การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 75

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 75 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ท่านพี่! ท่านพี่ลีเซ!”

 

“อะไรอีกหล่ะ? เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรอ?”

 

ท่านพี่ลีเซตอบกลับอย่างหงุดหงิด

 

น้ำเสียง, สีหน้า, ความอดทน, ทุกอย่างของเธอกำลังบอกเป็นนัยๆว่า [ตอนนี้อย่าพึ่งมายุ่งกับข้า] เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ, ฉันก็คงจะไม่เข้าใกล้เธอในสภาพนี้

 

แต่ครั้งนี้ถือเป็นข้อยกเว้น

 

“ครับ, ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับท่านพี่เยอะเลยหล่ะ เอาจริงๆท่านยังสะสางไม่จบซักเรื่องเลยด้วยซ้ำ”

 

“ข้าก็ปฏิเสธเยอร์เกนไปอย่างชัดเจนเหมือนที่เจ้าบอกข้าแล้วไม่ใช่รึไง? เจ้ายังมีอะไรที่ไม่พอใจอีก?”

 

“ถ้ามันมาจากใจจริงของท่านพี่ข้าก็คงจะไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นไม่ใช่หรอ?”

 

“พูดอะไรของเจ้ากัน? มันมาจากใจจริงของข้าล้วนๆเลยต่างหากหล่ะ”

 

“ท่านพี่นี่โกหกไม่เก่งเอาซะเลยนะครับ”

 

ถ้าดูจากสีหน้า, มันไม่มีทางอยู่แล้วที่เธอจะพูดจากใจจริง

 

นอกจากนี้, ดูเหมือนเธอจะรู้สึกเสียใจกับมันมากกว่าด้วยซ้ำ

 

“พวกเราเดินไปคุยไปดีไหมครับ? ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านพี่ด้วย”

 

“ข้าไม่มีอารมณ์”

 

“งั้นหรอครับ…..อันที่จริง, คริสต้าพึ่งจะมีเพื่อนใหม่เป็นผู้ชายด้วยนะครับท่านพี่รู้รึเปล่า”

 

“ว่าไงนะ!? ผู้ชายแบบไหน!? เป็นคนไม่ได้ความรึเปล่า!? แล้วอายุเท่าไหร่”

 

“ข้าโกหกครับ”

 

สีหน้าของท่านพี่นิ่งค้างไปพักนึง

 

จากนั้น,

 

“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนเจ้าจะอยากรับบทเรียนจากข้าหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานสินะ?”

 

“เหวอ!? ข้าก็แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง! ขำๆไงครับ! แต่ถ้าท่านพี่มองไม่ออกว่ามันเป็นเรื่องโกหกก็แสดงว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านพี่ไม่รู้ไม่ใช่หรอครับ?”

 

พอหยุดมือของท่านพี่ไม่ให้ขยับไปที่ดาบตรงเข็มขัดของเธอได้, ฉันก็ยิ้มเจื่อนๆ

 

ท่านพี่คิดอยู่พักนึงแล้วจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา

 

“…..แค่แป๊บเดียวนะ”

 

“นั่นมันขึ้นอยู่กับท่านพี่ครับ เอาเป็นว่ามาเดินคุยกันเลยดีกว่า”

 

พอพูดจบฉันก็เริ่มมาเดินข้างเธอ

 

ท่านพี่ยังคงเงียบอยู่ตลอดเวลา

 

ว่าแล้วเชี่ยว, ฉันต้องสร้างบรรยากาศที่เธอสามารถพูดได้สินะ

 

“ข้ามีหลายเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่ครับ”

 

“ย่อมาให้เหลือแค่เรื่องเดียว”

 

“ก็ได้ครับ….งั้นเอาแค่เรื่องนี้ละกัน เมื่อสามปีก่อนเกิดอะไรขึ้นระหว่างท่านพี่กับลีโอหรอครับ?”

 

เธอน่าจะคิดไม่ถึงว่าจะเจอคำถามนี้

 

ท่านพี่ลีเซถลึงตากว้าง

 

จากนั้นเธอก็หันหนีฉัน

 

“เจ้าบอกว่าเจ้าจะถามแค่คำถามเดียวใช่ไหม?”

 

“…..มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ”

 

“บางที ท่านพี่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเมืองหลวงบ่อยๆตั้งแต่ตอนนั้นใช่ไหมหล่ะครับ? พวกเราพึ่งจะมาแลกเปลี่ยนจดหมายกันอย่างเดียวตั้งแต่ตอนนั้นด้วย จากมุมมองของข้า, มันดูเหมือนกับว่าท่านพี่พยายามจะหลีกเลี่ยงผู้คนอยู่นะครับ”

 

ท่านพี่ลีเซมองฉันอย่างรำคาญใจแล้วแหงนหน้ามองฟ้า

 

จากนั้น

 

“…เมื่อสามปีก่อน, ที่งานศพของมงกุฎราชกุมาร ข้าพยายามจะทำอะไรบางอย่างแล้วลีโอก็เข้ามาห้ามข้าเอาไว้”

 

“ท่านพี่พยายามจะทำอะไรหรอครับ?”

 

“ข้ากำลังจะฆ่าซูซาน”

 

“แบบนั้นมัน….”

 

แบบนั้นมันสมกับเป็นท่านพี่จริงๆ

 

และการห้ามเธอก็สมกับเป็นลีโอด้วย

 

เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ

 

หมอนั่นก็มีความลับของตัวเองอยู่หรอเนี่ย

 

“เธอเกี่ยวข้องกับความตายของทั้งแม่ข้าและมงกุฎราชกุมาร ข้าเชื่อว่าข้าควรกำจัดเธอก่อนที่หายนะจะเกิดขึ้นกับจักรวรรดิ….แต่ลีโอก็เข้ามาขวางข้า”

 

“ไม่ว่ายังไง….ข้าก็อยากฆ่าผู้หญิงคนนั้น ข้าคิดว่าข้าไม่สามารถอภัยให้เธอได้ นี่คือสาเหตุที่ข้าพยายามจะใช้กำลังฝ่าลีโอไปแต่…..ลีโอก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าข้าจะเอาชนะเขากี่ครั้ง, เขาก็จะบอกว่าข้าเป็นคนผิดแล้วเข้ามาขวาง”

 

“สมกับเป็นหมอนั่นจริงๆ”

 

“….ลีโอบอกว่าการพิพากษาควรจะดำเนินการผ่านกฏหมาย แต่กฏหมายมันไร้พลัง ท่านพี่ใหญ่ถูกฆ่าแต่กลับไม่มีหลักฐานการฆาตรกรรมเลย นี่คือสาเหตุที่ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากฆ่าเธอด้วยตัวเอง….นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด และนี่ก็คือเหตุผลที่ข้าพยายามจะทำให้เขาหมดสติ แต่เขาก็ยังประคองสติเอาไว้ได้ แม้ว่าข้าจะเอาชนะเขาไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม”

 

พอมาคิดดูแล้ว, หมอนั่นก็ขังตัวเองเอาไว้ในห้องอยู่พักนึงหลังจากงานศพของมงกุฎราชกุมารนี่นะ

 

ฉันคิดว่าเขากำลังตกใจแต่บางทีเขาอาจจะแค่ปกปิดรอยแผลจากการต่อสู้ก็ได้

 

“แม้จะโดนไปขนาดนั้น…ลีโอก็ไม่ยอมถอย เขาเอาแต่บอกว่าข้าเป็นคนผิดและท่านพี่ใหญ่ไม่ได้ต้องการแบบนี้ แต่ว่า….ราชวงศ์ตายไปแล้วสองคน…..ข้าคงไม่สามารถอยู่เงียบๆแล้วยอมรับมันได้หรอกข้าก็เลยบอกเขาว่าให้หยุดพูดถึงอุดมคติของตัวเองซักที ข้าขอให้เขาเข้าใจความรู้สึกของข้าที่สูญเสียแม่ของตัวเองและพี่ชายที่ข้าสาบานว่าจะคอยสนับสนุนไป แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าใจเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งให้มีชีวิตอยู่รึเปล่านั้น….เขาก็ถามข้ากลับมาว่า, จะเกิดอะไรขึ้นกับคริสต้าถ้าข้าไม่อยู่แล้ว สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆของข้าหล่ะ? จักรวรรดิหล่ะ? ท่านพี่พยายามจะปกป้องอะไรกันแน่? เขาบอกว่าสิ่งที่ข้าพยายามจะทำมันก็แค่การโยนความรับผิดชอบของตัวเองทิ้งแล้วเลือกที่จะหนี”

 

“….แล้วท่านพี่ตอบลีโอกลับไปว่ายังไง?”

 

ท่านพี่ลีเซลดสายตากลับมามองฉัน สีหน้าของเธอเสียใจมาก

 

นี่คือครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอแสดงสีหน้าแบบนี้

 

“….ข้าพูดอะไรไม่ได้…..ข้าปล่อยให้เลือดขึ้นหน้า และก่อนที่ข้าจะรู้สึกตัว…..ข้าก็ไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้อีก ข้าไม่มีสิทธิเผชิญหน้ากับลีโอที่อยู่ในสภาพร่อแร่ในตอนนั้น….นั่นคือสาเหตุที่ข้ากลับไปที่ชายแดนเหมือนกับว่าข้ากำลังหนีจากเขา”

 

“เข้าใจแล้วครับ ท่านยกโทษให้ตัวเองไม่ได้ก็เลยห้ามตัวเองไม่ให้ไปพบคนอื่นสินะครับ”

 

“….ใช่ ข้ายกโทษให้ตัวเองไม่ได้ ข้ากลัว ถ้าลีโอไม่ห้ามข้าเอาไว้ข้าก็คงจะทำเรื่องโง่ๆไปแล้ว ข้ากลัวตัวเอง…..ข้าหยุดผูกสัมพันธ์กับคนอื่นหลังจากนั้นมา ข้าตีตัวออกห่างใครก็ตามที่พยายามเข้าใกล้ข้า แต่, ข้าก็ไม่สามารถทิ้งเจ้า, คริสต้า….แล้วก็เยอร์เกนได้ ในตอนแรก, ข้าคิดว่าเยอร์เกนน่ารำคาญเพราะเขาเข้ามาตามตื้อข้าไม่ยอมเลิกราแต่ว่า…..ข้าก็รู้สึกขอบคุณเขา”

 

ก่อนที่พวกเราจะรู้ตัวพวกเราก็ขึ้นมาถึงหน้าผาใกล้กับคฤหาสน์แล้ว

 

ท่านพี่ปีนขึ้นไปอย่างเงียบๆจนไปถึงยอดจากนั้นเธอก็ไปนั่งตรงม้านั่งที่อยู่บนยอดหน้าผา

 

ท่าทีของเธอนั้นแตกต่างจากพี่สาวจอมวางมาดของฉัน

 

“[ข้าจะแต่งงานแค่กับคนที่สามารถตายด้วยกันกับข้าได้] คำพูดพวกนี้คือรากฐานสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้สินะครับ”

 

“….ถ้าข้าเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้, ข้าไม่รู้ว่าจะทำยังไง และในทางกลับกัน…..ข้าก็ไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกเจ็บปวดด้วย ข้าเป็นทหาร ข้าเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว แต่ว่า….ข้าไม่สามารถยอมรับความตายของคนอื่นที่ไม่ใช่ทหารได้”

 

“นั่นคือเหตุผลที่ท่านพี่เตะดยุคไรน์เฟลด์ออกจากกองทัพสินะครับ?”

 

“เยอร์เกนเป็นคนเก่ง ข้าสามารถปล่อยให้เขาจัดการกองทัพหรือจะให้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของข้าก็ยังได้ แต่เขาไม่สามารถตายด้วยกันกับข้าได้ ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่ข้ารู้สึกได้”

 

“แต่ท่านพี่ก็ยังตัดสัมพันธ์กับเขาไม่ได้ เขาเป็นเพื่อนสนิทของท่านพี่ไม่ใช่หรอ?”

 

“….ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเขาคิดยังไงแต่จากมุมมองของข้า, เขาเป็นเพื่อนสนิท แต่ก็อย่างที่เจ้าว่า ข้าไม่ควรผูกสัมพันธ์กับเขา ข้า….ข้าถูกเขาตามใจมากเกินไป”

 

นี่คือสาเหตุที่เธอพูดแบบนั้นสินะ

 

จะบอกว่าไม่ถนัด, หรือว่ายังไงดี

 

บางทีเวลาของเธอน่าจะถูกหยุดไว้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน

 

เธอปิดกั้นใจจากทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความสำคัญแค่กับหน้าที่ของเธอในฐานะทหาร

 

ฉันไม่สามารถโทษเธอได้ ท่านพี่คือคนที่สนิทกับมงกุฎราชกุมารมากที่สุด เธอเฝ้ามองเขา, สนับสนุนเขา เหมือนที่ฉันทำกับลีโอ

 

ถ้าลีโอจากไป…..ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี?

 

นี่มันเป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ ฉันเองก็น่าจะทำตัวเหมือนกับท่านพี่

 

แต่ฉันจะทำยังไงหล่ะถ้ามีคนมาหยุดฉัน?

 

ท่านพี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่มีที่จะไปแล้ว

 

“จะให้ข้าบอกว่าข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านพี่ก็คงไม่ได้ ข้ายังไม่เคยสูญเสียคนสำคัญเลย มงกฎราชกุมารเป็นคนที่ข้ามองจากข้างล่างแต่ความสัมพันธ์ของเราในฐานะครอบครัวนั้นตื้นเขิน ข้ามีแค่ท่านแม่กับน้องชายเท่านั้น ยังไม่เคยมีคนสำคัญของข้าที่ถูกพรากไป แต่ข้าก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ข้าสามารถพูดได้”

 

“อะไรหล่ะ….?”

 

“ข้าคิดว่าท่านพี่เป็นคนในครอบครัว คริสต้าก็คงจะคิดแบบนั้น, ท่านแม่เองก็เช่นกัน, และบางทีลีโอก็น่าจะยังคิดแบบนั้น นี่คือสาเหตุที่การใช้ชีวิตของท่านพี่ทำให้เข้าเศร้า ข้าไม่คิดว่าท่านพี่จะค้นพบความสุขได้ถ้าท่านพี่ยังใช้ชีวิตแบบนี้”

 

“ข้าไม่ได้มองหาความสุข ความสุขที่ข้าวาดฝันเอาไว้หน่ะ…..มันพังทลายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว”

 

“ลีโอจะสร้างความสุขขึ้นมาใหม่ให้ท่านพี่เอง เพราะฉะนั้นช่วยมองไปที่อนาคตข้างหน้าด้วยเถอะครับ, ท่านพี่”

 

มันไม่มีพลังการโน้มน้าวแฝงอยู่ในคำพูดพวกนี้

 

มันเป็นแค่การโฆษณาว่าลีโอที่พึ่งเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดนั้นจะสามารถสร้างอุดมคติที่ดีกว่ามงกุฎราชกุมารที่จากไปได้

 

ลีโอมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับมงกุฎราชกุมารและตัวเขาเองก็พยายามที่จะเป็นแบบนั้น

 

อย่างไรก็ตาม, ไม่มีใครเคยพูดว่าเขาสามารถเทียบกับมงกุฎราชกุมารได้ ลีโอในตอนนี้เป็นเหมือนกับเวอร์ชันที่รองลงมาจากเขา

 

แต่ว่า

 

“ข้าจะชดเชยในส่วนที่ลีโอขาดไป พวกเราสามารถก้าวข้ามได้แม้กระทั่งพี่ชายคนโตสุดของเรา พวกเราจะแสดงให้ท่านพี่เห็นบางสิ่งที่ดียิ่งกว่าอนาคตในอุดมคติที่ท่านพี่วาดฝันเอาไว้กับเขา เพราะฉะนั้นช่วยลองเปิดใจดูอีกซักครั้งเถอะนะครับ”

 

“….เจ้าโตขึ้นนะ แต่อุดมคติที่ข้าวาดฝันเอาไว้กับพี่ใหญ่มันใหญ่กว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มากรู้ไหม?”

 

“ถึงงั้นข้าก็จะลองดูซักตั้งครับ”

 

พอพูดจบ, ฉันก็จ้องตาของท่านพี่ลีเซ

 

สายตาของเธอนั้นแตกต่างจากปกติ

 

พวกมันคือความสงบสุข

 

“……การได้เห็นน้องชายโตขึ้นนี่มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆนะ”

 

“งั้นหรอครับ? ถ้างั้นท่านพี่อาจจะรู้สึกแปลกกว่านี้ก็ได้นะครับถ้าได้เห็นลีโอ หมอนั่นเองก็โตขึ้นเหมือนกัน ทุกคนเติบโตขึ้นตั้งแต่ตอนที่มงกุฎราชกุมารจากไป ดยุคไรน์เฟลด์เองก็เหมือนกัน สำหรับผู้ชายที่พยายามจะกลายเป็นคนที่เหมาะสมกับท่านพี่อย่างเอาเป็นเอาตายนั้นมันไม่มีทางที่จะเป็นกันง่ายๆหรอกครับ ข้าไม่ได้สนหรอกว่าท่านพี่อยากแต่งงานกับเขารึเปล่าแต่ท่านพี่ก็ไม่ได้เกลียดเขาใช่ไหมหล่ะครับ?”

 

“นั่นสินะ….เขาคือคนที่ทุ่มเทเพื่อข้าอย่างมาก ข้าคิดว่าข้าค่อนข้างชอบเขาอยู่ แต่ก็แน่นอนว่า, ข้าไม่ได้มองเขาในฐานะเพศตรงข้ามหรอกนะ”

 

“ถ้างั้นก็ไปบอกเขาแบบนั้นแหล่ะครับ ถึงยังไงการไปตัดสัมพันธ์กับเขาแบบนี้มันก็น่าเสียดายนะครับ”

 

“ก็จริงอยู่แต่ว่า…..”

 

ท่านพี่ดูกังวล

 

อย่าบอกนะว่า

 

“ท่านพี่รู้สึกอึดอัดใจสินะครับ?”

 

“ก, ก็แน่หล่ะสิ, มันน่าอึดอัดอยู่ไม่ใช่รึไง!? ข้าพึ่งจะพูดแบบนั้นกับเขาไปนะ? แล้วตอนนี้ถ้าไปเจอเขาจะให้ข้าพูดยังไงหล่ะ!?”

 

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ ถ้าท่านพี่จริงใจกับเขา, ข้ามั่นใจว่าคนๆนั้นคงไม่ถือสาอะไรหรอก”

 

“แต่ข้าถือ! ข้าไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง! เจ้าต้องไปพูดกับเขาแล้วบอกเขาในสิ่งที่ข้าพูด! นี่แหล่ะคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”

 

“ท่านพี่นี่เป็นตัวปัญหาจริงๆเลยนะครับ…..”

 

“เจ้าว่าไงนะ? ถ้าเจ้าเป็นน้องชายของข้าเจ้าก็ควรพยายามช่วยพี่สาวของเจ้าสิ! ในเมื่อเจ้ายื่นมือช่วยเยอร์เกน, ข้าก็คงไม่ยอมให้เจ้าปฏิเสธข้าหรอกเข้าใจไหม!?”

 

เห้อ, ฉันควรช่วยเยอร์เกนเรื่องคำขอแต่งงานของเขาแต่มันมากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย

 

ถ้าเป็นเยอร์เกนหล่ะก็แค่ท่านพี่บอกว่า ‘ขอโทษนะ, ข้าพูดแรงไปหน่อย’ เขาก็คงจะน้ำตาแตกด้วยความสุขในทันที แต่ดูเหมือนว่าศักดิ์ศรีของเธอจะไม่ยอมให้เธอพูดแบบนั้นสินะ

 

ว่าแล้วเชียว, เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆ

 

เอาเถอะถึงแม้มันจะแค่เล็กน้อย, แต่ก็ยังดีที่ท่านพี่เริ่มกลับมาเป็นตัวเองแล้ว

 

ค่อยๆจัดการเรื่องนี้ไปละกัน ถึงยังไงเรื่องแบบนี้รีบไปก็ไม่ดี

 

ในขณะที่ฉันกำลังคิดแบบนั้น, ก็มีคนๆนึงขึ้นมาบนหน้าผา

 

“หืม? เจ้าเป็นพ่อบ้านของดยุคไรน์เฟลด์ไม่ใช่หรอ?”

 

“ในที่สุดข้าก็เจอพวกท่านซักที! ม, มีรายงานเข้ามาหาพวกท่านทั้งสองคนครับ! มีสัญญาณไฟสีม่วงถูกจุดขึ้นจากทางใต้ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างที่น่าจะคุกคามทั้งจักรวรรดิ!”

 

สัญญาณไฟสีม่วงคือสัญญาณของภัยฉุกเฉินระดับสูงสุด ในตอนที่จุดมันขึ้นมา, มันก็จะถูกส่งต่อไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิผ่านสถานีที่ติดตั้งเอาไว้ตามที่ต่างๆ

 

มันคือสัญญาณที่เคยใช้ในตอนที่มงกุฎราชกุมารตายในสนามรบเมื่อสามปีก่อน

 

และตอนนี้สัญญาณนั้นก็ถูกจุดขึ้นมาจากทางใต้

 

“ลีโอ…..?”

 

ฉันหันไปมองทางใต้โดยไม่รู้ตัว

 

มันเหมือนกับเมื่อวันนั้นเลย

 

ดูเหมือนว่าจุดเปลี่ยนของโชคชะตามักจะเข้ามาในตอนที่ไม่ทันได้เตรียมตัวตลอดสินะ

 

ด้วยกันกับท่านพี่, พวกเราก็เริ่มวิ่งออกไปพร้อมกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด