การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 106

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 106 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จดหมายไปถึงมือของท่านพ่อแล้วและเขาก็ได้สั่งกักบริเวณทั้งซานดร้าและสนมลำดับห้าเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร”

 

ฉันได้อธิบายสถานการณ์กับเอลน่าบนรถม้าในขณะที่พวกเราเดินทางไปยังป้อมปราการของนาร์เบ ริทเทอร์

 

เอลน่าไม่ค่อยถูกกับซานดร้าและสนมลำดับห้าเท่าไหร่ดังนั้นฉันเลยคิดว่ามันน่าจะทำให้เธอสดชื่นขึ้นมาบ้างแต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีปฏิกิริยาจากเธอซักเท่าไหร่นัก

 

“นั่นสินะ ถ้าเป็นสองคนนั้นหล่ะก็จะต้องพูดแบบนั้นแน่ๆ”

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับข่าวเลยนะ?”

 

“ข้าไม่สนใจพวกเธอหรอก มันก็แค่…..ทั้งๆที่พี่ชายกับลุงของพวกเธอตกเป็นที่ต้องสงสัยของฝ่าบาทสิ่งแรกที่พวกเธอทำกลับเป็นการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องด้วยเนี่ยนะ? ข้าคิดว่ามันสมกับเป็นพวกเธอมากเลย ข้าเชื่อว่าจะต้องเป็นแบบนี้แน่ๆแต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจพวกเธออยู่ดี”

 

พวกเธอไม่เข้าใจคำว่าครอบครัวบ้างเลยหรอ?

 

คำว่าครอบครัวสำหรับสองคนนั้นจะต้องต่างจากพวกเราแน่ๆ ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

 

“ทางใต้เป็นฐานสนับสนุนที่สำคัญของซานดร้า ถ้าสูญเสียมันไป, ซานดร้าก็จะหลุดจากสงครามผู้สืบทอดอย่างแน่นอน นี่คือสาเหตุที่ท่านพ่อสั่งกักบริเวณเธอในทันที เพราะมันจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าจู่ๆซานดร้าอ้างเรื่องบัลลังก์ขึ้นมาโดยใช้การกบฏทางใต้เป็นโอกาส”

 

“ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเองก็ลำบากเหมือนกันสินะ พระองค์ต้องคอยตามติดสงครามผู้สืบทอดอย่างต่อเนื่องในขณะที่ดูแลจักรวรรดิไปด้วย”

 

“สงครามผู้สืบทอดมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่จะควบคุมง่ายๆมาตั้งแต่แรกแล้ว”

 

“…..ช่วงนี้, ท่านพ่อ, พูดเรื่องแปลกๆออกมาด้วย”

 

เอลน่าพึมพำในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า

 

การที่เอลน่าพูดถึงผู้กล้าหาญนั้นถือเป็นเรื่องหายาก เขาเป็นคนที่มักจะออกเดินทางไปทั่ว โอกาสที่พวกเขาจะได้เจอกันมันไม่ค่อยมีตั้งแต่แรกแล้ว

 

“ผู้กล้าหาญพูดว่ายังไงหรอ?”

 

“ท่านบอกว่าสงครามผู้สืบทอดในครั้งนี้มันดูแปลกๆ”

 

“แปลกหรอ?”

 

“พูดให้เจาะจงก็คือ, ท่านหมายถึงการพัฒนาในช่วงนี้ จากมุมมองของท่านพ่อ, ครั้งนี้มันดูเลยเถิดเกินไป”

 

“เลยเถิดเกินไปหรอ?”

 

เขาหมายความว่ายังไงนะ?

 

ดูเหมือนว่าเอลน่าเองก็เข้าใจไม่หมดเหมือนกัน

 

เธอส่ายศรีษะในขณะที่ตอบคำถามของฉัน

 

“เขาบอกว่าองค์หญิงซานดร้ากับองค์ชายกอร์ดอนเปลี่ยนไปเยอะเลย”

 

“การที่พวกเขาปกปิดเอาไว้จนถึงตอนนี้มันไม่ใช่แค่เพราะในที่สุดธาตุแท้ของพวกเขาก็เผยออกมาแล้วหรอกหรอ?”

 

“ข้าเองก็บอกท่านไปแบบนั้นแต่ท่านพ่อบอกว่าเขาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ต่อให้มันเป็นธาตุแท้ของพวกเขา, เขาบอกว่าทั้งคู่ก็น่าจะมีความสามารถในการอดกลั้นมันได้ดีกว่านี้”

 

“ผู้กล้าหาญรู้จักพวกเขามาตั้งแต่ยังเด็กนี่นะ บางทีเขาน่าจะรู้สึกว่ามันทำใจเชื่อได้ยากกับธาตุแท้จริงๆของพวกเขารึเปล่า?”

 

มันเป็นเรื่องทั่วไป ซึ่งสามารถเข้าใจได้ที่จะรู้สึกไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นเด็กดีๆกลายเป็นคนไม่ดี

 

แต่ว่า, ฉันคิดว่าผู้กล้าหาญน่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้มากกว่าฉันซะอีก

 

ถ้าเขาพูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรที่กระตุ้นความสงสัยของเขาแน่ๆ

 

“ข้าเองก็คิดแบบนั้น….แต่ท่านบอกว่าช่วงนี้, พวกเขาเลิกสนใจผลประโยชน์ของจักรวรรดิแล้ว ข้าเชื่อมั่นจนถึงตอนนี้ว่าผู้เข้าชิงทุกคนจะไม่มีวันทำแบบนั้น มันคงจะเป็นภัยพิบัติแน่ๆถ้าผู้สืบทอดมาทำลายจักรวรรดิซะเอง”

 

“นั่นสินะ ถ้าเจ้ามองแบบนั้นมันก็แปลกจริงๆนั่นแหล่ะ”

 

จะให้ตัดสินว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากพิษตามธรรมชาติของสงครามผู้สืบทอดมันก็ได้อยู่แต่ว่า…..

 

เอาไว้ถามท่านทวดคราวหลังแล้วกัน

 

เขาเป็นคนที่รู้ซึ้งถึงสงครามผู้สืบทอดมากที่สุดในหมู่พวกเรา เขาน่าจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็เอาเถอะ, ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะตอบฉันอย่างจริงจังรึเปล่า

 

“สำหรับตอนนี้ปล่อยไว้ก่อนแล้วกัน พวกเราไม่มีเวลามาคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาหรอก”

 

“นั่นก็จริง…..พวกเขาจับตามองพวกเราแล้ว”

 

พอพูดจบ, สายตาของเอลน่าก็เฉียบคมขึ้น

 

ตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางตรงเข้าไปในป่า

 

แสดงว่าพวกเขาเริ่มสังเกตดูพวกเราตั้งแต่ป่าเลยสินะ พวกเขาค่อนข้างละเอียดจริงๆ

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะโน้มน้าวพวกเขาได้หรอ?”

 

“มีความมั่นใจหน่อยสิ ถ้าเป็นเจ้าหล่ะก็ไม่เป็นไรแน่, อัล”

 

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ….แต่พวกเขาเป็นอดีตอัศวินแห่งความยุติธรรมเลยไม่ใช่รึไง?”

 

“เพราะแบบนั้นยังไงหล่ะถึงไม่เป็นอะไร แถมข้าก็อยู่กับเจ้าด้วย ถ้าจนมุมเข้าจริงๆข้าจะล้มพวกเขาทุกคนเอง”

 

“แบบนั้นการเจรจาก็พังหมดหน่ะสิแล้วการที่ข้าดั้งด้นมาถึงที่นี่ก็จะไม่มีความหมายด้วย…..”

 

ในขณะที่กำลังถอนหายใจให้กับคำพูดของเอลน่า, รถม้าก็หยุดลง

 

ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถึงแล้ว

 

ภาคีอัศวินเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพจักรวรรดิ

 

ป้อมปราการนาร์เบ ริทเทอร์

 

 

มันคือปล้อมที่ให้ความรู้สึกเหมือนฐานทหาร

 

ฉันก้าวเท้าเข้าไปข้างใน

 

“พวกเขาน่าจะได้รับแจ้งการมาของพวกเราแล้วไม่ใช่หรอ……”

 

“ดูเหมือนว่าน่าจะยังแจ้งไปไม่ถึงพวกเขามั้ง”

 

นาร์เบ ริทเทอร์ที่อยู่ข้างในป้อมปราการนั้นแค่สังเกตดูพวกเราอย่างเดียวโดยไม่เข้ามาหา พวกเขาดูไม่เหมือนกับตั้งใจจะมาคุยกับพวกเราเลย

 

การถูกทหารจำนวนมากจ้องแบบนี้มันชวนให้รู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ

 

“รู้สึกแย่ชะมัด”

 

“ไปเถอะหน่า”

 

“พวกเขายังไม่ส่งคนนำทางมาให้พวกเราเลยไม่ใช่หรอ?”

 

“พวกเขาน่าจะไม่มีตั้งแต่แรกแล้วหล่ะ”

 

ถ้าอยากดูก็ดูไป, ถ้าอยากตามหาใครซักคนก็จัดการด้วยตัวเอง

 

ด้วยเจตคติที่ได้มาจากพวกเขานี้, ฉันก็เริ่มเดินเข้าไปในป้อมปราการ

 

สิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างดี เนื่องจากพวกเขาเป็นหน่วยพิเศษที่จักรพรรดิสร้างขึ้น, แสดงว่าพวกเขาต้องได้รับงบประมาณเยอะแน่ๆ

 

ในตอนที่ฉันกำลังคิดเช่นนั้น, ฉันก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง

 

“ดูสิ, นี่มันเจ้าชายผู้โด่งดังนี่หน่า”

 

“นี่เขามาเที่ยมชมหรืออะไรประมาณนั้นหรอ?”

 

“นี่ถ้าไม่มีคนจากบ้านผู้กล้าหาญมาคอยคุ้มกันเขาก็มาเที่ยมชมคนเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำเนี่ยนะ ช่างน่าสมเพศจริงๆ”

 

ทหารสองคนชี้มาที่ฉันแล้วยิ้มเยาะ

 

ในตอนนั้นเอง, ฉันก็คว้าแขนของเอลน่าในทันที

 

มือขวาของเอลน่าได้ยื่นไปจับด้ามดาบแล้ว

 

“ปล่อยนะ”

 

“ข้าไม่สนหรอกเพราะฉะนั้นใจเย็นหน่อย”

 

“แต่ข้าสน…..เพราะฉะนั้นปล่อยได้แล้ว”

 

“ถ้าไม่ว่ายังไงก็อยากชักออกมาจริงๆก็ปล่อยวางซะไม่ดีกว่าหรอ?”

 

พอได้ฟังแบบนั้น, เอลน่าก็ปล่อยมือออกจากดาบด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเศร้าผสมโกรธ

 

ถ้าเธอดึงดาบออกมาที่นี่ก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายและพวกเราก็ลืมเรื่องการเจรจาไปได้เลย

 

แต่พวกเขานี่ค่อนข้างไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงยังไงพวกเขาก็สามารถใจเย็นได้ในขณะที่มองเอลน่าตอนหงุดหงิด พวกเขาน่าจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเธอดีแต่ความกล้าหาญของพวกเขาที่กล้าเผชิญหน้าอย่างใจเย็นนั้นช่างน่าประทับใจจริงๆ

 

สมกับเป็นอดีตอัศวินที่แก้ไขการกระทำผิดของเจ้านายตัวเองสินะ

 

“อะไรกัน? องค์ชาย? ไม่มีคุณหนูจากบ้านผู้กล้าหาญคอยปกป้องจะไม่เป็นอะไรหรอครับ?”

 

“อัศวินของข้าหยาบคายเอง เธอเป็นอัศวินขนานแท้นี่นะ มันก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะโกรธถ้าเจ้านายถูกเยาะเย้ย เธอแตกต่างจากพวกที่ไม่ได้มีสำนึกความภัคดีพวกเจ้าไม่คิดแบบนั้นหรอ”

 

ในตอนที่ฉันยั่วยุด้วยน้ำเสียงที่ดังลั่น, บรรยากาศในป้อมปราการก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

ก่อนหน้านี้มันเป็นแค่การเยาะเย้ยเบาสมองแต่ตอนนี้ทั้งสถานที่เต็มด้วยความตึงเครียด

 

ไม่ว่าฉันจะคิดยังไง, คำที่ฉันพูดไปนั้นก็ล้ำเส้นมากไปหน่อย เอาเถอะ, ฝ่ายนั้นเป็นคนเริ่มก่อนนี่นะ

 

“นี่ท่านพยายามจะยั่วยุพวกเราหรอ?”

 

“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นฝ่ายที่พยายามจะทดสอบข้าไม่ใช่หรอ?”

 

“ถ้าแบบนั้นจะห้ามข้าทำไมตั้งแต่แรก?”

 

“ก็คนที่ถูกทดสอบคือข้านี่”

 

ในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น, ทหารก็มาล้อมรอบพวกเรามาขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเขาทุกคนเป็นชายร่างกำยำ ซึ่งบ่งบอกได้ว่าพวกเขาฝึกฝนมาดีแค่ไหน, พวกเขาน่าจะสามารถฆ่าฉันได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์หรืออาวุธด้วยซ้ำ

 

“อะไรกัน? ตอนนี้โกรธกันแล้วหรอ?”

 

“ข้าว่าท่านถอนคำพูดเถอะ องค์ชาย”

 

“เรื่องความภัคดีอะหรอ? อัศวินแผลเป็นที่ทำให้ตราตระกูลของเจ้านายตัวเองมีบาดแผล ไม่คิดว่ามันเป็นคำที่ค่อนข้างเหมาะกับพวกเจ้าหรอ?”

 

พวกทหารที่ทนฟังคำเยาะเย้ยเช่นนี้ไม่ได้เข้ามาใกล้ขึ้น

 

ฉันถูกล้อมจนไม่มีทางออกแล้ว ความจริงที่ว่าพวกเขาแสดงท่าทีแบบนี้กับคนในราชวงศ์อย่างฉันได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่งแค่ไหน

 

พวกเขาจะไม่มีวันก้มหัวให้คนที่พวกเขาไม่ยอมรับ นี่คือรูปแบบจิตใจที่พวกเขามี

 

เป็นพวกที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยนะเนี่ย

 

“องค์ชาย…..นี่ถือเป็นคำแนะนำสุดท้ายของพวกเรา ถอนคำพูดเถอะครับ”

 

“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าถอนคำพูดก็ใช้การกระทำแสดงให้ข้าดูซักหน่อยสิ พวกเจ้าเป็นคนที่เริ่มก่อนเองนะ อย่าบอกนะว่านาร์เบ ริทเทอร์ที่น่ายกย่องจะไม่มีปัญญาตอบโต้กลับทั้งๆที่เป็นคนเริ่มล้อเลียนคนอื่นหน้าตาเฉย?”

 

ฉันได้ยินเสียงกัดฟันของพวกเขา

 

ในตอนที่อัศวินหนุ่มคนนึงก้าวมาข้างหน้า, เสียงนึงก็ดังมาหาพวกเรา

 

“ผู้บัญชาการอัศวินอยู่ที่นี่แล้ว! หลีกทางซะ!”

 

ในตอนที่พวกเขาได้ยินเช่นนั้นทหารทุกคนก็หลบออกด้านข้างแล้วยืนตัวตรงในทันที

 

เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล่นใหญ่น่าดูเลยนะเนี่ย

 

อย่างไรก็ตาม, ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการอัศวินจะควบคุมพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์เลยสินะ

 

พวกทหารที่ดูกระฉับกระเฉงจนถึงตอนนี้เริ่มกระสับกระส่าย

 

จากนั้น, ชายคนนึงก็เดินมาหาพวกเราโดยใช้เส้นทางที่พวกทหารเปิดให้

 

เขาน่าจะอยู่วัยช่วงสามสิบกลางๆสินะ เขาเป็นชายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของผู้ใหญ่ ใบหน้าของเขานั้นงดงามเหมือนกับรูปปั้นหินที่สลักโดยศิลปิน

 

ชายคนนั้นมองฉันด้วยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว

 

รอยยิ้มของเขานั้นเหมือนกับพึ่งเจอสิ่งที่น่าสนใจ

 

“ที่ข้าไม่ได้หยุดพวกเขาก็เพราะข้าคิดว่าเจ้าเป็นแค่เจ้าชายที่มาเยี่ยมแค่เดี๋ยวเดียวข้าก็เลยคิดว่าจะให้ลูกน้องไล่เจ้าออกไปซะ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

 

ในขณะที่พูด, ชายคนนั้นก็ทำความเคารพ

 

จากนั้นทหารทุกคนก็เคารพฉันตามเขา

 

“ข้าคือพันเอกลาส ไวเกิล, ผู้บัญชาการแห่งนาร์เบ ริทเทอร์ โปรดอภัยให้ความหยาบคายของลูกน้องข้าด้วย, องค์ชายอาร์โนลด์”

 

“ไม่หรอก, ถือว่าเป็นศักยภาพที่น่าสนใจใช้ได้เลยครับ, ท่านพันเอก ถ้าเอลน่าไม่ได้อยู่กับข้า, ข้าคงจะหนีไปแล้ว”

 

“ได้โปรด, อย่าล้อเล่นเลยครับ คนขี้ขลาดหน่ะข้ามองแค่ปาดเดียวก็รู้แล้ว, องค์ชาย มาเถอะ, เชิญทางนี้ครับ พวกเราชักสนใจสิ่งที่ท่านอยากจะพูดแล้วสิ”

 

นี่คือการพบกันของฉันกับอัศวินแผลเป็น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด