ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 101 เสิ่นจั้งจี

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 101 เสิ่นจั้งจี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เว่ยฉางอิ๋งหันหลังกลับไปด้วยความสงสัย แต่กลับเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกลมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมเสื้อเผาซานสีแดงเข้มผ้าเยวี่ยหลัวเนื้อดี เกล้าผมขึ้นจนหมด รองเท้าผ้าทรงสูงคาดเข็มขัดหยก ซึ่งก็คือน้องชายแท้ๆ ของเสิ่นจั้งเฟิง เสิ่นจั้งจีนั่นเอง

                เมื่อเห็นว่าเป็นน้องชายสามี ทั้งยังเป็นน้องสามีที่แม่สามีรักใคร่มากที่สุด เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่กล้าชักช้า รีบหันกลับไป ยิ้มแย้มต้อนรับ “น้องห้า เจ้ามาได้อย่างไร? เรียกพี่สะใภ้เอาไว้ มีเรื่องใดหรือ?”

                เสิ่นจั้งจีเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าใกล้ๆ นั้นนอกจากบ่าวที่เดินตามเว่ยฉางอิ๋งมาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก จึงเดินเข้ามา เมื่อมาถึงตรงหน้าใกล้ๆ ก็แสดงความเคารพ แล้วเอ่ยเสียงเบาๆ อย่างค่อนข้างลับๆ ล่อๆ ว่า “พี่สะใภ้สาม ขอสนทนาด้วยสักประเดี๋ยวได้หรือไม่ขอรับ”

                เว่ยฉางอิ๋งสงสัยว่าน้องชายสามีผู้นี้ต้องการจะพูดสิ่งใดกับตน จึงเดินไปพูดคุยกับเขาข้างๆ ห่างออกมาจากสาวใช้หลายก้าว คาดว่าพวกนางจะมองเห็นแต่ไม่ได้ยิน เสินจั้งจีจึงหยุดเดิน และคล้ายจะเอ่ยปาก ทว่าใบหน้ากลับแดงขึ้นมาก่อน อ้าปากหลายครั้ง จึงเอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “พี่สะใภ้สาม วานนี้ลูกผู้พี่สี่กับลูกผู้พี่ห้ามาเยี่ยมพี่ชายสาม ระหว่างนั้นกลับมาหาข้า ข้าฟังคำที่พวกเขาพูดไม่ใคร่เข้าใจนัก จึงใคร่มาขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้ขอรับ”

                “พวกเขาพูดสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าคงมิใช่ว่าซูอวี๋เหลียงและซูอวี๋อู่รู้ว่าซูอวี๋อินกำลังจะถูกยกให้แก่เสิ่นจั้งจี จึงอาศัยช่วงเวลาที่มาที่นี่ มาแสดงบารมีปรามว่าที่น้องเขยด้วยกัน?

                ปรากฏว่าเสิ่นจั้งจีหน้าแดงก่ำ กล่าวว่า “พวกเขาบอกว่าวันหน้าให้ข้าเอาอย่างพี่ชายสามให้มากๆ เข้าไว้ อย่าทำตัวไม่ดี โดยเฉพาะห้ามไปที่หอ… หอคณิกาอีก แล้วยังมาดูสาวใช้ในเรือนข้า ลูกผู้พี่สี่จะให้ข้ายกสาวใช้สองคนในจำนวนนั้นให้เขาด้วย”

                ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคนที่ซูอวี๋เหลียงต้องการจะต้องเป็นสาวใช้ที่งดงามที่สุดหรือไม่ก็ดูแล้วเสิ่นจั้งจีสนิทที่สุดสองคน ลูกผู้น้องสองคนนี้ จะว่าไปแล้วซูอวี๋เหลียงเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ ส่วนซูอวี๋อู่เป็นบุตรชายบ้านสาม เป็นเพียงลูกผู้พี่ข้างบิดาของซูอวี๋อินในบ้านสองเท่านั้น หาใช่พี่ชายแท้ๆ ไม่ อีกทั้งคนทั้งคู่ยังออกจะเป็นศัตรูต่อกันด้วย แต่เพื่อลูกผู้น้องแล้ววันนี้กลับมาร่วมมือร่วมใจกันดังนี้ …เว่ยฉางอิ๋งจึงออกจะรู้สึกเกินความคาดหมายไปสักหน่อย แต่เมื่อคิดถึงคำพูดที่ซูผิงจ่านเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้ แม้แต่ฮูหยินซูเองก็ยังต้องล้มเลิกความคิดจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับทางเว่ยเจิ้งอินในทันใด ทั้งยังต้องรีบกลับมาบ้านฝั่งมารดาด้วยตนเองเพื่ออธิบายต่อบิดาด้วย…

                เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูอวี๋เหลียงและซูอวี๋อู่มาช่วยกันถือหางให้ลูกผู้น้องก็ไม่ได้แปลกอันใดนัก เว่ยฉางอิ๋งเห็นเสิ่นจั้งจีเองก็พูดเสียชัดเจนเพียงนี้แล้ว จึงยิ้มน้อยๆ พลางถามว่า “น้องห้าคงจะคาดเดาไว้ในใจแล้วกระมัง?”

                เสิ่นจั้งจีตามองปลายรองเท้า เอ่ยอ้ำอึ้งว่า “อย่างไรก็ต้องขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้สามขอรับ” ซึ่งก็หมายความว่าความจริงแล้วเขาพอจะรู้อยู่ในใจแล้ว เพียงแต่รอให้เว่ยฉางอิ๋งบอกออกมาชัดๆ เท่านั้น

                “ที่แท้พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองยังไม่ได้บอกกับน้องห้า จะว่าไปแล้วข้ายังต้องยินดีกับน้องห้าสักคำเลย” เรื่องนี้ก็หาได้เป็นความลับใดไม่ อีกสองวันตระกูลเสิ่นก็จะไปหมั้นหมายแล้ว พอถึงเวลาเสิ่นจั้งจียังจะไม่รู้ได้หรือ? เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกเขาไปตามตรง “วันเกิดลูกผู้น้องห้าคราวก่อน ท่านแม่กลับไปเยี่ยมท่านตาและท่านยาย จึงได้หมั้นหมายลูกผู้น้องหญิงสี่กับท่านอาสะใภ้รองเอาไว้ด้วยพร้อมกัน”

                แม้เสิ่นจั้งจีจะพอรู้อยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวาน แต่หากพี่สะใภ้ไม่พูดเขาเองก็ไม่กล้ามั่นใจ ยิ่งไปกว่านั้นซูอวี๋เฟยและซูอวี๋อินก็อายุห่างกันเพียงปีเดียว เขาเองจึงเดาไม่ออกว่าเป็นลูกผู้น้องหญิงคนใดที่หมั้นหมายกับตน เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกมายามนี้ เขาจึง “อ่ะ” ออกมาเบาๆ คำหนึ่ง …คนหนุ่มหน้าบาง เมื่อเอ่ยออกมาตรงๆ ในเวลานี้หน้าจึงยิ่งแดงก่ำ แล้วรีบพูดไปคำหนึ่งว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้สามมากขอรับ” ว่าแล้วก็วิ่งจากไปด้วยความเขินอาย

                มองดูแผ่นหลังที่ลนลานจนถึงขึ้นน่าอนาถของเขา เว่ยฉางอิ๋งก็อดจะร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิงไม่ได้

                เมื่อกลับมาถึงหน้าเรือนจินถง  นางหวงจึงเอ่ยถามไปด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดคุณชายห้าจึงจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้นเจ้าคะ?”

                “พอได้ยินว่าท่านแม่จัดการหมั้นหมายให้เขาแล้ว จึงอายน่ะสิ!” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางเอ่ย

                วันนี้พอเสิ่นจั้งเฟิงกลับมา เว่ยฉางอิ๋งจึงเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ระหว่างงานเลี้ยงวานนี้ลูกผู้น้องสี่และลูกผู้น้องห้าบอกว่าจะออกไปเดินให้สร่างเมาสักหน่อย แม้ตอนนั้นข้าจะดื่มไปมากสักหน่อยแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ากว่าพวกเขาจะกลับมาก็นานเกินไป ยังนึกว่าไปทำสิ่งใดเสียอีก ที่แท้ก็วิ่งไปอบรมน้องห้านี่เอง”

                “ก็มิใช่รึ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “วันนี้น้องชายห้ามาหาข้า ท่าทางอึกๆ อักๆ ข้าก็นึกว่ามีเรื่องใด ที่แท้ก็ไม่เข้าใจที่ถูกลูกผู้พี่ตระกูลซูอบรม จึงมาหาข้าเพื่อสอบถามให้ละเอียด”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “พวกเขาก็คิดมากไปแล้ว น้องห้าเป็นคนนิสัยดีมาแต่ไร ทั้งยังเติบโตมาพร้อมกับลูกผู้น้องหญิงสี่ เพราะสองปีมานี้เขาเข้าไปเป็นราชองครักษ์ชิน ต้องไปทำงาน จึงเพิ่งจะห่างเหินกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแท้ๆ แล้วจะไม่ดีต่อลูกผู้น้องหญิงสี่ได้อย่างไรกัน?”

                เว่ยฉางอิ๋งได้แต่ยิ้มไม่พูดจา คิดในใจว่าเป็นภรรยาและเป็นลูกผู้น้องหาได้เหมือนกันไม่ เป็นลูกผู้น้องนั้นไม่ว่าจะดื้อรันไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ไม่รู้ความ แต่ก็ยังเห็นแก่ที่เป็นญาติกัน ขอเพียงเขาเป็นชายที่มีใจคอกว้างขวางสักหน่อยเท่านั้น …นอกเสียจากเป็นคนประหลาดเหมือนกู้หน่ายเจิงที่ไม่มีทางไม่ผ่อนปรนได้ แต่ลูกผู้น้องกลายมาเป็นภรรยาก็ไม่เหมือนกันแล้ว นับแต่โบราณมาเรื่องการเป็นญาติซ้อนญาตินี้มีอยู่ไม่น้อย ทว่าหญิงที่เป็นลูกผู้น้องและกลายมาเป็นภรรยาก็มิใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีไปเสียทุกคน

                เพียงแต่เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงพูดออกมาดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ไปขัดคำของสามี จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสีย

                ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสองสามคำ เสิ่นจั้งเฟิงพลันถามถึงเหนียนเซิงย้าวขึ้นมา “ยามนี้ท่านเหนียนยังอยู่ข้างหน้าหรือไม่?”

                “เขาทานอาหารเที่ยงเสร็จก็ลากลับไปแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “เจ้าจะหาเขามีเรื่องใดหรือ?”

                เสิ่นจั้งเฟิงแย้ม กล่าวว่า “ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก” มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ก็แสดงว่ามีเรื่องจะหาเหนียนเซิงย้าวจริงๆ น่ะสิ? แต่จากนั้นเสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่ได้เอ่ยว่ามีเรื่องใดกันแน่ เว่ยฉางอิ๋งคิดไปคิดมาก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ เพียงแต่แตะไปที่หน้าอกเขาแล้วว่า “คราก่อนในวันเกิดของลูกผู้น้องชายห้า เจ้าดื่มสุราแทนลูกผู้น้องห้า เพราะถูกกู้จื่อเลี่ยผู้นั้นคอยตามตื๊อให้ดื่มไม่เลิกนั่นก็แล้วไป แต่ครานี้อยู่ในบ้านตนเอง กู้จื่อเลี่ยก็ถูกกู้จื่อหมิงลากกลับไปแล้ว เหตุใดเจ้าก็ยังดื่มมากอีก? เช้าวันนี้ รีบร้อนตาลีตาลาน ข้ากลัวเสียจริงๆ ว่าเจ้าจะเร่งร้อนไปทำงานแล้วขี่ม้าเร็วเกินไปจนเกิดเรื่อง!”

                “แหลนที่ส่งมาวานนี้เหมาะมือนัก รู้สึกดีใจ จึงถูกชวนให้ดื่มมากไปหน่อย” เสิ่นจั้งเฟิงกุมมือนางเข้ามาที่ริมฝีปากแล้วจูบแล้วจูบอีก เอ่ยไปด้วยรอยยิ้ม “แหลนนี้เริ่มทำมาตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว ในระหว่างห้าปีนี้เรี่ยวแรงของข้าเพิ่มขึ้นหลายเท่า จึงต้องปรับเปลี่ยนมาครั้งแล้วครั้งเลา เสียไม้หม่อนลิ้นจี่[1]ไปไม่น้อย …แหลนที่ข้ามีอยู่เดิมนั้นเสียหายไปในวันชูอิกปีก่อน จึงตั้งตารอมันมาโดยตลอด ยามนี้มันใช้ดีกว่าที่คิดเอาไว้ ข้าจึงดีใจนัก”

                สำหรับผู้ฝึกวรยุทธแล้ว อาวุธที่เหมาะมือสำคัญประหนึ่งชีวิต เว่ยฉางอิ๋งย่อมเข้าใจดี มองดูเสิ่นจั้งเฟิงที่จนยามนี้ก็ยังยิ้มไม่หุบ จึงเอื้อมมือไปหยิกแก้มเขาเบาๆ แล้วเอ็ดไปว่า “เหมือนเด็กเล็กๆ ได้ลูกอมเช่นนั้น”

                “หวานนัก” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำกลับออกแรงดึงนางเข้ามาในอกและจูบไปอย่างแรงครั้งหนึ่ง พลางเอ่ยกระเซ้า

                ทั้งสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันสักพัก เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงเรื่องวานนี้จึงเอ่ยอย่างขึงขังว่า “ ‘ฝนโถมหิมะบิน’ ของกู้จื่อหมิงนั่น แม้จะเจ้าจะบอกว่าเคยรับมาหลายคราแล้ว แต่ข้าดูแล้วก็ยังอันตรายนัก อย่างไรเสียวันหน้าเจ้าก็ต้องระวังเอาไว้ให้มาก”

                เสิ่นจั้งเฟิงโอบตัวนางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอก ในทวนของเขามีเข็มซ่อนอยู่ แต่ที่ซ่อนเอาไว้ล้วนเป็นเข็มดอกเหมยเล็กๆ ทั้งเบาทั้งอ่อนดังขนวัว จะใช้การได้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุปัจจุบันทันด่วนหรืออาศัยจังหวะที่ศัตรูอ่อนแรงหลบไม่พ้นเท่านั้น หาไม่แล้ว เจ้าก็เห็นแล้วนี่ เพียงใช้กำลังภายในต้านก็ร่วงไปทั้งหมด ใช้การใดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

                แล้วว่า “คราแรกที่ข้าประมือกับพี่จื่อหมิง ลูกไม้นี้ของเขาก็ไม่อาจทำอันใดข้าได้ ไม่เพียงแค่ข้าเท่านั้น หลิวสือหลีก็ยังไม่เคยหลงกลเลยสักครา”

                เว่ยฉางอิ๋งโอบคอเขา ทำยู่ปากเข้าเอ่ยว่า “นับแต่ได้ยินเสิ่นเตี๋ยเอ่ยเรื่องหลิวยิ้วเจ้าและเผยไค่ข้าก็ไม่อาจวางใจเลย” เรื่องหญิงเก็บบัวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิเมื่อคราก่อน ฮูหยินซูก็เอาเรื่องที่หลิวซีสวินถูกจัดฉากมาสอนสะใภ้ว่าต้องคอยป้องกันเสิ่นจั้งเฟิงให้ดี เพื่อไม่ให้พวกคนเลวแอบวางแผนร้าย ครานี้เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่หวังให้สามีประมาท จึงกล่าวว่า “ยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ หลิวยิ้วเจ้าก็ยังกล้า ‘พลั้งมือ’ แล้วผู้ใดจักรู้ว่ายามเจ้าฝึกฝนกับผู้อื่น จะไม่ ‘พลั้งมือ’ สักหนเล่า?”

                 “หลิวยิ้วเจ้านั้นถูกใส่ความ” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำกลับยิ้มออกมา กล่าวว่า “เจ้าดูสิว่าวันนี้หลิวยิ้วเจ้าและเผยไค่มาพร้อมกัน ก็รู้แล้วว่าระหว่างพวกเขาหาได้มีเรื่องบาดหมางกันไม่ …แม้หลิวยิ้วเจ้าจะเป็นบุตรหลานในสายหลักของตระกูลหลิว ทว่าแต่ไรมายามประลองต่อหน้าพระพักตร์ล้วนยั้งมือเมื่อถึงตัว หากถึงเลือดซึ่งเป็นเรื่องอัปมงคลอย่างยิ่ง ต่อให้ไม่ไล่เรียงเอาผิดเรื่องเขาวางแผนทำร้ายสหายร่วมงาน ลำพังเพียงเรื่องทำผิดธรรมเนียมต่อหน้าพระพักตร์ข้อเดียว อนาคตในวันหน้าของเขาก็พูดยากแล้ว หลังจากหลิวจี้เจ้าพี่ชายของเขาเสียไป อำนาจของตระกูลในสายของเขาก็ได้รับผลกระทบ แล้วจะยอมเอาบุตรชายในสายหลักมาเสี่ยงอีกหรือ?”

                เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญแล้วว่า “เพราะหลิวรั่ววั่วหรือ?”

                “เป็นดังนั้น” เสิ่นจั้งเฟิงจูบแก้มนางอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ยปาก “หลิวซือจิ้งในตำแหน่งเวยหย่วนโหวเป็นผู้ดูแลหรานหลีถังในปัจจุบันนี้ เดิมทีนั้นหลิวซือจิ้งฝากความหวังอย่างมากไว้กับหลิวจี้เจ้าบุตรชายคนเล็กจากภรรยาเอกของเขา …ซึ่งก็คือพี่เขยในลูกผู้พี่หญิงของเราผู้นั้น ทว่าหลิวจี้เจ้ากลับต้องมาตายในสนามรบโดยไม่ได้คาดคิด บุตรชายคนอื่นๆ ของหลิวซือจิ้งไม่ใคร่เหมาะจะรับช่วงต่อการดูแลตระกูล จึงเลือกคนจากตระกูลในสายอื่นมาฝึกฝนบ่มเพาะ ซึ่งก็คือสือหลีนั่นเอง” หรานหลี่ถังคือชื่อสำนักสายหลักของตระกูลหลิวแห่งตงหู

                “คล้ายว่าหลิวซือฮวายสมุหกลาโหมคนปัจจุบันนี้จะเป็นปู่แท้ๆ ของหลิวรั่ววั่ว?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางแตะไปที่ริมฝีปากเขา ไม่ยอมให้เขาจูบอีก แล้วว่า “นี่เป็นการต่อสู้รู้หว่างสมุหกลาโหมและเวยหย่วนโหวสินะ?”

                เสิ่นจั้งเฟิงจึงจูบที่ปลายนิ้วนาง กล่าวว่า “เป็นดังนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเผยแห่งยิวโจวอยู่ติดกับตงหู บุตรหลานตระกูลเผยรวมกำลังกับตระกูลหลิวต่อต้านพวกหรง นับแต่หลิวจี้เจ้าเสียไป เวยหย่วนโหวก็เศร้าโศกใจแต่กลับมิได้พาลไปโกรธตระกูลเผย ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าจะให้หลิวยิ้วเจ้าซึ่งเป็นหลายชายแท้ๆ ไปลงมือกับเผยไค่เลย เรื่องพลั้งมือเมื่อครั้งวันชูอิก ความจริงแล้วมีคนไปลงไม้ลงมือกับค้อนปาเป่าดอกเหมยของหลิวยิ้วเจ้า มีคนเอาน้ำมันหมูไปทาที่ช่องว่าในหัวค้อนของเขา น้ำมันหมูบางเบานักทว่าค้อนปาเป่าดอกเหมยกลับมีหนักยิ่ง ดังนั้นแม้จะเป็นอาวุธที่ใช้จนคุ้นเคย แม้แต่หลิวยิ้วเจ้าเองก็ยังไม่ทันรู้สึกได้ เมื่อต่อสู้กับเผยไค่ไป ทุกคราที่หัวค้อนต้องอาวุธของเผยไค่ บวกกับคบไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ไขมันวัวจุดในสนามประลอง ยิ่งเวลานานไปก็จะยิ่งร้อนขึ้น น้ำมันหมูที่อยู่ตรงปลายค้อนจึงละลายและไหลอาบลงมา หลิวยิ้วเจ้าย่อมจับค้อนเอาไว้ไม่อยู่”

                อาวุธหนักเช่นค้อนปาเป่าดอกเหมยนี้ หากมิใช่คนที่ใช้จนเคยมือเมื่อยกขึ้นมาก็จะต้องใช้แรงอย่างมาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าน้ำมันหมูลื่นเพียงใด …มิน่าเล่าเขาจึงพลั้งมือกับหลิวยิ้วเจ้า

                จุดกำเนิดของหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเละของต้าเว่ยนั้น หาได้มีเพียงตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวที่มีสองสำนักที่ทัดเทียมกัน เพียงแต่ภายหลังด้วยเหตุผลนานา นอกจากตระกูลเว่ยแล้วทุกตระกูลล้วนมีเพียงสำนักเดียว แต่นี่ก็หาได้หมายความว่าจะไม่มีการต่อสู้ใหญ่หลวงใดๆ แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความมั่งคั่งของทั้งสายตระกูล หากไม่ถึงขั้นหนักหนาสาหัสจริงๆ แล้วผู้ใดจะยอมรามือเล่า?

                เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่าหลิวซีสวินไม่เหมือนคนทั่วไป “มองดูหลิวซีสวินเมื่อวานนี้ กลับไม่รู้สึกว่าเขามีเรื่องใดในใจ”

                เขาเป็นที่สองในการประลองหน้าพระพักตร์ตลอดมา ปีก่อนกลับตกต่ำจนไม่อยู่ในอับดับหนึ่งในสิบ ทั้งยังพลอยรับเคราะห์เพราะเรื่องที่น้องชายร่วมตระกูลถูกวางแผนทำร้ายอีก จนเกือบจะสังหารบุตรหลานตระกูลเผยต่อหน้าพระพักตร์ …เพียงคิดก็รู้แล้วว่า เวยหย่วนโหวปกครองตงหู สมุหกลาโหมสูงส่งอยู่ถึงในวัง ในการต่อสู้ภายในตระกูลหลิวนั้น ตระกูลเผยซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่ยิวโจวและคอยช่วยตระกูลหลิวต่อต้านพวกหรงเสมอมา ก็นับว่าเป็นกำลังที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลย

                หากหลานชายแท้ๆ ของเวยหย่วนโหวพลั้งมือสังหารคนของตระกูลเผย ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเพราะเรื่องของหลิวจี้เจ้าจึงพาลมาโกรธตระกูลเผย …ในสถานการณ์ที่เกิดเรื่องราวสับสนซับซ้อน และยิ่งไปกว่านั้นทุกเรื่องที่ประเดประดังเข้ามาล้วนไม่เป็นผลดีต่อเขา แต่หลิวซีสวินกลับยังพูดจายิ้มแย้มเป็นปกติ ดูจากท่าทางใจกว้างเปิดเผยของเขาแล้วกลับไม่คิดว่าเขาจะมีเรื่องเหล่านี้เก็บอยู่ในใจ?

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ พลางว่า “พี่สือหลีมีจิตใจกว้างขวางนัก”

                “ก็ใช่ อย่างไรเขาเป็นคนที่เวยหย่วนโหวตั้งใจคัดเลือกออกมาจากตระกูลในสายของตนโดยเฉพาะ” แม้หลิวจี้เจ้าซึ่งเป็นบุตรชายแท้ๆ ที่เวยหย่วนโหวฝากฝังความหวังเอาไว้อย่างมากตายไปแล้ว แต่ดูเพียงชื่อก็รู้ว่า เขายังน่าจะมีบุตรชายคนโตหลิวปั๋วเจ้า คนรองหลิวจ้งเจ้า คนที่สามหลิวซูเจ้า ต่อไปจึงจะเป็นหลิวจี้เจ้า ทั้งยังมีหลานชายหลิวยิ้วเจ้าอีก …ไม่แน่ว่ายังมีลูกชายหลานชายคนอื่นอีก? แต่กลับตัดลูกหลานที่ใกล้ชิดเหล่านี้ไปและมาเลือกหลิวซีสวิน ย่อมเป็นเพราะว่าหลานชายร่วมตระกูลที่อยู่ห่างออกไปผู้นี้มีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่น จึงทำให้เวยหย่วนโหวยินยอมละทิ้งลูกหลานที่มีสายเลือดใกล้ชิดทั้งหมดและหันมาสนับสนุนเขา

                เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดสามีไปอีกว่า “เจ้าก็รู้ว่าอาวุธของหลิวยิ้วเจ้าเคยถูกคนเล่นลูกไม้มาก่อน แล้วไม่กลัวว่าจะเกิดกับกู้จื่อหมิงหรือ?”

                “เข็มนั่นของเขา ไม่มีใครไปจัดการอันใดได้หรอก” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเสียงดังพลางว่า “เจ้าว่าเหตุใดเข็มเหล่านั้นจึงทั้งบางทั้งเบาหรือไม่? นั่นก็เพราะว่าหากมันหนักแล้ว ประการแรกก็จะส่งผลต่อความสมดุลของตัวทวน ประการที่สองกลไกจะรับไม่ไหว ประการที่สามกลับเป็นเพราะช่องว่างในหัวทวนก็ใหญ่เพียงเท่านั้น หากใหญ่กว่านี้ หัวทวนก็จะพัง! อย่างไรเสียฝีมือที่แท้จริงของพี่จื่อหมิงก็ยังอยู่ที่ตัวด้ามของทวนตุ้มดอกเหมย การซ่อนเข็มไว้ในทวนก็เป็นของเล่นเท่านั้น”

                เว่ยฉางอิ๋งโกรธพลางผลักเขาออก “อย่างไรก็ตาม วันหน้าเจ้าก็ต้องระวังสักหน่อย ห้ามประมาท!”

                เสิ่นจั้งเฟิงเริ่มมือไม้ซุกซน รับปากไปอย่างเลื่อนลอย “อืม ข้ารู้แล้ว…”

                “เจ้า!” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเขาหาได้ฟังเข้าหูไม่ จึงทั้งโกรธทั้งเคือง ออกแรงหยิกเขาไปหนหนึ่ง แต่กลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงอุ้มขึ้นมา…

________________________________

[1] ไม้หม่อนลิ้นจี่ ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “ไม้เจ้อ” เป็นพิชตระกูลหม่อน ลูกคล้ายลิ้นจี่ เป็นไม้ที่มีเนื้อไม้ดีและราคาแพงมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด