ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 56 ซูเนี่ยนชู

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 56 ซูเนี่ยนชู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เว่ยฉางอิ๋งกำลังหิวหนัก แต่ก็จนใจนักที่องค์หญิงชิงซินมีฐานะสูงส่ง จึงไม่อาจไม่ฝืนใจตอบนางไปได้ว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเรียนเพลงหมัดเพลงเตะมาบ้างเพคะ”

                “เรียนวรยุทธ์สนุกหรือไม่?” องค์หญิงชิงซิงยังคงใบหน้าบึ้งดึง แต่ในสายตากลับมีแววของความอยากรู้อยากเห็นออกมา

                …เว่ยฉางอิ๋งลอบถอนหายใจ พยายามวางท่าทีกลบเกลื่อนและกล่าวต่อไปว่า “ทูลฝ่าบาท ตามความเห็นของหม่อมฉันนั้นไม่นับว่าสนุก เพราะเหนื่อยหนักยิ่งเพคะ”

                องค์หญิงชิงซินมีท่าทีผิดหวังเล็กน้อย “เรียนฉินก็เหนื่อย เรียนระบำก็เหนื่อย เรียนผีผาก็เหนื่อย… เรียนวรยุทธ์ก็เหนื่อย เหตุใดจึงไม่มีสักเรื่องที่เรียนอย่างสบายบ้างนะ?”

                เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าข้าเองก็ยังนึกว่าท่านจะถามเรื่องนี้ไปทำสิ่งใด คงมิใช่ว่าฮ่องเต้หวังจะให้ราชธิดาองค์เล็กร่ำเรียนศิลปะความสามารถสักหน่อย ปรากฏว่าองค์หญิงน้อยที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาจนเคยตัวกลับเกี่ยงนี่เกี่ยงนั้น จึงคิดจะเลือกเรียนแต่สิ่งที่ง่ายๆ ไม่เหน็ดเหนื่อย? เพียงแต่ศิลปะความสามารถใดในไต้หล้าจะร่ำเรียนได้อย่างสบายๆ ไม่เหน็ดเหนื่อยกันเล่า? นอกจากจะมีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด… แต่นั่นก็ยังต้องฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อให้คุ้นเคยมือ!

                แม้จะรู้สึกขึ้นมาหน่อยๆ ว่าอยากจะร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับโล่งใจ เพราะตามคำที่องค์หญิงชิงซินเอ่ยมา นางก็คงจะไม่ได้มาเพราะคำยุยงของหลิวรั่วเหยีย แต่ก็แน่นอนว่าองค์หญิงชิงซินอาจจะแสแสร้งทำได้เช่นกัน… ทว่าองค์หญิงก็เพิ่งจะอายุสิบขวบ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนหลิวรั่วเหยียไปเสียหมด

                คิดสักพัก เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทอยากเรียนความสามารถพิเศษ หรือเพคะ?”

                องค์หญิงชิงซินมองนางอยู่เป็นนาน จึงพึมพำออกมาเสียงเบาๆ ว่า “เสด็จแม่มักจะชมพี่สิบแปดว่าเขียนอักษรได้งดงามนัก ข้าอยากเรียนสิ่งใดสักหน่อย เพียงแต่ แม้ว่าพระอาจารย์ของข้าจะบอกว่าข้ามีพรสวรรค์อย่างยิ่งยวด แต่จนใจเหลือที่ยามปกติข้ายุ่งนัก ไม่มีเวลาว่างมาสนใจกับเรื่องพื้นๆ เหล่านี้… ดังนั้น… เจ้าอาจจะมีความคิดดีๆ?

                นางเชิดคางขึ้น พยายามวางท่าสงบสำรวม แล้วเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “หากเจ้าสามารถเสนอความคิดดีๆ ให้ข้าได้ ข้าจักให้รางวัลอย่างงาม!”

                เว่ยฉางอิ๋งแอบนึกในใจว่าฝ่าบาทพระชันษาสิบปีผู้สูงศักดิ์ดังกิ่งทองใยที่หยกทั้งเป็นที่โปรดปรานยิ่งผู้นี้ จักมีเรื่องใดให้ต้องยุ่งวุ่นวายจนถึงขั้นไม่อาจไปสนใจเรียนรู้ความสามารถพิเศษสักน้อย? กุลสตรีบ้านใหญ่ทั่วไปมีหรือจะรอจนถึงสิบขวบแล้วยังคิดไม่ได้ว่าจะร่ำเรียนความสามารถพิเศษใดดี? หากแต่ต้องร่ำเรียนมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว… เว่ยฉางอิ๋งเองก็เรียนวรยุทธ์มาตั้งแต่ห้าขวบ เท่าที่นางรู้บรรดาลูกผู้พี่ลูกผู้น้อง และท่านพี่ซ่งไจ้สุ่ยก็ล้วนเริ่มเรียนดีดฉินร้องเพลงเต้นระบำพร้อมกันมาตั้งแต่หกขวบแล้ว

                จนเวลานี้องค์หญิงชิงซินก็ยังไม่ได้เลือก.ความสามารถพิเศษเลย จักต้องเพราะถูกฮ่องเต้เอาอกเอาใจเสียจนรักสบายกลัวงานหนักจึงยื้อมาถึงตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้องค์หญิงเองก็มิได้อยากเรียนร่ำเรียนบางสิ่งเพื่อขัดเกลาจิตใจ หากแต่เพราะฮองเฮากู้ชมองค์หญิงหลินชวนซึ่งเป็นพี่สาว จึงรู้สึกอยากชนะขึ้นมา และอยากให้ฮองเต้ชื่นชม… ตามที่เว่ยฉางอิ๋งมอง องค์หญิงชิงซินคิดมากเกินไปจริงๆ ไม่ว่านับแต่อดีตมาจนคนรุ่นหลังตัวอักษรที่องค์หญิงหลินชวนเขียนจะงดงามเหนือผู้ใด แต่จะอย่างไรพระมารดาแท้ๆ ของนางก็คือสนมเม่าผินมิใช่ฮองเฮากู้

                อีกประการ ด้วยเรื่องที่สนมเอกเติ้งเชิญองค์หญิงหลินชวนไปอยู่ที่ตำหนักตนสักพักเป็นเวลาสั้นๆ องค์หญิงหลินชวนยังมิได้เอ่ยถามฮองเฮา ตนเองก็รับปากไปก่อนแล้วจึงค่อยหันไปมองเป็นทีวอนขอคำตอบรับจากฮองเฮา องค์หญิงพระองค์นี้แม้จะมีฮองเฮาเลี้ยงดูแต่เล็ก แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องคิดเห็นเช่นเดียวกับฮองเฮานี่!

                เมื่อคิดถึงเรื่องที่สนมเม่าผินผู้เป็นมารดาของนางเสียไปเร็ว…ผู้ใดเล่าจักรู้ว่านางตายอย่างไร?

                เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่อาจพูดได้ชัดเจน

                ดังนั้นที่ฮองเฮากู้เอ่ยชมองค์หญิงหลินชวนบ่อยครั้ง ก็อาจไม่ได้มาจากความปรารถนาดีต่อนาง

                เพียงแต่องค์หญิงชิงซินยังเล็กนัก ไม่อาจเข้าใจความวกวนนานาที่อยู่ภายใน จึงเกิดอิจฉาพี่สาวขึ้นมา

                แม้เว่ยฉางอิ๋งจะรู้ว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้องค์หญิงพึงพอใจ ทว่านางก็ไม่คิดจะไปอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของตำหนักหลัง จึงยิ้มให้แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงยกยอหม่อมฉันเกินไปแล้ว หม่อมฉันโง่นัก คิดไปคิดมา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถพิเศษใด หากต้องการจะร่ำเรียนให้ดีก็ไม่มีเรื่องใดที่ไม่ลำบากและไม่เหน็ดเหนื่อยเพคะ”

                ความหวังที่เคยมีอยู่เต็มอกขององค์หญิงชิงซินพลันสูญสลายไปสิ้น ใบหน้าน้อยๆ หม่นลงทันใด แค่นเสียงเอ่ยออกมาว่า “ช่างโง่เสียจริงๆ เสียเวลาของช้าหมด!”

                เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางเจ้าอารมณ์แบบเด็กๆ จึงไม่ได้สือสาใดๆ เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันรู้ผิดแล้วเพคะ!”

                องค์หญิงโกรธและรีบเดินจากไป หลิวตี๋กลับเข้ามาปรนนิบัติอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างลึกซึ้งว่า “ฮูหยินน้อยไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ เหตุที่องค์หญิงชิงซินเกิดความสนพระทัยขึ้นมา ก็เพราะนับแต่คราก่อนที่เรียนฉินแล้วถูกสายบาดมือ ฮ่องเต้ทรงสงสารองค์หญิง จึงสั่งห้ามให้ผู้ใดแนะนำให้องค์หญิงร่ำเรียนสิ่งใดอีกเจ้าคะ”

                เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง แอบร้องอยู่ในใจว่าโชคดีเหลือหลาย… เคราะห์ดีที่นางไม่อยากเรื่องมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ให้คำแนะนำแก่องค์หญิงว่าจะเรียนสิ่งใดดี องค์ฮ่องเต้ก็เคยเอ่ยปากแล้วว่ามิให้ราชธิดาองค์เล็กของตนร่ำเรียนความสามารถพิเศษใดๆ แล้ว หากเว่ยฉางอิ๋งพูดสิ่งใดออกไป แล้วองค์หญิงเกิดสนใจและรีบไปเรียน เมื่อเกิดเรื่องผิดคาดขึ้นมา หรือว่าเหนื่อยแล้วเบื่อแล้ว หากฮ่องเต้ทรงทราบเข้า แล้วพาลมากริ้วตน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่อาจพูดได้ชัดเจนแล้ว!

                เมื่อคิดได้ดังนี้ก็มิน่าเล่าที่องค์หญิงชิงซินนำเรื่องที่ตนอิจฉาองค์หญิงหลินชวนมาบอกแก่นางซึ่งเป็นสตรีสามัญชนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก ในบรรดาผู้คนในวังที่องค์หญิงจะสามารถไถ่ถามได้ จะมีผู้ใดที่ไม่รู้เรื่องที่ฮ่องเต้เคยตรัส? แล้วผู้ใดจะกล้าขัดขืนพระบัญชาโดยการส่งเสริมให้องค์หญิงไปร่ำเรียนสิ่งใด? องค์หญิงชิงซินถามไม่ได้คำตอบจากคนเหล่านี้ ทั้งใจก็อยากจะร่ำเรียนบางสิ่งสักเล็กน้อยเพื่อให้เทียบกับพี่สาวได้ เพราะเมื่อพบเห็นผู้ใดเข้าก็จะไถ่ถามเช่นนี้… เกรงว่าคงจะเคยทำให้คนที่คิดจะเอาพระทัยองค์หญิง หรือไม่ก็คนที่ตั้งใจจะช่วยองค์หญิงออกความคิดอย่างจริงใจต้องเดือดร้อนไปจำนวนไม่น้อยแล้ว?

                เว่ยฉางอิ๋งแอบคิดในใจว่าเรื่องในวังนี้นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นดังนี้ จึงอาศัยจังหวะที่องค์หญิงชิงซินเพิ่งไป และไม่มีคนข้างๆ คอยสังเกตตนอีก รีบหยิบตะเกียบงาช้างขึ้นมาคีบอาหารและของว่างที่เย็นแล้วบนโต๊ะมากินสองสามคำ… อย่าได้มีใครมารบกวนนางอีกเชียว เพราะนางหิวจริงๆ แล้ว

                หลังจากมีระบำหลายเพลงที่ข้างล่างท้องพระโรงแล้ว ฮองเฮากู้ก็สั่งให้พวกนางออกไป เหลือเพียงวงสังคีตไว้คอยบรรเลงเพลงเท่านั้น จากนั้นก็ยกจอกทองขึ้นมาหัวเราะร่าเริงแล้วเริ่มสนทนากับคนที่นั่งใกล้ๆ

                พระชายาท่านอ๋องสองสามพระองค์ที่ถูกเอ่ยถามนั้น ได้ยินว่าคือพระชายาท่านอ๋องรุ่น พระชายาท่านอ๋องไต้ และยังมีพระมารดาท่านอ๋องอิงอีกผู้หนึ่ง… จากนั้นยังทรงกล่าวชมบรรดาพระธิดาของท่านอ๋องที่ติดตามพระชายาท่านอ๋องทั้งหลายมาไปอีกสองสามคำด้วย หนึ่งในนั้นมีพระธิดาท่านอ๋องผู้หนึ่งที่มีพระนามว่าเฉิงเสียนถูกฮองเฮากระเซ้าหนหนึ่ง นางเขินอายเสียจนต้องหยิบเอาพัดวงกลมข้างๆ โต๊ะมาปิดหน้า ท่านย่าของนางพระมารดาท่านอ๋องรุ่นรีบออกหน้าช่วยนาง… ฟังจากคำกระเซ้าของฮองเฮาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้ว่าพระธิดาท่านอ๋องผู้นี้เพิ่งหมั้นหมายกับกู้อี้หราน

                คู่หมั้นของกู้อี้หราน วันหน้าไม่แน่ว่าจะต้องได้คบค้าสมาคมกัน เว่ยฉางอิ๋งจึงพยายามสังเกตดูนางสักหน่อย ดูภายนอกแล้วพระธิดาเฉิงเสียนก็เป็นเหมือนนามของนาง ดูมีกริยาสงบนิ่งเรียบร้อย หน้าตาสดใส แต่ไม่นับว่างดงามมาก แต่ราศีทั้งตัวดูสง่างามและสูงส่งยิ่ง… สมกับเป็นสตรีในวงศ์กษัตริย์จริงๆ

                เมื่อมาพบกับบรรดาพระชายาท่านอ๋องแล้ว ก็ถึงคราวของเหล่าสตรีชั้นสูงบ้าง สตรีชั้นสูงขั้นหนึ่งทั้งสามท่าน ฮองเฮากู้ไปทักทายตามอายุ เริ่มต้นจากไถ่ถามอาการป่วยของแม่เฒ่าเติ้ง จากนั้นก็ชมเชยเหล่าหลานสาวของแม่เฒ่าเผยว่าแต่ละคนล้วนงดงามทั้งนั้น แล้วกล่าวถึงหลิวรั่วอวี้เป็นการพิเศษอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมิได้เอ่ยถึงหลิวรั่วเหยีย… เห็นสถานการณ์ดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็เข้าใจในทันใดว่า เรื่องอภิเษกพระราชทานของตระกูลหลิว และพระราชโองการเลือกหลิวรั่วอวี้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทคงจะออกมาในวันนี้ด้วย

                สุดท้ายจึงเอ่ยถามฮูหยินซูซึ่งอายุน้อยที่สุดในบรรดาสตรีชั้นสูงขั้นหนึ่ง คงเป็นเพราะว่าตอนก่อนที่คนจะมากันเป็นจำนวนมากฮองเฮาและพระสนมเอกก็ได้ทักทายปราศรัยกับเว่ยฉางอิ๋งเป็นการแสดงมิตรไมตรีจิตต่อฮูหยินซูไปแล้ว เวลานี้จึงเอ่ยเรียบๆ ไปว่าเสิ่นจั้งเฟิงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจยิ่งและบอกว่าฮูหยินซูล้วนอบรมบุตรชายและบุตรสาวมาเป็นอย่างดี จากนั้นจึงไปเอ่ยถามสตรีชั้นสูงในลำดับถัดลงไปจากขั้นที่หนึ่งต่อไป…

                เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ละเลียดสุราลิ้นจี่เขียวไปพลาง และพยายามตั้งใจจดจำเหล่าสตรีชั้นสูงไปพลาง เพื่อไม่ให้เมื่อได้พบกันภายหลังแล้วควรต้องทักทาย แต่กลับไม่ทักทายก็จะเป็นการเสียมารยาทนัก

                เป็นดังนี้เรื่อยไป เพราะนางนั่งอยู่ข้างหลังพระสนมเอก ซึ่งอยู่ห่างจากที่นั่งของฮองเฮาไม่ไกลนัก เว่ยฉางอิ๋งฝึกวรยุทธ์มานานปี จึงอดจะมีหูตาว่องไวกว่าคนธรรมดาสักหน่อยไม่ได้ กระทั่งมองเห็นจากหางตาว่า… ที่ขมับของฮองเฮากู้นั้นมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ไหลออกมามากมาย

                ซึ่งต้องรู้เสียก่อนว่ายามนี้มีหีบน้ำแข็งวางอยู่รอบตัวฮองเฮา…

                นางฝืนเอ่ยทักทายกับทุกคนจนหมด ฮองเฮากู้ก็เอ่ยคำตามมารยาทไปอีกสองประโยค บอกให้ทุกคนตามสบาย แล้วอ้างว่าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า… เว่ยฉางอิ๋งคาดเอาว่าความจริงแล้วนางคงจะลงไปพักผ่อนสักหน่อย

                เรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลก เพื่อแสดงออกว่าฮองเฮาให้ความสำคัญกับงานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน การแต่งกายของนางในวันนี้จึงน้อยลงกว่าที่สวมในงานพิธีใหญ่โตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องปิ่นดอกไม้ทองสิบสองด้ามที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงฐานะอันสูงส่งของฮองเฮา ยังมีอัญมณีและไข่มุกมากมายประดับอยู่บนศีรษะ งานปักดิ้นทองบนชุดตี๋อีของฮองเฮาก็ยังประณีตเสียยิ่งกว่าชุดแต่งงานครั้งเว่ยฉางอิ๋งออกเรือนเสียอีก ก่อนหนี้เว่ยฉางอิ๋งเคยฝึกวรยุทธ์มานานปีทั้งยังอยู่ในวัยสาว ครั้งออกเรือนแล้วถูกรัดรึงตั้งแต่หัวจนทั่วตัวก็ยังรู้สึกแทบเป็นแทบตาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฮองเฮาซึ่งเป็นคนที่อยู่ในวัยสี่สิบปีเลย

                เว่ยฉางอิ๋งแอบหัวเราะในใจว่าตำแหน่งพระมารดาของแผ่นดินนี้ก็นั่งลำบากเหมือนกัน

                เมื่อฮองเฮาไปแล้ว แม้พระสนมเอกจะยังอยู่ แต่บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงมาก บรรดาสตรีชั้นสูงต่างพากันขยับศีรษะเข้ามาเอาหูแนบกันและทักทายกันระหว่างโต๊ะ อาศัยโอกาสนี้เชื่อมสัมพันธ์อันดีต่อกันสักหน่อย บรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ก็ต่างพากันไปหาเพื่อนพ้องที่ตนสนิทสนมหรือไม่ก็กล่าวทักทายและแย้มยิ้มให้กันและกัน ผู้ที่กล้าสักหน่อยก็ลุกขึ้นเดินไปมาเสียเลย

                เพราะเว่ยฉางอิ๋งถูกสั่งให้คอยอยู่กับพระสนมจึงไม่กล้าลุกออกจากที่ ด้วยเกรงว่าพระสนมอาจเรียกหาขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อมองไปยังภาพข้างล่างที่กำลังครึกครื้นจึงอดจะรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ กลับเป็นลูกผู้พี่ซูอวี๋ลี่เสียอีกที่เบียดฝูงชนออกมาถึงข้างๆ โต๊ะนาง พลางยิ้มแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ท่านแม่ให้ข้ามาถามว่าเจ้าพอจะคุ้นเคยหรือไม่?”

                อาหญิงแท้ๆ นั่นไม่เหมือนผู้อื่นจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างซาบซึ้งหนหนึ่ง แล้วบอกว่า “ลำบากท่านอาเป็นห่วงแล้ว ทั้งยังลำบากลูกผู้พี่ท่านวิ่งมาอีก… ข้าอยู่ทางนี้ดีทุกอย่างเจ้าค่ะ” จึงเชิญให้ซูอวี๋ลี่นั่งร่วมโต๊ะสนทนากัน หลิวตี๋ที่คอยดูแลรับใช้นางรู้ความยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าซูอวี๋ลี่นั่งลง นางจึงถอยห่างออกไปทันที

                ซูอวี๋ลี่นั่งลง แล้วกระซิบว่า “เมื่อครู่ท่านแม่เห็นองค์หญิงชิงซินเข้ามาหา? ฝ่าบาทพระองค์นี้ถูกตามใจจนเคย มาพูดสิ่งใดกับเจ้าบ้าง?”

                เว่ยฉางอิ๋งกดเสียงลงต่ำแล้วว่า “ฝ่าบาทเอ่ยถามข้าว่ามีความสามารถพิเศษใดที่ร่ำเรียนได้อย่างสบายๆ สักหน่อยหรือไม่?”

                “เจ้าอย่าได้ไปออกความเห็นให้พระองค์เชียว!” ปรากฏว่าซูอวี๋ลี่ได้ยินเข้าก็มีท่าทีร้อนรนขึ้นมา และรีบบอกเสียงเบาๆ ไปอย่างรวดเร็วว่า “ก่อนนี้ลูกผู้น้องฝั่งบิดาข้าผู้หนึ่ง ชื่อว่าเนี่ยนชู ก็ด้วยไปออกความเห็นให้นางไปเรียนวาดภาพแบบดานชิง ปรากฏว่าพอฝ่าบาทพระองค์นี้เรียนไปสองวันก็หมดความอดทน แล้วไปโอดครวญกับองค์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงทราบว่าเป็นความคิดของเนี่ยนชู จึงทรงต่อว่าท่านอาผู้นั้นของข้าหนหนึ่ง บอกว่าเขาไม่รู้จักสั่งสอนบุตรสาว จึงทำให้องค์หญิงเกิดความลำบาก! เนี่ยนชูร้องห่มร้องไห้อยู่ในบ้านหลายวัน วันนี้ต้องเข้าวัง นางก็ยังเกรงกลัวเสียยิ่ง!

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกไปอย่างเหนือคาดว่า “ข้าไม่คุ้นเคยกับอุปนิสัยของฝ่าบาทพระองค์นี้ จึงไม่กล้าช่วยพระองค์ออกความเห็นใดเจ้าค่ะ” จากนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงมองไปตามทิศทางที่ซูอวี๋ลี่ชี้ให้ดู นางเป็นเด็กหญิงอายุราวสิบสามสิบสี่ปี หน้าตางดงาม เกล้าผมทรงก้นหอยคู่ สวมชุดหรูฉวินสีแดงลายดอกไห่ถังดูสดใสไปทั้งตัว

                แววตาของเด็กสาวผู้นี้ดูคล่องแคล่วนัก มองออกว่ามิได้เป็นคนที่สงบนิ่ง แต่ยามนี้กลับไม่ยอมขยับ เอาแต่นั่งสำรวมอยู่กับที่ อยู่ในอาการหลังถูกอบรมมายกหนึ่งจนไม่อาจไม่ทำตัวเรียบร้อยได้

                ซูอวี่ลี่บอกว่า “ปกติแล้วเนี่ยนชูเป็นคนร่าเริงแจ่มใสเป็นที่สุด ก่อนนี้มักจะเข้าวังมาเล่นกับองค์หญิงสองสามพระองค์ แต่ด้วยเรื่องนี้ จนยามนี้จึงไม่กล้าเข้าวังแล้ว ท่านอาสะใภ้ของข้าปลอบอยู่หลายวัน วันนี้นางจึงมิได้ลาป่วย”

                เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าดูไปแล้วซูเนี่ยนชูก็ยังอายุไม่มาก ไยฮ่องเต้จึงต้องถือสาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นนี้ เรื่องนี้ช่าง… นางรีบหยุดไม่คิดต่อไป พระราชอำนาจของฮ่องเต้มิใช่เรื่องที่ประชาชนตัวเล็กๆ เช่นนางจะไปวิพากษ์วิจารณ์ได้

                จึงบอกกับซูอวี๋ลี่ไปว่า “ลูกผู้น้องของลูกผู้พี่ผู้นี้ ข้าเพิ่งจะได้พบเป็นคราแรก นางอยู่ในสายที่ห่างออกไปหรือเจ้าคะ?”

                ซูอวี๋ลี่ส่ายหัว เอ่ยเสียงเบาว่า “ก็ไม่นับว่าเป็นสายห่างๆ หรอก พวกเรามีท่านปู่ทวดคนเดียวกัน จะว่าไปท่านปู่ของนางและท่านปู่ของข้าก็ยังเป็นพี่น้องแท้ๆ กันด้วย เพียงแต่ท่านปู่ของนางเสียไปนานแล้วและมีท่านอาของข้าซึ่งเป็นบุตรของอนุเพียงผู้เดียว หลังจากท่านอาของข้านำเถ้ากระดูกลับชิงโจวไปปีนั้น ก็คอยอยู่เฝ้าแสดงความกตัญญูสามปี ภายหลังเมื่อกลับมาที่เมืองหลวง ครานั้นท่านปู่ข้าเห็นว่าท่านอาไม่มีพี่น้องแท้ๆ จึงคิดจะทาบทามบุตรสาวจากภรรยาเอกของตระกูลใหญ่ให้เขา เมื่อได้แต่งกับบ้านที่มีอำนาจก็คิดว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนกันต่อไปได้ แต่ปรากฏว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านอากลับไปรักองค์หญิงหลิงเซียน… ด้วยเหตุนี้ท่านปู่จึงโกรธเกรี้ยวเป็นหนักหนา ทั้งท่านอาผู้นี้ก็ยังเป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าว ภายหลัง นอกจากเทศกาลต่างๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย! แต่กลับกลายเป็นองค์หญิงหลิงเซียนที่คอยให้คนส่งของเล็กๆ น้อยๆ มาที่จวนอยู่เสมอ ความจริงแล้วท่านปู่ก็หายโกรธตั้งนานแล้ว เพียงแต่ท่านอาก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ และท่านปู่เองก็วางหน้าตาลงไม่ได้เสียที”

                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเกินคาดเป็นอย่างมาก “ที่แท้เป็นพระธิดาขององค์หญิงหรือนี่? เช่นนั้นก็นับว่าเป็นหลานตาของฮ่องเต้ และเป็นหลานน้าขององค์หญิงชิงซินด้วย!”

                “ลูกผู้น้อง เจ้าคงไม่รู้ องค์หญิงหลิงเซียนเป็นพระราชธิดาในอดีตพระสนมแซ่ฮั่ว” ซูอวี๋ลี่เอ่ยเตือนอย่างมีนัยยะสำคัญประโยคหนึ่ง…อดีตสนมแซ่ฮั่ว เดิมทีเป็นพระสนมชั้นซูเฟยของฮ่องเต้ ด้วยพัวพันกับจี้อิงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงในเวลานั้นว่าร่วมมือกันทำร้ายองค์ชายหกอันเป็นที่รักยิ่งขององค์ฮ่องเต้ และเป็นโอรสองค์เดียวของพระสนมเอกเติ้ง เมื่อถูกให้พ้นจากตำแหน่งสนมและกลายมาเป็นสามัญชนธรรมดานางก็ฆ่าตัวตาย… บุตรสาวของนาง แม้ว่าจะมิได้ถูกช่วงชิงพระนามองค์หญิงหลิงเซียนไป ทว่าภายหลังก็มิได้เป็นที่รักใคร่อีกต่อไป

                อย่างไรเสียฮ่องเต็ก็มีองค์หญิงเกือบยี่สิบพระองค์ อย่างเช่นกิ่งทองใบหยกทั้งสามพระองค์ในวังที่ยามนี้ยังมิได้เสกสมรส ก็เห็นชัดว่าองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซินก็เป็นที่รักใคร่ขององค์ฮ่องเต้ยิ่งนัก ทว่าองค์หญิงอันจี๋ซึ่งเป็นธิดาของท่านหญิงเจินอี้นั้นก็ค่อยๆ ไม่ใคร่ได้ยินชื่อแล้ว

                 ดังนั้นแม้ว่าซูเนี่ยนชูจะเป็นหลานตาแท้ๆ ขององค์ฮ่องเต้และเป็นหลานน้าขององค์หญิงชิงซิน แต่เมื่อเข้ามาในวังก็มิได้มีหน้ามีหน้าเหนือสตรีทั่วไป… เว่ยฉางอิ๋งเผลอไปมองสตรีชั้นสูงที่อยู่ข้างกายซูเนี่ยนชู คิดว่าคงจะเป็นองค์หญิงหลิงเซียนผู้มารดาของนางแล้ว ซึ่งดูไปแล้วก็มิได้มีสิ่งใดแตกต่างจากสตรีชั้นสูงคนอื่นๆ เลย เพียงแต่ในดวงตาของนางมีความระแวดระวังอยู่ทุกชั่วขณะเท่านั้น

                เมื่อคิดถึงว่าเมื่อครู่นี้ฮ่องเฮากู้กล่าวทักทายกับบรรดาสตรีชั้นสูงตามลำดับ แต่กลับมิได้เอ่ยกับองค์หญิงหลิงเซียนที่ต้องเรียกขานนางว่าเสด็จแม่แม้แต่คำเดียว… เมื่อคิดไปอีกว่าองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซินซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์หญิงหลิงเซียนล้วนนั่งอยู่ในที่นั่งหลัก เสพสุขกับสายตาของคนนับหมื่น เห็นชัดว่าพวกนางเป็นกิ่งทองใบหยกที่เหนือกว่าสามัญชนทั่วไป ตัวหลิงเซียนซึ่งก็เป็นองค์หญิงเช่นกันกลับต้องมาอยู่ท่ามกลางบรรดาสตรีสูงศักดิ์ชั้นนอก กระทั่งตำแหน่งที่นั่งของสตรีสูงศักดิ์ชั้นนอกเหล่านั้นก็ยังอยู่ค่อนไปข้างหลังอีกด้วย เว่ยฉางอิ๋งลอบถอนใจ เรื่องราวต่างๆ ในราชวงศ์ช่างเปราะบาง เปราะบางเหลือเกิน…

__________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด