ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 72 แม่ลูก

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 72 แม่ลูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เมื่อกลับถึงเรือนจินถง เสิ่นจั้งเฟิงกลับมาถึงก่อนและเปลี่ยนมาสวมเสื้อของฤดูร้อนสีแดงเข้มกลางเก่ากลางใหม่นั่งอ่านหนังสือรวมบทกลอนโบราณเล่มหนึ่งอยู่บนตั่งนั่งข้างหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงประตู เขาก็ยิ้มพลางเบิกตากว้างแล้วว่า “กลับมาแล้วหรือ?”

                เว่ยฉางอิ๋งตอบว่าอืมไปคำหนึ่งอย่างเซื่องซึม เสิ่นจั้งเฟิงสัมผัสได้ว่านางอารมณ์ไม่ใคร่ดี จึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “มีเรื่องใดหรือ? เหตุใดจึงดูเซื่องซึมเช่นนี้”

                ยุ่งวุ่นวายมาครึ่งเดือนที่สุดก็จัดการเรื่องงานแต่งของน้องสะใภ้แล้งน้ำใจจนเสร็จสิ้น พวกพี่สะใภ้อดทนยอมไม่ได้คิดอยากจะเอาคืนแต่กลับเพราะใจร้อนเกินไป กลับทำให้นางพลอยถูกแม่สามีตำหนิมา… นับตั้งแต่แต่งเข้าบ้านมาเว่ยฉางอิ๋งยังไม่เคยถูกปฏิบัติไม่ดีแต่อย่างใด วันนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกแม่สามีตำหนิ และคำพูดของฮูหยินซูในวันนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลย นางย่อมรู้สึกไม่สบายใจ แม้ระหว่างทางจะตำหนินางหวงไปแล้ว เมื่อกลับมาถึงในห้องก็ยังคงรู้สึกหดหู่อึดอัดใจ เมื่อนางได้ยินคำจึงเดินเข้ามาซบในอกเขา แล้วเอ่ยอย่างเซื่องซึมว่า “ไม่มีสิ่งใด คงเพราะสองวันนี้เหนื่อยเกินไป”

                คนเป็นสะใภ้หากจะถูกแม่สามีต่อว่าคำสองคำ ในสายตาของคนทั่วไปล้วนคิดว่าเป็นเรื่องสมควร ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ฮูหยินซูตำหนิบรรดาสะใภ้ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ประการต่อมาฮูหยินซูเป็นแม่แท้ๆ ของเสิ่นจั้งเฟิง แล้วจะให้เอาเรื่องมาฟ้องเสิ่นจั้งเฟิง แล้วให้เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าฮูหยินซูไม่ดีเช่นนั้นหรือ?

                เว่ยฉางอิ๋งไม่อยากบอกรายละเอียดกับเขา จึงพูดให้คลุมเครือไปดังนั้น

                เสิ่นจั้งเฟิงโอบนางเอาไว้พลางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงวางหนังสือลงไว้ข้างๆ ตัว แล้วเอื้อมมือไปไล้ผมของนาง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้างจะพาเจ้าออกไปผ่อนคลายสักหน่อยดีไหม?”

                ยามนี้ไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งได้ยินสิ่งใดก็ล้วนไม่รู้สึกดีใจทั้งสิ้น จึงกล่าวไปว่า “อาการร้อนปานนี้ ช่างมันเถิด”

                “มีที่ช่วยคลายร้อน” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ เวลานี้เป็นช่วงที่มีลมเย็นพัดมา ไปล่องเรือก็จะเย็นสบายนัก”

                เว่ยฉางอิ๋งนึกขึ้นมาได้ว่านางเคยได้ยินชื่อทะเลสาบแห่งนี้ครั้งเข้าไปในวัง จึงถามว่า “เป็นใน ‘กลอนทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ที่เคยมีคนเขียนเอาไว้นั่นใช่หรือไม่?”

                “ที่นั่นนั่นล่ะ” เสิ่นจั้งเฟิงยืนนิ้วไปแตะที่หน้าผากนาง กล่าวว่า “พอดีว่าข้ายังมีวันหยุดอีกสองวัน หากครานี้ไม่ไป วันหน้าเมื่อข้าได้รับคำสั่งให้ทำงานก็คงจะไม่ว่างอีกแล้ว”

                พอเว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าวันหน้าเขาไม่อาจมีเวลาว่างได้ง่ายๆ แล้ว นางก็เพิ่งจะแต่งงานใหม่จึงอดรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาไม่ได้ และเอ่ยเสียงหนักๆ ไปว่า “ก่อนหน้านี้ท่านแม่ให้ข้าไปเรียนการดูแลบ้านเรือนกับพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รอง หากบอกว่าจะออกไปเที่ยวในยามนี้…”

                “ร่ำเรียนการดูแลบ้านเรือนก็มิใช่เรื่องแค่วันสองวันนี่ สักพักข้าจะบอกกับท่านแม่เอง” เสิ่นจั้งเฟิงบอกให้นางวางใจ “ในฤดูร้อนจะมีดอกบัวอยู่ในทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ พวกเราก็ไม่ต้องใช้เรือใหญ่ เลือกเรือลำเล็กๆ ล่องไปตามน้ำ ทำให้เห็นภาพ ‘ดอกบัวท่วมหัวคน’ โดยแท้ สนุกนักเชียว”

                เขาพรรณนาออกมาเสียจนเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าความกลัดกลุ้มในใจหายไปหลายส่วน จึงกล่าวว่า “ข้ากลับเคยได้ยินลูกผู้พี่ซ่งบอกว่าที่เจียงหนานก็มีทัศนียภาพเช่นนี้ เพียงแต่ก่อนนี้ครั้งอยู่ที่เฟิ่งโจว ในสวนก็มีทะเลสาบ แต่เพราะท่านย่าเป็นห่วงข้า จึงไม่ยอมให้ข้าลงไปในทะเลสาบ”

                เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “เจ้าไปว่ายน้ำกับสามีในทะเลสาบก็ให้วางใจเถิด! ทักษะทางน้ำของสามีนั้นก็ฝึกมาจากทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลินี่ล่ะ!”

                เว่ยฉางอิ๋งอารมณ์ดีขึ้นมา แล้วเยาะเขาว่า “ฝึกมาจากทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิจริงๆ หรือ? คงมิใช่ว่ากินน้ำในนั้นมาหรอกนะ? ข้าได้ยินลูกผู้พี่ซ่งบอกว่ามีคนไปเรียนดำน้ำแล้วก็ตุ๊มต๊ำตุ้มต๊ำกินน้ำไปกินน้ำมาก็ลอยขึ้นมาแล้ว”

                “บังอาจนัก ถึงกลับกล้าเยาะสามีรึ!” เสิ่นจั้งเฟิงดีดนิ้วไปที่หน้าผากนางหนหนึ่ง อมยิ้มแล้วว่า “ยังไม่รีบจูบสามีสักหน่อยอีก หาไม่แล้วดูซิว่าวันนี้สามีจะจัดการเจ้าอย่างไร… สามีไม่ไปพูดแล้ว ดูซิว่าเจ้าจะไปขอร้องท่านแม่ให้เจ้าออกจากเรือนได้อย่างไร!”

                เว่ยฉางอิ๋งพุ่งตัวเข้าในอกเขา กล่าวอย่างเล่นเล่ห์ว่า “ข้าไม่จูบ… เจ้าไปพูด ไปพูด ไปพูดสิ! หากข้าไม่ไปกับเจ้า เจ้าไปผู้เดียวจะสนุกได้อย่างไร?” แล้วดึงแขนเสื้อเขาโบกไปมา กำลังโบกอยู่ลมหายใจของเสิ่นจั้งเฟิงก็ค่อยๆ หนักขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่จูบก็ได้ แต่เจ้าต้องให้สามีผ่อนคลายสักหน่อยก่อน แล้วสามีจะพาเจ้าออกไปผ่อนคลายข้างนอก…”

                ทั้งสองคนรุกเร้ากันอยู่พักใหญ่ เสิ่นจั้งเฟิงลุกขึ้นมาอย่างพึงพอใจ จัดแจงเสื้อผ้า แล้วโน้มตัวลงไปจูบภรรยาหนแล้วหนเล่า จากนั้นจึงเรียกบ่าวเข้ามาปรนนิบัติดูแล เขายิ้มแล้วก้มตัวลงมาข้างหูนาง กล่าวว่า “ข้าจะไปอาบน้ำ แล้วจะไปพูดกับท่านแม่”

                เว่ยฉางอิ๋งผลักเขาออกอย่างไม่พอใจ “อย่ากวนข้า เจ้าจะทำสิ่งใดก็ไปสิ!”

                เสิ่นจั้งเฟิงเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มนางหนหนึ่ง แล้วจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำก็เรียกให้คนตักน้ำเข้ามา อาบน้ำผลัดเสื้อผ้า แล้วไปหาฮูหยินซูที่เรือนหลักด้วยจิตใจปลอดโปร่ง เพื่อไปบอกเรื่องที่เขาคิดจะพาเว่ยฉางอิ๋งไปเที่ยวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ เพราะทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิอยู่นอกเมือง ด้วยเกรงว่าหากเที่ยวกันจนค่ำมืดแล้วจะกลับมาไม่ทัน เสิ่นจั้งเฟิงจึงขอลาให้ภรรยาสองวัน

                เมื่อฮูหยินซูได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวเสียงเย็นเยือกไปว่า “ยามนี้เป็นสะใภ้นี่ช่างวิเศษเสียจริง ก็แค่ต่อว่านางไปคำหนึ่ง ถึงกับต้องให้สามีพาออกไปเที่ยวคลายทุกข์ที่ทะเลสาบนอกเมืองเชียวรึ? คลายทุกข์วันเดียวไม่พอ ยังต้องไปสองวัน? หนิงเอ๋อร์เป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้า ทั้งยังเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่ท่านพ่อของเจ้ารักที่สุด มีครั้งใดที่นางทำผิดพูดผิดแล้วข้าไม่ตีไม่ต่อว่าเป็นการสั่งสอนนาง? ดีชั่วอย่างไรข้าก็ไม่เคยตีสะใภ้!”

                เสิ่นจั้งเฟิงสะดุ้งตกใจ จากนั้นก็ยิ้มสู้แล้วว่า “ท่านแม่ต่อว่าอิ๋งเอ๋อร์? ลูกไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย เมื่อครู่นี้อิ๋งเอ๋อร์มิได้พูดสิ่งใดทั้งนั้น”

                แล้วฮูหยินซูมีหรือจะยอมเชื่อ นางจึงยิ้มเยาะแล้วว่า “นางมิได้พูดสิ่งใดทั้งนั้น แล้วเจ้าอยู่ดีๆ จะคิดพานางไปเที่ยวทะเลสาบหรือ?” แล้วนางก็รู้สึกสงสารบุตรชายขึ้นมา “เรื่องงานแต่งของจั้งฮุยเพิ่งจะเสร็จสิ้น ทางหน้าบ้านเจ้าก็วิ่งเข้าวิ่งออกเพื่องานของเขาอยู่หลายรอบ วานนี้ก็ทั้งช่วยเขาดื่มสุรา ทั้งช่วยเขาต้อนรับสหายตามโต๊ะต่างๆ วันหยุดที่ท่านหัวหน้ากู้ให้เจ้ายังมีอีกสองสัน ก็เพราะเตรียมการให้เจ้าได้พักผ่อนให้ดีๆ ข้ารู้ว่าเพราะก่อนนางเว่ยผู้นี้ออกเรือนนางถูกคนทำลายชื่อเสียง เจ้าจึงกลัวว่าเมื่อนางแต่งเข้ามาแล้วจะถูกรังแก จึงได้เอาอกเอาใจและยอมให้นางไปเสียทุกเรื่อง… แต่เจ้าดูเสียบ้างว่านางเอาอกเอาใจเจ้าบ้างหรือไม่?”

                เสิ่นจั้งเฟิงลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าฮูหยินซู ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วช่วยทุบขาให้นาง ทุบไปพลาง ยิ้มสู้ต่อไปพลาง “ท่านแม่เข้าใจผิดแล้วจริงๆ ขอรับ อิ๋งเอ๋อร์ไม่ได้พูดสิ่งใดกับลูกจริงๆ กลับเป็นลูกเองที่คิดว่ายังมีวันหยุดอีกสองวัน หากอยู่แต่ในบ้านก็คงน่าเบื่อ หลังจากดอกบัวในทะเลสาบหญ้าใบไม้ผลิบานลูกก็ยังไม่ได้ดูเลย มิสู้ไปเที่ยวชมดูสักรอบ จึงคิดว่าหากไปดูผู้เดียวก็จะน่าเบื่อ ยามนี้มีภรรยาแล้ว ย่อมต้องพานางไปด้วย”

                แล้วกล่าวอย่างจริงใจไปอีกว่า “ลูกเคยหลอกท่านแม่เมื่อใดกัน?”

                ฮูหยินซูส่งเสียงหึออกมา กล่าวว่า “ปีก่อนเจ้ารีบตามไปเฟิ่งโจว…”

                “ยามนั้นลูกก็แค่เพียงจากไปไม่ลา หาได้หลอกท่านแม่ไม่” เสิ่นจั้งเฟิงแก้ต่าง “จะว่าไป ปกติแล้วอิ๋งเอ๋อร์พูดเสมอว่าท่านแม่ปฏิบัติต่อนางเช่นบุตรสาวแท้ๆ เช่นนั้น ทั้งยังดีกว่าน้องหญิงสี่เสียอีก หากมิใช่ท่านแม่เป็นคนเอ่ยออกมาดังนั้น ลูกจะไม่มีทางคิดได้เลยว่าเมื่อครู่นี้ท่านแม่ต่อว่านาง”

                ในบรรดาบุตรธิดาทั้งหมดของฮูหยินซู นางรักใคร่บุตรชายคนเล็กเสิ่นจั้งจีมากที่สุด แต่สำหรับเสิ่นจั้งเฟิงที่ได้รับความสำคัญจากในตระกูลนั้น นางก็คอยปกป้องเขาเสมอมา ยามนี้มาได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงอธิบายหนแล้วหนเล่าว่าเว่ยฉางอิ๋งมิได้ไปบอกเขาว่าตนถูกรังแก ทั้งยังบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งเคยพูดว่าตนถูกปฏิบัติประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ สีหน้าของนางจึงได้ผ่อนคลายลงมาบางส่วน กล่าวว่า “คำพูดนี้นางก็เคยพูดแล้ว ว่านางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า และข้าเองก็ปฏิบัติต่อนางเช่นแม่สามีทั่วไปปฏิบัติต่อสะใภ้ นางทำดี ข้าย่อมต้องชมเชย ทำไม่ดี ก็แน่นอนวาข้าต้องสั่งสอนนาง”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “ว่ากันว่ามารดาใจดีลูกล้มเหลว มารดาชื่นชมตำหนิย่อมต้องรู้จักแยกแยะ มิใช่เพราะทำเพื่อนาง และมิใช่เพราะมองนางเป็นบุตรสาวหรอกหรือ? ลูกกลับรู้ว่าแม้แต่ไรมาท่านแม่จะพูดจารุนแรง แต่ความจริงแล้วกลับอ่อนโยนและมีเมตตาเป็นที่สุด”

                “เจ้าเป็นลูกแท้ๆ ของข้า ก็ไม่ต้องเอาคำพูดเหล่านี้มาเยินยอข้าหรอก!” ฮูหยินซู้ยกขาขึ้นจากมือเขา ทั้งโกรธทั้งตลกพลางว่า “เจ้าคนแล้งน้ำใจ เพิ่งช่วยอธิบายให้นางเว่ยเสร็จ เจ้าก็ทุบขาข้างนี้ช้าลงเสียแล้ว… เจ้ากำลังคิดว่าเมื่อทุบสองหนนี้เสร็จก็จะไปแล้วใช่หรือไม่?”

                “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น!” เสิ่นจั้งเฟิงรีบเข้าไปทุบขาให้นางอีกสองครั้ง แล้วเข้าไปถามเอาใจว่า “ใช่แล้ว ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ท่านต่อว่าอิ๋งเอ๋อร์ด้วยเรื่องใดขอรับ? ลูกคิดว่าระยะนี้นางก็ไปช่วยท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่จวนท่านอานี่ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนจินถง นางก็ยังไม่ว่างไปถามไถ่ถึงเลย หรืออาจเป็นพวกบ่าวคิดการใดเอง?”

                เดิมทีมุมปากของฮูหยินซูยังมีรอยยิ้ม เมื่อได้ยินคำก็กำหมัดเข้า แล้วทุบที่หัวเขาอย่างไม่เบาไม่หนักไปหนหนึ่ง ตวาดไปว่า “ข้ายังนึกว่าคำพูดดีๆ ที่เจ้าพูดเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงเสียอีก! ไอ้เจ้าลูกแต่งเมียแล้วลืมแม่! นี่เจ้าคอยสงสัยมาตลอดว่าแม่ให้ร้ายภรรยาเจ้ารึ?!” แม่แท้ๆ ล้วนไม่ยอมเชื่อว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไม่ดี ฮูหยินซูก็เช่นกัน ดังนั้นทางหนึ่งนางตีบุตรชาย อีกทางหนึ่งก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “เป็นนางเว่ยพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่? เจ้ายังมาทำเป็นพูดดี… ไอ้เจ้าคนแล้งน้ำใจ นางเว่ยเพิ่งจะแต่งเข้ามาไม่กี่วัน เจ้าก็ถูกนางยุยงเสียจนมาสงสัยว่าข้าจะทำรุนแรงกับนาง… เจ้าอยากทำให้ข้าโมโหจนตายหรือไร!”

                “ท่านแม่โปรดอย่าโกรธ! อย่าโกรธ!” เสิ่นจั้งเฟิงขยับหลบด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก แล้วแก้ต่างไปอย่างไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี “ก็ลูกมิใช่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใดหรอกหรือ?  ก็เพียงคิดว่าหลายวันมานี้อิ๋งเอ๋อร์ไม่ได้มีเวลาดูแลเรื่องต่างๆ ในเรือนจินถง… จึงเกรงว่าระหว่างนั้นจะมีคนยุยง จนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ที่เป็นดังมารดาและบุตรสาวแท้ๆ ของท่านแม่และอิ๋งเอ๋อร์เสียแล้ว…โอ๊ย!”

                เห็นบุตรชายกุมหัวพลางส่งเสียงร้องด้วยเจ็บปวด ความจริงแล้วฮูหยินซูก็รู้สึกสงสาร จึงได้ยิ้มเย็นๆ แล้วยั้งมือ บอกว่า “เรือนจินถง… เจ้าเห็นข้าเป็นแม่สามีเช่นป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าหรือไร?! ที่ไม่ได้มองสะใภ้เป็นคนเลยแม้แต่น้อยเช่นนั้น? ข้าจะบอกเจ้าให้ แม้ข้าจะไม่อาจมองสะใภ้เป็นดังเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ แต่ก็ก่อเวรก่อกรรมกับพวกนางไม่ได้เด็ดขาด!”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มสู้ “ท่านแม่เป็นคนมีเมตตาเสมอมา…”

                “เจ้าหุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินซูร้องตวาดเสียงดังสั่งให้เขาหยุด ชี้นิ้วออกไป พลางพูดด้วยความเดือดดาลยิ่งว่า “เมียเจ้าเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านได้ไม่กี่วัน! หากว่านี่เป็นเรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นในเรือนของนางเอง แล้วข้าจะหมดความอดทนเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น จนต้องด่าทอนางและไล่นางออกไปหรือ? ไยเจ้าไม่ลองคิดบ้างว่าครั้งพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าแต่งเข้าบ้านนั้น ข้าสอนนางดูแลบ้านเรือนชนิดพาจับมือทำมาอย่างไร?! พอหลังพี่สะใภ้รองของเจ้าแต่งเข้าบ้านมา พี่ชายรองของเจ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้า แล้วข้าเคยได้ชักสีหน้าใส่พี่สะใภ้รองของเจ้าหรือไม่? ส่วนเจ้าเป็นลูกแท้ๆ ของข้า ในเมื่อเป็นภรรยาเจ้า ข้าจะปฏิบัติกับนางไม่สู้พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ารึ?!”

                เสิ่นจั้งเฟิงบอกสำนึกผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังไปบีบนวดขา ทั้งนวดไหล่ให้มารดา เห็นน้ำชาในถ้วยที่อยู่ตรงหน้าฮูหยินซูพร่องลงไป ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกน้ำชามาเติมให้จนเต็ม… พยายามอยู่เป็นนานสองนาน ที่สุดก็ปรนนิบัติจนฮูหยินซูคล้ายความโกรธลงได้ นางถลึงตาแรงๆ ใส่เขาหนหนึ่ง แล้วอธิบายเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบว่า “…แม้ยามนั้นนางเว่ยไม่ได้เข้ามาสำทับด้วย ทว่าก็มีท่าทีคอยดูเรื่องสนุก ปีนั้นเพราะท่านพ่อของพวกเจ้าและท่านอามีกันอยู่แค่สองพี่น้อง ท่านปู่และท่านย่าของพวกเจ้าเสียไป นับแต่รับช่วงหมิงเพ่ยถังมาก็ต้องลำบากมามากมายจึงสามารถดำรงตำแหน่งมาได้อย่างมั่นคง ระหว่างนั้นดีที่ท่านอาของพวกเจ้ามีปณิธานที่มั่นคง จึงไม่ถูกคนในตระกูลปลุกปั่นเอาแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่ยอมแก่งแย่งกับท่านพ่อของพวกเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นยังยินยอมคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังเสริมให้แก่ท่านพ่อของพวกเจ้า ท่านพ่อของพวกเจ้าจึงสามารถวางใจลงได้มาก! ยามนี้ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่ในรุ่นของพวกเจ้ามีพี่น้องผู้ชายที่เติบโตมาได้ถึงแปดคน นำหน้ารุ่นของท่านพ่อและท่านอาของพวกเจ้าห่างไกลนัก! แต่เล็กมาพวกเราผู้ใหญ่ก็สอนสั่งให้พวกเจ้าสมานสามัคคีอย่าได้ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง… แน่นอนว่าเมื่อแต่งผู้หญิงข้างนอกเข้ามา เพราะพวกนางไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน จึงอดจะมีความคิดเล็กน้อยไปต่างๆ นานาไม่ได้!”

                “ทว่าหากเป็นความคิดเล็กน้อยในเรื่องปกติธรรมดา ว่ากันว่าน้ำใสเกินไปไร้มัจฉา[1] ข้าจึงได้ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งมอง แต่วันนี้เพราะนางเผยไม่รู้จักเคารพนบนอบเพียงครั้ง สะใภ้สองคนนี้ก็คิดจะสอดมือเข้าไปก้าวก่ายเรื่องหลังบ้านของน้องสี่! ความคิดอ่านดังนี้หรือจะทำให้เกิดเรื่องดีได้? ดังนั้นข้าจึงพูดให้หนักสักหน่อย นางเว่ยอยู่ที่นั่นด้วย ไม่คิดจะห้ามปรามพี่สะใภ้ทั้งสอง แต่กลับมีท่าทีคอยดูเรื่องสนุก ข้าจึงได้สอนสั่งนางเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อมิให้วันหน้านางทำความผิดใหญ่หลวง ไม่สมควรหรือไร?!”

                ฮูหยินซูตบโต๊ะแรงๆ ไปหนหนึ่ง ขึ้นเสียงว่า “เจ้าว่ามา!”

                เสิ่นจั้งเฟิงยกชายเสื้อขึ้นและลงไปคุกเข่าเสียเลย พลางเอ่ยด้วยความสัตย์ว่า “ลูกรู้ผิดแล้ว!”

                “…หึ!” ฮูหยินซูยังคิดจะต่อว่าเขาไปอีกสองสามคำ ทว่าเมื่อครู่นี้ก็ต่อว่าไปเป็นนานสองนานแล้ว นางก็อยู่ในวัยที่หลานสาวคนโตอายุสิบขวบแล้ว พอออกแรงนานๆ เข้าก็รู้สึกอ่อนล้า คิดอยากจะพูดบางสิ่งต่อก็กลับรู้สึกว่าเหนื่อยแล้ว จึงเพียงพูดหนักๆ ไปว่า “เจ้าไสหัวกลับไปเรือนจินถงให้ข้าเดี๋ยวนี้! ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไปเรียกแม่นมเถาเขามาปรนนิบัติข้า… เห็นไอ้เจ้าลูกอกตัญญูเช่นเจ้า ข้าก็รู้สึกรำคาญ!”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มสู้ “ล้วนเป็นลูกไม่ถูกเอง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอิ๋งเอ๋อร์เลอะเลือนไปชั่วครู่ นึกเพียงแต่ว่านางเพิ่งจะแต่งเข้ามา แล้วเป็นบ่าวในเรือนจินถงทำเรื่องผิดพลาดเสียอีกขอรับ! ท่านแม่เป็นคนจิตใจกว้างมาแต่ไร ไม่ผิดจากที่ลูกเคยรู้มา…”

                “ไสหัวไป ไสหัวไป!” ฮูหยินซูตบพนักตั่งของตนพลางเอ่ยหนแล้วหนเล่า “อย่ามาอยู่ขว้างหูขว้างตาข้าที่นี่!”

                เสิ่นจั้งเฟิงรีบบอกไปว่า “ลูกจะไปเรียกแม่นมเถาให้ท่านแม่ขอรับ!”

                ฮูหยินซูร้องหึออกมาหนักๆ หนหนึ่ง… แล้วเห็นเสิ่นจั้งเฟิงออกจากประตูไป ไม่ถึงอึดใจก็โผล่หัวกลับมาเข้ามา แล้วค่อยๆ ถามอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้น ท่านแม่ขอรับ เรื่องที่ลูกจะพาอิ๋งเอ๋อร์ไปที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ… ท่านแม่อนุญาตแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”

                “ตั้งแต่ต้นจนจบก็เอาแต่คิดถึงอิ๋งเอ๋อร์ของเจ้า! แล้วแม่อย่างข้าถูกเจ้าทิ้งไว้ที่ใด?!” ฮูหยินซูออกแรงตบตั่งด้วยความโกรธ “ไอ้เจ้าคนแล้งน้ำใจ! รีบไสหัวออกไปให้ข้าเร็วๆ หากให้ข้าเห็นเจ้าอีก ดูซิว่าข้าจะให้คนเอาไม้เรียวมาตีขาเจ้าให้หัก!”

                “ขอบคุณท่านแม่มากขอรับ” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำก็หัวเราะฮ่าๆ และไม่ได้สนใจใดๆ ตนเองไปเรียกแม่นมเถาเข้ามาดูแลรับใช้ฮูหยินซู… และกลับถือเอาเองว่าฮูหยินซูรับปากตนไปแล้ว…

________________________________

[1] น้ำใสเกินไปไร้มัจฉา เป็นท่อนหนึ่งจากภาษิตจีน ซึ่งมีอีกท่อนต่อว่า “คนแยกแยะชัดเจนเกินไปไร้มวลมิตร” หมายถึง หากเป็นคนที่เอาจริงเอาจังเกินไป แยกแยะผิดถูกกับทุกเรื่อง ย่อมไม่มีคนคบหา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด