ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 57 ต่อว่า

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 57 ต่อว่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                สองลูกพี่ลูกน้องกำลังสนทนากัน จู่ๆ เสิ่นจั้งหนิงและซูอวี๋เฟย ซูอวี๋อินสามคนก็จูงมือกันเดินเข้ามา พวกนางยิ้มพลางว่า “ลูกผู้พี่ใหญ่ หาท่านเสียจนทั่วไม่พบ ที่แท้ท่านก็มาหาพี่สะใภ้สามนี่เอง”

                 น้องสาวทั้งสามคนล้วนกำลังอยู่ในวันสาวสะพรั่ง และทุกคนต่างก็แต่งหน้าจัด จ้านตามสมัยนิยมแบบแต่งๆ แต่งตัวพะรุงพะรังไปหมด ดูไปแล้วน่ากลัว เพียงแต่เมื่อพวกผู้ใหญ่ยังไม่อาจทำสิ่งใดพวกนางได้ เช่นนั้นผู้เป็นพี่สาวจึงยิ่งไม่พูดสิ่งใดแล้ว

                ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นทักทายพวกนาง เสิ่นจั้งหนิงบอกว่า “หมิ่นอีนั่วไปขอลายพระหัตถ์จากองค์หญิงหลินชวน พวกเราไปร่วมวงกันดีหรือไม่?”

                เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะได้ยินเรื่องที่องค์หญิงชิงซินเอ่ยถึง จึงรู้ว่าอักษรที่องค์หญิงหลินชวนเขียนจะต้องไม่เลวเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับคำชมจากฮองเฮาอยู่บ่อยครั้ง แต่การที่หมิ่นอีนั่วผู้นี้ไปขอลายพระหัตถ์ขององค์หญิงในยามนี้ ก็ไม่แน่ว่าเพราะหมายตาในลายพระหัตถ์ขององค์หญิงหลินชวนจริงๆ เรื่องที่เสิ่นจั้งหนิงกล่าวนั้นมีแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่เป็นเพียงการเข้าไปร่วมวงสรรเสริญเยินยอให้องค์หญิงดีพระทัยเท่านั้น

                ซูอวี๋ลี่เอ่ยตกลงไปคำหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งกลับมองไปยังแผ่นหลังของพระสนมเติ้งที่อยู่เบื้องหน้าตน เสิ่นจั้งหนิงเข้าใจในทันใด พลันยิ้มแล้วว่า “พี่สะใภ้สามกลัวว่าพระสนมเอกจะเรียกหาท่านรึ? ข้าจะไปช่วยถามให้ท่านคำหนึ่ง”

                ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งรั้งตัวนาง เสิ่นจั้งหนิงก็วิ่งกึ่งกระโดดโหยงเหยงไปอยู่ตรงหน้าสนมเอกเติ้ง ถวายบังคมพลางยิ้มตาหยี แล้วเอ่ยคำกับพระสนมเอกขึ้นมายกใหญ่ ด้วยยามนี้ในท้องพระโรงมีเสียงดังอื้ออึงไปหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงฟังไม่ถนัดว่านางพูดสิ่งใดกับสนมเอก เห็นแต่เพียงว่าในเวลาอันรวดเร็ว นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติสนมเอกอยู่ก่อนหน้านี้ก็เดินกลับมาพร้อมเสิ่นจั้งหนิ่งและกล่าวว่า “พระสนมเอกบอกให้ฮูหยินน้อยอย่าได้เคร่งเครียด พระสนมเอกทางนี้มีพวกข้าน้อยคอยปรนนิบัติอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

        เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าวขอบคุณนาง รอจนนางกำนัลไปแล้ว เสิ่นจั้งหนิ่งก็ตบมือแล้วเอ่ยว่า “เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด พวกนางล้วนไปที่หอเชียนชิวกันหมดแล้ว หากไปสายก็คงจะเขียนอักษรกันเสร็จพอดี”

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดจึงไม่อยู่ในตำหนักเล่า?”

                “พี่สะใภ้สาม ที่นี่เสียงดังอึกทึกจะตายไป แล้วจะมีสมาธิเขียนอักษรได้ที่ใดกัน?” ซูอวี๋เฟยยิ้มพลางเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว

                เว่ยฉางอิ๋งคิดไปก็เห็นว่าเป็นจริงดังนั้น… จึงเดินเลียบผนังไปกับพวกนางและออกจากท้องพระโรงไป พวกของเสิ่นจั้งหนิงคุ้นเคยกับตำหนักเวยยางแห่งนี้ยิ่ง ลัดเลาะไปมาก็ไปถึงทางเดินเล็กๆ สายหนึ่งที่มีดอกไม้ต้นไม้แผ่ร่มเงา บดบังความอึกทึกในท้องพระโรงหลักตำหนักฉางเลอไว้เบื้องหลัง

                พวกของเสิ่นจั้งหนิงสามคมเดินนำหน้าไปก่อน ซูอวี๋ลี่เดินรั้งท้ายอยู่เป็นเพื่อนเว่ยฉางอิ๋ง ได้ยินเพียงเสียงกระซิบกระซาบของคนข้างหน้าสามคนว่า “ปรากฏว่าวันนี้องค์หญิงอันจี๋ไม่ได้มาด้วย”

                “เห็นบอกว่าท่านหญิงเจินอี้ป่วย”

        “แปลกนะสิ ท่านหญิงเจินอี้ก็สามวันดีสี่วันไข้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ที่ใดจักต้องให้องค์หญิงอันจี๋ไปคอยเฝ้าอยู่เสียให้ได้? จักต้องเป็นนางจงใจไม่มาแน่ๆ”

                “เอ๋ องค์หญิงอันจี๋ทะเลาะกับองค์หญิงหลินชวนอีกแล้วหรือ?”

                “ได้ยินว่าแท่งหมึกที่องค์หญิงหลินชวนทรงโปรดที่สุดถูกองค์หญิงอันจี๋ทำหักโดยไม่ตั้งใจ…”

                “น่าสงสารจริงๆ ลำพังแค่ปีนี้ ของขององค์หญิงหลินชวนก็ถูกทำให้เสียหายไปกี่มากน้อยแล้ว? หากไม่ใช่สิบชิ้นก็แปดชิ้นได้แล้วกระมัง? ของทุกสิ่งล้วนเป็นของที่องค์หญิงหลินชอบทรงโปรดทั้งนั้น”

                “ก็มิใช่รึ? ข้ายังได้ยินว่าองค์หญิงหลินชวน…”

                ซูอวี๋ลี่ได้ยินว่าพวกนางยิ่งพูดก็ยิ่งเอ่ยคำบังอาจขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบขัดพวกนางว่า “อย่าได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องในราชสำนักส่งเดช!”

                “บนทางเดินนี้ไม่มีคน” ซูอวี๋อินแลบลิ้นออกมา แต่อย่างไรก็ยังฟังลูกผู้พี่ของตน และไม่เอ่ยคำอีก

                เว่ยฉางอิ๋งนึกอยากรู้ขึ้นมาในใจ จึงกระซิบถามซูอวี๋ลี่ว่า “มิใช่ว่าองค์หญิงอันจี๋ไม่ทรงเป็นที่รักใคร่ขององค์ฮ่องเต้หรือ? เหตุใด…เหตุใดจึงคอยไปทำของขององค์หญิงหลินชวนเสียหายอยู่บ่อยครั้งเล่าเจ้าคะ?”

                ซูอวี๋ลี่กล่าวเสียงต่ำว่า “ต่อให้ไม่เป็นที่รักใคร่อย่างไรก็ยังเป็นกิ่งทองใบหยก ฝ่าบาทพระองค์นี้มีนิสัยแข็งกร้าวยิ่ง องค์หญิงหลินชวนเองก็ยังไม่กล้าบีบบังคับนางเลย ดังนั้นเมื่อถูกนางทำของพังบ้างก็ทำได้เพียงอดทนเอาเท่านั้น”

                 เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูด กล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าองค์ฮ่องเต้รักใคร่องค์หญิงหลินชวนนัก” ดูจากท่าทีเงียบๆ ไม่พูดจาองค์หญิงหลิงเซียนในท้องพระโรงวันนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรองค์หญิงอันจี๋ก็ควรจะต้องคอยระวังกริยาวาจาและน่าจะตกที่นั่งลำบากเมื่อต้องอยู่ในวังต่างหากนี่? เหตุใดฟังแล้วฝ่าบาทพระองค์นี้กลับร้ายกาจยิ่งนัก แม้แต่องค์หญิงหลินชวนที่เป็นที่รักยิ่งของฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าจัดการนาง?

                ซูอวี๋ลี่มีท่าทีไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องขององค์หญิงอันจี๋ว่าอย่างไรดี คิดอยู่เป็นนานจึงกล่าวว่า “วันหน้าเจ้าได้พบองค์หญิงอันจี๋ก็จะรู้เอง”

                แล้วกำชับว่า “ฝ่าบาทพระองค์นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นนัก อย่าได้ไปล่วงเกินนางเป็นเด็ดขาด… เพราะมีครั้งหนึ่งองค์หญิงหลินชวนไม่ระวังไปล่วงเกินนางเข้า จึงถูกกลั่นแกล้งนั่นๆ นี่ๆ มีปีกว่าแล้ว แม้องค์ฮองเฮาจะเคยตำหนิองค์หญิงอันจี๋ไปแล้ว แต่จนใจเหลือที่ทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ฮ่องเต้ องค์หญิงอันจี๋ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินองค์ฮองเฮา องค์ฮองเฮาเองก็จนปัญญา”

                เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงว่าองค์หญิงหลินชวนและฮองเฮากู้ก็ไม่จำเป็นจะต้องคิดเห็นเช่นเดียวกัน จึงคิดในใจว่าก็ไม่จำเป็นว่าฮองเฮากู้จะล่วงเกินองค์หญิงหลินชวนไม่ได้ เกรงว่าจะเป็นการจงใจปล่อยให้ฝ่าบาทพระองค์นี้ขัดใจกับองค์หญิงหลินชวนกระมัง? ไม่แน่ว่าการที่องค์หญิงอันจี๋ซึ่งไม่ได้เป็นที่รักขององค์ฮ่องเต้แต่กลับยังกล้าเพียงนี้ ก็ด้วยได้ฮองเฮาให้ท้าย

                คิดๆ ดู เวลานี้ในราชสำนักมีองค์หญิงที่ยังไม่ได้เสกสมรสเพียงสามพระองค์ก็ยังครึกครื้นถึงเพียงนี้แล้ว ฮ่องเต้มีโอรสสิบเจ็ดพระองค์ องค์หญิงยี่สิบพระองค์ ไม่รู้ว่าก่อนนี้ในวังจะครึกครื้นกันจนเป็นเช่นใด… มิน่าเล่าทั้งฮองเฮาและพระสนมเอกซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์เหล่านี้แต่ละคนจึงมีจิตใจที่ยากแท้หยังถึง องค์หญิงที่เป็นดังกิ่งทองใบหยกมีตั้งมากมายเพียงนี้ ผู้ที่ซื่อตรงสักหน่อยมีหรือจะครองตำแหน่งเอาไว้ได้

                ระหว่างที่สนทนากันอยู่ก็มาถึงหอเชียนชิวแล้ว หอเชียนชิวนี้อยู่ริมทะเลสาบ มีน้ำโอบล้อมไว้สามด้าน มีเพียงถนนที่คดเคี้ยวไปมาผ่านสุมทุมพุ่มไม้สายหนึ่งเข้ามาถึง บอกว่าเป็นหอ ความจริงมีเพียงหนึ่งชั้น แต่เพราะสร้างอยู่บนภูเขาเทียมซึ่งอยู่ติดริมทะเลสาบ ภูเขาเทียมก็ไม่สูง เดินบันไดหินไปสามก้าวห้าก้าวก็ขึ้นไปถึงแล้ว บนเขามีดินโคลนกองรวมตัวกันอยู่ มีต้นดอกอวี้หลานปลูกเอาไว้ซ้ายต้นหนึ่งขวาต้นหนึ่ง ดูมีชีวิตชีวายิ่ง

                ยามนี้ประตูหอเปิดกว้าง เสียงเจื้อยแจ้วของสาวน้อยทั้งหลายดังออกมาไม่หยุด ภายในเต็มไปด้วยหญิงสาวในชุดงดงามกลุ่มหนึ่ง ดูครื้นเครงยิ่งนัก

                เว่ยฉางอิ๋งมองไป เห็นองค์หญิงหลินชวนซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยเด็กสาวในชุดจิ่นอีสี่ห้าคน นางกับเด็กสาวข้างกายซึ่งสวมเสื้อส้างหรูสีแดงสาบชนกัน กลางคอเสื้อเผยให้เห็นเสื้อเกาะอกปักภาพดอกมู่ตานบนผ้าพื้นสีงาช้างผู้หนึ่ง กำลังถือพู่กันขนม่วง[1]ด้ามหนึ่ง ชี้จดๆ จ้องๆ ไปบนกระดาษไป๋เซวียน[2] คล้ายกำลังหารือกันว่าจะลงพู่กันเช่นไร

                ข้างๆ หลิวรั่วอวี้และหลิวรั่วเหยียก็ล้วนอยู่ด้วย ยังมีบางคนจากจือเปิ่นถัง ทั้งเว่ยฉางวาน เว่ยฉางเจวียนก็ล้วนอยู่ในกลุ่มคนที่ห้อมล้อมตัวองค์หญิงหลินชวนอยู่ ส่วนคนอื่นนอกนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้จักแล้ว

                แล้วเห็นว่าเสิ่นจั้งหนิงเดินไปทักทายกับเด็กสาวผู้หนึ่ง สองคิ้วของเด็กสาวผู้นั้นยาวเป็นพิเศษจนตรงเข้าไปถึงตีนผม ดวงตาดังหยดสีสีดำ จมูกได้รูปเหมือนแท่งหยกปากผลอิงเถา ผิวพรรณดังหยกขาวแช่แข็ง ทั้งเนียนละเอียดใสวาวดุจผลึกแก้วบริสุทธิ์ นางทำผมทรงฉุยเลี่ยนซวงจี้[3] สวมเสื้อตัวสั้นคอป้ายสีม่วงอมชมพูปักลายดอกทับทิมสีทึบ  สวมกระโปรงหรูฉวินจีบรอบจากผ้าสิบสองชิ้นคาดอก สายคาดกระโปรงมัดเป็นปมหรูอี้หัวใจคล้อง สองชายที่ย้อยลงมาเป็นพู่สีแดงทับทิม มีหยกประดับห้อยลงมาทับกระโปรงหรูฉวินจีบรอบเอาไว้ เพื่อมิให้โดนลมพัดจนเปิด

                ในมือนางถือพัดจีบเอวคอดด้ามหนึ่ง บนพัดกลับมิได้เป็นภาพจำพวกดอกไม้อย่างที่สตรีโดยมากใช้กัน หากแต่เป็นภาพไผ่และภูเขาหินที่วาดจากหมึกดำ ดูจืดชืดนัก ใต้ด้ามพัดก็มิได้มีของอย่างพวกถุงหอมห้อยอยู่ ตัวคนก็ดูเฉยชา ดูมีท่าทีไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องใดๆ

                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินเสิ่นจั้งหนิงเอ่ยถามเด็กสาวผู้นี้เสียงเบาๆ ว่า “พี่ฮั่ว ครานี้องค์หญิงหลินชวนจะเขียนอักษรใด?”

                เด็กสาวที่ถูกเรียกขานว่าพี่ฮั่วผู้นั้นยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “หมิ่นอีนั่วบอกว่าวันสองวันก่อนนางวาดภาพตามคำบรรยายใน ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ที่คนสมัยก่อนเขียนเอาไว้ จึงอยากขอให้องค์หญิงหลินชวนทรงพระอักษรชื่อ ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’ เอาไว้บนภาพ”

                ซูอวี๋เฟยพูดต่อไปว่า “เอ๋ กระดาษเซวียนที่อยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์มิใช่เป็นสีขาวหรอกหรือ?”

                “ฝ่าบาทบอกว่า ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’ มีอักษรบางตัวที่ไม่ค่อยพบเห็น และปกติก็ไม่ใคร่เคยเขียนนัก จึงอยากลองฝึกเขียนสักรอบสองรอบก่อนจึงค่อยเขียน” พี่ฮั่วผู้นี้พูดไป พลางมองที่เว่ยฉางอิ๋งซึ่งตามมาข้างหลังซูอวี๋ลี่คราหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปากถาม กลับมองเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาจากที่ไม่ไกลนัก แล้วพยักหน้าให้นาง กล่าวว่า “น้องสิบสี่ ข้ามีเรื่องจะถามฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่น สักพักพวกเจ้าจึงค่อยทักทายกันเถิด”

                เว่ยฉางอิ๋งมองไปกลับพบว่าคือฮูหยินน้อยใหญ่แซ่ฮั่วแห่งจือเปิ่นถัง นางพลันเข้าใจในทันทีว่านางฮั่วต้องการจะพูดสิ่งใดกับตน จึงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะพูดกับพี่สะใภ้เช่นกัน”

                ทั้งสองคนกล่าวขออภัยต่อผู้ที่มาด้วยคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปนอกหอเชียนชิว แล้วไปอยู่มุมหนึ่งบนภูเขาเทียม นางฮั่วขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยเสียงหนักว่า “ตรงนี้ไร้ผู้คน ข้าก็จะไม่เอ่ยคำอย่างเกรงใจแล้ว ที่ข้อมือของน้องสามีข้ามีรอยช้ำ ฮูหยินน้อยสามจะอธิบายอย่างไร?”

                เว่ยฉางอิ๋งเตรียมตัวไว้นานแล้ว เมื่อได้ยินคำจึงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “รอยช้ำใดกัน?”

                นางฮั่วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ฮูหยินน้อยสามไยต้องเสแสร้งเช่นนี้? ก่อนนี้น้องสามีบ้านข้าก็ยังดีๆ อยู่ ปรากฏว่าหลังจากลงจากรถมาก็ถูกท่านดึงตัวมาตลอดทางจนถึงหน้าตำหนักเว่ยยาง ที่ข้อมือมีรอยช้ำแถบหนึ่ง น้องสามีข้าก็บอกเองว่าท่านเป็นคนทำ เหตุใดฮูหยินน้อยสามกล้าทำแต่กลับไม่กล้ารับเล่า?”

                “พี่สะใภ้ฮั่ว คำกล่าวนี้ก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งก็กลับขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “พี่สะใภ้ฮั่วก็บอกแล้วว่า น้องลิ่งจือถูกข้าลากมาตลอดทางจนถึงหน้าตำหนักเว่ยยาง ระหว่างนั่งหากข้าไม่ตั้งใจไปบีบนางจนเจ็บ ยามนั้นมีพี่สะใภ้เดินอยู่ข้างหน้า ข้างหลังยังมีน้องลิ่งเยวี่ยเดินตามมา หรือว่าน้องลิ่งจือพูดจาไม่เป็น? ตลอดทางมานี้พวกท่านได้ยินน้องลิ่งจือร้องว่าเจ็บหรือ?”

                “ระหว่างทางลิ่งจือเคยส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก เพียงแต่ถูกเจ้าแสดงละครตบตาไปเท่านั้น!” นางฮั่วเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ฮะ คำกล่าวนี้ก็กล่าวได้น่าขันนัก ยามนั้นข้าก็บอกสาเหตุไปแล้ว ที่แท้พี่สะใภ้ฮั่วมารู้สึกเอายามนี้ว่าข้าแสดงละครตบตาหรือ? เช่นนั้นแล้ว เหตุใดยามนั้นจึงไม่คิดเช่นนี้เล่า? แล้วเหตุใดขณะนั้นจึงไม่มาเปิดแขนเสื้อน้องลิ่งจือดูสักหน่อย? พี่สะใภ้ทำเช่นนี้ต้องการจะปรักปรำข้าหรือ?”

                นางฮั่วเอ่ยเสียงหนักว่า “น้องสามีเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังแล้ว เจ้า…”

                “ตอนนี้น้องลิ่งจือก็มิได้อยู่ที่นี่ด้วย พี่สะใภ้ฮั่วท่านไม่เชื่อข้า ข้าเองก็ยังไม่เชื่อพี่สะใภ้ด้วย!” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหยันแล้วว่า “วันนี้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายล้วนมองเห็นแล้วว่าเป็นน้องลิ่งจือที่เข้ามาใกล้ชิดกับข้าเอง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเพราะพี่สะใภ้อิจฉาที่น้องลิ่งจือมาใกล้ชิดข้า จึงแสร้งทำเป็นมาทวงถามแทนน้องลิ่งจือ เพื่อจะได้จัดฉากยุยง? แน่นอนว่าตระกูลฮั่วก็เป็นตระกูลที่มีชื่อมีเสียงในเมืองหลวง ทว่าข้านั้นเป็นบุตรสาวสายหลักของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวอย่างเต็มภาคภูมิ พี่สะใภ้ฮั่วกลับกังขาในการอบรมบุตรสาวของตระเว่ยของข้า ทั้งที่สกุลฮั่วของท่านเป็นเพียงตระกูลใหญ่ระดับรอง ถือดีอย่างไรมาให้ข้าเชื่อท่าน?”

                นางฮั่วกล่าวอย่างเคืองโกรธว่า “เดิมทีก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ในเมื่อน้องสามีบ้านข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ข้าก็เพียงต้องการให้เจ้ารับผิด แล้วภายหลังไปขอขมานางก็เลิกแล้วกันไปเสีย! ไฉนเจ้าจึงไร้เหตุผลเช่นนี้ พูดจายังมิทันถึงสองสามคำก็โยงไปจนถึงเรื่องของสองตระกูลโน่น? คงมิใช่ต้องการจะเอาระดับของตระกูลมาข่มกันหรอกนะ? หรือว่าบ้านสามีข้าและน้องสามีข้ามิใช่ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว!”

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ใช่สิ ข้าและน้องลิ่งจือล้วนเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว การที่พวกเราจะสนิทชิดเชื้อกันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว พี่สะใภ้ท่านมาแทรกระหว่างกลางเช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งใด? พี่สะใภ้เอาแต่บอกว่าข้าล่วงเกินน้องลิ่งจือ แต่กลับไม่เห็นนางมาต่อว่าข้า ลำพังพี่สะใภ้ผู้เดียว แล้วจักให้ข้าปลงใจเชื่อได้อย่างไร?”

                นางฮั่วโกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัว คิดอยู่เป็นนาน จึงขบริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “เดิมทีข้าอยากจะให้โอกาสเจ้าสักหน ว่าจะจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวให้เลิกแล้วกันไป และไม่ต้องไปรบกวนผู้ใหญ่ ในเมื่อเจ้าไร้ยางอายเช่นนี้ ก็อย่าได้โทษว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าญาติมิตรก็แล้วกัน… ข้าจะไปบอกกับท่านอาสะใภ้ประเดี๋ยวนี้ แล้วให้ท่านอาสะใภ้ไปบอกกับแม่สามีเจ้า!”

                “หากพี่สะใภ้ฮั่วไม่ไปบอกผู้ใหญ่ ข้าก็จะไปบอกเอง” เว่ยฉางอิ๋งกลับมีท่าทีไม่พอใจเสียยิ่งกว่านาง พลางยิ้มหยันแล้วว่า “ข้ารู้ว่าท่านย่าของพวกเรามีเรื่องบาดหมางกัน ทว่านั่นก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ วันนี้ข้าแต่งเข้าตระกูลเสิ่นเป็นสะใภ้บ้านเสิ่น ตามหลักแล้วความแค้นของบ้านฝั่งมารดาก็ล้วนไม่ใคร่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว เดิมทีวันนี้น้องลิ่งจือเข้ามาใกล้ชิดข้า ข้าก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เชียว ที่แท้ก็วางแผนทำร้ายตัวเองเช่นนี้? พวกเจ้าอยากให้ร้ายข้า มีหรือจะง่ายปานนั้น? ข้าไม่เชื่อว่าแม่สามีข้าจะไปช่วยคนนอก!”

_______________________________________________อ

[1] พู่กันขนม่วง เป็นพู่กันที่ทำจากขนกระต่าย ปลายพู่กันเป็นสีม่วง ซึ่งจะมีความแข็งมากกว่าพู่กันที่ทำจากขนแพะ

[2] กระดาษไป๋เซวียน เป็นกระดาษที่ใช้วาดภาพซึ่งผลิดขึ้นที่เมืองเซวียนในมณทลอันฮุย

[3] ผมทรงฉุยเลี่ยนซวงจี้ เป็นทรงผมที่แบ่งผมเป็นสองข้างซ้ายขวา แล้วม้วนทบและมัดจนเป็นท่อนคล้ายข้าวต้มมัดไว้ที่ข้างศีรษะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด