การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) 122

Now you are reading การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) Chapter 122 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลากลางคืน

 

ฉันได้เคลื่อนย้ายไปที่ค่ายศัตรูอย่างเงียบๆแล้วเรียกยอร์ดันในขณะที่กำลังซ่อนตัวอยู่ภายใต้เงาของร่มไม้

 

“ทำตัวตามสบายแล้วเดินเนียนมาทางตะวันออก ตอนนี้ข้าซ่อนตัวอยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่”

 

ด้วยการให้สายลมพัดพาคำพูดของฉันไป, เสียงของฉันก็ส่งไปถึงยอร์ดันเพียงคนเดียว

 

ยอร์ดัน, ที่น่าจะกำลังพูดคุยกับชาวบ้านคนอื่นที่มารวมตัวกัน, เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจกับเสียงที่ดังเข้ามาในหูของเขาอย่างกระทันหันแต่เขาก็เดินไปตามที่บอกในทันทีอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่สร้างความน่าสงสัยเลย

 

“นี่ นี่, ไอ้นั่นมันอะไรกันครับ? คุณนักกลยุทธ์”

 

“ก็แค่เทคนิคนิดหน่อยหน่ะ ที่สำคัญกว่านั้น, สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

 

“อาวุธปิดล้อมของพวกเขาเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้คนของเรากระจายตัวกันอยู่ตามที่ต่างๆ และแน่นอนว่า, พวกเราไม่มีอาวุธกันเลยด้วย”

 

“ข้าเอาอาวุธมาแล้ว แต่ดูเหมือนที่นี่จะมีชาวบ้านเยอะเลยไม่ใช่หรอ?”

 

“อา, พวกเขาจ่ายล่วงหน้าตั้งหนึ่งในสามของค่าจ้าง ดูเหมือนพวกเขาจะจ่ายส่วนที่เหลือให้ในวันพรุ่งนี้เนี่ยแหล่ะ”

 

“น่าเสียดายนะ”

 

“ไม่เป็นไร แม้แต่พวกคนอื่นที่มาก็ไม่ได้ชอบทหารจอมวางท่าพวกนี้อยู่แล้ว”

 

“ถ้างั้นนี่ก็คงเป็นข่าวดีแล้วหล่ะ พวกเราจะเริ่มปฏิบัติการในอีกสองชั่วโมง ช่วยเตรียมตัวรอเอาไว้ด้วยนะ”

 

“ไม่มีปัญหา, แต่เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามีคนคุ้มกันเพียบเลย?”

 

“พวกเขาก็แค่ระวังภัยจากภายนอกเท่านั้น ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

 

“ถ้าท่านนักกลยุทธ์พูดแบบนั้นก็คงจะใช่หล่ะนะ เอาเป็นว่าข้าจะเตือนทุกคนเรื่องเวลาบุกโจมตีให้แล้วกัน”

 

ยอร์ดันพูดเช่นนั้นแล้วเดินจากไป

 

เท่าที่ฉันเห็น, ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเกณฑ์ชาวบ้านมาเพียบเลยหล่ะ ว่าแล้วเชียว, พวกเขากำลังสร้างอาวุธปิดล้อมขนาดใหญ่จริงๆด้วย

 

เอาเถอะ, ยิ่งอาวุธใหญ่เท่าไหร่, ความเสียหายที่พวกเราจะสร้างได้ในตอนที่ทำลายพวกมันก็จะยิ่งใหญ่เท่านั้น

 

“ตอนนี้, มาเริ่มทำให้มันยิ่งใหญ่เลยดีกว่า”

 

ในตอนที่พึมพำออกมาเช่นนั้น, ฉันก็ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายออกไปจากที่นั่น

 

 

ในเวลาที่หลายๆคนเข้านอนแล้ว

 

ยอร์ดันและหน่วยหนึ่งร้อยคนได้เคลื่อนไหวผ่านแนวไม้อย่างเงียบๆโดยมีฉันเป็นคนนำ

 

“เครื่องยิงหิน, เครื่องยิงธนู, หอคอยจักรกลเคลื่อนที่ การที่พวกเขาสร้างของพวกนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ถือว่าน่าประทับใจเลยนะเนี่ย”

 

อาวุธพวกนี้มีอยู่อย่างละสอง ยิ่งไปกว่านั้น, โครงสร้างของพวกมันยังซับซ้อนใช้ได้เลย โซเนียน่าจะเป็นคนร่างแบบพวกมันขึ้นมา ดูเหมือนว่าการยั่วยุของฉันจะได้ผลกับเธอสินะ

 

ตองขอบคุณเรื่องนั้น, พวกเขาจึงได้รวบรวมชาวบ้านเข้ามาและหูตาของพวกเขาก็เจาะจงไปที่ภายนอก แต่ถ้าหพวกเราล้มเหลวที่นี่, พวกเขาก็จะเล่นงานเราได้แน่ๆ

 

นี่เป็นการเดิมพันที่ค่อนข้างอันตรายอยู่นะเนี่ย

 

“ดูเหมือนว่าจะมีคนเฝ้ายามเหลืออยู่เยอะเลยนะครับ”

 

“ไม่หรอก, ข้าคิดว่ามันน่าจะมีอะไรต่างออกไปนิดหน่อย”

 

คนเฝ้ายามนั้นดูมีท่าทีตึงเครียด

 

บางทีผู้บัญชาการของพวกเขาน่าจะกำลังมาตรวจสอบความคืบหน้าห

 

และเหมือนกับยืนยันการคาดเดาของฉัน, เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบคนนึงเดินเข้ามาหาพวกเขาหลังจากผ่านไปได้ไม่นาน

 

“เจ้านั่นมัน…..!?”

 

“ใครหรอครับ?”

 

“พันเอกเลทส์ เขาเป็นผู้บัญชาการภาคสนามชั่วคราวของทหารพวกนี้”

 

“เข้าใจหล่ะ แสดงว่าเขาออกมาตรวจสอบความคืบหน้าด้วยตัวเองเลยสินะ”

 

ดูเหมือนพวกเขาค่อนข้างจนมุมไม่น้อยเลยหล่ะ

 

เขาน่าจะนั่งรออยู่เฉยๆไม่ไหวถ้าเขายืนยันไม่ได้ว่าอาวุธปิดล้อมของเขานั้นปลอดภัยและได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดี

 

ถึงยังไง, นี่ก็เป็นความหวังเดียวของเขา

 

อย่างไรก็ตาม, การที่เขาโผล่มาแบบนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ดีเลย ตอนนี้พวกทหารก็รู้สึกไม่ค่อยมีกำลังใจสู้อยู่แล้วแต่ตอนนี้พวกเขายิ่งเครียดหนักขึ้นไปอีก

 

พอเลทส์ยืนยันได้แล้วว่าอาวุธปิดล้อมปลอดภัยดีเขาก็เดินทางกลับไปด้วยกันกับลูกน้องของเขา

 

เมื่อผู้บัญชาการของพวกเขาจากไปแล้ว, บรรยากาศก็ดูผ่อนคลายขึ้น

 

ฉันมองเห็นว่าพวกคนเฝ้ายามเริ่มหย่อนยานแต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะเพิ่มความหย่อนยานให้พวกเขาอีก

 

ฉันติดตั้งบาเรียเอาไว้รอบตัวพวกเขาอย่างเงียบๆ ผลของมันไม่ได้รุนแรงอะไรก็แค่บาเรียที่จะทำให้เกิดอาการง่วงนอน สำหรับพวกที่ผลอยหลับไปแล้วนั้น, ผลของมันถือไม่ธรรมดาเลยหล่ะ

 

พวกเขาอาจจะทนกับอาการง่วงนอนได้แต่มันก็แค่นั้น เพราะแค่ประคองร่างของตัวเองให้ยืนอยู่เฉยๆพวกเขาก็น่าจะต้องใช้พลังทั้งหมดแล้ว

 

“เอาหล่ะ, เริ่มปฏิบัติการของพวกเราได้”

 

“ม, มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆหรอครับ? พวกเขาต้องระวังการโจมตีของพวกเราอยู่แน่ๆ…..แล้วอาวุธของพวกเราก็……”

 

ทหารคนนึงพึมพำออกมาอย่างไม่สบายใจ

 

อาวุธที่ฉันให้พวกเขาไปก็คือมีด

 

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาอาวุธขนาดใหญ่มาด้วยจำนวนคนเพียงเท่านี้

 

อย่างไรก็ตาม, สำหรับการฆ่าพวกคนเฝ้ายามที่มีอาการง่วงซึมนั้น, แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

 

“พวกนั้นระวังแค่ภัยคุกคามจากภายนอกเท่านั้น สิ่งที่พวกเขากำลังรออยู่ก็คือรายงานจากหน่วยเฝ้าระวังที่อยู่ด้านนอก ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะมารวมตัวที่ตำแหน่งของเราในทันทีหรอก หรือพูดอีกอย่างก็คือ, พวกเขาระวังตัวก็จริงอยู่แต่พวกเขาก็หละหลวมด้วยในเวลาเดียวกัน”

 

“หละหลวมหรอครับ……”

 

“ไม่เป็นอะไรหรอกหน่า พวกเจ้าหลอกสายตาของกองทัพจักรวรรดิมาได้แล้วนะ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี มาชนะศึกนี้แล้วกลับไปที่เกลเลสกันเถอะ ข้ามั่นใจว่าต้องมีรางวัลใหญ่รอพวกเจ้าอยู่แน่ๆ”

 

ความเข้มแข็งกลับมาในดวงตาของกลุ่มคนที่รู้สึกเป็นกังวล

 

เมื่อเห็นแบบนี้, ฉันก็ใช้มือส่งสัญญาณเล็กน้อยเพื่อแนะนำพวกเขาให้เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ

 

ภายใต้ความมืดที่ปกคลุมอยู่, พวกเราก็ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ย่อตัวลงแล้วเข้าหาพวกเขาด้วยท่าย่อง แม้ว่าพวกเราจะเข้ามาในระยะที่โดยปกติแล้วพวกเขาน่าจะรู้ตัว, แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกถึงพวกเรา

 

มันดำเนินไปเช่นนี้จนกระทั่งมีดปักเข้าที่คอของพวกเขาห

 

ซึ่งนี่ก็พูดแบบเดียวกันได้กับคนอื่นที่ทำหน้าที่เฝ้ายามอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น ด้วยการชี้นำของยอร์ดัน, ทหารก็ค่อยๆสังหารคนเฝ้ายามทั้งหมดอย่างเงียบๆ

 

มันใช้เวลาไม่นอนก่อนที่การ์ดทั้งหมดจะถูกกำจัด

 

ในขณะที่ฉันคอยสังเกตดูพื้นที่ว่ามีการ์ดคนไหนที่ยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า, สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นคนเฝ้ายามคนนึงที่ตายไปแล้วทั้งๆที่ลืมตาอยู่

 

ฉันค่อยๆเข้าไปหาเขาแล้วปิดตาของเขา

 

ฉันครุ่นคิดถึงครอบครัวของเขา และที่เขาเข้าร่วมกับกอร์ดอนก็คงจะไม่ใช่เพราะเขาสนับสนุนด้วย

 

ทหารราบนั้นไม่มีสิทธิเลือกผู้บัญชาการของตัวเอง

 

แต่ว่า, พวกเขาก็มักจะเป็นพวกที่ตกเป็นเหยื่อ และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมสงครามผู้สืบทอดถึงดูไร้สาระจริงๆ ชีวิตของพวกที่พวกเราควรจะปกป้องกลับถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดายแค่เพียงเพราะปัญหาพี่น้องทะเลาะกัน

 

“ขอโทษด้วยนะ…..ซักวันนึงเจ้าค่อยมาบ่นใส่ข้าในตอนที่ข้าข้ามไปอยู่ภพเดียวกับเจ้าก็แล้วกัน”

 

ด้วยการทิ้งคำพูดเอาไว้เพียงเท่านี้, ฉันก็เดินไปยังอาวุธปิดล้อมแล้วชโลมพวกมันด้วยน้ำมันที่ฉันพกติดตัวมาด้วยห

 

มันเป็นเพราะฉันพกน้ำมันพวกนี้มาฉันจึงไม่สามารถเอาอาวุธหนักติดตัวมาด้วยได้ อย่างไรก็ตาม, น้ำมันเนี่ยแหล่ะคือสิ่งที่จะขับเคลื่อนกองทัพจักรวรรดิไปสู่ความสิ้นหวัง

 

หลังจากชโลมอาวุธปิดล้อมทั้งหมดแล้ว, ฉันก็ออกคำสั่งสุดท้ายกับยอร์ดน

 

“กลับไปได้แล้วหล่ะ ข้าจะจุดไฟเผาพวกมันพราะฉะนั้นถ้าเจ้าใช้จังหวะช่วงที่เกิดความวุ่นวายเจ้าก็น่าจะหนีไปได้อย่างง่ายดาย”

 

“แล้วท่านนักกลยุทธ์หล่ะครับ?”

 

“หลังจากที่จุดไฟเผาอาวุธพวกนี้แล้วข้ามีเรื่องต้องทำอีกนิดหน่อย”

 

“….เป็นเรื่องสำคัญหรอครับ?”

 

“อา, สำคัญสิ”

 

“เข้าใจแล้วครับ……เอาเป็นว่าอย่าตายก็แล้วกันตกลงนะครับ? ท่านคือผู้มีพระคุณของเรา พวกเราจะต้องตอบแทนท่านให้ได้ในซักวันนึง”

 

“เข้าใจแล้ว ข้าจะเฝ้าคอยการตอบแทนที่ว่าก็แล้วกันนะ”

 

ในตอนที่พูดจบ, ฉันก็ได้แยกกับยอร์ดันและคนของเขา

 

หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าพวกเขาออกไปไกลแล้ว, ฉันก็จุดไฟเผาอาวุธปิดล้อม จากนั้น, ฉันก็สร้างกระแสลมขึ้นมาแล้วกระตุ้นให้ไฟลุกโชนยิ่งขึ้น

 

“เอาหล่ะ….ถึงเวลาไปสะสางงานสุดท้ายแล้วสินะ”

 

ฉันเดินจากไปในขณะที่มองไฟที่กำลังห่อหุ้มอาวุธปิดล้อมพวกนี้ห

 

….

 

“เกิดอะไรขึ้น!?”

 

“ไม่ทราบครับ! จู่ๆไฟก็ปะทุขึ้นมา!”

 

“ไฟมันไม่ไหม้ขึ้นมาเองหรอกนะ! แล้วพวกคนเฝ้ายามมัวทำอะไรอยู่!? ทำไมพวกมันถึงไม่สังเกตเห็นการซุ่มโจมตีเลยหล่ะ!?”

 

“ไม่มีการเคลื่อนไหวจากฝั่งศัตรูเลยครับท่าน!”

 

“ว่าไงนะ!?”

 

ศูนย์บัญชาการตกอยู่ในความอลหม่าน

 

สำหรับศูนย์บัญชาการในสภาพนี้ฉันได้ติดตั้งบาเรียง่วงนอนเวอร์ชันรุนแรงกว่าซึ่งทำให้ทหารข้างในผลอยหลับไปทีละคน

 

“อ, อะไรกัน…..?”

 

“สวัสดีครับ พันเอกเลทส์”

 

ฉันเรียกชื่อเลทส์, ในขณะที่เข้ามาในเต้นท์บัญชาการอย่างช้าๆ

 

ถ้าฉันปล่อยให้เจ้านี่มีชีวิตอยู่ต่อไป, เขาอาจจะออกคำสั่งที่ไม่สมเหตุสมผลและเพิ่มความเสียหายให้ลุกลามไปมากขึ้นอีก

 

ฉันปล่อยให้คนๆนี้มีชีวิตรอดไม่ได้

 

“ไอ้สาระเลว, แกเป็นใครกัน…..?”

 

“เกราว์…..นักกลยุทธ์พเนจร”

 

“นี่เจ้า…..! บ้าจริง! เจ้าทำอะไรลงไป!?”ห

 

“ข้าก็แค่เล่นลูกไม้นิดๆหน่อยๆกับเสบียงอาหารของพวกเจ้า”

 

“ว่าไงนะ……?”

 

เลทส์มองไปที่น้ำในเต้นท์บัญชาการ

 

แม้ว่ามันจะเป็นอุบายอย่างแน่นอน, แต่ฉันก็ยักไหล่ให้เขาเพื่อยืนยันการคาดเดาของเขา

 

เลทส์ขมวดคิ้วอย่างขมขื่นแล้วฉันก็ชักมีดออกมาและชี้ไปหาเขา

 

“เดี๋ยวก่อน…..ถ้าเจ้าฆ่าข้า…..องค์ชายกอร์ดอนไม่อยู่เฉยๆแน่รู้ใช่ไหม…..?”

 

“แล้วไงหล่ะ?”

 

“เจ้าก็จะถูกว่าที่จักรพรรดิองค์ต่อไปเพ่งเล็งยังไงหล่ะ….แทนที่จะฆ่าข้า, มาร่วมมือกับองค์ชายไม่ดีกว่าหรอ……เขาจะต้องใช้ความสามารถของเจ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่ๆ……”

 

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าพวกเจ้าปฏิบัติกับนักกลยุทธ์ของตัวเองค่อนข้างใจร้ายอยู่ไม่ใช่รึไง?”

 

“น, นั่นมันไม่จริงซักหน่อย…..”

 

“โกหกได้ห่วยแตกชะมัด ผู้คนจะไม่มารวมตัวกันภายใต้คนที่ใช้อุบายปิดกั้นหรือตัดขาดลูกน้องตัวเองในตอนที่หมดประโยชน์หรอกนะ”

 

ในตอนที่พูดจบ, ฉันก็ใช้มีดแทงไปที่หน้าอกของเลทส์

 

คำพูดพวกนี้กระทบฉันด้วยเหมือนกันฉันก็เลยพลอยเจ็บกับมันไปด้วย

 

คนขี้โกหกไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้

 

“เพียงเท่านี้, กองทัพจักรวรรดิก็จะถูกบังคับให้ถอนตัวแล้วสินะ ใช่ไหม? คุณครึ่งเอลฟ์นักกลยุทธ์”

 

“แฮ่ก แฮ่ก…..เจ้าทำลงไปแล้วสินะ…….เกราว์!”

 

“หืม…..ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอว่าจะทำให้ความพยายามทั้งหมดของเจ้าสูญเปล่าเอง?”

 

โซเนียวิ่งพรวดเข้ามาในเต้นท์ทั้งๆที่หายใจหอบ

 

เธอมาถึงที่นี่ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ บางทีเธอคงตัดใจทิ้งอาวุธปิดล้อมไปตั้งแต่ตอนที่เธอเห็นไฟแล้วดังนั้นเธอก็เลยวิ่งมาที่นี่เผื่อในกรณีที่ศัตรูเล็งมาที่ศูนย์บัญชาการ

 

ฉันเคลื่อนไหวโดยคำนึงถึงขั้นต่อไปมาโดยตลอดอยู่แล้ว เธอคงจะคิดว่าไฟนั้นอาจจะนำไปสู่ขั้นต่อไปของเหตุการณ์หบางอย่างเหมือนกัน

 

และมันก็ถูกต้องจริงๆ

 

“ข้าจับตาดูอยู่ตลอด แต่การโจมตีทีเผลอก็ยังเกิดขึ้น…..นี่เจ้าส่งพวกเขาออกมาก่อนที่พวกเราจะตั้งค่ายสอดส่องสินะ……”

 

โซเนียเดินมาหาฉันแต่จู่ๆเธอก็เดินเซจนต้องใช้โต๊ะประคองตัวเองเอาไว้

 

บาเรียยังมีผลอยู่ การเข้ามาในเต้นท์บัญชาการก็หมายความว่าเธอจะได้รับผลของมันด้วย

 

“ใช่แล้ว ข้าส่งออกมาก่อนที่เจ้าจะตั้งค่ายสอดส่อง แต่วิธีที่ข้าใช้มาที่นี่เป็นความลับนะ”

 

“…..? นี่มัน……บาเรียหรอ?”

 

“สมกับเป็นลูกครึ่งเอลฟ์จริงๆ, ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่โดนหลอกง่ายๆสินะ”

 

เอลฟ์มีสัมผัสไวต่อเวทมนตร์มาตั้งแต่แรกแล้วห

 

ซึ่งก็แน่นอนว่าโซเนียที่ได้เลือดมาจากพวกเขาเองก็มีความต้านทานมันที่ดีเหมือนกัน ต่อให้มันเป็นบาเรียที่ฉันพยายามซ่อนเอาไว้อย่างดี, เธอก็ยังรู้สึกตัวได้เมื่อเข้ามาข้างใน

 

ถ้าเธอรู้ว่าฉันใช้เวทมนตร์ได้เธอคงจะไม่เข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้

 

เอาเถอะ, นี่ก็ถือว่าเป็นชัยชนะสำหรับกลยุทธ์ของฉันเหมือนกันหล่ะนะ

 

“ซ่อนเวทมนตร์ได้เก่งขนาดนี้….นี่เจ้าเป็นใครกันแน่……?”ห

 

“นั่นสินะ? แล้วตัวตนของข้ามันสำคัญกับเจ้าด้วยรึไง?”

 

ในขณะที่พูด, ฉันก็ชี้มีดเปื้อนเลือดไปทางโซเนีย

 

โซเนียดูเหมือนคิดจะต่อสู้อยู่ชั่วขณะนึงแต่เธอก็ก้มศรีษะลงเหมือนเป็นการบ่งบอกว่าขอยอมแพ้ในทันที

 

“ถ้าอยากฆ่าข้าก็เชิญเลย…..ข้าไม่ติดขัดอะไรอยู่แล้ว…..”

 

“ถอดใจเร็วจังเลยนะ เจ้าน่าจะพอต่อสู้ได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วเจ้าก็น่าจะมีทักษะป้องกันตัวอยู่ด้วยไม่ใช่หรอ? พูดไปมันอาจจะฟังดูน่าอายก็จริงแต่ทักษะดาบของข้านี่ห่วยเอาเรื่องเลยหล่ะ”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า……เจ้านี่ตลกดีนะ…..มันเหมือนกับเจ้าอยากให้ข้าต่อต้านเลย…..ไม่เป็นไรหรอกหน่า ถึงยังไงข้าก็จบสิ้นแล้ว”

 

“หมายความว่ายังไง?”

 

“ข้ายึดเมืองไม่ได้แถมยังปกป้องผู้บัญชาการไม่ได้อีก…..ข้าจะต้องเป็นคนรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ถึงยังไงเจ้าก็ฆ่าเขาไปแล้ว ฆ่าคนที่สมควรจะเป็นคนรับผิดชอบหน่ะ”

 

“เขาอันตรายเกินกว่าที่จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้ และข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าอยู่ในตำแหน่งที่จะต้องมารับความผิดนี้หรอกนะ”

 

“มันไม่สำคัญหรอก……ข้าจะถูกฆ่าเมื่อหมดประโยชน์ ข้ามั่นใจว่าองค์ชายกอร์ดอนเป็นคนแบบนั้น….สัตว์ร้ายที่ไม่สามารถควบคุมได้……ข้าอ่อนต่อโลกเกินไป…..เพราะฉะนั้นฆ่าข้าเถอะ…..”

 

ไม่มีความมุ่งมั่นหรือความเข้มแข็งอยู่ในดวงตาของโซเนียเลย

 

มันยังพอมีอยู่บ้างในตอนที่ฉันพบเธอเมื่อก่อนหน้านี้แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะหายไปหมดแล้ว

 

แน่นอนว่า, ตอนที่เธอช่วยเหลือรีเบคก้าในตอนนั้นเธอยังคาดหวังอนาคต เธอคิดว่าการเคลื่อนไหวของเธอยังมีความหมาย

 

อย่างไรก็ตาม, ในวันนี้มันไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่เลย

 

“ต่อให้เจ้าปล่อยให้ข้ารอด…..ข้ามั่นใจว่าข้าคงจะถูกฆ่าอยู่ดี…..ต่อให้ไม่ถูกฆ่า…..คนที่ข้าห่วงใยก็จะตายแทนที่ข้า……ถ้ามันเป็นแบบนั้นหล่ะก็ข้าขอตายที่นี่ดีกว่า…….”

 

“เจ้ามันอ่อนต่อโลกเกินไปจริงๆ”

 

“…..เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า—…..!”

 

“ข้ารู้สิ เจ้าถูกบังคับให้ร่วมมือกับองค์ชายกอร์ดอนเพราะเขาชิงตัวคนที่เจ้าห่วงใยไปเป็นตัวประกันใช่ไหม? แล้วยังไงหล่ะ?  ไม่ว่าใครก็คร่ำครวญถึงความโชคร้ายของตัวเองได้ทั้งนั้นแหล่ะ”

 

“…..ข้าทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว…..! พยายามไม่ให้สงครามรุนแรงขึ้น! พยายามไม่ให้ตัวประกันต้องตกอยู่ในอันตราย! ข้าพยายามทำทุกอย่างแล้ว…..ข้าทำไปหมดแล้วแต่ก็ยัง……..”

 

“การที่แผนสำเร็จไปได้ด้วยดีตั้งแต่ครั้งแรกมันถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก นี่คือสาเหตุที่เจ้าต้องมองไปถึงการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปอยู่ตลอด เจ้าเปลี่ยนสติปัญญาเพื่อพลิกสถานการณ์ในโอกาสต่อไปได้ นี่แหล่ะที่เรียกว่าจอมวางแผน….ไม่สิ, เนี่ยแหล่ะคือสิ่งที่นักกลยุทธ์เป็น คนที่ล้มเลิกหลังจากที่แผนการของตัวเองล้มเหลวไม่มีสิทธิเรียกตัวเองว่านักกลยุทธ์หรอกนะ ถ้าเจ้าเป็นนักกลยุทธ์ก็จงคิดแผนไปจนกว่าเจ้าจะสามารถกู้สถานการณ์ของตัวเองได้ซะ!”

 

“!!??”

 

ด้วยความตกใจกับคำพูดของฉัน, โซเนียทรุดลงไปที่พื้น

 

แน่นอนว่าโซเนียควบคุมกอร์ดอนไม่สำเร็จ ดังนั้นเธอก็ควรจะคิดแผนช่วยเหลือตัวประกันและติดต่อกับขุมอำนาจอื่นห

 

มันจะไม่มีทางเอาชนะอุปสรรคได้ถ้าไม่ทำอะไรเลยหลังจากที่แผนการแรกล้มเหลว ปัญหาจะไม่รอให้เราฟื้นตัวได้ก่อน, มันชอบเข้ามาหาอย่างกระทันหัน

 

โซเนียที่ได้รับการฝึกฝนมาจากนักกลยุทธ์อัจฉริยะน่าจะสามารถคิดแผนได้หลายอย่างและฉันคิดว่าตอนนี้เธอคงจะมีอยู่ในหัวบ้างแล้วแต่เธอแค่ยังขาดประสบการณ์ภาคสนาม

 

ซึ่งนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักกลยุทธ์

 

“ครึ่งเอลฟ์นักกลยุทธ์….โซเนีย ลาสเปด ข้าจะขอสืบสวนเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกเลี้ยงดูโดยพ่อเลี้ยงที่เป็นนักกลยุทธ์อัจฉริยะใช่ไหม ข้ารู้ว่าที่เจ้าติดตามกอร์ดอนก็เพราะเขาถูกจับไปเป็นตัวประกัน แต่ว่า….ชีวิตของเจ้าได้ถูกช่วยเอาไว้แล้ว อย่ายอมแพ้ง่ายๆสิ! พ่อเลี้ยงของเจ้าไม่ได้เลี้ยงเจ้าขึ้นมาเพื่อให้ถูกข้าฆ่านะ! เจ้ามันเป็นคนที่ทะนงตัวจนน่าเหลือเชื่อเลยหล่ะถึงได้กล้าคิดว่าชีวิตของเจ้าเป็นของเจ้าแค่คนเดียว!”

 

ในตอนที่พูดจบฉันก็เขวี้ยงมีดใส่โซเนียด้วยกำลังทั้งหมด

 

เมื่อเห็นแบบนั้น, โซเนียจึงใช้มือสองข้างป้องกันตัวเอง

 

มีดของฉันได้พุ่งผ่านเฉียดใบหน้าของโซเนีย, แล้วมันก็ไปปักอยู่บนพื้นห

 

“อา…..”

 

“ข้าจะฆ่าเจ้าที่นี่เลยก็ยังได้แต่ถ้าทำแบบนั้น, พ่อเลี้ยงของเจ้าคงจะดูน่าสงสารเกินไปหน่อย ถ้าเจ้ายังคิดอยากจะมีชีวิตอยู่ก็ลองลุกขึ้นสู้สิ”

 

“…..!!อย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลย….! ข้าหน่ะ…..! ข้าแค่ไม่อยากให้ผู้คนต้องมาเจ็บปวด! ข้าไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเจ็บปวดเพราะข้า! แต่ก็ยัง…..ข้าหน่ะ……!”

 

น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของโซเนีย

 

คนในครอบครัวของเธอถูกจับเป็นตัวประกัน, และเธอก็ผลักดันตัวเองเพื่อพวกเขาห

 

ไม่ว่าเธอจะเป็นนักกลยุทธ์ที่เก่งแค่ไหน, แต่คนที่ไม่เคยลงสนามรบก็คงจะอ่อนประสบการณ์เกินกว่าจะเรียกตัวเองว่านักกลยุทธ์

 

เธอควรจะค่อยๆเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆแต่เธอกลับถูกจับโยนเข้ามาในสนามรบ, ถูกจับโยนเข้ามาในสถานการณ์ที่ความเป็นความตายเท่ากันอย่างกระทันหัน

 

หลายคนจะต้องตายด้วยคำสั่งเพียงคำสั่งเดียว หมากบนกระดานจะถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจ ถ้าเธอไม่สามารถเอาชนะความเป็นจริงเช่นนี้ได้เธอก็จะเป็นนักกลยุทธ์ไม่ได้

 

โซเนียถูกบังคับให้ทำการตัดสินใจเช่นนี้ และมันก็เป็นความผิดของกอร์ดอนที่บังคับให้เธอทำแบบนั้น

 

“ข้าหน่ะ….ข้าแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้นเอง……!”

 

“ข้าก็เห็นใจในเรื่องนั้นนะ”

 

“ถ้างั้น…..เจ้าช่วยข้าได้ไหม……”

 

ฉันไม่ได้ให้คำตอบในทันที

 

เหตุผลก็เพราะว่าฉันได้ยินเสียงขลุ่ยดังมาจากที่ไกลๆ

 

และมันก็เป็นสาเหตุที่ฉันเดินผ่านโซเนียไปในทันทีด้วย

 

“ขอโทษนะแต่ข้ามีนัดเอาไว้ก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น, เจ้าต้องหาทางทำอะไรด้วยตัวเองก่อน อย่าขอความช่วยเหลือคนอื่นง่ายๆ จงทำทุกอย่างที่เจ้าทำได้ซะ จากมุมมองของข้า, ข้าคิดว่าเจ้ายังไม่ได้ทุ่มสุดตัวเลยนะ จงทำมันซะต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ถ้าเจ้าทำแบบนั้น, ข้ามั่นใจว่าสถานการณ์ของเจ้าจะดีขึ้นซักวันนึง”ห

 

ในตอนที่พูดจบ, ฉันก็ออกมาจากเต้นท์บัญชาการ

 

ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากข้างใน

 

มันอาจจะดูโหดร้ายและฉันควรจะยื่นมือเข้าไปช่วยเธอ

 

แต่ถ้าฉันยื่นมือเข้าช่วยเธอ, คนๆเดียวที่ฉันจะสามารถช่วยได้ก็คือตัวโซเนียเอง ฉันมั่นใจว่าฉันคงช่วยตัวประกันไม่ได้หรอก ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน, ฉันก็ช่วยพวกเขาไม่ได้

 

ถ้าเธออยากได้อนาคตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดิ้นรนด้วยตัวเอง

 

ด้วยความคิดเช่นนี้ ฉันก็ออกจากที่แห่งนี้ไปด้วยเวทย์เคลื่อนย้าย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด