่ง, ในเรื่องของแผนที่นั้น…..”

 

เอลน่าหยุดพูดแล้วมองมาที่ฉัน

 

ดวงตาสีเขียวของเธอเปล่งประกายราวกับว่าเธออยากจะเปรยอะไรบางอย่างออกมา, จากนั้นเธอก็ชี้ที่ตัวเองแล้วยิ้ม

 

“ถ้าให้ข้าไปข้าสามารถนำทางให้เจ้าได้นะสนไหม?”

 

“ถ้ารู้ว่าเจ้าไปกับทีมเจรจาคงไม่มีประสาทหลังไหนหรอกที่จะยอมเปิดประตูต้อนรับ…….”

 

“ก็ลองหาทางดูสิ อย่างเช่นปลอมตัวไง”

 

“เจ้าคิดว่าแค่ปลอมตัวจะหลอกฝ่ายนั้นได้หรอ? แต่มันก็อาจจะคุ้มเสี่ยงหล่ะนะถ้าพวกเราใช้น้ำยาเวทมนตร์…..เอาเป็นว่าตอนนี้, มาลองคิดแผนที่จะไม่ใช้พลังของเจ้าก่อนดีกว่า”

 

“แล้วข้าก็สามารถลบปราสาททิ้งไปด้วยการโจมตีเดียวจากการใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยนะ”

 

“แต่แบบนั้นคงเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแน่ถ้าผู้คนรู้ว่าคนจากบ้านผู้กล้าหาญปลอมตัวไปเป็นผู้ส่งสารแล้วหลอกลวงคู่เจรจาหน่ะ…..”

 

พลังของบ้านผู้กล้าหาญควรจะใช้นอกจักรวรรดิ ถ้าพวกเราใช้พลังระดับนั้นในจักรวรรดิ, มันก็จะแพร่กระจายความหวาดกลัวที่อาจจะนำไปสู่ต้นตอของการต่อต้านครั้งใหญ่ได้

 

บ้านผู้กล้าหาญไม่ควรถูกนำมาใช้งานเว้นเสียแต่ว่าจะไม่มีทางเลือกจริงๆ

 

“แถม, การลงใต้นั้นก็จะทำให้ส่งเจ้าไปที่ชายแดนไม่ได้ในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินด้วย”

 

“แสดงว่าข้าต้องคอยอยู่แนวหลังในกรณีที่พวกเราต้องหยุดยั้งการบุกรุกจากประเทศอื่นหรอ?”

 

“ก็นะ, มันน่าจะมีบางประเทศที่พยายามใช้ประโยชน์จากสงครามกลางเมืองแล้วรุกรานพวกเรา”

 

“เอาเถอะ, ถ้าอัลพูดขนาดนั้นข้าจะคิดแผนอื่นก็ได้”

 

เอลน่าพูดออกมาเช่นนั้นแล้วเอามือเท้าคางในขณะที่เริ่มใช้ความคิด

 

จากนั้นเธอก็พยักหน้าอยู่หลายครั้งแล้วชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว

 

“มีแค่สองหน่วยที่จะทำให้แผนการนี้สำเร็จได้”

 

“ข้าพอจะเดาหน่วยแรกได้อยู่”

 

“ก็คงจะอย่างนั้นแหล่ะ อย่างที่รู้, ภาคีอัศวินหลวงมีพลังที่จะทำแบบนั้นแต่ข้อเสนอนั้นคงจะถูกปัดตกสินะ?”

 

“ดยุคครูเกอร์เป็นพี่ชายของสนมลำดับห้า เขาเคยมาเยี่ยมเมืองหลวงหลายครั้งแล้วดังนั้นเขาเองก็น่าจะต้องคุ้นหน้าอัศวินหลวงอยู่บ้าง ข้าคงไม่อยากเสี่ยงใช้คนที่เขาอาจจะจำหน้าได้ในปฏิบัติการนี้หรอก”

 

“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน นี่คือสาเหตุที่เราเหลืออยู่แค่หน่วยเดียว…..”

 

สีหน้าของเอลน่าดูซับซ้อนขึ้น

 

หน่วยไหนกันนะ สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าเธอไม่อยากจะพูดถึงมันถ้าเป็นไปได้ นี่คือสีหน้าที่หาดูได้ยากของเธอ

 

“มีอะไรหรอ?”

 

“ข้าไม่อยากแนะนำพวกเขาเลยจริงๆ”

 

“บอกมาเถอะ”

 

“เห้อ…..มันเป็นความผิดของอัลแท้ๆที่ปล่อยให้องค์ชายกอร์ดอนได้จดหมายไป, ทำไมตอนนี้ข้าต้องมาห่วงเจ้าด้วยนะ…..”

 

เอลน่ามองฉันอย่างไม่พอใจ

 

ฉันกระพริบตาอยู่หลายครั้งจากการโดนบ่นอย่างกระทันหันนี้

 

จู่ๆก็เป็นอะไรของเธอเนี่ย

 

“โกรธหรอ?”

 

“เปล่าหรอก ข้าแค่ทึ่งหน่ะ ถ้าเจ้าเรียกข้าตั้งแต่แรก, ทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นอะไรแท้ๆ….”

 

“ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก…..”

 

“อย่างน้อยข้าก็อยากให้เจ้าบอกให้ข้ารู้ก็ยังดี ในตอนที่ข้าได้ยินว่าอัลกับลีโอออกไปในที่ที่เต็มไปด้วยนักฆ่า, ข้าแทบจะเป็นลมเลยนะรู้ไหม ยิ่งไปกว่านั้น, คนที่เจ้าพาไปคุ้มกันก็มีแค่เจ้าหมีนั่นกับเซบาสเท่านั้น, นี่เจ้าคิดอะไรอยู่เนี่ย”

 

“ถ้าข้าบอกเจ้า, เจ้าก็จะรีบมาหาพวกเราถูกไหมหล่ะ?”

 

“แน่นอนสิ”

 

“เพราะแบบนั้นแหล่ะข้าก็เลยเลือกที่จะไม่บอก”

 

ในตอนที่ฉันพูดกับเธอไปแบบนั้น, เอลน่าก็ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเบือนหน้าหนี

 

ฉันไม่คิดว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีด้วยเรื่องนี้

 

แน่นอน, ฉันคิดว่าฉันทำอะไรผิดพลาดไปแต่ถ้าฉันเรียกเธอ, ก็จะมีอีกปัญหาตามมาอย่างแน่นอน

 

“ข้าผิดเอง…..ครั้งหน้าจะระวังให้มากกว่านี้นะ ที่ข้าล้มเหลวก็เพราะข้าประเมินสถานการณ์ไม่ขาด พราะฉะนั้นขอยืมสติปัญญาของเจ้าหน่อยเถอะ”

 

“……นับจากนี้ไปถือว่าเข้ากำลังร่วมมือกับเจ้า เข้าใจนะ”

 

“ร่วมมือ, นี่เจ้าหมายถึง……”

 

“แน่นอนว่าร่วมมือในขอบเขตที่จะไม่เกิดผลกระทบ ว่าแล้วเชียว, การให้นั่งอยู่เฉยๆแล้วรอฟังข่าวที่บ้านหน่ะข้าทำไม่ได้หรอก”

 

เอลน่าพูดแบบนั้นกับฉันแล้วมองตรงเข้ามาในดวงตาของฉัน

 

เอลน่าแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม, เหมือนกับซิลเวอร์, เธอเองก็มีข้อจำกัดมากมาย

 

เอาเถอะ, ฉันคิดว่าเจ้าตัวคงรู้อยู่แล้วฉันจึงแค่พยักหน้าตอบเฉยๆ

 

“แค่ขอบเขตที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเท่านั้นโอเคไหม?”

 

“แน่นอน ถือว่าตกลงแล้วนะ”

 

พอพูดจบ, เอลน่าก็ยิ้มอย่างมีความสุข

 

ความจริงที่ว่าเธอยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกมาก็หมายความว่ามีบางอย่างที่เอลน่าคิดว่าเธอสามารถช่วยได้ หรือบางที, เธอน่าจะรู้จักคนที่สามารถช่วยพวกเราได้

 

อย่างไรก็ตาม, พวกเราไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับหน่วยอื่นนอกจากอัศวินหลวงที่สามารถใช้ได้ในปฏิบัติการของพวกเราเลย พวกเราต้องการหน่วยที่ไม่สะดุดตา ถ้าแค่นี้มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรแต่พวกเราต้องการหน่วยที่ทั้งไม่สะดุดตาและฝีมือดีด้วย

 

“หน่วยนี้ด้อยกว่าภาคีอัศวินหลวงในแง่ของพลังแต่ข้าคิดว่าพวกเขาเหมาะกับภารกิจแทรกแซงมากกว่าอัศวินหลวงซะอีก บางทีเจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่ออยู่นะ, อัล? ภาคีอัศวินเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพจักรวรรดิ, ‘นาร์เบ ริทเทอร์’”

 

(นาร์เบ ริทเทอร์(Narbe Ritter) แปลว่าอัศวินแผลเป็นในภาษาเยอรมัน)

 

“อัศวินแผลเป็นหรอ……!?”

 

แน่นอน, ฉันรู้ชื่อของพวกเขา

 

นาร์เบ ริทเทอร์ หน่วยอิสระของกองทัพหลวงเพียงหน่วยเดียวที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาคีอัศวิน

 

หน่วยนี้ประกอบด้วยอดีตอัศวิน

 

ซึ่งสาเหตุที่อดีตอัศวินมารวมตัวกันในกองทัพจักรวรรดิก็เพราะอดีตของพวกเขา

 

“พวกเขาคืออัศวินที่พุ่งเป้าหรือชักดาบขึ้นเพื่อต่อกรกับเจ้านายของพวกเขาเนื่องจากการกระทำผิดของพวกเจ้านาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม, พวกเขาเลือกที่จะยึดถือความยุติธรรมมากกว่าความภัคดีของพวกเขา, ซึ่งนี่ก็ทำให้พวกเขาสูญเสียตำแหน่งของตัวเองไป พวกเขาคืออัศวินที่แบกรับแผลเป็นจากเจ้านายของตัวเองดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่าอัศวินแผลเป็น”

 

“พวกเขาคืออัศวินแห่งความยุติธรรมซึ่งได้เปิดเผยการกระทำผิดของนายตัวเองแต่ก็มีขุนนางอยู่แค่ไม่กี่คนที่จะเข้าหาอัศวินที่เคยทรยศเจ้านายของตัวเองมาแล้ว ข้าได้ยินมาว่าหน่วยนี้ถูกสร้างขึ้นก็เพื่อรวบรวมอัศวินพวกนี้สินะ”

 

แม้ว่าพวกเขาจะถูกสรรเสริญว่าเป็นอัศวินแห่งความยุติธรรม, แต่ก็ไม่มีใครพยายามจะดึงพวกเขาเข้าพวก อันที่จริง, คงมีขุนนางไม่กี่คนหรอกที่มั่นใจพอที่จะทำแบบนั้น เพราะขุนนางที่ซื่อตรงนั้นมีอยู่ไม่มากและแม้กระทั่งขุนนางดีๆเองก็ต้องทำเรื่องที่น่ากังขาบ้างเหมือนกัน

 

อย่างไรก็ตาม, ถ้ายอมรับพวกเขาเข้ามา, ในตอนที่ทำเรื่องขัดกฏของพวกเขาก็อาจจะถูกฟันทิ้งได้ แต่นี่มันก็แค่ความเป็นไปได้ มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักยืดหยุ่นขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม, ถ้ามันมีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่, ก็คงไม่มีใครกล้าเรียกเกณฑ์พวกเขาหรอก

 

“ใช่, ภาพลักษณ์ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพวกเขาไม่ผิดหรอก ข้าเคยประลองกับพวกเขามาแล้วครั้งนึงแต่การฝึกของพวกเขาต้องบอกเลยว่าน่าทึ่ง เกณฑ์ที่พวกเขาตั้งเอาไว้นั้นสูงจริงๆและพวกเขาก็มีพวกมือดีเพียบเลยแหล่ะ บางทีพวกเขาน่าจะเป็นหน่วยที่มีพวกมากฝีมือเยอะที่สุดในกองทัพจักรวรรดิก็ว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเขายังไม่ได้เป็นของขุมอำนาจไหนเลยด้วย”

 

ประเด็นที่เอลน่าเสนอนั้นแทบจะสมบูรณ์แบบ

 

อย่างไรก็ตาม, มันน่าจะเป็นเพราะอดีตของพวกเขาเอลน่าถึงไม่อยากแนะนำพวกเขากับฉัน

 

“ภารกิจแทรกแซงฐานของศัตรู ผนวกกับการคุ้มกันเจ้าชาย, เจ้ากำลังจะบอกว่ามันอันตรายเกินกว่าที่จะฝากฝังเอาไว้กับพวกเขาสินะ?”

 

“ก็ใช่, นั่นก็มีส่วน….แต่มันจะยากลำบากมากๆถ้าเจ้าไม่สามารถไว้ใจพรรคพวกได้อย่างเต็มที่ในถิ่นของศัตรู พวกเขาแต่ละคนมีความเป็นอิสระที่ไม่ธรรมดาเลยหล่ะ ถ้าพวกเราซื้อใจพวกเขาไม่ได้พวกเขาก็จะทำภารกิจให้สำเร็จในแบบของพวกเขา”

 

“ปัญหาเรื่องความร่วมมือสินะ”

 

“แน่นอนว่า, ถ้าพวกเราออกคำสั่งพวกเขาก็จะเคลื่อนไหวในฐานะคนคุ้มกันแต่ข้าคิดว่าถ้าพวกเขาไม่เต็มใจทำภารกิจแผนนี้ก็ไม่ได้ผลหรอก”

 

การให้พวกเขาเข้าร่วมภารกิจอย่างเต็มใจมันเหมาะกว่าการออกคำสั่งพวกเขาหล่ะนะ

 

งานนี้ค่อนข้างยากแล้วสิ ถึงยังไงภารกิจมันก็อันตรายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

 

สิ่งสำคัญในที่นี้ก็คือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ

 

“ข้าคงต้องฝากหน้าที่การโน้มน้าวพวกเขาเอาไว้กับลีโอสินะ…..”

 

“อืมม, ข้าว่ามันซับซ้อนกว่านั้นนะ ข้าคิดว่าลีโอดูน่าหลงไหลมากๆสำหรับพวกอัศวินแท้ๆแต่ข้าคิดว่าเสน่ห์ของลีโอคงใช้กับพวกเขาไม่ได้ผลหรอก”

 

“ถ้างั้นพวกเราควรทำยังไงดี?”

 

“ถ้าลีโอทำไม่ได้มันก็ต้องเป็นเจ้าไม่ใช่รึไง, อัล?”

 

เอลน่าพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาในโลกนี้

 

นี่ นี่, ล้อเล่นกันรึไง ให้ฉันไปโน้มน้าวพวกเขาหรอ? พวกอดีตอัศวินที่ดูจะรับมือด้วยยากแน่ๆเนี่ยนะ?

 

“ไม่, มันเป็นอุปสรรคที่สาหัสเกินไปสำหรับข้า……”

 

“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ข้าจะไปกับเจ้าด้วยแล้วก็ถึงจะเป็นแค่ลางสังหรณ์แต่ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะยอมใจอ่อนกับอัลมากกว่านะ ถ้าอัลพูดอย่างมั่นใจว่าเจ้าอยากขอความช่วยเหลือของพวกเขาเพื่อปกป้องน้องชาย, ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องยอมให้ความร่วมมือด้วยแน่ๆ”

 

เอลน่าพูดแบบนั้นออกมาง่ายๆด้วยรอยยิ้ม

 

“เจ้าเอาหลักอะไรมาคิดเนี่ย?”

 

ฉันถามเธอกลับด้วยใบหน้าแหยๆ

 

“อะไรกัน? เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอ? ข้าเองก็เป็นอดีตอัศวินนะ และในฐานะอดีตอัศวิน, ข้าคิดว่าอัลเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า นี่แหล่ะหลักของข้า”

 

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงหลักการอันยอดเยี่ยมที่เธอนำมาใช้, ฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด