การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 38

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 38 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้า, อาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์, เจ้าชายลำดับเจ็ดของจักรวรรดิมาขอเข้าพบพระราชาแห่งรอนดิเน่ครับ”

 

“โอ้, องค์ชายอาร์โนลด์ ขอบคุณที่มานะ ข้าได้ยินมาว่าเรือของน้องชายท่านโดนพายุ ข้าหวังว่าเขาจะรอดมาได้อย่างปลอดภัยนะ”

 

“ขอบคุณมากครับ”

 

ลีโอนาร์ดทักทายพระราชาแห่งรอนดิเน่ในฐานะอาร์โนลด์

 

พระราชาแห่งรอนดิเน่นั้นเป็นชายร่างท้วมที่มีหนวดเครามากมาย อายุของเขาน่าจะอยู่ช่วงวัยสี่สิบแก่ๆ

 

ชื่อของเขาคือคาร์โล เดอ ลอนดิเน่

 

เขารับสืบทอดการทำสงครามกับอัลบราโทรต่อมาจากยุคพ่อของเขา ในตอนที่เขารู้ว่าอัลบราโทรกำลังหาความร่วมมือจากประเทศอื่นเพื่อทำการต่อสู้, เขาก็ส่งทูตสันถวไมตรีไปยังจักรวรรดิด้วยตัวเองเพื่อขอความร่วมมือจากจักรวรรดิ, ชายคนนี้คือคนที่สร้างเหตุผลในการมาเยี่ยมเยือนของพวกเราในครั้งนี้

 

“นี่มันค่อนข้างกระทันหันไปหน่อยก็จริง แต่องค์ชายอาร์โนลด์ ในเมื่อน้องชายของท่านไม่อยู่, ถ้าข้าคิดว่าตอนนี้ท่านเป็นหัวหน้าของภารกิจ, คงไม่ผิดใช่ไหม?”

 

“ใช่ครับ, คงต้องตามนั้นแหล่ะครับ”

 

ลีโอแค่ตอบคำถามเฉยๆโดยไม่พูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น

 

นี่คือจุดที่เอลน่าซึ่งตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหลังเขาคอยพร่ำบอกอยู่เสมอ

 

อย่างไรก็ตาม, โลกไม่ได้ใจดีถึงขนาดที่จะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ

 

“แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย, ถ้างั้นข้าขอฟังคำตอบจากจักรพรรดิหน่อยได้ไหม?”

 

พอพูดจบ, พระราชารอนดิเน่ก็ลงมาจากบัลลังก์

 

ราชรัฐรอนดิเน่ได้ขอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิเพื่อต่อสู้กับราชรัฐอัลบราโทร

 

ซึ่งคำตอบของจักรพรรดิก็คือ ‘ไม่’ อย่างไรก็ตาม, ในบรรดาของขวัญทั้งหลายที่จักรวรรดินำมานั้นมีอาวุธและพิมพ์เขียวอยู่ด้วย แม้ว่าคำตอบอย่างเป็นทางการจะเป็นไปในแง่ลบ, แต่จักรพรรดิก็ไม่ได้คิดจะตัดความสัมพันธ์กับรอนดิเน่ นี่คือคำตอบที่ตั้งใจเอาไว้แต่อาวุธส่วนใหญ่อยู่บนเรือที่อัลนั่งและทุกอย่างก็จมลงไปที่ก้นทะเลแล้ว

 

ลีโอกำลังคิดหาคำตอบและใช้คำตอบแบบเลี่ยงๆที่เขาเตรียมตัวมาก่อน

 

“ในส่วนของเรื่องนี้, ข้าอยากให้ท่านฟังจากหนึ่งในอัศวินหลวงของพวกเรา เอลน่า”

 

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะฝ่าบาท ข้าเอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก, ผู้บัญชาการหน่วยที่สามของภาคอัศวิน

 

“อะ, แอมส์เบิร์ก….ผู้มีพรสวรรค์จากบ้านผู้กล้าหาญที่โด่งดังคนนั้นหน่ะหรอ….นะ, นี่มันค่อนข้างน่าตกใจไม่ใช่น้อยเลย ข้าได้ยินมาว่าท่านเข้าร่วมกับอัศวินหลวงแต่ข้านึกไม่ถึงเลย………”

 

“ฝ่าบาทไม่นึกว่าผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง, ถูกไหมคะ?”

 

พระราชารอนดิเน่พยักหน้าซ้ำไปซ้ำมาให้กับคำพูดของเอลน่า

 

เอลน่า, ในอีกด้านนึง, ได้ตอบกลับความประหลาดใจของเขาด้วยรอยยิ้ม

 

จากรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ, เอลน่านั้นเป็นเด็กสาวที่น่ารักและมีหน้าตาสละสลวยดังนั้นรอยยิ้มของเธอจึงทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

 

“วางใจได้ค่ะ ข้าไม่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์นอกเขตแดนของจักรวรรดิได้”

 

“หงะ งั้นหรอ, มันไม่ใช่ว่าข้าสงสัยในตัวท่านหรืออะไรหรอกนะ…..ข้าขอโทษด้วยถ้าข้าเผลอไปทำเรื่องเสียมารยาทกับท่าน”

 

“ไม่หรอกค่ะ, ข้าเข้าใจดีว่าการมีอยู่ของบ้านผู้กล้าหาญแอมส์เบิร์กมันเป็นเช่นนั้น และนี่ก็คือคำตอบค่ะ ฝ่าบาท”

 

“ทะ, ท่านหมายความว่ายังไง….? ช่วยขยายความหน่อยได้ไหม?”

 

เอลน่าเริ่มอธิบายกับพระราชารอนดิเน่ที่ไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์นี้ได้

 

“จักรวรรดิของเรามีอำนาจทางการทหารที่แข็งแกร่ง สำหรับจักรวรรดิการเคลื่อนไหวก็คงหมายถึงการที่นายพลระดับสูงอย่างเช่นตัวข้าออกเดินทางมาด้วย สรุปง่ายๆก็คือว่า, จักรวรรดิสามารถทำลายทั้งประเทศของท่านและราชรัฐอัลบราโทรได้อย่างง่ายดายค่ะ,”

 

“หนะ, นั่นสินะ, เรื่องนั้นข้าเข้าใจอยู่”

 

“สมแล้วค่ะที่เป็นถึงพระราชา ท่านฉลาดจริงๆ แต่ว่า, จักรวรรดิของเราก็มีศัตรูเหมือนกัน ถ้าจักรวรรดิส่งกำลังเสริมมาช่วยประเทศของท่านอย่างเป็นทางการ, คู่แข่งของเราก็จะส่งกำลังเสริมไปช่วยอัลบราโทรเหมือนกัน และถ้าเป็นเช่นนั้น, อนาคตที่รออยู่สำหรับทั้งสองประเทศก็คงจะมีแค่ความเหนื่อยล้าและในที่สุดมันก็จะนำไปสู่การทำลายดินแดนทางใต้”

 

“บะ, แบบนั้นมัน….”

 

“ขอโทษด้วยนะคะ, แต่นี่คือคำตอบของเราค่ะ เพราะว่าจักรวรรดิของเราแข็งแกร่งเกินไป, ถ้าพวกเราเคลื่อนไหว, ประเทศอื่นก็คงจะตอบสนองอะไรบางอย่างเหมือนกัน ดังนั้น, ฝ่าบาทจึงไม่สามารถทำตามคำขอของท่านได้ โดยเฉพาะในตอนที่ประเทศของท่านมีอำนาจเหนือกว่าในความขัดแย้งนี้”

 

“อะ, อืม….สมกับที่เป็นองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ เขาถึงกับนำสถานการณ์ของทวีปมาประกอบการตัดสินใจด้วยสินะ แต่ว่า, การที่ประเทศของข้าจะเอาชนะราชรัฐอัลบราโทรด้วยตัวเองนั้นคงจะเป็นเรื่องยาก ถึงยังไงมันก็มีประเทศอื่นที่คอยให้ความช่วยเหลือกับพวกเขา”

 

เอลน่าพยักหน้า

 

แน่นอนว่า, เอลน่ากับลีโอรู้เรื่องนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขานำอาวุธกับพิมพ์เขียวติดตัวมาเป็นของขวัญด้วยซึ่งมันเป็นการบอกโดยนัยกับรอนดิเน่ว่าพวกเขาต้องพอแค่นี้ แต่ว่า, ตราบใดที่เอลน่ากับลีโอไม่มีสิ่งนั้น, พวกเขาก็ทำได้แค่เงียบเท่านั้น

 

“แน่นอนค่ะ, พวกเรารู้เรื่องนั้นดี นี่จึงเป็นสาเหตุที่องค์จักรพรรดิหวังว่าพวกเราจะสามารถรักษามิตรภาพต่อไปได้ในขณะที่พวกเราจะคอยช่วยเหลือท่านที่ละนิด ซึ่งในขั้นต้น, องค์จักรพรรดิได้ส่งข้ามาอยู่ข้างท่านในครั้งนี้ นี่คือการแสดงพลานุภาพทางการทหารของจักรวรรดิให้ท่านเห็นค่ะ ท่านจะยอมรับสิ่งนี้ได้ไหมคะ? ฝ่าบาท, หรือว่าท่านสนใจอยากทดสอบพลังของลูกหลานผู้กล้า?”

 

“โอ้! เป็นเช่นนี้นี่เอง! แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย!”

 

ในที่สุดก็รู้ถึงความตั้งใจของพวกเราแล้ว, สีหน้าของราชารอนดิเน่สดใสขึ้น

 

ถึงยังไง, ถ้าพวกเขาถูกจักรวรรดิปฏิเสธพวกเขาก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวของพวกเขาครั้งใหญ่

 

ราชรัฐรอนดิเน่ไม่สามารถเอาชนะอัลบราโทรด้วยตัวคนเดียวได้อีกแล้ว มันไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ถ้าพวกเขาได้ใช้เวลาซักพักใหญ่ๆแต่พระราชากลับรู้สึกยอมรับไม่ได้

 

พระราชาอยากจะรวมเขตใต้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในยุคของเขา ถ้าเขาทำไม่ได้ประเทศของเขาก็คงจะไม่สามารถเอาชนะประเทศทางตอนกลางของทวีปซึ่งกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆและจะกลืนกินพวกเขาในที่สุด

 

ด้วยเหตุผลนี้เอง, แผนการกลายเป็นพระราชาของประเทศทางใต้ที่หลอมรวมกันเป็นปึกแผ่นจึงถูกฝังอยู่ในจิตใจของเขา แน่นอนว่ามันคือแผนการที่ดูทะเยอทะยานแต่นี่เองก็เป็นเพราะเขาอยากปกป้องทางใต้ด้วย

 

สำหรับราชารอนดิเน่คนนี้, แน่นอนว่าเขาอยากจะเห็นพลังของลูกหลานผู้กล้า, มนุษยชาติที่แข็งแกร่งที่สุด

 

“อืม, แต่ว่า, ในประเทศของเราไม่มีคนที่สามารถแข่งกับท่านได้ด้วยการต่อสู้ตัวต่อตัวหรอก เพราะฉะนั้น. องค์ชายอาร์โนลด์ ข้าขอให้ฝั่งเรามีนักสู้มากกว่าหนึ่งคนจะได้ไหม?”

 

“ถ้าเจ้าตัวไม่มีปัญหาข้าเองก็ไม่มีอะไรจะคัดค้าน”

 

“ยินดีค่ะ”

 

“เข้าใจหล่ะ, เข้าใจหล่ะ ถ้างั้นขอฝั่งเราซักประมาณ 10 คนจะได้ไหม? แบบนี้น่าจะเหมาะสมกับความสามารถของท่าน”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ 10 คนสินะคะ”

 

เอลน่าตอบรับอย่างสบายๆ

 

พระราชาไม่คิดว่าเธอจะยอมรับง่ายดายขนาดนี้แต่เนื่องจากมันจะไม่ใช่เรื่องดีถ้ามาเปลี่ยนเงื่อนไขในตอนนี้, เขาจึงเรียกตัวอัศวินที่มีความสามารถ 10 คนที่กำลังประจำอยู่ในปราสาท

 

ด้วยเหตุนี้เอง, ข้างในพื้นที่ห้องบัลลังก์, การต่อสู้ 1 ต่อ 10 จึงได้เริ่มต้นขึ้น

 

“โอ้วววว!!”

 

คนแรกที่เคลื่อนไหวคืออัศวินที่มีร่างกายใหญ่โต

 

เขาพุ่งเข้าใส่พร้อมกับดาบฝึกแต่จากมุมมองของเอลน่า, เขากำลังเผยช่องว่างอย่างเต็มเปี่ยม

 

ในขณะที่คิดถึงเรื่องนี้, เธอก็ปัดดาบของเขาเบาๆ, ถ้าเกิดเขาเป็นลูกน้องของเธอ, เธอคงจะสั่งสอนเขาใหม่ตั้งแต่ต้นแล้ว

 

ดาบฝึกที่อัศวินตัวใหญ่กำลังถืออยู่ถูกผ่ากลางพร้อมกับเสียงไม้แตก

 

“เอ้ะ…..?”

 

“ข้าว่าเข้ามาพร้อมกันทุกคนจะไม่ดีกว่าหรอ?”

 

ใบหน้าของอัศวินตัวใหญ่ซีดเผือดเหมือนกับว่าเขาถูกฟันด้วยดาบที่คมกริบ

 

โดยที่ไม่สนใจเขา, เอลน่าก็เหลือบมองอัศวินอีก 9 คนที่เหลือ

 

เป็นเวลาพักนึงที่, อัศวินกลัวสายตาของเอลน่าแต่ในทันทีที่พวกเขารู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่หน้าพระราชาของตัวเองพวกเขาก็รวบรวมความกล้าของตัวเอง

 

เริ่มแรก, สามคนในกลุ่มพวกเขาเข้ามาโจมตีเธอพร้อมกันจากคนละทิศ

 

จากมุมมองของเอลน่า, การโจมตีของพวกเขาช้ามากจนทำเธอหาวได้เลย, เธอผ่าครึ่งดาบฝึกทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน

 

พอเห็นดาบฝึกถูกเอลน่าที่กำลังใช้ดาบฝึกเหมือนกันผ่าครึ่งอีกครั้ง, อัศวินคนที่เหลือก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว พอเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้, เอลน่าก็ตะโกนใส่พวกอัศวิน

 

“ถ้าเจ้าเป็นอิศวินก็อย่าได้คิดจะถอยหนีต่อหน้าเจ้านายของพวกเจ้าเป็นอันขาด! ไม่อย่างนั้นผู้คนจะพูดได้ว่าไม่มีอัศวินอยู่ในรอนดิเน่รู้ไหม!”

 

“คะ ครับ! พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้ว!”

 

เหมือนกับอาจารย์ที่กำลังฝึกลูกศิษย์ของตัวเอง

 

นี่คือสิ่งที่ลีโอคิดในขณะที่มองฉากตรงหน้า

 

อัศวินที่ถูกตะโกนใส่เข้ามาหาเอลน่าโดยไร้ซึ่งความกลัว และมันก็เป็นครั้งแรกที่, เอลน่ารับดาบของพวกเขา

 

แค่สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็สร้างเสียงตะโกนแห่งความสุขจากฝั่งรอนดิเน่ได้แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม, เอลน่าเป็นคนจัดฉากขึ้นมา บางทีอาจจะมีแค่ลีโอกับลูกน้องของเอลน่าที่สังเกตเห็นจุดนี้

 

แสดงให้พวกเขาเห็นถึงพลังอำนาจที่ท่วมท้นจากนั้นก็ออมมือให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาหน้า นี่คือเทคนิคที่อัศวินหลวงมักจะใช้ในตอนที่พวกเขามีคู่ต่อสู้เป็นชนชั้นสูง

 

แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่, ทางฝั่งรอนดิเน่ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

ด้วยความโล่งอก, ลีโอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆในขณะที่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน

 

“สงสัยจังว่าท่านพี่จะกำลังลำบากเหมือนกันรึเปล่า……”

 

เขาพึมพำออกมาด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

 

สำหรับลีโอ, อัลมักจะเป็นพี่ชายสุดเก่งที่สามารถทำเรื่องที่เขาทำไม่ได้มาโดยตลอด

 

ในสมัยเด็ก, เคยมีต้นไม้อยู่ต้นนึงที่ไม่มีเด็กคนไหนปีนได้ ในบรรดาพวกเด็กๆ, พวกเขาพูดคุยกันเรื่องที่ใครจะเป็นคนแรกที่สามารถปีนต้นไม้ต้นนั้นได้  ลีโอเองก็ฝึกฝนเพื่อที่จะปีนมันอย่างเอาจริงเอาจังแต่ก็ไม่มีใคร, ไม่แม้แต่ลีโอที่สามารถทำมันได้และในที่สุดแฟชั่นการปีนต้นไม้ก็เลือนหายไปตามกาลเวลา

 

อย่างไรก็ตาม, หลังจากนั้นซักพัก, ลีโอก็ไปเจอนกตัวเล็กๆที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บนต้นไม้ต้นนั้น

 

แต่ว่า, ลีโอไม่สามารถช่วยมันได้เพราะเขาไม่สามารถเข้าถึงตัวมันได้

 

ในตอนนั้น, อัลก็บังเอิญผ่านมาพอดีและถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้น, เขาก็บอกให้รอที่ต้นไม้และหายไปที่ไหนซักแห่ง

 

หลังจากนั้นซักพัก, อัลก็กลับมาและช่วยมันได้อย่างง่ายดาย เขาเอาตัวมันไปรักษาแล้วเอากลับไปคืนที่รังของมัน

 

ตอนนั้นอัลได้แก้สถานการณ์ด้วยการยืมอุปกรณ์เวทมนตร์อันล้ำค่าที่ช่วยให้ลอยกลางอากาศได้, โดยไม่ขออนุญาต

 

นี่คือวิธีการแก้สถานการณ์ของอัลที่ลีโอไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการได้ ถ้าเป็นพี่ชายคนนี้ของเขาก็คงจะสามารถแสดงเป็นเขาได้อย่างง่ายดาย

 

พอคิดได้แบบนี้, ลีโอก็หันกลับมาสนใจตัวเอง

 

เขาติดสินใจว่าจะเล่นบทคนไม่เอาถ่านด้วยความสามารถทั้งหมดของเขา

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด