ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 34 แขกมาเยือน

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 34 แขกมาเยือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เมื่อกลับมาที่เรือนจินถง ฉินเกอคอยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางกล่าวอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ฮูหยินน้อยเพิ่งแต่งเข้าบ้านมา แล้ววันนี้พูดจากับฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเช่นนี้ ทั้งยังพูดต่อหน้าฮูหยินด้วย วันหน้าเกรงว่าทั้งฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองจะจงใจสร้างความลำบากให้แก่เรือนจินถงของเรานะเจ้าคะ!”

                ยังไม่ทันสิ้นเสียงนาง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังไม่ได้พูด นางเฮ่อก็ตำหนินางขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าจักรู้สึกสิ่งใด? นางหลิวและนางตวนมู่นั้น ความจริงแล้วก็มีชาติกำเนิดในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล แต่หากนับกันเรื่องฐานะของฝั่งฝ่ายหญิงแล้วหรือจะเทียบได้กับฮูหยินน้อยของเรา? ยิ่งไม่ต้องบอกว่าถึงแม้พวกนางจะมีฐานะทัดเทียมกับฮูหยินน้อย แต่ยามนี้ก็ล้วนเป็นสะใภ้บ้านเสิ่นเช่นกัน คุณชายของพวกเรายังเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูล มีคำกล่าวว่าภรรยาย่อมสูงส่งด้วยสามี ต่อให้พวกนางเป็นพี่สะใภ้ แต่ฐานของฮูหยินน้อยของเราในภายหลังก็จะสูงกว่าพวกนาง! ฮูหยินน้อยหรือต้องเกรงกลัวพวกนาง?”

                ฉินเกอหน้าแดงหูแดง แล้วแก้ต่างว่า “ท่านอาเฮ่อ ข้าน้อยเพียงแค่เป็นห่วงฮูหยินน้อยเท่านั้นเท่าค่ะ.. อย่างไรฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองก็แต่งเข้ามาก่อน และมีอำนาจรากฐานเดิมอยู่ในเรือนหลังแล้ว”

                “เชอะ! พวกนางกล้าสร้างความลำบากให้แก่ฮูหยินน้อยของเรา ข้า…” นางหวงรีบดึงนางเฮ่อที่ม้วนแขนเสื้อขึ้นมาเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “น้องเฮ่อเจ้าช้าก่อนเถิด! ฉินเกอก็มิใช่คนนอก เจ้าจะทำให้นางตกใจหรือ?”

                เมื่อเตือนนางเฮ่อได้แล้ว นางหวงก็พูดต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ที่น้องเฮ่อพูดก็มีเหตุผล เป็นสะใภ้เช่นเดียวกัน แม้จะโตกว่าอ่อนกว่า แต่ทั้งท่านประมุขและฮูหยินล้วนยังอยู่ ไม่ใช่กงการของฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองจะมาชี้ไม้ชี้มือสั่งฮูหยินน้อยของเรา”

                ท่านอาทั้งสองท่านล้วนพูดเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่เอ่ยคำ ฉินเกอก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก ในห้องพลันเงียบลงทันใด

                เว่ยฉางอิ๋งคาดผ้าคาดเอวด้วยตนเอง ฉินเกอและเยี่ยนเกอคุกเข่าลงช่วยนางจัดกระโปรง หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินไปนั่งที่ตั่งข้างหน้าต่าง นางเฮ่อ นางหวงเดินตามไปยืนอยู่ใกล้ๆ เว่ยฉางอิ๋งบอกให้พวกนางไม่ต้องมากพิธี เพียงแค่นั่งลงสนทนากันบนตั่งกลมประดับลายเป็นพอ แล้วจึงกล่าวว่า “ข้าคิดว่า ข้าเพิ่งจะเข้าบ้าน พี่สะใภ้รองก็เริ่มหาเรื่องข้าแล้ว ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก่อนนี้ยังนึกว่าท่านอาหวงช่วยรักษาน้องสิบของนาง ตามหลักแล้วก็ควรจะไว้หน้าข้าบ้างสักน้อย แต่แล้วสุราที่จัดเลี้ยงกันที่เรือนซินอี๋คราก่อน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ปกติ และจักต้องมิใช่การประสงค์ดีอันใด! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยข้ายังต้องคอยไปทำดีกับพวกนางอีก?”

                นางหวงยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องนัก หากฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองยอมอยู่กันอย่างสงบไม่ก่อเรื่องราว พวกเราเองก็หาใช่พวกที่ชอบหาเรื่อง แต่ยามนี้ทั้งสองท่านเป็นฝ่ายมาหาเรื่องก่อน พวกเราก็หาได้เป็นผู้ที่กลัวจะมีเรื่อง! หากว่ากันเรื่องชาติกำเนิด ฮูหยินน้อยก็มิได้ต่ำต้อยกว่าฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรอง หากว่ากันเรื่องหน้าตายามอยู่ต่อหน้าฮูหยิน ลำพังเพียงเรื่องปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ ก็เป็นฮูหยินน้อยของเรามีหน้ามีตามากที่สุด หากว่ากันเรื่องความสามารถและความเอาใจใส่ของสามี คุณชายใหญ่และคุณชายรองหรือจะเทียบกับคุณชายของเราได้? ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองอยากจะสู้ อย่างนั้นก็สู้กันเสียเลย! เรือนของเรามีคนตั้งมากมายเช่นนี้ ยังกลัวว่าจะปกป้องฮูหยินน้อยไม่ได้หรือ?”

                นางเฮ่อยกมือขึ้นมาลูบหมัดอีกข้างด้วยความพลุ่งพล่านพร้อมเข้าสู้ “ฮูหยินน้อยของพวกเราจะเป็นนายหญิงของบ้านตระกูลเสิ่น ยังต้องกลัวพวกนางรึ! พี่หวงท่านว่าต่อไปพวกเราจะต้องทำอย่างไร?”

                “ต่อไปน่ะหรือ…” นางหวงมองนางอย่างขำขันคราหนึ่ง แล้วว่า “ไม่ทำสิ่งใดทั้งนั้น!”

                นางเฮ่อที่กำลังเฝ้ารอการประมือครั้งใหญ่พลันผิดหวังนักหนา “หา?”

                “วันนี้ฮูหยินน้อยกวาดเอาหน้าตาของฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองไปหมดแล้ว” นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เท่านี้พอเสียก่อน ฮูหยินจักคิดว่าฮูหยินน้อยวู่วามด้วยอายุยังน้อย ไม่ยอมให้พวกพี่สะใภ้ข่มเหงรังแก ด้วยก่อนนี้ฮูหยินน้อยถูกเอาใจยามอยู่ในตระกูลเว่ย อย่างมากฮูหยินก็เพียงยิ้มๆ ให้เรื่องผ่านไป แต่หากพวกเรายังคงรุกคืบบีบคั้นคนต่อไป ฮูหยินก็จะรู้สึกว่าฮูหยินน้อยไม่รู้จักสำรวมและเจ้าโทสะเกินไป!”

                เหมือนเห็นว่าสีหน้าของนางเฮ่อเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ นางหวงจึงกล่าวเตือนไปอีกว่า “ครานี้พวกเราได้เปรียบ เจ้าว่าฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเป็นคนที่พอเสียเปรียบแล้วก็จะทนยอมรับหรือ? พวกนางไร้น้ำใจก่อน พวกเราโต้ตอบ ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว… สรุปแล้ว คุณชายของพวกเราได้รับการสนับสนุนจากในตระกูล แล้วพวกเราจะร้อนใจไปไย? ผู้ที่ควรต้องร้อนใจก็คือบ้านใหญ่และบ้านสองจึงจะถูก!

                นางเฮ่อตาลุกวาวขึ้นมา เห็นท่าทีนางเช่นนี้คงกำลังคิดว่าปานนี้บ้านใหญ่และบ้านสองคงจะร้อนใจจนแทบตาย และอยากจะลงไม้ลงมือกับบ้านสามเสียในทันใด ครานี้นางจะได้เป็นหัวหอกสำคัญในเรื่องนี้เสียเลย… ดังนั้นในยามที่นางหวงอยู่ปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งตามลำพัง จึงเอ่ยเรื่องจะหาคู่คอรงให้แก่นางเฮ่อขึ้นมา “ก่อนนี้น้องเฮ่อคอยดูแลฮูหยินน้อย ต้องคอยจัดการเรื่องน้อยใหญ่ให้ฮูหยินน้อย ยามนี้แม้พวกสาวใช้ตัวน้อยล้วนเป็นนางคอยดูแล แต่เรือนจินถงก็มิได้ใหญ่โตกว่าเรือนเสียซวงเท่าใด แต่พ่อบ้านกลับมีอยู่หลายคน น้องเฮ่อจึงว่างลงอย่างมาก”

                เรือนจินถงในยามนี้ นอกจากเรือนในชั้นแรกที่มีเสิ่นจวี้และเสิ่นเตี๋ยคอยดูแลอยู่แล้ว เรือนชั้นหลังอีกสองชั้นย่อมเป็นพวกท่านอาเป็นคนดูแล เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนมอบหมายให้นางหวงเป็นผู้ดูแล ส่วนนางว่านนั้นเนื่องด้วยเป็นแม่นมของเสิ่นจั้งเฟิงทั้งยังรู้จักเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวาง จึงไม่อาจให้นางว่างอยู่เฉยๆ ดังนั้นโดยนามแล้วจึงเป็นนางว่านและนางหวงดูแลด้วยกัน

                 บ่าวทำงานหนัก สาวใช้ และบ่าวทั่วๆ ไปล้วนได้รับการควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัด ซึ่งความจริงแล้วเป็นนางเฮ่อนั่นเองที่คอยควบคุมอยู่อย่างเคร่งครัด… สาวใช้เช่นพวกของจูหลาน เดิมทีก็เป็นนางเฮ่อสอนสั่งมาจนโต ส่วนสาวใช้ของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นมีจำนวนน้อยมาก ต่อให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดก็จะต้องพยายามไปหานางว่านหรือเสิ่นจั้งเฟิง นางเฮ่อเองก็ดูเหมือนจะมิได้ตบตีดุด่าเช่นที่เคยทำกับพวกของจูหลาน หากเป็นครั้งที่ยังอยู่ที่รุ่ยอวี่ถัง นางเฮ่อยังสามารถออกไปเดินข้างนอกและไปสนทนากับญาติสนิทมิตรสหายบ้าง แต่ยามนี้ยังไม่ต้องบอกว่าคนทั้งบ้านตระกูลเสิ่นล้วนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง นางหวงก็ยังเตือนนางไว้ว่าเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน หากคนที่ติดตามมาหละหลวมเกินไป จะทำให้คนตระกูลเสิ่นดูแคลนเว่ยฉางอิ๋งเอาได้ และจะคิดว่าบ่าวไพร่ตระกูลเว่ยไร้กฎระเบียบถึงเพียงนี้ หากมิได้เป็นเพราะคำสอนของตระกูลเว่ยไม่ดี ก็เป็นเพราะตัวคุณหนูเว่ยฉางอิ๋งเองที่จนหนทาง แม้แต่บ่าวก็ยังดูแลไม่ได้

                เมื่อนางเฮ่อได้ยินคำกล่าวนี้ย่อมถูกกระตุ้นจนตื่นตระหนกขึ้นมา จึงคอยควบคุมดูแลเสียจนหากไม่มีความจำเป็นใด ทุกคนล้วนไม่กล้ากร่ำกรายออกไปนอกเรือน

                …เมื่อไม่ออกนอกเรือน ทุกสิ่งในเรื่องล้วนเป็นของใหม่ ก่อนหน้านี้สองสามวันยังพอมีงานจัดวางของประดับต่างๆ เข้าไปเพิ่มเติม แต่ยามนี้ก็ว่างลงเป็นอย่างมาก ด้วยนิสัยใจร้อนของนางเฮ่อมีหรือจะทนไหว? เช่นนี้ก็มิใช่ว่า…ว่างเสียจนหวังให้เกิดเรื่องเกิดราวบ้างอย่างขึ้นมาเสียทีหรอกหรือ

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามว่า “คราก่อนที่ให้ท่านอาไปลองสอบถามดู มีตัวเลือกที่เหมาะสมบ้างหรือไม่?”

                นางหวงยิ้มเจื่อนพลางว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ…”

                “โธ่เอ๊ย ลองสอบถามต่อไปอีกเถิด” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจหนหนึ่ง

                จะอย่างไรก็ไม่ควรเป็นเพราะรู้สึกว่านางเฮ่อว่างเกินไป จึงไม่ต้องไปสนใจเรื่องใดและจับคู่ใครสักคนให้นางไปส่งเดขกระมัง?

                เมื่อยังไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม เรื่องส่วนตัวของนางเฮ่อก็ย่อมต้องพักเอาไว้ก่อน นางหวงจึงเอ่ยถึงข่าวคราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ไปสอบถามมาได้จากทางหม่านโหลว “ช่วงหลังเที่ยง ข้าน้อยให้คนไปส่งผลไม้ให้แก่หม่านโหลว นางกระซิบบอกมาเรื่องหนึ่งว่า ก่อนเที่ยงท่านน้ากัวไปคารวะฮูหยิน ฮูหยินบอกว่าเหนื่อยแล้ว ให้ท่านน้ากัวยืนรออยู่ภายในลานบ้าน และยืนอยู่จนถึงตอนที่ข้าน้อยนำผลไม้ไปส่งก็ยังมิได้ถูกเรียกเข้าไปเลยเจ้าค่ะ!”

                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะแล้วว่า “เดิมทีที่นางซึ่งเป็นเพียงท่านน้าคนหนึ่งแล้วไปสอบถามเรื่องหลังบ้านของคนในรุ่นคุณชายก็นับว่าไม่ถูกต้องตามหลักการอยู่แล้ว! พวกเราซึ่งเป็นคนรุ่นหลังเห็นแก่หน้าของท่านพ่อจึงไม่สะดวกจะเอ่ยสิ่งใด แล้วเมื่อท่านแม่กลับมา มีหรือจะปล่อยนางไปง่ายๆ?”

                แล้วว่า “ก่อนนี้ครั้งท่านยายกำลังป่วย พี่สะใภ้รองไปช่วยวุ่นหน้าวุ่นหลังกับท่านแม่ แม้แต่มารดาของนางก็ยังถูกรบกวนไปด้วย และต้องออกหน้าไปเชิญคุณหนูแปดตวนมู่ด้วยตนเองเพื่อให้มารักษาที่จวน ความชอบนี้ของพี่สะใภ้รองยังมิทันได้รับการชมเชยเลย กลับกลายเป็นว่าไปถูกพี่รองทั้งตบตีทั้งด่าทอไปเสียก่อน ทั้งยังทำต่อหน้าทุกคนในบ้านสองอีกด้วย! แม้ท่านแม่จะช่วยพูดกับพี่สะใภ้รองและตระกูลตวนมู่ แต่ก็จะไม่มีวันปล่อยท่านน้ากัวไปแน่… ก็ผู้ใดให้ท่านน้ากัวเป็นเพียงท่านน้า ส่วนพี่รองนั้นไม่เพียงเป็นบุตรชายของตระกูลเสิ่น ก็ยังเป็นบุตรเขยของตระกูลตวนมู่ด้วยเล่า? ตระกูลตวนมู่จึงยอมผลักภาระให้แก่ท่านน้ากัว เพื่อมิให้บุตรสาวบ้านตนเข้าหน้าบุตรเขยไม่ติดน่ะสิ!”

                นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ยามนี้ฮูหยินน้อยมองเรื่องราวต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว”

                “จะว่าไปล้วนเป็นท่านอาสอนมาดี” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากอมยิ้มพลางว่า

                ทั้งสองคนสนทนาสรรเพเหระกันอีกสักพัก เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาจากทำงาน เมื่อรับเขาเข้าประตูมา อีกไม่นานก็ถึงเวลาทานอาหารเย็น

                ยามกลางคืน สองสามีภรรยารุกเร้ากันเช่นที่เคยทำหนหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงไล้ไปบนแนวสันหลังผุดผ่องของภรรยา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “วันพรุ่งข้าจักกลับมาให้เร็วสักหน่อย”

                “หือ?” เว่ยฉางอิ๋งซุกตัวอยู่บนแผ่นอกของเขา หน้าผากติดอยู่ที่ใต้คางเขา พลางสอบถามไปลอยๆ คำหนึ่ง

                มือของเสิ่นจั้งเฟิงที่ไล้บนสันหลังของนางพลันเลื่อนลงไปข้างล่าง เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่าเขาคิดไม่เข้าทีแล้ว… ทั้งสองคนจึงเกิดเอะอะกันขึ้นมาสักพักหนึ่ง แล้วจึงนอนลงดีๆ อีกหน เสิ่นจั้งเฟิงงับไปบนลำคอของภรรยาอย่างไม่เบาไม่หนักสองสามหน แล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “มีเรื่องเล็กน้อยต้องปรึกษากัน จึงขอให้พวกพ้องแลกกะงานกับข้า”

                เว่ยฉางอิ๋งร้องอ้อออกมาหนหนึ่ง “ต้องการให้ข้าตระเตรียมสิ่งใด?”

                “เลือกสาวใช้สองคนไปช่วยดูแลข้างหน้า” เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “แล้วเตรียมของว่างและผลไม้สักหน่อย”

                เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “จะมาทั้งหมดกันกี่คน ต้องการสาวใช้เท่าใด?”

                “คนกลับไม่มาก” เสิ่นจั้งเฟิงตอบอย่างเกียจคร้านว่า “เพียงสามคน จื่อหมิงและสือหลี่เจ้าล้วนรู้จักแล้ว คนสุดท้ายแซ่เหนียน นามเล่อมู่ ส่วนนามรองนั้นกลับไม่ค่อยพบเห็นนัก คือเซิงย้าว”

                เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “กู้จื่อหมิงคือกู้อี้หราน ข้ารู้จักแล้ว แต่สือหลี่คือผู้ใด? เหนียนเซิงย้าว… เมืองหลวงมีตระกูลใหญ่แซ่เหนียนด้วยหรือ?”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางไล้ผมยาวของนาง กล่าวว่า “ลืมบอกกับเจ้าไป สือหลี่เป็นนามรองของหลิวซีสวิน”

                “ที่แท้เป็นคุณชายตระกูลหลิว” เว่ยฉางอิ๋งถามอีกว่า “แล้วเหนียนเล่อมู่ผู้นี้?”

                “ท่านเหนียนเป็นที่ปรึกษาของข้า มีความสามารถยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มีชาติกำเนิดที่แร้นแค้นนัก หาใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่ไม่ หาไม่แล้วชื่อเสียงของเขาจะมีไม่วันด้อยกว่าข้า” เสิ่นจั้งเฟิงกอดนางเอาไว้ แล้วแนบแก้มของตนถูบนหน้าผากนางอย่างเนิบนาบ จนถูกเว่ยฉางอิ๋งหยิกเอาสองหนจึงได้ยอมปล่อย แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าเห็นเจ้าสาวใช้ที่ติดตามเจ้ามาหลังแต่งงาน ที่มีชื่อขึ้นต้นว่าจูสองสามคนนั้นหน้าตางดงาม วันพรุ่งก็อย่าได้ส่งพวกนางไปเล่า”

                เว่ยฉางอิ๋งงุนงง แล้วว่า “เหตุใด? ไม่ส่งพวกนางไป หรือว่าให้ใช้พวกสาวทำงานหนักหรือจะให้สาวใช้ข้างกายข้าไป?”

                “ก็เพียงแค่ไปดูแลเรื่องน้ำชา เลือกจากพวกบ่าวทำงานหนักไปสองสามคน เอาพวกที่เจ้าไม่ค่อยใส่ใจนัก” เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมไอหนหนึ่งอย่างอึดอัดใจ “ท่านเหนียน…ชื่นชอบทำเรื่อง…กับสาวใช้หน้าตางดงาม… แต่เขาก็มิได้มีเจตนาร้าย ก็เพียงชอบแค่หาเศษหาเลยด้วยวาจาบ้างมือบ้างเล็กๆ น้อยๆ คนที่เขาเคยเย้าหยอกเมื่อก่อนนี้ข้าล้วนยกให้เขาไปหมดแล้ว แต่พวกของจูหลานเป็นคนของเจ้า…”

                “…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จึงว่า “ข้ารู้แล้ว พวกของจูหลานนั้นข้าตัดสินใจว่าจะหาคนที่เหมาะสมให้พวกนางแล้ว จึงไม่อาจยกพวกนางให้ได้ แต่ให้สาวใช้ที่ดูแลใกล้ชิดข้าออกไปดูแลแขกก็ไม่เหมาะกระมัง? เช่นนั้นก็เลือกบ่าวทำงานหนักหลังเรือน เอาที่คล่องแคล่วสักคนสองคนมาแต่งเนื้อแต่งตัวออกไปก็แล้วกัน… แต่เมื่อว่ามาดังนี้ ความจริงแล้วคนที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่เพียงพอ ยังต้องหาอีกคนสองคนที่ออกไปดูแลรับใช้ได้และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนมาขอไป?”

                เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวว่า “วันพรุ่ง เจ้าก็ส่งผู้ใดก็ได้ไปดูแลรับใช้ข้างหน้าก่อนสักสองสามคน ส่วนเรื่องที่จะหาคนไปเพิ่มนั้น หากว่าคนในเรือนเราไม่พอใช้สอย เจ้าก็ดูเรื่องซื้อมาเพิ่มเป็นพอแล้ว เดิมทีคนในเรือนเราก็ไม่พอ หากยามนี้ซื้อมาก็ยังลงบัญชีกลางได้”

                “วันพรุ่งข้าจะลองไปถามท่านอาเฮ่อดู เพราะสาวใช้ตัวน้อยล้วนเป็นท่านอาเฮ่อดูแล” เว่ยฉางอิ๋งร้องออกไปว่า “แต่ว่าคนที่จะเอาไปเพิ่มข้างหน้านั้น ต้องเลือกที่งามสักหน่อย หรือว่าที่ธรรมดาสักหน่อย?”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ก็มีท่านเหนียนเพียงผู้เดียวที่เป็นเช่นนี้… เจ้าเลือกที่งดงามสักหน่อยคนสองคน แล้วค่อยเลือกที่ธรรมดาสักหน่อย ปีก่อนข้าเพิ่งจะยกให้ท่านเหนียนไปสองคน ตามหลักแล้วยามนี้เขาคงไม่รีบเอ่ยปากขออีกเร็วถึงเพียงนั้น ข้าก็เห็นว่าเจ้าชอบพวกจูหลานสองสามคนนั้นมาก จึงเอ่ยเตือนเจ้าคำหนึ่ง เพื่อมิให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น”

                เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ข้ารู้แล้ว” แต่กลับจดจำเหนียนเซิงย้าวผู้นี้เอาไว้ในใจ ฟังจากน้ำเสียงของเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว เหตุที่เขามาเตือนตนให้ซ่อนพวกจูสือเอาไว้ให้ดี กลับเป็นเพราะหากเหนียนเซิงย้าวเอ่ยปากว่าต้องการคน เสิ่นจั้งเฟิงก็จะไม่ปฏิเสธ?

                หากเป็นดังนี้ เหนียนเซิงย้าวผู้นี้จักต้องมิใช่เป็นเพียงที่ปรึกษาธรรมดาสามัญ หากมิใช่เป็นพันธมิตรที่คบหากับเสิ่นจั้งเฟิงอย่างลับๆ ก็จักต้องมีความสามารถเหนือคน จึงได้รับความสำคัญจากเสิ่นจั้งเฟิงมากเช่นนี้ คนผู้นี้ หากวันหน้าเว่ยฉางอิ๋งมีโอกาสได้พบ ก็จักต้องไม่อาจเพิกเฉยต่อเขา และไม่อาจมองเขาเป็นเช่นบ่าวทั่วไปของสามี

_____________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด