การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 113

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 113 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เกลเลสเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแนวหน้าทางใต้

 

อย่างไรก็ตาม, ในจักรวรรดินั้น, มันก็เป็นแค่เมืองระดับกลางที่มีอัศวินประมาณ 500 คน ต่อให้เพิ่มคนที่สามารถต่อสู้ได้เข้าไปทั้งหมด, ก็มีแค่ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น

 

และตอนนี้, กูลเวอร์ก็กำลังคุกคามเมืองที่ว่าอยู่ด้วยทหารระดับสูง 10,000 นายของเขา

 

“วะฮ่าฮ่าฮ่า!! ตอนนี้พวกอัศวินกระจอกทางใต้คงกำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ!”

 

ในตอนที่พูดนั้น, กูลเวอร์กำลังมองเกลเลสด้วยอารมณ์เริงร่า

 

เมืองนี้มีประตูสูงอย่างพอเหมาะและมีกำแพงชั้นนอกที่สูงใช้ได้ มันค่อนข้างหน้าเกรงขามในฐานะเมืองหน้าด่านถ้ามีกำลังคนที่เหมาะสมแต่กูลเวอร์รู้ว่าเกลเลสนั้นมีคนคอยปกป้องอยู่แค่ประมาณพันคนเท่านั้น

 

พอกอร์ดอนเริ่มแผนของเขาและพวกเขาได้รับอนุญาตให้บุก, เมืองก็จะล่มสลายในทันทีอย่างแน่นอน

 

“พันเอกเลทส์ ได้ข่าวคราวจากองค์ชายกอร์ดอนรึยัง?”

 

“ยังเลย, ข้ายังไม่ได้ข่าวอะไรเลย เขาแค่บอกว่าพวกเราควรพยายามสอดแนมพื้นที่นี้อย่างเต็มที่”

 

“เข้าใจหล่ะ เขาคงจัดการเรื่องบางอย่างอยู่ที่อื่นสินะ

 

“บางที สำหรับตอนนี้, ทำตามคำแนะนำของเขาไปก่อนเถอะครับ มีหน้าผาอยู่ห่างออกไปข้างหน้า พวกเราน่าจะหามุมดีๆสอดส่องสนามรบได้จากตรงนั้น”

 

“ดี ถ้างั้นช่วยนำทางข้าไปที”

 

ในตอนที่กอร์ดอนขึ้นเป็นจักรพรรดิ, คนที่สนับสนุนเขาจะได้รับการเลื่อนขั้น  ในส่วนของเรื่องนี้, จะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับการเลือดขั้นเป็นยศขั้นจอมทัพ สำหรับกูลเวอร์, เลทส์ก็คือคู่แข่งของเขา

 

อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้เลทส์คนนั้นกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาอยู่, ซึ่งนี่ก็หมายความว่ากอร์ดอนนั้นยอมรับอย่างชัดเจนว่ากูลเวอร์มีตำแหน่งที่สูงกว่า

 

ตอนนี้, กูลเวอร์มองตัวเองเหมือนเป็นจอมทัพจักรวรรดิ

 

ในตอนที่เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพลักษณ์ในอนาคตของเขานี้, โซเนียก็พูดขัดขึ้นมา

 

“ท่านแม่ทัพ หน้าผานั้นมันใกล้กับเกลเลสเกินไปนะคะ พวกเราใช้จุดสังเกตการที่ห่างออกมาอีกซักนิดไม่ดีกว่าหรอ?”

 

“เหอะ! พูดอะไรของเจ้า? เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะเริ่มโจมตีพวกเราก่อนรึไง? ไร้สาระจริงๆ”

 

“การที่ฝ่ายนั้นจะมีพลซุ่มยิงอยู่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะคะ ในฐานะผู้บัญชาการ, ท่านควรระวังตัวให้มากกว่านี้ค่ะ”

 

“ต่อให้มันอยู่ใกล้, มันก็ยังห่างออกมาจากเมืองอยู่ดี ถ้ามีคนสามารถซุ่มยิงพวกเราจากเกลเลสได้ข้าก็น่าจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของคนแบบนั้นมาบ้างแล้วหล่ะ”

 

“ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนแบบนั้นอาจจะมีตัวตนอยู่ก็ได้ยังไงหล่ะคะ, ท่านแม่ทัพ”

 

“สมกับเป็นลูกครึ่งเอลฟ์อย่างเจ้าจริงๆ…..เจ้าหน่ะมันขี้ขลาดเกินไป”

 

ในขณะที่กำลังปฏิเสธคำเตือนของโซเนีย, กลูเวอร์ก็ขึ้นหน้าผาไปอย่างมั่นคง

 

เลทส์เดินตามหลังเขาออกมาเล็กน้อยอย่างเงียบๆ

 

โซเนียเองก็ถอนหายใจแล้วตามหลังเขาไป

 

อย่างไรก็ตาม, เป็นเวลาพักนึง, เลทส์ที่นำหน้าเธออยู่ก็ชะลอฝีเท้าลง คนคุ้มกันที่อยู่รอบตัวพวกเขาเองก็ชะลอฝีเท้าให้เข้ากับเขาเหมือนกัน

 

ด้วยเหตุนี้เอง, กูลเวอร์จึงไปถึงยอดหน้าผาตัวคนเดียว

 

จากนั้นเสียงลมที่เป็นเอกลักษณ์ก็ดังเข้ามาในหูของโซเนีย

 

จากนั้นมันก็กลายเป็นเสียงบางสิ่งถูกเจาะทะลวง

 

“อา…..”

 

ที่ยอดหน้าผา

 

มีศรดอกนึงได้ปักอยู่ระหว่างคิ้วของกูลเวอร์

 

กูลเวอร์ค่อยๆล้มลงไปอย่างช้าๆแล้วกลิ้งตกหน้าผาไป

 

เลทส์ได้ทำการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันความปลอดภัยของกลูเวอร์

 

“ท่านแม่ทัพ!? ท่านแม่ทัพกูลเวอร์!?”

 

กูลเวอร์ที่โดนธนูยิงเจาะนั้นได้ตายไปในทันที

 

จากนั้นเลทส์ก็ยืนยันสภาพการแล้วออกคำสั่ง

 

“ทุกคนตื่นตัวไว้! ท่านแม่ทัพถูกลอบสังหาร! เกลเลสจงใจเปิดโจมตีพวกเราก่อน!”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้, โซเนียก็ตรวจสอบสีหน้าของเลทส์ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

มีรอยยิ้มอยู่บนหน้าของเขา, มันคือรอยยิ้มที่เฉลิมฉลองความสำเร็จของปฏิบัติการ

 

“ท่านให้คนซุ่มยิงพรรคพวกของตัวเองหรอคะ…..?”

 

“มันเป็นฝีมือของศัตรูต่างหากหล่ะ”

 

ในขณะที่พูดเช่นนั้น, เลทส์ก็จัดการศพของกูลเวอร์

 

จากนั้นเขาก็ประกาศ

 

“นับจากนี้ไปข้าจะเป็นคนบัญชาการเอง โซเนีย, ในฐานะนักกลยุทธ, เจ้าต้องคิดแผนยึดครองเกลเลส”

 

“ให้ทำถึงขนาดนั้น…..นี่ท่านอยากเริ่มสงครามหรอคะ!?”

 

“ข้าไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้หรอก คนที่ปราถนาสิ่งนั้นก็คือฝ่ายนั้น พวกนั้นลอบสังหารแม่ทัพของพวกเรา ในเมื่อเราอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ผิดปกติ, พวกเราก็จะเคลื่อนไหวตามดุลยพินิจของข้า”

 

ในตอนที่พูดเช่นนั้น, เลทส์ก็เดินจากไปโดยไม่มีร่องรอยของความเศร้าเลยซักนิด

 

เรื่องราวดำเนินไปตามกำหนดการของกอร์ดอน, โซเนียเชื่อมั่นแบบนั้นอย่างแรงกล้า

 

จากนั้นเธอก็จ้องไปทางเกลเลส

 

“พวกเขาทำอะไรลงไปเนี่ย…..”

 

พวกเขาส่งพลซุ่มยิงไปที่เกลเลสหรือให้ใครซักคนจากเกลเลสเป็นคนซุ่มยิงกันนะ?

 

ไม่ว่ากรณีไหน, ถ้าเกลเลส, เมืองด่านหน้าที่ใหญ่ที่สุดล่มสลาย, เมืองอื่นๆก็จะยอมจำนนในอีกไม่นานนี้ และถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น, ก็คงจะหลีกเลี่ยงสงครามไม่ได้แล้ว

 

ความปลอดภัยของลีโอกับคนอื่นๆที่อยู่ที่ศูนย์บัญชาการของศัตรูจะไม่สามารถรับรองได้

 

ถ้าเกลเลสล่มสลายสงครามนี้ก็จะยิ่งนองเลือด ปัญหาก็คือว่าโซเนียนั้นมีพลังพอที่จะทำลายเกลเลสได้อย่างง่ายดาย

 

“ข้าควรจะทำยังไงดีนะ….”

 

โซเนียมีข้อได้เปรียบมากมายในตอนที่จัดการกับอัลในเมืองหลวง เธอมีทั้งจดหมาย, รีเบคก้า, และสิทธิในการเคลื่อนไหวก่อน

 

อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้มันต่างออกไป

 

คนที่มีสิทธิเริ่มเคลื่อนไหวก่อนก็คือกอร์ดอนและโซเนียก็แทบจะไม่มีจุดที่ตัวเองได้เปรียบเลย

 

แต่ถึงอย่างนั้น

 

“ข้าต้องทำให้ได้”

 

ด้วยความคิดที่ว่ามันต้องมีสิ่งที่เธอสามารถทำได้, โซเนียก็เรียกกำลังใจให้ตัวเอง

 

….

 

สภาพความวุ่นวายเองก็เกิดขึ้นกับทางฝั่งที่ซุ่มยิง

 

“ทำอะไรลงไปครับ!? ท่านลุง!!”

 

ผู้ปกครองเกลเลส, เอิร์ลอลัวส์ ฟ็อน ซิมเมลยังคงเป็นเด็กชายอายุสิบสอง ผมของเขามีสีน้ำตาล, พร้อมกับดวงตาที่เป็นสีเดียวกัน เขาเป็นแค่เด็กชายธรรมดาคนนึงที่สนใจเรื่องเล็กๆในชีวิตของเขาเหมือนกับเด็กที่อยู่ในวัยนี้ตามปกติ

 

เขาสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองตั้งแต่ตอนที่พ่อของเขาจากไปเมื่อปีก่อนในขณะที่มีแม่กับลุงของเขาคอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆ

 

เบื้องหน้าของอลัวส์คนนี้ก็คือลุงของเขาที่อยู่ด้วยกันกับพวกการ์ด

 

“พูดอะไรของเจ้ากัน?”

 

“ได้โปรดหยุดทำเป็นไม่รู้เรื่องเถอะครับ! พลซุ่มยิงนั่นเคลื่อนไหวตามคำสั่งของท่านแน่ๆ!”

 

“ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยซักนิด”

 

“ท่านลุง! ช่วยอธิบายมาตามตรงเถอะครับ!”

 

“อธิบายหรอ? นี่เจ้าโง่เกินกว่าที่จะทำความเข้าใจได้รึไง, อลัวส์ ข้าได้เข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิแล้ว”

 

“กองทัพจักรวรรดิหรอครับ…..? แล้วท่านใช้พลซุ่มยิงทำไม!?”

 

อลัวส์ไม่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งที่ลุงของเขาพูดได้เลย

 

ขุนนางทางใต้ส่วนใหญ่ถูกดยุคครูเกอร์จับญาติเป็นตัวประกัน แม่ของอลัวส์เองก็ถูกเขาจับไปเหมือนกัน

 

นี่คือสาเหตุที่เขายอมจำนนไม่ได้ แต่ว่า, เขาก็ไม่อยากให้เกิดสงครามเหมือนกัน ซึ่งนี่ก็เพราะเขารู้ว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

 

มันอาจจะมีโอกาสชนะนะถ้าดยุคครูเกอร์ชี้นำกองทัพทางใต้ทั้งหมดแต่ถ้าเป็นเมืองเดียวนั้นโอกาสของพวกเขาคงไม่มีอยู่

 

แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้, ลุงของเขากลับพึ่งสั่งให้ซุ่มยิงแม่ทัพของกองทัพจักรวรรดิในขณะที่บอกว่าเขาพึ่งเข้าร่วมกับพวกเขา

 

ตอนนี้อลัวส์เริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่าลุงของเขาอาจจะเสียสติไปแล้ว

 

“เหตุผลก็คือสงคราม องค์ชายกอร์ดอนอยากเริ่มสงคราม การซุ่มยิงแม่ทัพคนนั้นจะเป็นชนวนเหตุให้เกิดสงครามขึ้นมาได้ พวกเขาจะถูกกระตุ้นด้วยการตายของเขาและสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ก็จะเกิดขึ้น”

 

“ท่านบ้าไปแล้วหรอครับ…..แล้วองค์ชายจะได้อะไรจากการทำทั้งหมดนี่!?”

 

“องค์ชายกอร์ดอนจะได้ควบคุมกองทัพและใช้มันเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้น, ข้าก็จะถูกแต่งตั้งเป็นลอร์ด นี่มันเป็นสถานการณ์ที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้ซะอีก

 

ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลุงของอลัวส์ก็ยิ้มออกมา

 

เมื่อเห็นลอยยิ้มทะเยอทะยานของเขา, อลัวส์ก็รู้สึกตัวแล้วว่าพูดอะไรกับเขาไปก็คงจะไม่มีประโยชน์

 

ตอนนี้สถานการณ์มันอยู่ในจุดที่แก้ไขไม่ได้แล้ว

 

“กองทัพจักรวรรดิจะบุกโจมตีเข้ามาในเร็วๆนี้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นเจ้าห้ามทำอะไรหล่ะ, อลัวส์”

 

“ห้ามทำอะไรงั้นหรอ…..? แต่ดินแดนนี้เป็นมรดกของตระกูลเรามาหลายยุคแล้ว, พวกเราต้องปกป้องผู้คนของเรานะครับ!”

 

“พวกเขาไม่ใช่คนของข้า”

 

พอได้ฟังท่านลุงพูดแบบนี้, อลัวส์ก็ไหล่ตกอย่างไร้พลัง

 

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดขืน

 

เด็กอย่างเขาจะไปทำอะไรได้หล่ะ?

 

ในขณะที่อลัวส์กำลังสมเพชตัวเองอยู่นั้นเอง, สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นดาบที่วางอยู่บนเก้าอี้ของลอร์ด

 

มันคือดาบที่พ่อมอบให้เขาในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มันยังใหญ่เกินไปสำหรับอลัวส์และเขาก็ไม่เคยชักมันออกมาเลยซักครั้ง

 

สายตาของเขายังคงจดจ่ออยู่, ตอนนี้อลัวส์มีสีหน้าที่มุ่งมั่น

 

เขาชักดาบออกมา

 

“เจ้าจะทำอะไรหน่ะ?”

 

“ข้าคือเอิร์ลซิมเมล ผู้ปกครองของดินแดนนี้….ข้าจะปกป้องผู้คนของข้า!”

 

“เจ้าพูดออกมาทั้งๆที่กำลังเป็นกบฎต่อจักรพรรดิเนี่ยนะ? ความรับผิดชอบที่มีต่อพวกเขามันหมดไปตั้งนานแล้ว!”

 

“ถึงอย่างนั้น….นี่ก็เป็นความภาคภูมิใจที่ข้าได้รับสืบทอดมา! อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านคิดนะ!”

 

อลัวส์จ้องลุงของเขาในขณะที่จับดาบที่ยังคงใหญ่เกินตัว

 

ลุงของเขาตกตะลึงกับความมุ่งมั่นของเด็กน้อยแล้วออกคำสั่งกับการ์ด

 

“จะ,…..จับตัวเขาซะ!”

 

อย่างไรก็ตาม, ไม่มีปฏิกิริยาจากการ์ด

 

ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น, ลุงของเขาก็หันไปมองดูข้างหลัง

 

การ์ดของเขากำลังหลับอยู่ในจุดที่ตัวเองอยู่

 

ในขณะที่กำลังคิดถึงสถานการณ์ที่น่าขบขันนี้, หนังตาของเขาก็เริ่มหนักขึ้นแล้วเขาก็ค่อยๆผลอยหลับไป

 

“นี่มัน….เวทมนตร์หรอ…..?”

 

“ใช่แล้ว ข้าทำให้พวกเขาหลับไปพักนึงนะ พอดีข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับผู้ปกครองตัวน้อยซักหน่อย”

 

ในตอนที่เขาได้ยินเสียงนั้น, ลุงของเขาก็ฟุบหลับไปกับพื้นแล้ว

 

มีแค่คนๆเดียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอลัวส์

 

“ท่านคือ…..?”

 

“นักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์ ถ้าเจ้าอยากทำอะไรซักอย่างในสถานการณ์นี้, ข้าจะให้ความช่วยเหลือเจ้าเอง”

 

“ซิลเวอร์หรอครับ!? ทำไมผู้พิทักษ์ของเมืองหลวงถึงมาอยู่ที่นี่ได้……”

 

“ในฐานะนักผจญภัย, ข้าไม่อยากให้สงครามเกิดขึ้นและไปกระตุ้นพวกมอนส์เตอร์ มันจะส่งผลกระทบกับความปลอดภัยโดยรวม คนบางกลุ่มจะมีงานเพิ่มก็จริงอยู่แต่ความเสียหายที่ต้องจ่ายนั้นมันเกินกว่าคำว่าคุ้มเยอะ ก็เหมือนที่เขาว่า, สงบสุขไว้จะดีที่สุดใช่ไหมหล่ะ”

 

ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ซิลเวอร์ก็ค่อยๆเข้ามาหาอลัวส์

 

จากนั้น, รูปลักษณ์ของซิลเวอร์ก็เปลี่ยนไปในทันที

 

เขากลายเป็นบุคคลลึกลับที่สวมเสื้อคลุมสีเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยฮู้ดคลุมศรีษะที่ปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้, ไม่ว่าจะมองยังไง, เขาก็ดูน่าสงสัยมากๆ

 

“แต่จะว่าไป, ในฐานะนักผจญภัยนั้น, มันคงจะเป็นปัญหากับข้าได้ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ของจักรวรรดิ ดังนั้น, ข้าจะปลอมตัวแบบนี้และถ้าเจ้าไม่มีปัญหาอะไรกับข้อเสนอนี้, ข้าก็จะคอยรับใช้เจ้าจนกว่าเรื่องจะจบ”

 

“….เอาจริงหรอครับ? ทำไมคนที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านถึงลงทุนทำเพื่อพวกเราขนาดนี้หล่ะ?”

 

“ช่วงนี้, ขบวนผู้ส่งสารของจักรวรรดิกำลังมุ่งหน้าไปหาดยุคครูเกอร์ เจตนาของพวกเขาก็คือการจับตัวดยุคและจบความขัดแย้งนี้ด้วยความเสียหายที่น้อยที่สุด เหตุผลที่กองทัพทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อทำให้สงครามเกิดขึ้นและทำให้แผนขบวนผู้ส่งสารล้มเหลว แต่ในเมื่อมีคนอยากทำลายแผน, ก็ต้องมีคนที่อยากปกป้องมันเหมือนกันใช่ไหมหล่ะ”

 

“ท่านมาที่นี่ก็เพราะคนที่อยากปกป้องแผนการนี้ขอร้องท่านหรอ…..?”

 

“จะคิดแบบนั้นข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก เอาแบบนี้เป็นไง? เจ้าอยากได้ความช่วยเหลือจากข้ารึเปล่า? หรือว่าไม่จำเป็น?”

 

อลัวส์ที่ต้องเผชิญกับตัวเลือกสั้นๆนี้สับสนไปเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม, เขาก็ทำการตัดสินใจในทันที

 

“ให้ข้าได้ยืมพลังของท่านเถอะนะครับ”

 

“ดี, ถ้างั้นมาเริ่มประชุมวางแผนของพวกเรากัน เอาเป็นว่า….ในตอนที่ข้าออกมา, เจ้าก็แนะนำว่าข้าเป็นนักกลยุทธ์พเนจรเป็นไง? ต่อไปก็ชื่อสินะ…..เจ้าเรียกข้าว่า ‘เกราว์’ ก็แล้วกัน”

 

(เกราว์ แปลว่าสีเทาในภาษาเยอรมัน)

 

“สีเทาหรอครับ……เรียกตามรูปลักษณ์ของท่านสินะ”

 

“ชื่อเรียกง่ายๆแบบนี้แหล่ะดีแล้ว”

 

ด้วยการสนทนานี้เอง, ซิลเวอร์ก็กรายเป็นเกราว์, คนรับใช้ของอลัวส์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด