ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 146-2 หมิ่นเหยา โจวเสี่ยวเย้

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 146-2 หมิ่นเหยา โจวเสี่ยวเย้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้ฟังออกว่าคำพูดนี้หมายความว่าไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยง่าย สีหน้าของพวกนางพลันเปลี่ยนไปทันใด …ไม่รอให้พวกนางคิดหาคำมาตอบได้ นางเฮ่อก็บอกว่า “วานนี้ ฮูหยินของเราก็บอกแล้ว ว่าเป็นเพราะนับแต่ฮูหยินน้อยของเราออกเรือนมาก็มีเรื่องมากมายต้องทำ นอกจากวันกลับบ้านแล้ว ก็ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยือนที่จวนเลย จนเป็นเหตุให้ฮูหยินรองไม่ชอบใจ จึงให้คุณหนูเจ็ดใช้วิธีเหล่านี้มาเตือนฮูหยินน้อยของเราใช่หรือไม่?”

แน่นอนว่าคำพูดนี้พวกนางต้องไม่ยอมรับ หมิ่นเหยารีบบอกว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น ท่านอาโปรดอย่าเข้าใจผิดโดยเด็ดขาด!” พอนางพูดออกไปแล้วก็รู้สึกว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่เอ่ยปากพูดอีกเลย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรตนเองก็เป็นพี่สะใภ้บ้านอาของนาง ยามนี้ต้องไล่เรียงชี้แจงกับท่านอาซึ่งเป็นบ่าวติดตามของน้องสามีก็ดูเสียราคาเกินไปจริงๆ จึงรีบพูดกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “น้องสาม นี่นับเป็นเรื่องเข้าใจผิดขนานใหญ่โดยแท้! ท่านแม่มักพูดเสมอว่าน้องสามเติบโตในเฟิ่งโจว แล้วต้องแต่งมาไกลถึงเมืองหลวง พวกเราต้องเห็นใจให้มาก ห้ามไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้น้องสามอีกเป็นอันขาด! แล้วจะปล่อยให้น้องเจ็ดไม่เคารพน้องสามได้อย่างไรกัน?”

โจวเสี่ยวเย้ก็บอกว่า “นี่ล้วนเป็นเพราะน้องเจ็ดไม่รู้ความต่างหาก กอปรกับคนเลวที่มีแผนการคอยยุยุงด้วย”

 เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “นี่เป็นเรื่องใดกันแน่ ข้าเองก็งงไปหมดแล้ว ข้าคิดไปคิดมา ต่อให้ข้าล่วงเกินท่านอารองและท่านอาสะใภ้รอง แต่ความแค้นเคืองก็คงไม่ใหญ่หลวงจึงถึงขั้นที่น้องเจ็ดจะต้องตามรังควานข้าไปทุกที ไม่เว้นแม้แต่งานมงคลเช่นงานสมรสของบ้านผู้อื่น ก็ต้องไปทำให้ข้าเสียหน้า หรือกระทั่งถึงขั้นไปฟ้องกับองค์หญิงกระมัง? ดังนั้นพี่สะใภ้ทั้งสองอย่าพูดสิ่งใดเลยดีกว่า รอจนข้าพบกับท่านอารองและท่านอาสะใภ้รอง ให้ข้าได้ขอขมาที่ข้าเพิกเฉยต่อท่านอาและอาสะใภ้เสียก่อน ข้าค่อยสอบถามถึงสาเหตุที่แท้จริงเอง เพื่อมิให้ระหว่างทางสั้นๆ นี้พูดจากันไม่ชัดเจน แล้วกลับยิ่งทำให้ข้าสับสนไปมากกว่านี้”

หมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้สบตากันหนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างอึดอัดใจว่า “ในเมื่อน้องสามเอ่ยเช่นนี้ พวกพี่สะใภ้ก็จะไม่พูดมากอีกแล้ว” แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เพียงแต่วันนี้ท่านพ่อออกไปเยี่ยมเยือนสหายข้างนอก กลับไม่ได้อยู่ในบ้าน”

เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะหยันคำหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับนางหวงต่อหน้าพวกนางว่า “ท่านอาว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ แม้พวกเราตั้งใจรอจนวันหยุดจึงค่อยมา แต่อย่างไรท่านอาสะใภ้ก็ทำให้พวกเราไม่ได้พบกับท่านอารองจนได้”

นางหวงยิ้มเรียบๆ กล่าวว่า “ความจริงแล้วก็ไม่อาจโทษฮูหยินรองได้ทั้งหมดนะเจ้าคะ บางทีร่างกายของนายท่านรองอาจจะ…”

“น้องสามโปรดอย่าได้เข้าใจผิด ท่านพ่อท่านมีนัดอยู่ก่อนแล้วจริงๆ…” หมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้ต่างละล่ำละลักเป็นที่สุด พลางพึมพำออกมาเบาๆ …กลับหาใช่ว่าสะใภ้บ้านอาทั้งสองคนนี้จะเป็นคนขี้ขลาดขี้กลัวมาแต่ไร แต่เพราะพวกนางไม่เพียงไม่ได้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ในตระกูลของพวกนางแต่ละคน แม้พวกนางจะเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอก ทว่ากลับไม่ได้เป็นบุตรสาวที่ถูกฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างรักใคร่เอาใจเช่นเว่ยฉางอิ๋งหรือเว่ยฉางเจวียน พวกนางจึงเป็นคนเงียบๆ ไม่ช่างเจรจามาแต่เล็ก

….นั่นเพราะเรื่องแต่งงานของเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยล้วนเป็นแม่เฒ่าซ่งเป็นคนกำหนด ซึ่งความตั้งอกตั้งใจที่แม่เฒ่าซ่งคัดเลือกสะใภ้ให้หลายชายที่ไม่ได้เป็นสายเลือดของตนเองทั้งสองคนนี้ก็เหมือนกับที่นางตั้งใจเลือกสะใภ้ให้กับเว่ยฉางเฟิ่งซึ่งเป็นบุตรชายแท้ๆ ของตน

เพียงแต่ว่า เลือกให้เว่ยฉางเฟิงนั้นตั้งใจเลือกให้ดี ส่วนเลือกให้เว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยน่ะหรือ…กลับเป็นไปในทางตรงข้าม เมื่อดูจากชาติกำเนิดของหลานชายทั้งสองของนางแล้ว หากสามารถเลือกให้ต่ำที่สุดเท่าใดได้ก็ให้ต่ำเท่านั้น ไม่เพียงแค่นี้ เรื่องนิสัยใจคอของหมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้ แม่เฒ่าซ่งก็ยังส่งนางหวงไปตรวจสอบหนแล้วหนเล่าจนแน่ใจ ว่าพวกนางเป็นคนนิ่งเงียบเหมือนท่อนไม้ และไม่ใกล้เคียงกับคนประเภทเฉลียวฉลาด มีชั้นเชิงลึกล้ำเลยแม้แต่น้อย

หลังจากพวกนางทั้งสองคนแต่งเข้าบ้านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการงานบ้าน กตัญญูเคารพต่อพ่อแม่สามี ความอดทนใจกว้างกับอนุก็ล้วนทำได้ดี นับตั้งแต่ตัวเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยเอง ไปจนถึงเว่ยฮ่วนล้วนไม่อาจต่อว่าแม่เฒ่าซ่งว่าเลือกหลานสะใภ้ได้ไม่ดี เพียงแต่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหลานสะใภ้ทั้งสองคนนี้ไม่อาจช่วยเหลือเรื่องการงานของเว่ยฉางอวิ๋นพี่น้องได้เท่าใดนัก การเข้าสังคมกับคนภายนอกก็กลับทำได้เพียงกลางๆ …ส่วนเรื่องจะให้คิดอ่านวางแผนการใดๆ ยิ่งไม่ต้องไปหวังเลย

เวลานี้พวกนางถูกแม่สามีสั่งให้ออกมาต้อนรับเว่ยฉางอิ๋งที่มาด้วยเจตนาไม่ดี …แม้หมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้ล้วนไม่เฉลียวฉลาดนัก แต่เมื่อเป็นสตรีมีตระกูลตามมาตรฐานทั่วไปแล้วพวกนางก็ไม่ได้โง่ ลูกผู้น้องสามบ้านลุงผู้นี้เป็นถึงหลานสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวที่เป็นดังดวงใจและมุกในฝ่ามือแม่เฒ่าซ่ง สามีที่นางแต่งด้วยก็ยังเป็นถึงบุตรหลานที่เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง เมื่อฟังจากที่ท่านอาบ่าวติดตามของนางว่า การกลับมาขอขมาหนนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากฮูหยินซู บุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลซูแห่งชิงโจวซึ่งเป็นแม่สามีของนางด้วย

คนที่แม้แต่พ่อและแม่สามีก็ยังไม่กล้าล่วงเกินเช่นนี้ ไม่ว่าวันหน้าหรือวันใดพวกนางสองสะใภ้ก็ไม่ต้องการมีความแค้นเคืองใดกับลูกผู้น้องสามบ้านลุงผู้นี้ เห็นทางตายอยู่ข้างหน้าแล้วไยต้องไม่ยอมลดละด้วย? ครานี้พวกนางจึงเพียงแก้ต่างไปเบาๆ คำสองคำและไม่พูดสิ่งใดอีกเสียเลย เพื่อไม่ต้องถูกตอกกลับจนถึงขั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและหาทางลงไม่ได้

ดังนั้นตลอดทางที่เดินต่อไป จึงเดินกันอย่างเงียบงัน ได้ยินเพียงเสียงติงตังของเครื่องประดับ …หารู้ไม่ว่าเมื่อเข้ามาในโถงทางด้านหลังแล้ว แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังปั้นหน้าเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็งเพื่อเตรียมมาจัดการนางตวนมู่ซึ่งเป็นอาสะใภ้รองสักยก แต่กลับพบว่าคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหลักภายในโถงเพียงคนเดียวนั้น กลับไม่ใช่นางตวนมู่ในชุดหรูหรางดงาม หากแต่เป็นคนที่สวมเสื้อผ้าอยู่บ้านธรรมดา บนหัวสวมหมวกผ้า ซึ่งคนผู้นั้นก็คือ เว่ยเซิ่งอี๋

เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง หมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้เองก็ยังตื่นตกใจ พลันคารวะพ่อสามีไปโดยไม่ทันคิด ทั้งไม่กล้าถามว่าแม่สามีที่เดิมทีอยู่ในโถงนี้ไปอยู่เสียที่ใดแล้ว สะใภ้ทั้งสองคนที่เดิมทีก็หัวไม่ค่อยไวอยู่แล้วจึงตัวแข็งทื่อขึ้นมาในทันใด

ดูจากปฏิกิริยาของพี่สะใภ้ทั้งสองแล้ว เรื่องที่นางบอกว่าท่านอารองเว่ยเซิ่งอี๋บอกว่าจะออกไปเยี่ยมสหาย และวันนี้มีเพียงนางตวนมู่ซึ่งเป็นอาสะใภ้รองอยู่ดูแลในจวนเพียงคนเดียวนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง เว่ยฉางอิ๋งพลันยิ้มอยู่ในใจ นางยังแอบพูดคุยกับนางหวงมาเมื่อคืนว่า ในเมื่อท่านอารองเป็นคนที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก แล้วที่ใดจะถูกอาสะใภ้รองลวงเอาได้ง่ายดายเพียงนั้น?

นี่คงเป็นเพราะท่านอารองรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง จึงได้ย้อนกลับมากระมัง? ส่วนเรื่องที่ท่านอาสะใภ้รองไม่อยู่ แน่นอนว่าต้องถูกท่านอารองสั่งให้ออกไปแล้ว

 เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนี้ เว่ยเซิ่งอี๋ต้องคิดจะจัดการเรื่องในคราวนี้กับตนเองเพียงลำพัง?

เว่ยฉางอิ๋งคิดอยู่ในใจรอบหนึ่ง จึงคำนับไปหนหนึ่ง กล่าวว่า “หลานคารวะท่านอารองเจ้าค่ะ

___________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด