ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 200-1 เกษียณตัว

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 200-1 เกษียณตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เว่ยซินหย่งยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ผลเสียนะหรือ…นอกจากหลานสาวจะจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว ก็คงเป็นเรื่องที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเกลี่ยกล่อมให้ท่านประมุขรับข้าเข้าในรุ่ยอวี่ถังกระมัง?”

เว่ยฉางอิ๋งสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน เข้าใจขึ้นมาทันใดว่าเขาหมายถึงเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้นี้ทำให้แม่เฒ่าซ่งท่านย่าของนางเป็นห่วงตน …เดิมทีแม่เฒ่าซ่งก็เป็นห่วงว่าหลานชายแท้ๆ ที่ยังอายุน้อยจะสามารถรับภาระหนักอึ้งของรุ่ยอวี่ถังได้เมื่อใด เวลานี้มาได้ยินว่าหลานสาวที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงทำการเลอะเลือนไม่รอบคอบเพียงนี้ จึงร้อนใจรีบหาคนมีความสามารถมาอยู่ด้วย แม้คนผู้นี้ไม่อาจเชื่อถือได้เท่าใดก็ตาม?

ดังนี้แล้ว การที่ท่านอาร่วมตระกูลผู้นี้กลายมาเป็นท่านอาบุตรท่านปู่สี่ เพราะมีสาเหตุจากตนเอง!

 “ดูท่าว่าหลานสาวจะคิดว่าการที่ท่านอาร่วมตระกูลเช่นข้ากลายมาเป็นท่านอาจริงๆ เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก?” เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ พลางสังเกตกริยาสีหน้าของนาง

เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจถึงเรื่องนี้ขึ้นมา รีบตอบพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ท่านอาหกท่านเข้าใจผิดแล้วจริงๆ แม้หลานจะโง่เง่า แต่ก็รู้ว่าท่านอาหกมีความรู้ความสามารถมากมายล้นเหลือ แต่น่าเสียดายที่ก่อนนี้ ท่านอาหกอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ไปมาหาสู่ไม่สะดวก ในเมื่อยามนี้ท่านอาหกก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว วันหน้าหลานก็สามารถมาขอคำชี้แนะได้ รู้สึกยินดีเสียเหลือเกิน ต้องขอให้ท่านอาหกอย่าได้รังเกียจที่หลานโง่เง่า ต้องให้ท่านอบรมสอนสั่งจึงจะดี”

เดิมทีเว่ยเจิ้งอินอยากจะพูดบางสิ่ง แต่เมื่อเห็นดังนี้แล้ว คิดไปคิดมาจึงสงบคำเสีย

แล้วได้ยินเว่ยซินหย่งเอ่ยไปตามนางว่า “ในเมื่อเจ้าว่ามาดังนี้ ข้าก็ไม่อาจไม่สอนเจ้าสองสามคำ เจ้าเป็นคนก่อเรื่องให้ฮั่วเจ้าอวี้อภิเษกกับองค์หญิง และตระกูลฮั่วไม่อาจทำอันใดเจ้าได้ ครานี้เพราะตระกูลเจ้าช่วยเจ้าเอาไว้ ว่ากันจริงๆ แล้ว หากไม่มีบรรดาญาติผู้ใหญ่ของเจ้า ด้วยเรื่องเรื่องนี้ก็เพียงพอทำให้เจ้าต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแล้ว เจ้านึกว่าตระกูลฮั่วรังแกได้ง่ายๆ รึ? ส่วนฝ่ายตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของเรานั้น แม้จะถดถอยลงไปมาก แต่พวกเขาไม่อาจไม่คอยระวังดูแลเจ้าซึ่งเป็นหลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวของท่านประมุข หากเจ้าอยู่ในตระกูลชั้นตระกูลใหญ่อื่นๆ หรือเป็นพวกชาวบ้านทั่วไป หรือเป็นเพียงบุตรสาวในสายที่ห่างไกลของตระกูลเว่ย เจ้าก็จะได้ลิ้มรสการรับมือของตระกูลฮั่วแล้ว”

เว่ยฉางอิ๋งอุทานไปว่า “ท่านอาหกสอนสั่งถูกต้องนัก หลังจากหลานตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วก็มิได้ไม่สำนึกเสียใจ และต้องมาไตร่ตรองไปมาในยามค่ำคืนหลายหน ถามตนเองว่าแต่แรกไยจึงเลอะเลือนเช่นนี้ กลับทำเรื่องที่โง่เง่าเพียงนี้ออกมาได้ จะโทษก็แต่ครั้งหลานยังไม่ออกเรือนถูกผู้ใหญ่ตามใจจนเคยตัว ชอบทำตามใจ จนทำผิดในครานี้ สวรรค์เมตตาที่ตระกูลฮั่วมิได้ถือสาเอาความหลานถึงที่สุด จึงทำให้หลานมีโอกาสแก้ตัวในวันหน้า”

“หลานก็มิต้องตำหนิตนเองถึงเพียงนี้” เว่ยซินหย่งหันกลับมาปลอบโยนนาง “เหตุที่ตระกูลฮั่วไม่ได้เอาความเจ้าถึงที่สุด นอกจากเกรงกลัวบารมีของตระกูลเจ้าแล้ว ก็ด้วยเรื่องนี้ก็มิได้ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา บุตรหลานมีตระกูลไม่อยากสมรสกับเชื้อพระวงศ์ ประการแรกเพราะตามความคิดของตระกูลเช่นพวกเราแล้ว เหล่าเชื้อพระวงศ์ไม่ทัดเทียมตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ ประการที่สองเพราะเกรงกลัวการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของพระราชธิดา ว่าจะอาศัยอำนาจของราชสำนักมาข่มเหงรังแกพระสวามี ทว่าองค์หญิงอันจี๋และท่านหญิงเจินอี้ล้วนไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ ความกังวลในประเด็นหลังจึงตกไป ส่วนประเด็นแรกนั้น แม้ฮั่วเจ้าอวี้จะสูญเสียแรงหนุนจากตระกูลฝั่งภรรยาไป ทว่าชาวบ้านร้านตลาดล้วนรู้กันว่าองค์หญิงอันจี๋ที่ดูคล้ายร้ายกาจ ความจริงแล้วหลักแหลมเหนือคน หากได้แต่งกับบุตรีในตระกูลทั่วๆ ไป หรือต่อให้เป็นบุตรีของตระกูลสูงศักดิ์ก็ไม่แน่ว่าจะหลักแหลมเก่งกาจได้ทัดเทียมองค์หญิงอันจี๋ เมื่อมองจากตัวเลือกของภรรยาแล้ว ฮั่วเจ้าอวี้ก็ไม่ได้เสียเปรียบเกินไปจริงๆ อย่างไรเสียสามีภรรยาเป็นคนคนเดียวกัน ตระกูลฝั่งภรรยาเป็นเพียงแค่เรี่ยวแรงจากภายนอก ตระกูลฝั่งภรรยาแข็งแกร่ง กับมีภรรยาที่ดีงามเก่งกาจ ต่างก็มีข้อดีไปคนละอย่าง”

เขาจิบน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินกู้ยังให้หลานไปพูดเรื่องแต่งงานกับคุณชายหกบ้านเสิ่นด้วย ….เรื่องอนาคตของหลานเขยก็ไม่ต้องให้ข้าเอ่ยให้มากความ นายผู้หญิงที่จะมาปกครองหมิงเพ่ยถังในวันหน้า นอกจากหลานแล้วจะยังมีผู้ใด? ในระหว่างคู่สะใภ้ด้วยกัน ก็มิใช่ว่าเป็นเพราะเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้แล้วยิ่งทำให้ต้องกลั่นแกล้งฮั่วชิงหลิงให้มากขึ้น? หากตระกูลต้องการทวงถามความรับผิดชอบจากหลานให้จงได้ แล้วจะได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นนี้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นหากหลานไม่แนะนำฮั่วเจ้าอวี้แก่องค์หญิงอันจี๋ คุณหนูตระกูลฮั่วก็จะไม่อาจแต่งเข้าตระกูลเสิ่น ด้วยเหตุนี้ตระกูลฮั่วที่อาจมองดูคล้ายว่าหลานเป็นคนทำให้ต้องทนเสียเปรียบ แต่หากนับกันจริงๆ แล้วกลับมิได้ขาดทุนเรื่องใด”

ฉะนั้นจึงสอนสั่งเว่ยฉางอิ๋งว่า “วันหน้าเมื่อทำการใด เจ้าสามารถคิดถึงสิ่งที่ ตระกูลฮั่วทำในครานี้”

เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำนี้แล้ว พลันพยักหน้าหนแล้วหนเล่า เอ่ยชมเชยว่า “ฉะนั้นเมื่อหลานได้ยินว่า ท่านอาหกมาที่เมืองหลวงจึงยินดีเป็นนักหนา” แล้วหันไปบอกกับ เว่ยเจิ้งอินว่า “ท่านอาย่อมต้องรักหลานมากเช่นกัน ทว่าท่านอาทนใจแข็งพูดจาแรงๆ กับหลานไม่ได้….”

เว่ยเจิ้งอินยิ้มน้อยๆ แล้วขัดคำนางขึ้นมา “ข้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง จะมีความคิดอ่านเทียบเท่าน้องหกซึ่งเปี่ยมด้วยความสามารถได้ที่ใด? ไม่เพียงแค่เจ้าที่วันหน้าต้องขอคำชี้แนะจากน้องหกให้มาก แม้แต่ข้าก็ต้องทำความรู้จักกับน้องหกให้มากเข้าไว้เช่นกัน”

สนทนากันอย่างปรองดอง ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา หลานให้ความเคารพดังนี้ไปสักพัก เว่ยเจิ้งอินก็กลับมาพูดเรื่องจริงจังอีกครั้ง แล้วถามถึงสถานการณ์ตอนนี้ขึ้นมา“น้องหกมีความสามารถมากมายเพียงนี้ แต่หลายปีมานี้กลับไม่แม้จะได้ยินชื่อเสียงมาก่อน จือเปิ่นถังนี่ช่างเลอะเลือนเสียจริงที่ฝังเพชรงามเอาไว้! ทว่าน้องหกเพิ่งจะมาอยู่ในรุ่ยอวี่ถัง แล้วเหตุใดไม่อยู่ที่เฟิ่งโจวเพื่อทำความรู้จักกับท่านพ่อ พี่น้องและหลานๆ แต่กลับรีบรุดมาที่เมืองหลวงเล่า? หรือว่าในเมืองหลวงนี่…”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เว่ยเจิ้งอินก็หยุดเสีย แล้วมีสีหน้ากังวลออกมา

เว่ยซินหย่งเอ่ยว่า “พี่หญิงรองไม่ทราบ เดิมทีนั้นซินหย่งเองก็คิดจะอยู่ที่เฟิ่งโจวสักพัก จักได้ขอคำชี้แนะจากท่านลุงรองและท่านอุบาสกจื้อเจี่ยวให้มาก แต่จนใจที่ก่อนหน้านี้พี่ชายรองเขียนจดหมายกลับไป เอ่ยว่าระยะนี้มักรู้สึกเหนื่อยล้านัก คงเพราะตรากตรำทำงานมานาน จนละเลยดูแลตนเอง แลทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดี ท่านลุงรองนำจดหมายฉบับนั้นมาให้ซินหย่งอ่าน ในเนื้อหาจดหมายของพี่ชายรอง แสดงออกถึงเจตนาจะเกษียณตัวจากราชการขอรับ”

เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำนี้สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปทันใด เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “พี่ชายรองก็ก่อเรื่องก่อราวเสียจริงเชียว เขาก็โตเพียงนี้แล้ว เหตุใดจึงยังเหมือนเด็กเล็กๆ ร่างกายอ่อนล้า ก็ควรจะไปหาหมอขอยาจึงจะถูก เหตุใดจึงต้องเขียนจดหมายกลับไปทำให้ท่านพ่อต้องเป็นกังวลกับเขาเล่า?” พวกหลานๆ ล้วนยังไม่โต เจ้าก็ไม่ควรมาทิ้งภาระหน้าที่เอายามนี้สิ!

เมื่อพูดจบ เว่ยเจิ้งอินจึงเพิ่งสำนึกได้ว่าตนเองใจร้อนเกินไป พลันสงบอารมณ์ แล้วเยาะตนเองว่า “ขายหน้าต่อหน้าน้องหกแล้ว ข้าเป็นคนใจร้อนเช่นนี้ …พี่ชายรองของพวกเรากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ที่ท่านพ่อเกษียณตัวในครานั้นล้วนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คงเป็นเพราะชะตาลิขิต ปรากฏว่าหลังจากท่านพ่อเกษียณตัว รุ่ยอวี่ถังก็เริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆ ยามนี้พี่ชายรองก็มาทำเช่นนี้อีก …จริงๆ เชียว…”

เมื่อสนทนาไกล่เกลี่ยกันไปดังนี้ อาหลานทั้งสองคนจึงรู้ว่าเหตุใดเว่ยซินหย่งถึงถูกรับมาอยู่ในรุ่ยอวี่ถังแล้ว …นางตวนมู่ถูกแม่เฒ่าซ่งบีบจนตาย เว่ยฮ่วนตัดสินใจจะสนับสนุนหลายชายขึ้นรับตำแหน่ง จึงเท่ากับละทิ้งฝั่งของเว่ยเซิ่งอี๋

เพียงคิดก็รู้ว่า เมื่อเว่ยฉางเฟิงสืบทอดรุ่ยอวี่ถัง ด้วยคำนึงถึงชื่อเสียงหรือเพราะความใจกว้างของตัวเว่ยฉางเฟิงเองก็แล้วแต่ ต่อให้เว่ยฉางเฟิงไม่ไปสร้างความลำบากให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะไม่ได้มีชีวิตที่ดีอีกแล้ว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความปรารถนาจะช่วงชิงตำแหน่งของเว่ยเซิ่งอี๋เลย ว่ากันแต่เพียงเรื่องที่เว่ยฉางเฟิงเกิดและเติบโตที่เฟิ่งโจว จนทุกวันนี้เว่ยเซิ่งอี๋ล้วนยังไม่เคยพบหลานชายผู้นี้แม้สักหน ในสายของเขาก็มีเพียงเว่ยฉางซุ่ยคนเดียวที่เคยถูกเรียกตัวให้กลับไปอยู่ที่เฟิ่งโจวสองสามเดือน ทั้งยังถูกแม่เฒ่าซ่งระแวงเหมือนระแวงโจร จึงเคยได้สนทนากับลูกผู้น้องไม่ถึงสองสามคำด้วยซ้ำ …แล้วจะมีความผูกพันต่อกันสักกี่มากมาย?

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 200-1 เกษียณตัว

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 200-1 เกษียณตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เว่ยซินหย่งยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ผลเสียนะหรือ…นอกจากหลานสาวจะจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว ก็คงเป็นเรื่องที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเกลี่ยกล่อมให้ท่านประมุขรับข้าเข้าในรุ่ยอวี่ถังกระมัง?”

เว่ยฉางอิ๋งสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน เข้าใจขึ้นมาทันใดว่าเขาหมายถึงเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้นี้ทำให้แม่เฒ่าซ่งท่านย่าของนางเป็นห่วงตน …เดิมทีแม่เฒ่าซ่งก็เป็นห่วงว่าหลานชายแท้ๆ ที่ยังอายุน้อยจะสามารถรับภาระหนักอึ้งของรุ่ยอวี่ถังได้เมื่อใด เวลานี้มาได้ยินว่าหลานสาวที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงทำการเลอะเลือนไม่รอบคอบเพียงนี้ จึงร้อนใจรีบหาคนมีความสามารถมาอยู่ด้วย แม้คนผู้นี้ไม่อาจเชื่อถือได้เท่าใดก็ตาม?

ดังนี้แล้ว การที่ท่านอาร่วมตระกูลผู้นี้กลายมาเป็นท่านอาบุตรท่านปู่สี่ เพราะมีสาเหตุจากตนเอง!

 “ดูท่าว่าหลานสาวจะคิดว่าการที่ท่านอาร่วมตระกูลเช่นข้ากลายมาเป็นท่านอาจริงๆ เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก?” เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ พลางสังเกตกริยาสีหน้าของนาง

เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจถึงเรื่องนี้ขึ้นมา รีบตอบพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ท่านอาหกท่านเข้าใจผิดแล้วจริงๆ แม้หลานจะโง่เง่า แต่ก็รู้ว่าท่านอาหกมีความรู้ความสามารถมากมายล้นเหลือ แต่น่าเสียดายที่ก่อนนี้ ท่านอาหกอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ไปมาหาสู่ไม่สะดวก ในเมื่อยามนี้ท่านอาหกก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว วันหน้าหลานก็สามารถมาขอคำชี้แนะได้ รู้สึกยินดีเสียเหลือเกิน ต้องขอให้ท่านอาหกอย่าได้รังเกียจที่หลานโง่เง่า ต้องให้ท่านอบรมสอนสั่งจึงจะดี”

เดิมทีเว่ยเจิ้งอินอยากจะพูดบางสิ่ง แต่เมื่อเห็นดังนี้แล้ว คิดไปคิดมาจึงสงบคำเสีย

แล้วได้ยินเว่ยซินหย่งเอ่ยไปตามนางว่า “ในเมื่อเจ้าว่ามาดังนี้ ข้าก็ไม่อาจไม่สอนเจ้าสองสามคำ เจ้าเป็นคนก่อเรื่องให้ฮั่วเจ้าอวี้อภิเษกกับองค์หญิง และตระกูลฮั่วไม่อาจทำอันใดเจ้าได้ ครานี้เพราะตระกูลเจ้าช่วยเจ้าเอาไว้ ว่ากันจริงๆ แล้ว หากไม่มีบรรดาญาติผู้ใหญ่ของเจ้า ด้วยเรื่องเรื่องนี้ก็เพียงพอทำให้เจ้าต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแล้ว เจ้านึกว่าตระกูลฮั่วรังแกได้ง่ายๆ รึ? ส่วนฝ่ายตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของเรานั้น แม้จะถดถอยลงไปมาก แต่พวกเขาไม่อาจไม่คอยระวังดูแลเจ้าซึ่งเป็นหลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวของท่านประมุข หากเจ้าอยู่ในตระกูลชั้นตระกูลใหญ่อื่นๆ หรือเป็นพวกชาวบ้านทั่วไป หรือเป็นเพียงบุตรสาวในสายที่ห่างไกลของตระกูลเว่ย เจ้าก็จะได้ลิ้มรสการรับมือของตระกูลฮั่วแล้ว”

เว่ยฉางอิ๋งอุทานไปว่า “ท่านอาหกสอนสั่งถูกต้องนัก หลังจากหลานตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วก็มิได้ไม่สำนึกเสียใจ และต้องมาไตร่ตรองไปมาในยามค่ำคืนหลายหน ถามตนเองว่าแต่แรกไยจึงเลอะเลือนเช่นนี้ กลับทำเรื่องที่โง่เง่าเพียงนี้ออกมาได้ จะโทษก็แต่ครั้งหลานยังไม่ออกเรือนถูกผู้ใหญ่ตามใจจนเคยตัว ชอบทำตามใจ จนทำผิดในครานี้ สวรรค์เมตตาที่ตระกูลฮั่วมิได้ถือสาเอาความหลานถึงที่สุด จึงทำให้หลานมีโอกาสแก้ตัวในวันหน้า”

“หลานก็มิต้องตำหนิตนเองถึงเพียงนี้” เว่ยซินหย่งหันกลับมาปลอบโยนนาง “เหตุที่ตระกูลฮั่วไม่ได้เอาความเจ้าถึงที่สุด นอกจากเกรงกลัวบารมีของตระกูลเจ้าแล้ว ก็ด้วยเรื่องนี้ก็มิได้ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา บุตรหลานมีตระกูลไม่อยากสมรสกับเชื้อพระวงศ์ ประการแรกเพราะตามความคิดของตระกูลเช่นพวกเราแล้ว เหล่าเชื้อพระวงศ์ไม่ทัดเทียมตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ ประการที่สองเพราะเกรงกลัวการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของพระราชธิดา ว่าจะอาศัยอำนาจของราชสำนักมาข่มเหงรังแกพระสวามี ทว่าองค์หญิงอันจี๋และท่านหญิงเจินอี้ล้วนไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ ความกังวลในประเด็นหลังจึงตกไป ส่วนประเด็นแรกนั้น แม้ฮั่วเจ้าอวี้จะสูญเสียแรงหนุนจากตระกูลฝั่งภรรยาไป ทว่าชาวบ้านร้านตลาดล้วนรู้กันว่าองค์หญิงอันจี๋ที่ดูคล้ายร้ายกาจ ความจริงแล้วหลักแหลมเหนือคน หากได้แต่งกับบุตรีในตระกูลทั่วๆ ไป หรือต่อให้เป็นบุตรีของตระกูลสูงศักดิ์ก็ไม่แน่ว่าจะหลักแหลมเก่งกาจได้ทัดเทียมองค์หญิงอันจี๋ เมื่อมองจากตัวเลือกของภรรยาแล้ว ฮั่วเจ้าอวี้ก็ไม่ได้เสียเปรียบเกินไปจริงๆ อย่างไรเสียสามีภรรยาเป็นคนคนเดียวกัน ตระกูลฝั่งภรรยาเป็นเพียงแค่เรี่ยวแรงจากภายนอก ตระกูลฝั่งภรรยาแข็งแกร่ง กับมีภรรยาที่ดีงามเก่งกาจ ต่างก็มีข้อดีไปคนละอย่าง”

เขาจิบน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินกู้ยังให้หลานไปพูดเรื่องแต่งงานกับคุณชายหกบ้านเสิ่นด้วย ….เรื่องอนาคตของหลานเขยก็ไม่ต้องให้ข้าเอ่ยให้มากความ นายผู้หญิงที่จะมาปกครองหมิงเพ่ยถังในวันหน้า นอกจากหลานแล้วจะยังมีผู้ใด? ในระหว่างคู่สะใภ้ด้วยกัน ก็มิใช่ว่าเป็นเพราะเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้แล้วยิ่งทำให้ต้องกลั่นแกล้งฮั่วชิงหลิงให้มากขึ้น? หากตระกูลต้องการทวงถามความรับผิดชอบจากหลานให้จงได้ แล้วจะได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นนี้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นหากหลานไม่แนะนำฮั่วเจ้าอวี้แก่องค์หญิงอันจี๋ คุณหนูตระกูลฮั่วก็จะไม่อาจแต่งเข้าตระกูลเสิ่น ด้วยเหตุนี้ตระกูลฮั่วที่อาจมองดูคล้ายว่าหลานเป็นคนทำให้ต้องทนเสียเปรียบ แต่หากนับกันจริงๆ แล้วกลับมิได้ขาดทุนเรื่องใด”

ฉะนั้นจึงสอนสั่งเว่ยฉางอิ๋งว่า “วันหน้าเมื่อทำการใด เจ้าสามารถคิดถึงสิ่งที่ ตระกูลฮั่วทำในครานี้”

เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำนี้แล้ว พลันพยักหน้าหนแล้วหนเล่า เอ่ยชมเชยว่า “ฉะนั้นเมื่อหลานได้ยินว่า ท่านอาหกมาที่เมืองหลวงจึงยินดีเป็นนักหนา” แล้วหันไปบอกกับ เว่ยเจิ้งอินว่า “ท่านอาย่อมต้องรักหลานมากเช่นกัน ทว่าท่านอาทนใจแข็งพูดจาแรงๆ กับหลานไม่ได้….”

เว่ยเจิ้งอินยิ้มน้อยๆ แล้วขัดคำนางขึ้นมา “ข้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง จะมีความคิดอ่านเทียบเท่าน้องหกซึ่งเปี่ยมด้วยความสามารถได้ที่ใด? ไม่เพียงแค่เจ้าที่วันหน้าต้องขอคำชี้แนะจากน้องหกให้มาก แม้แต่ข้าก็ต้องทำความรู้จักกับน้องหกให้มากเข้าไว้เช่นกัน”

สนทนากันอย่างปรองดอง ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา หลานให้ความเคารพดังนี้ไปสักพัก เว่ยเจิ้งอินก็กลับมาพูดเรื่องจริงจังอีกครั้ง แล้วถามถึงสถานการณ์ตอนนี้ขึ้นมา“น้องหกมีความสามารถมากมายเพียงนี้ แต่หลายปีมานี้กลับไม่แม้จะได้ยินชื่อเสียงมาก่อน จือเปิ่นถังนี่ช่างเลอะเลือนเสียจริงที่ฝังเพชรงามเอาไว้! ทว่าน้องหกเพิ่งจะมาอยู่ในรุ่ยอวี่ถัง แล้วเหตุใดไม่อยู่ที่เฟิ่งโจวเพื่อทำความรู้จักกับท่านพ่อ พี่น้องและหลานๆ แต่กลับรีบรุดมาที่เมืองหลวงเล่า? หรือว่าในเมืองหลวงนี่…”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เว่ยเจิ้งอินก็หยุดเสีย แล้วมีสีหน้ากังวลออกมา

เว่ยซินหย่งเอ่ยว่า “พี่หญิงรองไม่ทราบ เดิมทีนั้นซินหย่งเองก็คิดจะอยู่ที่เฟิ่งโจวสักพัก จักได้ขอคำชี้แนะจากท่านลุงรองและท่านอุบาสกจื้อเจี่ยวให้มาก แต่จนใจที่ก่อนหน้านี้พี่ชายรองเขียนจดหมายกลับไป เอ่ยว่าระยะนี้มักรู้สึกเหนื่อยล้านัก คงเพราะตรากตรำทำงานมานาน จนละเลยดูแลตนเอง แลทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดี ท่านลุงรองนำจดหมายฉบับนั้นมาให้ซินหย่งอ่าน ในเนื้อหาจดหมายของพี่ชายรอง แสดงออกถึงเจตนาจะเกษียณตัวจากราชการขอรับ”

เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำนี้สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปทันใด เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “พี่ชายรองก็ก่อเรื่องก่อราวเสียจริงเชียว เขาก็โตเพียงนี้แล้ว เหตุใดจึงยังเหมือนเด็กเล็กๆ ร่างกายอ่อนล้า ก็ควรจะไปหาหมอขอยาจึงจะถูก เหตุใดจึงต้องเขียนจดหมายกลับไปทำให้ท่านพ่อต้องเป็นกังวลกับเขาเล่า?” พวกหลานๆ ล้วนยังไม่โต เจ้าก็ไม่ควรมาทิ้งภาระหน้าที่เอายามนี้สิ!

เมื่อพูดจบ เว่ยเจิ้งอินจึงเพิ่งสำนึกได้ว่าตนเองใจร้อนเกินไป พลันสงบอารมณ์ แล้วเยาะตนเองว่า “ขายหน้าต่อหน้าน้องหกแล้ว ข้าเป็นคนใจร้อนเช่นนี้ …พี่ชายรองของพวกเรากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ที่ท่านพ่อเกษียณตัวในครานั้นล้วนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คงเป็นเพราะชะตาลิขิต ปรากฏว่าหลังจากท่านพ่อเกษียณตัว รุ่ยอวี่ถังก็เริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆ ยามนี้พี่ชายรองก็มาทำเช่นนี้อีก …จริงๆ เชียว…”

เมื่อสนทนาไกล่เกลี่ยกันไปดังนี้ อาหลานทั้งสองคนจึงรู้ว่าเหตุใดเว่ยซินหย่งถึงถูกรับมาอยู่ในรุ่ยอวี่ถังแล้ว …นางตวนมู่ถูกแม่เฒ่าซ่งบีบจนตาย เว่ยฮ่วนตัดสินใจจะสนับสนุนหลายชายขึ้นรับตำแหน่ง จึงเท่ากับละทิ้งฝั่งของเว่ยเซิ่งอี๋

เพียงคิดก็รู้ว่า เมื่อเว่ยฉางเฟิงสืบทอดรุ่ยอวี่ถัง ด้วยคำนึงถึงชื่อเสียงหรือเพราะความใจกว้างของตัวเว่ยฉางเฟิงเองก็แล้วแต่ ต่อให้เว่ยฉางเฟิงไม่ไปสร้างความลำบากให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะไม่ได้มีชีวิตที่ดีอีกแล้ว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความปรารถนาจะช่วงชิงตำแหน่งของเว่ยเซิ่งอี๋เลย ว่ากันแต่เพียงเรื่องที่เว่ยฉางเฟิงเกิดและเติบโตที่เฟิ่งโจว จนทุกวันนี้เว่ยเซิ่งอี๋ล้วนยังไม่เคยพบหลานชายผู้นี้แม้สักหน ในสายของเขาก็มีเพียงเว่ยฉางซุ่ยคนเดียวที่เคยถูกเรียกตัวให้กลับไปอยู่ที่เฟิ่งโจวสองสามเดือน ทั้งยังถูกแม่เฒ่าซ่งระแวงเหมือนระแวงโจร จึงเคยได้สนทนากับลูกผู้น้องไม่ถึงสองสามคำด้วยซ้ำ …แล้วจะมีความผูกพันต่อกันสักกี่มากมาย?

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+