การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 109

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 109 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในช่วงที่อัลกับคนอื่นๆกำลังมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง

 

รัฐมนตรี, เจ้าชาย, และขุนนางที่มีอิทธิพลได้ถูกองค์จักรพรรดิเรียกพบ

 

“ทางใต้ปฏิเสธการสืบสวนของข้า”

 

จักรพรรดิโยฮันเนสประกาศสั้นๆต่อหน้าผู้คนที่มารวมตัว

 

จักรพรรดิถือครองอำนาจเบ็ดเสร็จในจักรวรรดิ  การปฏิเสธคำขอสืบสวนของเขานั้นไม่ต่างอะไรไปจากการก่อกบฏ

 

สิ่งที่อยู่ในหัวของทุกคนในตอนนี้ก็คือว่าในที่สุดมันก็เกิดขึ้นแล้วสินะ

 

“ขุนนางทางใต้ส่วนใหญ่และเมืองของพวกเขาได้ไปรวมกันภายใต้ดยุคครูเกอร์และก่อตั้งสหพันธ์ทางใต้ขึ้นมา พวกเขาปิดประตูแล้วเริ่มเตรียมการป้องกันแล้วครับ”

 

ทุกคนรู้สึกโกรธเมื่อได้ฟังรายงานของฟรานซ์

 

การทำตามใจชอบแบบนี้, พวกเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่เคารพรัฐบาลกลาง

 

มันคือการแสดงความไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง

 

“พวกเราควรส่งกองทัพออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”

 

เสียงคนส่วนใหญ่ที่มารวมตัวกันที่นี่เสนอให้ส่งกองทัพออกไป

 

ฟรานซ์, ในอีกด้านนึง, ได้แสดงความคิดเห็นอย่างใจเย็น

 

“เป้าหมายของสหพันธ์น่าจะเป็นการขอให้ฝ่าบาทยอมลดโทษ ถ้าพวกเราให้สิ่งนั้นกับพวกเขา, สถานการณ์ก็น่าจะไม่พัฒนาไปถึงขั้นสงครามกลางเมือง”

 

“ถ้าพวกเรายอมยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษแบบนั้นมันก็มีแต่จะทำให้เกิดการกบฎตามมามากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้นแหล่ะ!”

 

“ใช่แล้ว! พวกเราต้องหนักแน่นในการกระทำของพวกเรา!”

 

ฟรานซ์ถูกกล่าวหาว่าทำตัวอ่อนปวกเปียกเกินไปแต่เขาแค่พูดออกไปเพื่อสังเกตดูท่าทีของผู้เข้าร่วมการประชุมสำหรับความคิดเห็นของพวกเขา

 

เหตุผลที่จัดการประชุมนี้ขึ้นมาก็เพื่อคิดหาการตอบโต้ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ฟรานซ์ไม่ได้มองหาคำตอบง่ายๆอย่างการส่งกองทัพออกไป ซึ่งนี่ก็เป็นเช่นเดียวกันสำหรับจักรพรรดิ

 

“เมื่อเวลามาถึงจริงๆสุดท้ายแล้วพวกเราก็อาจจะต้องส่งกองทัพออกไปแต่พวกเราไม่สามารถทำอะไรก่อนหน้านั้นได้เลยหรอ? นี่คือคำถามที่ข้าอยากถามทุกคนที่นี่”

 

“ฝ่าบาท! โปรดอภัยให้กับความไร้มารยาทของข้าด้วยแต่ช่วงเวลานั้นได้ผ่านไปแล้วครับ! พวกนั้นกำลังตุนอาวุธเพื่อต่อกรกับพวกเรา! พวกเราต้องตอบสนองกลับไปแบบเดียวกันครับ!”

 

ใช่แล้ว ใช่แล้ว

 

เสียงพวกนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อยืนยันความคิดเห็นนี้

 

จักรพรรดิถอนหายใจออกมาเบาๆ เอริค, ที่มีอิทธิพลเหนือขุนนางกับรัฐมนตรี, ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมนี้ ซึ่งมันมีเหตุผลอยู่, เขาต้องยับยั้งการเคลื่อนไหวของประเทศอื่นในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ บางที, ด้วยเหตุผลนี้เองความเห็นของขุนนางกับรัฐมนตรีจึงรวมเป็นด้านเดียว

 

“ฝ่าบาท”

 

ในหมู่พวกขุนนางที่ส่งเสียงออกมาอย่างเดือดพล่าน, กอร์ดอนเองก็ได้ส่งเสียงขึ้นมา

 

จากนั้นเขาก็ก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าโยฮันเนส, แล้วมองตรงไปที่เขาด้วยสีหน้าฮึกเหิม

 

“มีอะไร? กอร์ดอน”

 

“ได้โปรดให้ข้าได้ควบคุมกองทัพหลักด้วยเถอะครับ ข้าจะทำการกำจัดกบฏทางใต้เพื่อท่านในทันที

 

ขุนนางกับรัฐมนตรีรู้สึกดีใจกับคำพูดของเขา

 

แม้ว่าฝีมือจะไม่ได้เท่าลีเซ, แต่กอร์ดอนก็เป็นแม่ทัพที่แสดงความสามารถทางการทหารอันแข็งแกร่งบนสนามรบมาอย่างไม่ขาดสาย เขาเกลียดงานป้องกันพรมแดนและไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหวในช่วงนี้แต่ว่าเขาก็ยังเป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญของเมืองหลวงจักรวรรดิ

 

ซึ่งกอร์ดอนคนนี้กำลังขอเป็นคนนำทัพแล้วเขายังพูดด้วยว่า, เขาจะกำจัดกบฏทางใต้ในเร็วๆนี้

 

แต่ก็แน่นอนว่า, ยังมีบางส่วนที่ขัดแย้งกับข้อเสนอนี้

 

“โปรดช้าก่อนครับ องค์ชายกอร์ดอน ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง, ข้าไม่สามารถยอมรับข้อเสนอนี้ได้”

ชายชราที่รับใช้จักรวรรดิมาเป็นเวลานานในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังพูดขึ้นมา

 

กอร์ดอนเหลือบมองรัฐมนตรีเฒ่า

 

“เจ้าว่ายังไงนะ?”

 

“ในตอนนี้, สภาวะทางการเงินของจักรวรรดินั้นคงไม่สามารถพูดได้ว่าอยู่ในสภาพที่ดี เริ่มตั้งแต่วิกฤตการณ์มอนส์เตอร์ขนาดใหญ่และเหตุการณ์ทางใต้ที่พึ่งผ่านมาไม่นานนี้, ห่วงโซ่อุปทานก็ถูกชะลอลงและผู้คนก็กำลังยากลำบากเพราะมัน ถ้าพวกเราเริ่มสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ในตอนนี้มันจะส่งผลเสียใหญ่กับเศรษฐกิจของจักรวรรดิครับ”

 

“ข้าจะรีบจบมันในทันที สงครามนี้อยู่ได้ไม่นานหรอก”

 

“ข้ายังคงเห็นด้วยไม่ได้อยู่ดี นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องจบสงครามตั้งแต่เนิ่นๆครับ, องค์ชาย”

 

พอได้ฟังคำพูดของรัฐมนตรีเฒ่า, กอร์เดินก็เดินไปข้างหน้าอย่างไม่พอใจแต่ในตอนนั้นเอง, ลีโอที่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็พูดขึ้นมา

 

“ฝ่าบาทครับ”

 

ความสนใจของทุกคนมุ่งไปที่ลีโอ

 

ลีโอก้าวขึ้นมายืนถัดจากกอร์ดอน, พร้อมกับคุกเข่าลง, แล้วเริ่มยื่นข้อเสนอ

 

“กบฏทางใต้เป็นความรับผิดชอบของข้า ฝ่าบาทโปรดมอบโอกาสให้ข้าแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองได้ไหมครับ?”

 

“แก้ไขความผิดพลาด? นี่เจ้าอยากจะให้ข้าส่งเจ้าออกไปในฐานะแม่ทัพหรอ?”

 

รัฐมนตรีที่ฝากความหวังเอาไว้กับลีโอมีสีหน้าผิดหวังไปครู่นึง

 

อย่างไรก็ตาม, ลีโอส่ายศรีษะ

 

“ไม่ใช่ครับ, ข้ามีแผน”

 

“หืม? นี่เจ้าวางแผนจัดการสถานการณ์นี้เอาไว้แล้วหรอ?”

 

“ครับ, ข้าวางเอาไว้แล้ว”

 

“ไหนลองว่ามาซิ”

 

“ครับ ได้โปรดแต่งตั้งให้ข้าเป็นคณะไปเจรจากับดยุคครูเกอร์ด้วย ข้าจะเข้าฐานของเขาในฐานะผู้ส่งสารของฝ่าบาทและทำการลอบโจมตีจากข้างในครับ ถ้าข้าสามารถจับตัวหรือจัดการเขาได้ก่อนที่สงครามจะเริ่ม, สหพันธ์ก็จะล่มสลาย”

 

โยฮันเนสค่อนข้างเอนเอียงไปทางแผนนี้

 

ในบรรดาข้อเสนอทั้งหมดในการส่งกองทัพไปนั้น, ข้อเสนอของลีโอถือว่าน่าดึงดูดมาก

 

“การที่เจ้าเสนอแผนนี้ขึ้นมาแสดงว่าเจ้ารู้ถึงอันตรายที่มากับแผนนี้ดี, ถูกไหม?”

 

“ครับ, ความผิดพลาดที่ข้าก่อขึ้นก็ต้องให้ข้าเป็นคนแก้ไขด้วยมือของตัวเอง”

 

ในขณะที่พูด, ลีโอก็เหลือบมองกอร์ดอนที่อยู่ข้างๆเขา

 

เขาได้สบตากับกอร์ดอนที่กำลังจ้องมาที่เขาอย่างคมกริบแต่เขาแค่ยิ้มกลับไปเล็กน้อย

 

สัญญาที่ทำเอาไว้กับกอร์ดอนคือจะไม่แทรกแซงเขาในช่วงสงคราม ตราบใดที่จักรพรรดิยังไม่ได้ตัดสินใจเริ่มสงคราม, มันก็คงพูดไม่ได้ว่าสงครามกำลังดำเนินอยู่ แถมความจริงที่ว่าจักรพรรดิส่งคณะผู้ส่งสารออกไปนั้นก็หมายความว่าสงครามยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

ในเมื่อเขาดำเนินการในฐานะคณะผู้ส่งสารของจักรวรรดิ, มันก็ถือว่าเขาไม่ได้ทำลายสัญญาอะไรที่ให้ไว้กับกอร์ดอน

 

กอร์ดอนเองก็น่าจะรู้ถึงเรื่องนั้นดีเพราะเขาจ้องลีโอด้วยสีหน้าหงุดหงิดแต่ลีโอก็แค่ทำเป็นเฉยเหมือนกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย

 

อย่างไรก็ตาม, ความเหนือกว่าที่ลีโออุตส่าห์ได้มานั้นกลับถูกคนที่คาดไม่ถึงขัดขวาง

 

“ข้าคิดว่ามันเป็นแผนที่ค่อนข้างใช้ได้เลยนะ คิดว่าไงหล่ะ? ฟรานซ์”

 

“แผนนี้น่าสนใจริงๆครับแต่ว่า……ข้าขอคัดค้าน”

 

“ท่านประธานาธิบดี? ทำไมหล่ะ?”

 

“องค์ชายลีโอนาร์ดเก่งทั้งด้านทหารและด้านงานพลเรือนแถมยังมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่ประชาชนด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะคิดว่าเขาถือเป็นคณะผู้ส่งสารที่ยอดเยี่ยม…..แต่เขาก็ยังเป็นผู้กล้าที่คลี่คลายปัญหาทางใต้ด้วย ดยุคครูเกอร์คงไม่ลดความระแวงลงกับเขาหรอกครับ”

 

“แล้วถ้าพวกเราส่งคนอื่นไปแทนหล่ะ?”

 

“องค์ชายกอร์ดอนประสบความสำเร็จทางการทหารมากเกินไป คนที่ดยุคครูเกอร์จะลดการป้องกันลงมากที่สุดก็คงจะเป็นองค์ชายอาร์โนลด์แต่ว่ามันคงจะยากเกินไปสำหรับเขาถ้าจะให้นำหน่วยลอบโจมตีหลังจากที่เข้าไปในปราสาทของดยุค และนี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องการที่ฝากงานสำคัญแบบนี้เอาไว้กับเขาจะกระตุ้นความระมัดระวังของดยุคเลย”

 

โยฮันเนสนำคำพูดของฟรานซ์มาไตร่ตรอง

 

ตัวแผนการนี้ดีแล้วแต่ว่ามันมีปัญหาเรื่องคนที่จะดำเนินการตามแผน

 

ด้วยความรู้สึกที่ว่ามันจำเป็นต้องมีการปรับแต่งเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย, โยฮันเนสก็ขอคำแนะนำจากฟรานซ์

 

“พวกเรามีคนที่เหมาะกับงานนี้ไหม?”

 

“ผู้นำคณะผู้ส่งสารจำเป็นต้องมีฐานะสูงอยู่ระดับนึง พวกเราต้องการคนที่มีฐานะซึ่งสามารถพูดแทนฝ่าบาทได้ สมาชิกราชวงศ์ถือว่าเหมาะสมที่สุดแต่คนที่มีฐานะเทียบกันได้ก็คงจะไม่เป็นอะไรเหมือนกัน”

 

“ถ้างั้นคือใครหล่ะ?”

 

“ข้าไม่อยากพูดจริงๆครับ”

 

ฟรานซ์พึมพำ

 

โยฮันเนสขมวดคิ้วให้เขาแต่ฟรานซ์ก็ไม่สนใจแล้วปิดปากเงียบต่อไป

 

ในตอนนั้นเอง, คนๆนึงก็เข้ามาในห้องบัลลังก์

 

สายตาของทุกคนไปรวมกันที่แขกผู้มาเยือนนี้

 

“ขออภัยที่เสียมารยาทค่ะ ฝ่าบาท”

 

“ฟีเน่…..มีอะไรรึ? เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”

 

“ข้ามาที่นี่เพราะคิดว่าน่าจะมีอะไรที่ข้าสามารถทำได้บ้างแต่ดูเหมือนว่าข้าจะคิดไม่ผิดสินะคะ”

 

ในตอนที่พูดออกมาเช่นนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มให้แล้วมองไปที่ฟรานซ์

 

ฟรานซ์หลบตาเธอเล็กน้อย

 

ด้วยเหตุนี้เอง, โยฮันเนสจึงเข้าใจสิ่งฟรานซ์ต้องการจะสื่อแล้ว

 

“ฟรานซ์……อย่าบอกนะว่า, เจ้ากำลังเสนอให้ฟีเน่เป็นหัวหน้าคณะผู้ส่งสาร!?”

 

“เธอเหมาะสมครับ ถ้าพวกเราให้องค์ชายลีโอนาร์ดไปด้วยในฐานะที่ปรึกษา, แผนการน่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า ดยุคครูเกอร์คงคิดไม่ถึงหรอกว่าฝ่าบาทจะส่งเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินไปเจออันตราย”

 

“ก็แน่หล่ะสิ! ฟีเน่ไม่ใช่ทั้งทหารหรืออัศวิน! เธอไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในจักรวรรดิด้วย! ถ้ามันเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับดยุคไคลเนลต์มันก็อีกเรื่องนึงแต่นี่เจ้าจะให้เธอเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความขัดแย้งทางใต้หรอ!?”

 

“ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทมอบเครื่องประดับผมให้กับเธอ, ในแง่นึง, เธอก็เหมือนมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วครับ”

 

“ไม่ต้องมาอ้างเหตุผลผิดๆแบบนั้น! ส่งเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแม้แต่ความสามารถในการต่อสู้เข้าไปในฐานของศัตรูเนี่ยนะ!? ถ้าเกิดพวกเขาล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้นหล่ะ!?”

 

“ในกรณีที่ล้มเหลวนั้น, องค์ชายลีโอนาร์ดเองก็แบกรับความเสี่ยงเช่นเดียวกันอยู่ครับ, ฝ่าบาท”

 

“ลีโอนาร์ดเป็นเจ้าชาย! เขาเกี่ยวข้องกับมันมาตั้งแต่แรกแล้วเพราะเป็นผู้ตรวจสอบ! ความรับผิดชอบที่เขาแบกรับอยู่มันเทียบกับฟีเน่ไม่ได้หรอกนะ!”

 

โยฮันเนสจ้องฟรานซ์อย่างรุนแรงแล้วหันไปหาฟีเน่

 

จากนั้น

 

“ถอยไปเถอะ, ฟีเน่ พวกเราจะคิดหาแผนอื่นกัน”

 

“ไม่ค่ะ, ฝ่าบาท ได้โปรดมอบหมายบทบาทนั้นให้ข้าเถอะค่ะ”

 

“ไม่ได้!”

 

“…..ฝ่าบาท ผู้คนกำลังทุกข์ทรมานเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจากขุนนาง ต่อให้อยู่คนละดินแดน, แต่ภาระหน้าที่ของขุนนางก็ยังคงเหมือนเดิม บทบาทของขุนนางจักรวรรดิก็คือการปกป้องประชาชนของจักรวรรดิ การหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองนี้จะช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย ผู้คนทางใต้จะไม่ต้องเสียสละและประชาชนของพวกเราก็จะไม่ทุกข์ทรมานจากความหิวโหย ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ เป็นลูกสาวของดยุค นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ข้าจะต้องเสี่ยงชีวิต ถ้าข้าไม่สามารถลุกขึ้นมาเผชิฐหน้ากับความทุกข์ทรมานของประชาชนได้ข้าก็หมดคุณค่าของขุนนางไปแล้วค่ะ”

 

ฟีเน่เข้ามาที่นี่โดยพกมาทั้งความมั่นใจและความเด็ดเดี่ยว

 

ในตอนที่ทุกคนกำลังออกเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่, เธอสามารถทำอะไรได้บ้าง? ด้วยการไตร่ตรองคำถามนี้มาอย่างยาวนานและจริงจัง, ฟีเน่ก็ตัดสินใจเข้ามาในที่แห่งนี้

 

ทั้งอัลและลีโอไม่ได้บอกให้เธอทำอะไรเลย พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้นับรวมฟีเน่ไปด้วยตั้งแต่แรกแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่เข้าใจความแข็งแกร่งของตัวเองดี

 

ความจริงที่ว่าจักรพรรดิประทานเครื่องประดับผมให้เธอและความสำคัญที่จักรพรรดิมีให้กับเธอ

 

สองจุดนี้จะเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะทำให้ศัตรูไม่ทันระวังตัว

 

ฟีเน่เข้าใจมันดีกว่าใคร

 

“ฟีเน่…..”

 

“ได้โปรดอนุญาตให้ข้าไปเถอะนะคะ, ฝ่าบาท ขุนนางทางใต้ที่มารวมตัวกันนั้นไม่ได้เป็นปึกแผ่นขนาดนั้น ข้ามั่นใจว่ามีหลายคนที่จำใจสนับสนุนเพราะไม่มีทางเลือก, และไม่ต้องพูดถึงอัศวินและทหารที่อยู่ภายใต้พวกเขาเลย แต่ว่า, เมื่อท่านปะดาบกับพวกเขาแล้ว, ความเกลียดชังก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตสำหรับจักรวรรดิ ข้าอยากหยุดไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นค่ะ”

 

“……”

 

“ฝ่าบาท นี่ก็เพื่อจักรวรรดิค่ะ”

 

 

“…..ให้อัศวินหลวงไปกับเจ้าแล้วกัน”

 

โยฮันเนสพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน

 

อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่ปฏิเสธ

 

“อัศวินหลวงจะทำให้ศัตรูระแวงพวกเรามากขึ้นค่ะ การให้พวกเขาเข้าร่วมปฏิบัติการนี้มันจะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล”

 

ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มออกมา

 

ในตอนที่อัลกับเอลน่าออกไปโน้มน้าวนาร์เบ ริทเทอร์นั้น, ไม่มีร่องรอยความกังวลอยู่ในจิตใจของเธอเลย

 

ความจริงที่ว่าเธอเสนอตัวโดยไม่หวั่นกลัวนั้นยังเป็นเพราะเธอไว้ใจอัลจนหมดใจด้วย

 

ถ้าเธอได้เดินทางกับกองทหารที่อัลลงทุนออกเดินทางไปโน้มน้าวมา, มันก็ไม่มีปัญหา

 

สิ่งเดียวที่เธอกังวลก็คือว่าอัลจะโกรธรึเปล่าที่เธอทำตามอำเภอใจอีกแล้ว

 

มีแค่ความกังวลเล็กๆนี้ที่อยู่ในใจของฟีเน่

 

เธอมีทัศนคติง่ายๆเช่นนี้กับคนที่แบกรับความรับผิดชอบในการไปพากลุ่มทหารมาแล้วอยู่ข้างหลังแนวต่อสู้ของศัตรู

 

“ข้าให้คนอื่นนอกจากอัศวินหลวงคุ้มครองเจ้าไม่ได้หรอก!”

 

“แต่ฝ่าบาท อัศวินหลวงจะทำให้อีกฝ่ายระแวงจริงๆนะคะ”

 

“แล้วพวกเราจะทำยังไง!?”

 

ความโกรธของจักรพรรดิดังก้องไปทั่วห้องบัลลังก์

 

สิ่งที่หลงเหลืออยู่นั้นมีแค่ความเงียบสงัด

 

ทุกคนพูดอะไรไม่ออก

 

แล้วในตอนนั้นเอง, ในที่สุดเจ้าชายองค์นึงก็ตัดสินใจโผล่หน้ามา

 

“เอ่อ….ท่านพ่อครับ”

 

“….อาร์โนลด์…..ทั้งๆที่พวกเรามีประชุมที่สำคัญขนาดนี้อยู่แล้วเจ้าไปอยู่ไหนมา!?”

 

“คือว่า, ข้ามีงานนิดหน่อยหน่ะครับ”

 

อัลที่ถูกดุขมวดคิ้วในขณะที่เขาเข้ามาในห้องบัลลังก์

 

เป็นเวลาพักนึงที่, เขาหันไปสบตากับฟีเน่ เมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของเธอ, อัลก็ยิ้มออกมา

 

จากนั้น, เขาก็ตัดสินใจเข้าเรื่องอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถูกดุอีกระลอก

 

“เกี่ยวกับเรื่องหน่วยคุ้มกัน, มีหน่วยนึงที่ข้าอยากจะแนะนำครับ”

 

“ว่าไงนะ?”

 

“เข้ามาสิ”

 

ในตอนที่อัลพูดแบบนั้นลาสก็เข้ามาในห้องบัลลังก์ด้วยชุดเครื่องแบบทหารของเขา

 

ที่หน้าอกของเขานั้นมีตราของนาร์เบ ริทเทอร์อยู่

 

“ลาส ไวเกิล…..เจ้ามาที่นี่ทำไม?”

 

“องค์ชายอาร์โนลด์ได้อธิบายรายละเอียดให้พวกเราฟังแล้วครับ พวกเรานาร์เบ ริทเทอร์ขอเสนอตัวรับภารกิจนี้”

 

ในตอนที่พูดออกมาแบบนั้น, ลาสก็ทำความเคารพ

 

มันเป็นภาพที่ค่อนข้างหายาก

 

ในอดีตนาร์เบ ริทเทอร์ถูกเรียกรวมพลมาหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งพวกเขาได้รับคำสั่ง ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พวกเขาเสนอตัว

 

แต่เมื่อสักครู่นี้, นาร์เบ ริทเทอร์พึ่งจะบอกว่าพวกเขาขอเสนอตัวรับภารกิจ

 

เสียงของขุนนางดังเซ็งแซ่ให้กับสถานการณ์ที่ผิดปกตินี้

 

“ด, เดี๋ยวก่อนนะ! เจ้าบอกว่าอยากให้พวกเราฝากองค์ชายลีโอนาร์ดกับท่านฟีเน่เอาไว้กับเจ้าเนี่ยนะ!?”

 

“โปรดวางใจได้ครับ พวกเราจะปกป้องพวกเขาโดยไม่ให้ล้มเหลว”

 

“อย่าตลกไปหน่อยเลย! ใครจะกล้าฝากพวกเข้าเอาไว้กับคนทรยศอย่างเจ้า!”

 

“…..พวกเราเคยทรยศเจ้านายของตัวเองจริงๆ ตอนนั้นพวกเราไม่สามารถมองข้ามความผิดของเจ้านายเราได้ แต่ว่า, ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เพราะเรื่องนั้นนี่เองพวกเราถึงไม่มีวันย้ายไปอยู่ฝั่งขุนนางทางใต้อย่างแน่นอน พวกเราคืออัศวินแผลเป็น ความอยุตธิรรมนั้นคือศัตรูของพวกเราอยู่แล้ว”

 

ขุนนางทุกคนพากันเงียบเมื่อได้ฟังคำพูดของลาส

 

ซึ่งนี่เป็นเพราะถ้าพูดกันตามสถานการณ์, ลาสนั้นพูดถูกต้องแล้ว

 

สีหน้าของทุกคนไม่ได้ไปในด้านที่ดีจริงๆ

 

อย่างไรก็ตาม, บนบัลลังก์นั้น, โยฮันเนสได้ถามคำถามนึงกับลาส

 

“มีโอกาสแบบนี้ตั้งหลายครั้งแต่เจ้าไม่เคยเคลื่อนไหว แล้วทำไมตอนนี้ถึงตัดสินใจเสนอตัวหล่ะ?”

 

“…..พวกเราได้รับคำขอร้องอย่างแรงกล้าให้ปกป้องน้องชายของเขาครับ, ฝ่าบาท การไม่ตอบสนองต่อสิ่งนั้น…..ความภาคภูมิใจในฐานะอัศวินที่เหลืออยู่น้อยนิดของพวกเราคงไม่ยอมแน่”

 

จากนั้นลาสก็มองไปที่อัล

 

โยฮันเนสเองก็มองไปที่เขาและสังเกตเห็นผ้าพันแผลที่พันเอาไว้ที่มือของเขา

 

เขาพอเข้าใจสิ่งที่อัลทำลงไปคร่าวๆแล้ว, เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วออกคำสั่ง

 

“นาร์เบ ริทเทอร์จะทำหน้าที่คุ้มกันลีโอนาร์ดกับฟีเน่ ข้าจะฝากให้ลีโอนาร์ดเป็นหัวหน้าปฏิบัติการนี้ ส่วนรายละเอียดของปฏิบัติการให้เจ้าตัดสินใจเอาได้เลย”

 

“ฝ่าบาท แทนที่จะใช้แผนที่ไม่แน่นอนแบบนั้น, เลือกไว้ใจกองทัพของข้าไม่ดีกว่าหรอครับ!”

 

“มันเป็นแผนการที่ไม่แน่นอนก็จริงแต่มันก็ยังคุ้มที่จะลอง แต่เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกรวมกองทัพได้แต่ยังไม่อนุญาตให้เดินทัพ”

 

“……เข้าใจแล้วครับ”

 

กอร์ดอนถอดใจแล้วพูดออกมาเช่นนั้น

 

มีความมืดอ่อนๆกำลังครุกรุ่นอยู่ในดวงตาของเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด