การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 27

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 27 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รูปร่างของทวีปโฟเกลนั้นบางครั้งก็ถูกบอกว่าเหมือนนกกำลังสยายปีก

 

แผ่นดินที่แผ่ขยายออกไปทั้งซ้ายและขวาโดยเชื่อมกับส่วนที่ยื่นออกไปทางฝั่งเหนือและใต้เล็กน้อยทำให้มันดูเหมือนกับปีก, ศรีษะ, และหางของนกจริงๆ

 

ที่ตรงกลาง(ลำตัว)ของทวีปโฟเกลก็คือจักรวรรดิอาเดรเชีย

 

ส่วนสถานที่ที่ลีโอกับฉันถูกส่งไปนั้นตั้งอยู่ที่ส่วนหาง

 

ชื่อของประเทศนั้นก็คือราชรัฐรอนดิเน่ มันคือหนึ่งในสองประเทศที่ตั้งอยู่ตรงส่วนหางของทวีป

 

“หนึ่งในสองประเทศที่รอดมาจากยุคสงครามภายในเขตใต้สินะ…..”

 

ฉันกำลังอ่านเอกสารเกี่ยวกับประเทศที่ว่านี้อยู่บนเรือ

 

มันคือกองเรือเอกอัครราชทูตของจักรวรรดิที่นำโดยลีโอซึ่งมาทำภารกิจในฐานะทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ

 

มันประกอบไปด้วยเรือสองลำ, และแต่ละลำก็ขนของขวัญที่นำมาให้รอนดิเน่ด้วย

 

เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น, ฉันกับลีโอจึงนั่งเรือคนละลำกัน แต่ก็นะ, ทะเลเขตนี้ค่อนข้างสงบดังนั้นมันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก

 

อย่างไรก็ตาม, มีอยู่คนนึงที่ตอนนี้กำลังตัวสั่นอยู่บนเรือของฉันตลอดเวลา

 

“ถ้าอยู่บนทะเลที่สงบแบบนี้เธอยังตัวสั่นได้ขนาดนี้, เธอก็คงไปทะเลแถบอื่นไม่ไหวหรอกรู้รึเปล่า?”

 

“ข้า, ข้าไม่อยากไปทะเลแถบอื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว……”

 

คนที่พูดถึงอยู่นี้ก็คือเอลน่าที่กำลังขลุกอยู่ในฟูกบนเตียงของเธอ

 

ยัยนี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแล้วทำไมถึงตัวสั่นขนาดนี้?

 

ถ้าให้อธิบาย, เรื่องมันก็ค่อนข้างยาวอยู่

 

โดยปกติ, ทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้นจะต้องมีสมาชิกของภาคีอัศวินหลวงตามมาคุ้มกันด้วย ซึ่งเหตุผลที่เอลน่ามาอยู่ที่นี่ก็แค่เพราะพวกพี่ๆเสนอชื่อของเธอ ส่วนสาเหตุที่พวกเขาตั้งใจทำแบบนี้ก็เพื่อแยกคนที่สนับสนุนพวกเราออกมาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ แต่ก็นะ, ฉันคิดเอาไว้แล้วหล่ะว่าจะเป็นแบบนี้ก็เลยสั่งลินเฟียเอาไว้ล่วงหน้าให้คอยดูแลฟีเน่ดังนั้นมันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

 

แต่ถึงอย่างนั้น, การส่งคนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ออกนอกจักรวรรดินั้นค่อนข้างจะเป็นปัญหาอยู่ แต่ว่ามันก็ยังมีประโยชน์ตรงที่มันช่วยแสดงให้เห็นว่าความปราถนาดีของเรานั้นจริงจังขนาดไหน

 

ในท้ายที่สุดแล้ว, พ่อก็ยอมรับข้อเสนอเรื่องที่จะส่งเธอมากับพวกเราแต่ตัวท่านพ่อเองต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆว่ามันเป็นหนึ่งในแผนการของพวกพี่ๆ

 

ไหนๆก็พูดแล้วขอเข้าเรื่องปัญหาด้วยละกัน, คนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิได้นั้นคือหนึ่งในแสนยานุภาพที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิ การส่งคนระดับนี้ไปยังประเทศอื่นจะเป็นการลดตัวเลือกของจักรวรรดิลงในกรณีที่ต้องปกป้องตัวเองเมื่อมีประเทศอื่นเลือกที่จะโจมตีพวกเรา นี่คือปัญหานึง ส่วนอีกปัญหาก็คือว่าบ้านผู้กล้าหาญนั้นไม่สามารถใช้พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ข้างนอกอาณาเขตของจักรวรรดิได้ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากจักรพรรดิ มันคือมาตรการรักษาความปลอดภัยเผื่อในกรณีที่บ้านผู้กล้าหาญทรยศจักรวรรดิและมันก็ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าตระกูลรุ่นแรกของพวกเขา

 

ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ซักเท่าไหร่ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องหายากที่คนจากบ้านผู้กล้าหาญออกนอกอาณาเขตของจักรวรรดิ

 

“ข้าจะสาปแช่งไอ้พวกนั้น…….! ข้าจะไม่มีวันลืมความแค้นนี้…..! ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ไอ้พวกสามคนนั่นเด็ดขาด…..!”

 

“พอเห็นเธอตัวสั่นแบบนี้แล้วมันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยนะ”

 

และเหตุผลที่เธอตัวสั่นแบบนี้ก็เพราะเธอกลัวทะเล

 

เอลน่าไม่มีปัญหากับการอาบน้ำแต่เธอเป็นประเภทที่จะกลายเป็นพวกไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในแม่น้ำหรือมหาสมุทร ฉันคิดว่ามันคือสิ่งที่น่าจะเรียกว่าโรคกลัวน้ำ สำหรับเอลน่าที่เรียกได้ว่าเกือบสมบูรณ์แบบนั้น, คงต้องบอกเลยว่านี่คือจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเธอ แม้ว่าตัวเอลน่าเองจะเกลียดความพ่ายแพ้, แต่นี่คือจุดอ่อนที่เธอไม่สามารถเอาชนะได้

 

ในตอนที่เห็นทะเล, เธอจะเริ่มรู้สึกคลื่นไส้มวนๆท้องและมีอาการหัวหมุนเนื่องจากความกังวลและในตอนที่ขึ้นมาบนเรือร่างกายของเธอก็จะไม่สามารถหยุดสั่นได้เนื่องจากความกังวลที่ไม่สามารถอธิบายได้ของเธอ ถ้าเธอออกไปที่ดาดฟ้าเรือตอนนี้เธอน่าจะเป็นลมจากความตกใจได้เลย

 

“แต่ก็นะ, จนถึงตอนนี้เธอก็ปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ดีอยู่ไม่ใช่หรอ? ถึงข้าจะคิดว่ามันถูกเปิดเผยแล้วก็เถอะ”

 

“คนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นจะไม่ค่อยได้ออกนอกจักรวรรดิ……ตั้งแต่ตอนที่ข้ารู้ว่าดินแดนส่วนใหญ่ของจักรวรรดิเป็นพื้นบก, ข้าก็พยายามอัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนที่อายุสิบสอง…..เพราะไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่อยากขึ้นเรือนี่หน่า……..”

 

เอลน่าเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเล็กน้อย

 

คนๆแรกที่อัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยเหตุผลโง่ๆแบบนี้น่าจะเป็นเอลน่า และยิงไปกว่านั้น, ความพยายามที่สูญเปล่าเช่นนี้มันก็ทำให้ฉันหลุดขำออกมา

 

“มะ, เมื่อกี้เจ้าพึ่งหัวเราะใช่ไหม…..!? นั่นคือสิ่งที่เจ้าทำในตอนที่เพื่อนสมัยเด็กของตัวเองกำลังสั่นกลัวแบบนี้หรอ…..!?”

 

“ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอกลัวน้ำขนาดนี้ก็คงจะเป็นเหมือนกันนั่นแหล่ะ โดยเฉพาะข้า”

 

“อะ อัล, เจ้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้นะ, รู้ตัวไหม…..!? ที่ข้ารู้สึกกลัวขนาดนี้มันมาจากการที่ข้าได้เห็นสภาพของเจ้าในตอนที่จมน้ำยังไงหล่ะ……!”

 

ใช่แล้ว, มันคือเหตุการณ์ในตอนที่ฉันอายุแปดขวบ ฉันกำลังอาบน้ำกับเอลน่า, ในตอนนั้น, ดูเหมือนว่าฉันจะไปพูดอะไรบางอย่างที่ไปยั่วโมโหเธอเข้าแล้วก็จบลงที่การถูดอัดเข้าที่ลำตัว หลังจากนั้น, ฉันก็หมดสติไปและจมอยู่ในอ่างน้ำ ตอนนั้นฉันเกือบจะจมน้ำตายแล้วด้วยซ้ำ

 

และในตอนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเธอก็รู้สึกกลัวด้วยเหตุผลบางอย่างและจบลงที่เป็นโรคกลัวน้ำจนถึงตอนนี้

 

นี่คือสาเหตุที่ดูไร้เหตุผลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายคนไหนก็คงจะเอาชนะความไร้เหตุผลของเธอไม่ได้

 

“เจ้าก็แค่กรรมตามสนองนี่ เอาจริงๆนะ, มันคงจะไม่แปลกอะไรหรอกถ้าคนที่กลายเป็นโรคกลัวน้ำคือข้า มันคือการลงโทษจากสวรรค์ยังไงหล่ะ, ใช่แล้วนี่มันการลงโทษจากสวรรค์แน่ๆเลย

 

“ฮืออ…..เจ้าดูมีความสุขกับเรื่องนี้เกินไปแล้วนะ……”

 

เอลน่าน้ำตาคลอด้วยความรู้สึกอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

พูดตามตรง, ถ้ากลัวขนาดนั้นจะปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนที่ถูกเสนอชื่อก็ได้นี่

 

 

ทำไมถึงต้องฝืนตามฉันมาด้วย

 

“ข้าคิดว่าถ้าเธอไปคุยกับท่านพ่อ, เขาก็น่าจะยอมพิจารณาหาคนอื่นมาแทนเธอไม่ใช่หรอ?”

 

“ถ้าผู้คนรู้ว่าลูกสาวของบ้านผู้กล้าหาญเป็นโรคกลัวน้ำแบบนั้นมันก็จะกลายเป็นข่าวฉาวได้หน่ะสิ……..! และยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าข้าบอกฝ่าบาทว่ากลัวการออกทะเลมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนแพ้เลยไม่ใช่หรอ……”

 

“เอาจริงดิ, นี่เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังแข่งกับอะไรเนี่ย…..”

 

ในตอนที่ฉันตกตะลึงกับคำพูดของเธอ, เรือก็โคลงเคลงเล็กน้อย

 

มันไม่ใช่การสั่นสะเทือนที่รุนแรงอะไรแต่ดูเหมือนว่าเอลน่าจะรับผลกระทบเข้าไปเต็มๆ

 

“ไม่น้า!!!?? โอ๊ย!?”

 

เธอกลิ้งไปมารอบเตียงเล็กๆของเธอ, จนศรีษะไปกระแทกและตอนนี้ก็กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวด

 

นี่คือฉากที่คงไม่มีวันได้เห็นในตอนที่อยู่บนบกดังนั้นมันจึงค่อนข้างรู้สึกสดชื่นในตอนที่เห็นเธออยู่ในสภาพแบบนี้

 

“พออยู่บนน้ำแล้วเธอนี่ไร้ประโยชน์จังเลยนะ ถ้าเกิดมีโจรสลัดโจมตีเข้ามาพวกเราก็คงจะจบสิ้นแน่ๆเลยใช่ไหมเนี่ย?”

 

“หยะ, อย่ามาดูถูกข้านะ…..! ถ้าถึงเวลาจริงๆเข้าหล่ะก็…..! ม่ายยยยย!!?? เมื่อกี้สั่นแรงเลยใช่ไหม!? มันทำให้เรือเป็นรูรึเปล่า!?”

 

“ถ้าถึงเวลาเข้าจริงๆเจ้าก็จะไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์สินะ ข้าคิดว่ามันคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอกแต่มันคงจะเป็นหนังคนละม้วนถ้าเกิดมีมังกรทะเลโผล่มา”

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทะเลก็คือมังกรทะเล, ราชาแห่งท้องทะเล

 

มันคือมังกรที่ปรับตัวให้เข้ากับทะเลและมอนส์เตอร์คลาสสูงสุดที่อาละวาดในมหาสมุทร ความน่ากลัวนั้นยิ่งกว่าอยู่บนบก มีลูกเรือนับไม่ถ้วนที่ตายจากการถูกจมเรือกลางทะเล

 

มีบางครั้งที่กองเรือของสองประเทศที่เป็นอริกันกำลังทำสงครามกันอยู่แล้วถูกมันจมเรือทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่า, เอลน่าต้องเคยได้ยินเรื่องราวที่น่ากลัวแบบนี้มาเหมือนกัน

 

ในตอนที่เธอได้ยินคำว่ามังกรทะเล, สีหน้าของเธอก็ดูเหมือนกับกำลังจะบอกว่าสติของเธอพังไปหมดแล้ว

 

“นี่ข้า….จะต้องมาตายที่นี่หรอ?”

 

“ยัยโง่, เธอไม่ตายหรอกหน่า ตอนนี้เธอดูเหมือนกับเป็นคนละคนเลยนะ นี่คือสีหน้าของอัศวินหลวงหรอ ต่อให้เธอเจอปัญหาในภารกิจของตัวเอง, แต่มันก็ยังเป็นภารกิจที่เธอรับมาไม่ใช่รึไง”

 

“แต่นี่มัน…..”

 

“เห้อ…..”

 

เอาเถอะ, มันก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจเรื่องที่เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น, มันดูไม่มีทีท่าว่าพวกเราจะต้องทำศึกกลางมหาสมุทรด้วย แถมฉันเองก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีโจรสลัดที่เจาะจงเลือกโจมตีกองเรือที่มีการคุ้มกันแน่หนาแบบนี้

 

ถ้าพวกเราไปถึงแผ่นดิน, เอลน่าก็จะกลับมาอยู่ในสภาพปกติ ตอนนี้คงได้เวลาหยุดแกล้งเธอแล้วหล่ะ

 

ด้วยความรู้สึกสดชื่นหลังจากที่ได้ระบายความแค้นไประดับนึง, ฉันก็แอบร่ายบาเรียรอบตัวเอลน่าอย่างลับๆ มันคือบาเรียที่จะตัดขาดเธอจากโลกภายนอก ด้วยสิ่งนี้, การสั่นของเรือที่เธอต้องเผชิญอยู่ก็จะดีขึ้นมาเล็กน้อย โดยปกติแล้ว, ฉันคงจะใช้มันโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวไม่ได้แต่นี่คงจะไม่เป็นไรเพราะเอลน่าในสภาพนี้คงไม่ทันรู้สึกถึงบาเรียหรอก”

 

“ระ, เรือสั่นเบาลงหน่อยแล้วใช่ไหม…..”

 

“มันก็ไม่ได้สั่นแรงมาตั้งแต่แรกแล้วนะ”

 

“อะ, อัล, เจ้าจะทำตัวหย่อนยานเกินไปแล้วนะ……ถ้าเกิดเรือล่มขึ้นมาเจ้าจะทำยังไง?”

 

“ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของจักรวรรดิ, มีอยู่แค่สองเหตุการณ์เท่านั้นที่กองเรือล่ม”

 

“แต่นี่มันก็ช่วยรับประกันไม่ได้ไม่ใช่หรอว่าวันนี้จะไม่ใช่ครั้งที่สาม……?”

 

ไม่เหมือนกับปกติ, เธอกลายเป็นพวกคิดลบจนน่ารำคาญ ขนาดบอกข้อมูลที่ทำให้สบายใจได้แล้วทำไมยังทำให้กลัวได้อีกหล่ะ?

 

ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์สินะ ถ้าชอบนักเดี๋ยวจะทำให้กลัวอีกสักหน่อยแล้วกัน

 

ในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา, ฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ฟังดูนุ่มนวล

 

เอลน่าตอบสนองด้วยความกลัวแม้กระทั่งกับเสียงเคาะประตู และเนื่องจากเธอไม่มีทีท่าว่าจะขานตอบ, ฉันจึงทำหน้าที่นี้แทนเธอ

 

และในตอนที่ฉันทำ, อัศวินวัยกลางคนที่เป็นลูกน้องของเอลน่าก็เข้ามา

 

“เข้ามาสิ”

 

“ขออนุญาตครับ….. เอ่อว่าแต่, หัวหน้าไปไหนหรอครับ?”

 

“ยะ, ยังมีลมหายใจอยู่…….”

 

“ท่านช่วยไปที่ดาดฟ้าเรือหน่อยได้ไหมครับ?”

 

“นี่เจ้าจะบอกให้ข้าไปตายหรอ….!? ขืนไปที่นั่นข้าได้ถูกลมพัดตกจากดาดฟ้าเรือแล้วต้องจมน้ำตายแน่ๆ…..!”

 

“นี่เธอคิดว่าเราอยู่ท่ามกลางพายุหรืออะไรเทือกนั้นรึไง? ก็เห็นอยู่นี่ว่าวันนี้ฟ้าโปร่ง ให้ตายเถอะ…..หัวหน้าของเจ้าก็เป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหล่ะ”

 

ในตอนที่ฉันมองอัศวินด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ, อัศวินคนนั้นก็ยิ้มกลับมาอย่างขมขื่น ตามที่คาดเอาไว้, ดูเหมือนว่าลูกน้องสายตรงของเธอนั้นจะรู้เรื่องอาการของเธอ ก็นะ, ถึงยังไงเธอก็น่าจะปกปิดเรื่องนี้ได้ไม่มิดหรอก

 

“ถ้างั้นข้าขอรายงานอย่างเดียวแล้วกันครับ มีเรือจากราชรัฐอัลบราโทรมาขอเจรจา เมื่อสักครู่นี้, ทั้งเรือของเราและขององค์ชายลีโอนาร์ดได้ทำการทอดสมอแล้วแต่ว่าพวกเราจะเอายังไงต่อไปดีครับ?”

 

“ราชรัฐอัลบราโทรหรอ, แสดงว่าพวกเราเข้ามาถึงน่านน้ำของพวกนั้นแล้วสินะ”

 

ราชรัฐอัลบราโทรนั้นคือประเทศที่ตั้งอยู่ถัดจากราชรัฐรอนดิเน่ มันคือประเทศแห่งการเดินเรือและเป็นประเทศที่มีการส่งออกทางทะเลอย่างกว้างขวาง ความสัมพันธ์ของพวกเขากับจักรวรรดินั้นค่อนข้างไม่ลงรอยกันซักเท่าไหร่เพราะในยุคสงครามเมื่อครั้งอดีตพวกเขาเลือกเป็นพันธมิตรกับศัตรูของจักรวรรดิ

 

การที่มาขอเจรจาในครั้งนี้, ก็แสดงว่าพวกเขาไม่อยากให้เรามุ่งหน้าไปที่รอนดิเน่สินะ แทนที่จะเป็นการพูดคุย,ประเด็นหลักจริงๆต้องเป็นการสอบสวนแน่ๆ

 

“ตะ, ตอนนี้ให้อัศวินไปอยู่ในห้องพักของตัวเองแล้วครับ….การไปกวนประสาทเจ้าพวกนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่……”

 

“ข้าเห็นด้วย แล้วลีโอว่ายังไงบ้าง?”

 

“ดะ….ดูเหมือนว่าองค์ชายลีโอนาร์ดจะรู้สึกไม่ดีดังนั้นเขาก็เลยส่งข้ามาที่นี่เพื่อขอแนวทางจากหัวหน้าครับ”

 

“เห้อ….ช่วยไม่ได้หล่ะนะ เดี๋ยวข้าจะแกล้งทำตัวเป็นลีโอแล้วคุยกับพวกนั้นเอง”

 

พอพูดจบ, ฉันก็ออกจากห้องไปพร้อมกับอัศวินวัยกลางคน

 

เรือที่จอดอยู่ถัดจากฉันก็คือเรือของลีโอ ถ้าฉันให้สัญญาณว่าพวกเราจะยอมรับการเจรจา, ผู้คนจากราชรัฐอัลบราโทรก็น่าจะขึ้นไปที่เรือลำนั้นสินะ

 

เอาเถอะ, ในเมื่อพวกนั้นไม่ได้ตรวจสอบกองเรือละเอียดซักเท่าไหร่, ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

 

ในตอนที่ฉันย้ายไปที่เรืออีกลำนึง, ฉันก็ตรงไปที่ห้องของลีโอ

 

ข้างในห้องมีลีโอที่กำลังหน้าซีดอยู่ ตามที่คาดเอาไว้, ฉันจะปล่อยให้เขาไปเจรจาในสภาพนี้ไม่ได้

 

“ว่าไง, สภาพดูไม่จืดเลยนี่ เมาเรือหรอ?”

 

“ครับ….ดูเหมือนจะใช่…..”

 

“ไม่ใช่เอลน่าซักหน่อย ตั้งสติให้ดีๆสิ”

 

“ขอโทษครับ…..”

 

“เดี๋ยวข้าจะรับหน้าให้เอง เจ้าไปพักที่เรืออีกลำเถอะ”

 

“แต่ว่า……”

 

“ไม่เป็นไรหรอกหน่า, บอกคนอื่นไปว่าองค์ชายอาร์โนลด์รู้สึกไม่ดี”

 

“แต่ว่า, ถ้าพูดแบบนั้นไป, ชื่อเสียงขององค์ชายก็จะ……”

 

“เถอะหน่า ถึงพูดไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก”

 

ในตอนที่ฉันพูดแบบนั้นกับลูกน้องของเอลน่า, ฉันก็ส่งลีโอไปที่เรืออีกลำนึง แน่นอนว่า, ทุกคนที่อยู่รอบๆคิดว่าเขาคือเจ้าชายอาร์โนลด์

 

หลังจากนั้น, ฉันก็เซ็ทผมแล้วจัดแต่งเสื้อผ้าของตัวเองก่อนที่จะออกมาจากห้องด้วยสีหน้าหนักแน่น

 

“ยอมรับการขอเจรจา ไปเตรียมการซะ”

 

“ครับ, องค์ชาย”

 

ด้วยประการฉะนี้เอง, ฉันก็สลับตัวกับลีโอกลางทะเล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด