การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 64

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 64 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ข้างหน้าห้องๆหนึ่งที่ตำหนักใน

 

ซานดร้าพึ่งจะมาถึงที่นี่

 

“ท่านแม่! ท่านแม่!”

 

ด้วยการทำเหมือนกับว่าพวกคนใช้ไม่มีตัวตนอยู่, ซานดร้าก็โวยวายเข้ามาในห้อง

 

มันคือห้องของภรรยาลำดับห้าของจักรพรรดิ ห้องแม่ของซานดร้า

 

มีผู้หญิงคนนึงที่มีผมสีเขียวเข้มเป็นมันวาวอยู่ข้างใน, เธอถอนหายใจแล้วทักทายลูกสาวของเธอ

 

“เกิดอะไรขึ้น? ซานดร้า โวยวายอะไรนักหนา”

 

“ก็แน่หล่ะสิ ข้าต้องโวยวายอยู่แล้ว! ท่านรู้รึเปล่าว่าลีโอนาร์ดพึ่งจะออกเดินทางลงใต้ในฐานะผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิ!? มันคิดจะทำลายฐานสนับสนุนหลักของพวกเรานะคะ!”

 

ในขณะที่มองลูกสาวขี้โวยวาย, ผู้หญิงผมสีเขียวเข้ม, ซูซานก็ยิ้มให้เธอ

 

บางทีพอมาหงุดหงิดใส่แม่ของตัวเองที่กำลังยิ้มร่า, ซานดร้าก็เลยสร้างแส้ลมขึ้นมาแล้วหวดใส่คนใช้ที่อยู่ใกล้ๆ

 

“โอ๊ยยย!!?? ป, โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะค่ะ!!”

 

“หุบปาก! หุบปากไปซะ! ไอ้เวรลีโอนาร์ด! คิดจะไปถิ่นของท่านลุงงั้นหรอ!? ไม่ว่าพวกเราจะตกที่นั่งลำบากแค่ไหน, แกก็ไม่มีสิทธิมาทำแบบนี้!”

 

“อึ้ก!! โอ๊ย! ย, ยก, ยกโทษให้ข้าด้วย………”

 

“หุบปากซะ! หุบปากไปก่อนที่จะไม่ได้หุบอีก! จุดประสงค์เดียวที่เจ้ามาอยู่ที่นี่มีแค่การเป็นกระสอบทรายเท่านั้น!”

 

พอพูดจบ, ซานดร้าก็ฟาดใส่คนใช้ที่หมดสติไปแล้วไม่ยั้ง

 

ในตอนที่ซานดร้าใจเย็นลง, คนใช้ก็ถูกแปรสภาพเป็นซากเลือดแล้ว

 

โดยปกติ, เธอจะรู้สึกผิดเล็กน้อยหลังจากที่ใจเย็นลงแต่โดยที่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลย, ซานดร้าก็เริ่มพูดกับแม่ของเธอ

 

“พวกเรากำลังพูดถึงลีโอนาร์ดกันอยู่นะคะ มันจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดแน่ๆ ถ้ามันขุดเจอเรื่องนั้นขึ้นมาพวกเราก็จะปฏิเสธไม่ได้เลย”

 

“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องทางใต้หรอกหน่า ท่านพี่เป็นคนดูแลอยู่ เขาจะทำหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดีเพื่อพวกเราอย่างแน่นอน ต่อให้เขาล้มเหลว, ความรับผิดชอบทั้งหมดก็จะตกอยู่กับเขา ไฟไม่ลามมาถึงพวกเราหรอก”

 

“ถึงอย่างนั้น, พวกเราก็จะสูญเสียแรงสนับสนุนจากทางใต้ไปอยู่ดีนะคะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ถ้าการทดลองของเจ้าไปได้ดี, ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วไม่ใช่หรอ?”

 

“นั่นก็จริงอยู่หรอกค่ะแต่ว่า……”

 

“ตราบใดที่ข้ากับเจ้าปลอดภัยก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราค่อยตบรางวัลให้ขุนนางพวกนั้นหลังจากที่พวกเราได้บัลลังก์มาแล้วก็ได้ พวกนั้นน่าจะยอมปล่อยผ่านไปในไม่ช้า ถึงยังไงพวกนั้นก็เชื่อฟังแค่คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นแหล่ะ”

 

พอพูดจบ, ซูซานก็ยิ้มออกมา

 

มันเป็นรอยยิ้มที่ทั้งชั่วร้ายและโหดเหี้ยม

 

ในขณะที่ซานดร้ามักจะไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า, ซูซานเองก็เป็นผู้หญิงที่มักจะเก็บเรื่องต่างๆเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆเช่นกัน

 

รอยยิ้มของซูซานที่เผยออกมานั้นเกิดจากความรุนแรงตามธรรมชาติของเธอที่สั่งสมมานานหลายปี, ซึ่งดูเหมือนว่าต่อให้ใช้คำจำกัดความว่าโรคจิตก็คงไม่ผิด

 

“ด้วยคำสั่งของจักรพรรดิ, ข้าก็เลยไม่สามารถทำการวิจัยเวทมนตร์ต้องห้ามได้อีก คนๆเดียวที่ยังทำได้ก็คือเจ้า”

 

“ข้าเข้าใจดีค่ะ ท่านแม่”

 

“เจ้าเป็นเด็กที่เก่ง เจ้ามีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดินีมากกว่าใครอื่น เจ้าได้รับส่วนนั้นมาจากข้า พ่อค้าทาสจะเอาตัวพวกเด็กๆมาให้เจ้าในเร็วๆนี้ เด็กพวกนั้นคือหนูทดลองของเจ้า เจ้าจะต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบ คำสาปที่ไร้ที่ติ”

 

“ค่ะ ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นเอง และข้าจะจัดการใครก็ตามที่กล้ามายั่วโมโหข้า พวกมันไม่มีสิทธิมายั่วโมโหข้าแบบนี้ ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด”

 

“ใช่แล้ว นี่แหล่ะคือจิตวิญญาณที่กล้าแกร่ง”

 

ในขณะที่กำลังลูบศรีษะสีเขียวเข้มของซานดร้า, ซูซานก็จ้องมองลูกสาว

 

ลูกสาวของเธอได้รับทุกส่วนที่เธอต้องการให้มี

 

เป็นลูกสาวที่สามารถพูดได้เลยว่าถอดแบบมาจากเธอ

 

การทำให้ซานดร้าได้เป็นจักรพรรดินีนั้นก็เหมือนกับการทำให้ตัวเองได้เป็น

 

“ถ้าจนมุมจริงๆ, ข้าจะกำจัดพวกที่มาขวางทางเจ้าอีกครั้ง เจ้าแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็พอ ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงพวกเราก็มีพันธมิตรตั้งหลายคน

 

“ค่ะ ท่านแม่”

 

พอพูดจบ, แม่ลูกก็กอดกัน

 

ถ้าจักรพรรดิมาเห็น, เขาคงจะต้องสงสัยแน่ๆว่าสองคนนี้เป็นแม่ลูกกันจริงๆหรอ

 

ทั้งคู่มีรอยยิ้มที่ดูโรคจิตซึ่งสามารถสลักความสยองอันบริสุทธิลงไปในสายตาของผู้ที่มองได้เลย

 

คนใช้ที่เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ต่างก็พากันก้มศรีษะลง

 

จากนั้นพวกเธอก็สวดภาวนา

 

ภาวนาให้นรกนี้รีบผ่านพ้นไปเร็วๆ

 

 

ในการเดินทางลงใต้, ลีโอได้มาถึงเมืองๆนึง

 

มันคือเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเขตใต้, วูมเม่

 

มันคือเมืองที่ปกครองโดยขุนนางที่มีอิทธิพลทั่วทั้งเขตใต้, ดยุคครูเกอร์

 

“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ, ดยุคครูเกอร์”

 

“ไม่ ไม่หรอกครับ, มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ขุนนางจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิ”

 

ชายผมสีเขียวเข้มพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เขาอายุเกินห้าสิบปีแล้วแต่ยังดูเด็กอยู่เลย

 

เขาเป็นผู้ชายตัวสูงหุ่นดีที่ห้อยดาบเอาไว้ที่เอว เขาเคยเป็นนักรบที่ออกลุยมาหลายสนามรบ

 

ชื่อของเขาคือสเวน ฟ็อน ครูเกอร์

 

เขาคือพี่ชายของภรรยาลำดับห้าเช่นเดียวกับพี่เขยของจักรพรรดิ

 

“ดยุคครูเกอร์, ข้าคิดว่าท่านเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะถามเรื่องทางใต้ ข้าขอเข้าประเด็นเลยนะครับ, ท่านเคยเห็นขุนนางคนไหนทำตัวน่าสงสัยบ้างรึเปล่า?”

 

ลีโอจ้องตรงไปที่ดยุคครูเกอร์

 

ดยุคครูเกอร์เกี่ยวข้องกับหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นทางใต้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม, ลีโอนาร์ดจะไปเริ่มกล่าวหาเขาเลยไม่ได้

 

ก่อนอื่น, เขาต้องเริ่มด้วยเรื่องหมู่บ้านของลินเฟียแต่เขากำลังสงสัยอยู่ว่าดยุคจะยอมบอกชื่อมาสักคนก่อนที่เขาจะเริ่มรึเปล่า

 

“ขุนนางน่าสงสัยหรอครับ? เท่าที่ข้ารู้, ไม่มีคนในใจข้าเลยครับแต่ข้าคงยืนยันได้ไม่เต็มปากสำหรับขุนนางที่อยู่ชายแดนเพราะข้าไม่ได้จับตาดูพวกเขาอย่างเต็มที่”

 

“หืม”

 

เขากำลังบอกว่าเขาไม่ได้ควบคุมพวกเขาอย่างสมบูรณ์หรอ การที่เขาพูดอะไรคลุมเครือแบบนี้มันดูค่อนข้างทะแม่งๆนะ

 

เขาสามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการปัดความรับผิดชอบได้

 

อย่างไรก็ตาม, นี่มันยังไม่พอหรอก

 

ลีโอยิ้มในขณะที่คอยสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างของครูเกอร์และประชุมกันต่อ

 

 

ในขณะที่ลีโอกำลังประชุมกับดยุคครูเกอร์อยู่นั้น, ลินเฟียก็ออกไปเดินซื้อของในเมือง

 

แน่นอนว่า, เธอกำลังรวบรวมข้อมูลจากรอบๆเมืองไปพร้อมกันด้วย

 

“เอาอันนี้, แล้วก็ขออันนั้นด้วยค่ะ”

 

“เอ้าจัดไป, ขอบใจที่อุดหนุนนะ”

 

“ช่วงนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างรึเปล่าคะ?”

 

“เปลี่ยนหรอ? อืมม, ข้าไม่เห็นอะไรเลยนะ”

 

นี่คือคำตอบจากเจ้าของแผงผลไม้

 

นี่คือครั้งที่ห้าแล้วที่เธอได้รับคำตอบแบบเดียวกัน

 

อย่างน้อยก็ที่ภายนอกหล่ะนะ, มันยังไม่มีอะไรผิดปกติกับเมืองนี้

 

“งั้นหรอ เข้าใจแล้วค่ะ”

 

พอพูดจบ, ลินเฟียก็หันไปมองรอบๆในขณะที่ถือสิ่งที่เธอซื้อมา

 

เธอซื้อของที่ต้องการมาครบทุกอย่างแล้วและไม่มีเหตุผลให้รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมแล้วด้วย

 

ในตอนที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดี, ลินเฟียก็บังเอิญไปเห็นชายแก่ผมหงอกที่ดูท่างทางลำบากคนนึงอยู่ที่ข้างถนน

 

“ขอโทษนะ ช่วยฟังข้าหน่อยได้ไหม……”

 

“…….”

 

“เห้อ คนแถวนี้นี่เย็นชาจังเลยนะ”

 

พอพูดจบ, ชายแก่ก็ถอนหายใจ

 

เขาตัวเตี้ยและหูของเขาก็ชี้เล็กน้อย

 

ชายแก่คนนี้เป็นคนแคระ คนแคระทั่วๆไปก็ดูหน้าแก่แล้วแต่คนแคระคนนี้ดูเหมือนจะดูแก่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา

 

แทนที่จะมีร่างกายที่ดูอ้วนล่ำ, คนแคระคนนี้กลับมีหนวดยาวสีขาวและตัวผอมมาก

 

ด้วยความที่ไม่สามารถปล่อยคนแคระหลังค่อมที่กำลังเดินด้วยไม้เท้าสีขาวเอาไว้คนเดียวได้, ลินเฟียก็เลยคุกเข่าลงแล้วพูดกับเขา

 

“คุณปู่ มีอะไรรึเปล่าคะ?”

 

“โอ้, ยังมีเด็กสาวใจดีอยู่สินะ, ขอโทษที, แต่ช่วยพาข้าไปที่ประตูเมืองหน่อยได้ไหม? ข้าหลงทางอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว”

 

“สามวันเลยหรอคะ? คงลำบากแย่เลย, ไปกันเถอะค่ะ, ข้าจะพาคุณปู่ไปเอง”

 

ลินเฟียไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแต่เธอรู้สึกประหลาดใจมากในตอนที่รู้ว่าคนแคระเฒ่าคนนี้หลงอยู่ในเมืองมาเป็นเวลาสามวันแล้ว

 

เธอยิ้มให้และจูงมือนำทางชายแก่ด้วยท่าทีสบายๆ

 

ชายแก่เองก็ยิ้มรับเธอ

 

“อื้ม, ขอบใจนะ, ขอบใจเจ้ามากจริงๆ เพราะข้าเป็นคนแคระก็เลยไม่มีใครฟังข้าเลย ข้าลำบากมากเลยหล่ะ”

 

“งั้นหรอคะ ที่ผ่านมาคงสาหัสมากเลยสินะคะ”

 

น้ำเสียงของลินเฟียอาจจะฟังดูปกติแต่คำพูดของเธอนั้นเต็มไปด้วยความหวังดี

 

ชายแก่รู้สึกได้ถึงสิ่งนั้นและยิ้มกว้างให้เธอ

 

“ไม่ต้องห่วง, ไม่ต้องห่วงหรอก, ข้าโชคดีจริงๆที่มีเด็กสาวใจดีอย่างเจ้ามาช่วยข้าแบบนี้”

 

“ข้าเองก็เหมือนกันค่ะ…… ข้าเคยถูกช่วยเอาไว้ในตอนที่มีปัญหาเหมือนกัน ไม่สิ, ตอนนี้ข้าก็ยังถูกช่วยอยู่”

 

“โฮ่? เจ้าเองก็มีปัญหาเหมือนกันสินะ, สาวน้อย”

 

“นั่นสินะคะ”

 

“เข้าใจหล่ะ, เข้าใจหล่ะ มันต้องเป็นเรื่องลำบากสำหรับเจ้าแน่ๆเลย อืม, นี่ต้องเป็นโชคชะตาบางอย่างแน่ๆ พอมีอะไรที่ข้าช่วยได้บ้างนะ”

 

พอพูดจบ, ชายแก่ก็เปิดกระเป๋าและเริ่มลื้อของที่อยู่ข้างใน

 

ลินเฟียรู้สึกเกรงใจแต่ชายแก่ก็บอกกับเธอว่าไม่เป็นไรและหาของในกระเป๋าของเขาต่อ

 

“คุณปู่ ทางนี้ค่ะ, ทางนี้”

 

“หืม? ทางนั้นหรอกเรอะ”

 

เนื่องจากเขากำลังมีสมาธิกับกระเป๋าอยู่, ชายแก่ก็เลยเกือบจะเดินไปผิดทางในตอนที่ลินเฟียมองไปทางอื่น

 

ด้วยสภาพเช่นนี้, ลินเฟียก็คอยบอกให้คนแคระเฒ่าเดินไปทางที่ถูกอยู่หลายครั้งและในที่สุดพวกเขาก็มาอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว

 

“คุณปู่, พวกเรามาถึงแล้วนะคะ”

 

“ห้ะ? ถึงแล้วหรอ? ที่ไหน?”

 

“ประตูไงคะ”

 

“อ๋ออ! นั่นสินะ, ข้ากำลังหาทางมาที่ประตูอยู่นี่หน่า! ข้ามัวแต่หาอะไรบางอย่างมาเป็นของขอบคุณเจ้าจนลืมไปเลย!”

 

ชายแก่เงยหน้าขึ้นมาและหัวเราดังลั่น

 

บางทีที่คุณปู่หลงทางอาจจะเป็นเพราะนิสัยแบบนี้ก็ได้มั้ง, ลินเฟียคิดในขณะที่เป็นห่วงว่าเขาจะกลับบ้านคนเดียวไหวรึเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม

 

“สาวน้อย, ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้เจ้า มันคือนกหวีดภูติป่า เป่ามันในตอนที่เจ้าเจอปัญหานะ แล้วพันธมิตรของเจ้าจะรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน”

 

“ข้ารับของแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ! เก็บเอาไว้เถอะนะคะคุณปู่!”

 

“ข้าไม่อยากได้ เจ้าเก็บเอาไว้เถอะสาวน้อย เจ้าต้องเป่ามันในตอนที่จำเป็นนะ การพึ่งพาคนอื่นบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอก”

 

ชายแก่ยิ้มแล้วเดินออกจากประตูเมืองไป

 

เนื่องจากท่าทีของเขาดูไม่น่าไว้ใจ, ลินเฟียก็เลยเป็นห่วงเขามากแต่เนื่องจากเธอมีภารกิจของตัวเอง, เธอก็เลยไม่สามารถสละเวลามาดูแลเขาได้

 

ด้วยการโค้งทำความเคารพให้กับแผ่นหลังของชายแก่, ลินเฟียก็มุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมือง

 

“ดูเหมือนข้าจะยังไม่สามารถละทิ้งมนุษย์ไปได้สินะ เอาหล่ะ, ข้าจะไปที่ไหนดีนะ? อยากรู้จังว่าในเร็วๆนี้จะมีคนเรียกหาข้ารึเปล่า”

 

ชายแก่เดินออกจากถนนในขณะที่พึมพำออกมาแบบนั้นแล้วหายเข้าไปในภูเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด