ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 29 หลิวรั่วเหยีย

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 29 หลิวรั่วเหยีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เด็กสาวผู้นี้สวมเสื้อส้างหรูแบบสั้นแขนแคบสีแดงชาดปักลายช่อดอกเหมยขนาดเท่าเล็บมือประปรายอยู่ทั้งตัว สวมกระโปรงจีบรอบคาดอกสีน้ำทะเล ตรงหน้าอกคาดเชือกถักสีแดงทับทิมคู่หนึ่ง ถักเป็นลายหรูอี้คล้องหัวใจ ยามนางเลี้ยวออกมาจากฉากกั้นลม พอดีมีลมโชยผ่านมาวูบหนึ่ง และพัดเอากระโปรงกว้างๆ ไปข้างหลัง ผ้าคล้องแขนลายนกกระเรียนร้อยตัวในแปลงดอกไม้บนแขนของนางพลันถูกพัดให้สูงขึ้นและพลิ้วไปตามลม ลับกับใบหน้าแสนงดงามของนางประหนึ่งเทพธิดาร่อนลมลงมางดงามจับใจคนนัก

                เมื่อนางเดินพ้นฉากกั้นลม เด็กสาวผู้นี้ก็มองมาทางเว่ยฉางอิ๋ง ยิ้มแย้มพลางว่า

พี่เจ็ด นี่ก็คือพี่สาวตระกูลเว่ย?”

                เว่ยฉางอิ๋งอมยิ้มแล้วพยักหน้า และรอให้นางหลิวแนะนำ ตนเคยได้ยินมาตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่เฟิ่งโจวว่านางหมายปองเสิ่นจั้งเฟิงนักหนา จึงอาศัยโอกาสนี้สังเกตรูปร่างหน้าตาของคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวอย่างละเอียด… หลิวรั่วเหยียหน้าตาไม่เหมือนนางหลิวและหลิวรั่วอวี้เลยแม้แต่น้อย ดูเค้าหน้าของนางคงจักเป็นทรงเม็ดแตง เพียงแต่เพราะอยู่ในวัยนี้ สองแก้มจึงดูอวบสักหน่อย มองเผินๆ กลับดูคล้ายใบหน้ารูปไข่ห่านเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง ด้วยความอวบอิ่มมีน้ำมีนวลอย่างเด็กน้อยนี้ ทำให้นางมีกลิ่นกายใสซื่ออย่างเด็กน้อย จึงทำให้คนลดความระแวดระวังตัวลงเอาได้ง่ายๆ

                มองดูใบหน้า มองแวบแรกรู้สึกว่าละเอียดอ่อนงดงาม หากมองให้ละเอียดยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าวาดออกมาเช่นนั้น ไม่มีที่ใดเลยที่ไม่งดงามเหมาะเจาะ คิ้วโค้งดังพระจันทร์ ตาดังเมล็ดท้อ ลูกนัยน์ตาเคลื่อนไหวแคล่วคล่อง ดูไปแล้วเผยให้เห็นว่านางเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณไหวพริบ ระหว่างนางและหลิวรั่วอวี้สองพี่น้องต่างมารดามีเพียงสิ่งเดียวที่คล้ายคลึงกันก็คือต่างมีปากเล็กๆ รูปโค้งแสนงดงาม มีสีแดงเป็นธรรมชาติ เมื่ออยู่กับผิวดังหิมะขาวยิ่งขับให้ปากสีแดงสดยิ่งขึ้น ยามแย้มริมฝีปากยิ้มเผยให้เห็นความเย้ายวนที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับอายุและใบหน้าของนางเลย

                ความเย้ายวนนี้ไม่แจ่มแจ้งแต่ก็กลับไม่ธรรมดา เป็นความยั่วยวนอีกประเภทหนึ่งที่คาบเกี่ยวระหว่างเด็กหญิงและสาวน้อย

                แม้เว่ยฉางอิ๋งจะมาด้วยเจตนาบ้างอย่าง แต่เมื่อได้เห็นหลิวรั่วเหยียผู้นี้ก็อดจะทอดถอนใจหนหนึ่งไม่ได้ว่าเด็กสาวผู้นี้มีรูปโฉมไม่เลวเลยจริงๆ ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลที่นับว่ามักจะพบเห็นผู้มีรูปโฉมงดงามมากที่สุดในตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเล และในบรรดาพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย รูปโฉมของเว่ยฉางอิ๋งก็อยู่ในอันดับต้นๆ ตลอดมา ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่แม่เฒ่าซ่งภาคภูมิใจเป็นที่สุด ทว่าแม้รูปโฉมหลิวรั่วเหยียจะไม่ถึงกับข่มตนได้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าพอจักมีเสน่ห์ทัดเทียมกับนาง ซึ่งหมายถึงว่าต่างคนต่างมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตน

                จะว่าไปแล้วหญิงงามที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นหลิวรั่วอวี้ เดิมทีก็ทำให้คนพบเห็นแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่หากหลิวรั่วเหยียและหลิวรั่วอวี้ยืนอยู่ด้วยกัน ความงามที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายที่อ่อนโยนเหมือนเด็ก และความไร้เดียงสามีชีวิตชีวาที่อยู่ภายในดวงตาสุกใสแวววาวเช่นนี้ พลันทำให้คนขี้โรคเช่นหลิวรั่วอวี้ดูไม่น่าชื่นชมขึ้นมาถนัดตา

                ก็มิน่าเล่าบิดาของพวกนางจึงไม่ค่อยรักใคร่บุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาคนก่อนเท่าใดนัก… คนเป็นบิดา ผู้ใดเล่าจักยอมให้บุตรสาวของตนมีท่าทีเซื่องๆ ซึมๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน? อย่างไรย่อมต้องชื่นชอบคนที่ร่าเริงสดใส ยิ้มแย้มซุกซน และรู้จักทำให้ตนเองเบิกบานใจ

                ประสาอะไรกับเสียงอย่างลมปราณส่วนกลางไม่พอที่พูดไปไม่กี่ประโยคก็พลันหายใจไม่ทันเสียแล้วอย่างที่หลิวรั่วอวี้มี ผิดกับเสียงของหลิวรั่วเหยียที่กังวานดังทองและหยกประทบกัน แจ่มชัดเสนาะหู จังหวะการพูดไม่ช้าไม่เร็วเกินไป พูดจาชัดถ้อยชัดคำ ฟังดูก็รู้ได้ทันทีว่าได้รับการชี้แนะจากผู้ใหญ่มาแต่เล็ก และเจตนาฝึกฝนออกมาให้เป็นเช่นนี้

                เว่ยฉางอิ๋งเองก็เป็นเช่นนี้ ทั้งน้ำเสียงและการออกเสียงคำพูดจา เมื่อมองดูแล้วคล้ายเพียงพูดไปตามสบาย แต่ความจริงแล้วกลับผ่านการฝึกฝนและขัดเกลาหนแล้วหนเล่า หากจะสามารถใช้น้ำเสียงได้ไพเราะเสนาะหูอย่างแท้จริง หรือรู้จักกลบความบกพร่องในน้ำเสียง ไม่ว่าจะพูดสิ่งใด ก็ต้องทำให้คนฟังแล้วไม่รู้สึกอกสั่นขวัญกระเจิงหรือทนฟังไม่ไหว แต่กลับอยากฟังต่อไปเรื่อยๆ… ยิ่งไม่ต้องบอกว่าการพูดจาที่ต้องผ่านการฝึกฝนมาครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะสามารถทำได้เช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดออกไปก็ล้วนสามารถทำให้คนผู้นั้นมีท่าทีเชื่อมั่นในตนเองและดูมีความสุขุมเยือกเย็น

                เมื่อโตขึ้นสักหน่อย ก็จะค่อยๆ เป็นไปเองตามธรรมชาติ และเพียงอาศัยน้ำเสียงในการพูดจาเช่นนี้ก็จะทำให้เป็นคนผู้นั้นมีท่าทีสุภาพสุขุมเยือกเย็นอย่างชัดเจน

                นี่เป็นหนึ่งในท่วงท่ากริยาที่ลูกหลานตระกูลใหญ่ล้วนต้องเรียนรู้ ฟังออกว่าหลิวรั่วเยียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แทบไม่แตกต่างกับที่แม่เฒ่าซ่งอบรมเว่ยฉางอิ๋งมาด้วยตนเอง และซ่งไจ้สุ่ยที่แต่เล็กมาก็ได้รับการฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวให้เป็นฮองเฮา… เห็นได้ว่าแม้นางจางจะโหดร้ายกับหลิวรั่วอวี้ซึ่งเกิดจากพี่สาวบุตรแม่ใหญ่ของตน แต่กลับตั้งใจอบรมฝึกฝนบุตรสาวของตนอย่างเต็มกำลัง

                เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นางหลิวก็ได้แนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน และเชิญทั้งสองคนเข้าที่นั่งอีกครั้งหนึ่ง หลิวรั่วเหยียยิ้มแย้มและเป็นฝ่ายกล่าวชมเว่ยฉางอิ๋งด้วยน้ำเสียงแจ่มชัดไปก่อนว่า “หลังจากที่พี่ชายสิบหกกลับมาจากเฟิ่งโจว ก็ชื่นชมในฝีมือล้ำเลิศของพี่สาวตระกูลเว่ยที่ดึงปิ่นหยกออกมาซัดใส่งูเขียวหางไหม้และสังหารมันได้อย่างเฉียบขาดเจ้าค่ะ และก็ไม่รู้ว่าพูดไปกี่รอบต่อกี่รอบ…ข้าน่ะ อยากจะได้เห็นมาเสียตั้งนานแล้วพี่เว่ยผู้ไม่เป็นสองรองใครในเขตทะเลที่พี่ชายสิบหกชนนักชมหนานั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่! วันนี้อาศัยโอกาสที่ได้มาเยี่ยมพี่เจ็ด จึงถือวิสาสะเชิญพี่เว่ยมาด้วย พี่เว่ยโปรดอย่าได้ขุ่นเคืองนะเจ้าคะ!”

                “คุณหนูสิบเอ็ดเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มร่าเริงพลางกล่าวทักทายนาง “ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่เคยบอกไว้นานแล้วว่ามีน้องสาวสองคนที่งามดังบุปผายองใยดังหยก ข้ายังกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเสียอีก! ยามนี้ได้มาพบแล้วก็รู้สึกจริงๆ ว่าทั้งห้องดูสว่างไสวขึ้นมาหลายเท่าทีเดียว มีแต่จะดีใจ จะให้ขุ่นเคืองที่ใดกัน? ใช่แล้ว พี่ชายสิบหกของคุณหนูสิบเอ็ด ก็คือคุณชายหลิวที่คราก่อนนำราชโองการไปที่ชิงโจวผู้นั้นใช่หรือไม่?”

                นางหลิวและหลิวรั่วเหยียต่างบอกว่าใช่ เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “คำกล่าวของคุณชายหลิวนั้นช่างเกรงใจนัก ข้าไม่อาจเอื้อมจริงๆ! วันนั้นหากมิได้คุณชายเติ้งซึ่งเป็นพวกพ้องของคุณชายสิบหกช่วยลงมือ ก็เกรงว่าถ้างูเขียวหางไหม้เลื้อยเข้าไปในเสื้อ ข้าคงจักยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ! เรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น จักกล่าวว่าเป็นฝีมือล้ำเลิศได้ที่ใดกัน? ไม่ปิดบังพวกท่าน วันนั้นหลังจากมองเห็นงูเขียวหางไหม้ถูกปักไว้กับต้นเสา ข้าตกใจเอาการจริงๆ! หากมิได้พวกสาวใช้ประคองเอาไว้ ก็แทบจะลุกขึ้นไม่ไหวเชียว…”

                “ที่พี่เว่ยกล่าวมา ข้าได้ยินพี่ชายสิบหกบอกว่า ในตอนนั้น หางของงูเขียวหางไหม้ตัวนั้นสะบัดไปถูกหมวกของพี่เว่ยแล้ว เมื่อพี่เว่ยหันกลับไปดู ก็มิใช่ว่าอยู่ตรงหน้าแล้วหรือ? เพียงข้าแค่คิดดูก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้วเจ้าค่ะ!” หลิวรั่วเหยียยิ้มพลางกล่าวไป “ครานั้นพี่เว่ยยังสามารถยืนขึ้นและออกไปขอบคุณคุณชายเติ้งที่นอกศาลา นี่ก็นับว่าเก่งกาจกว่าพวกเราไม่รู้เท่าใดแล้วเจ้าคะ”

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถ่อมตัวว่า “ตอนนั้นเมื่อมองเห็นก็รู้สึกแต่ว่างูตัวนั้นน่าขยะแขยง แต่ก็คิดเพียงจะต้องรีบไปขอบคุณคุณชายเติ้ง มิเช่นนั้น หากเขาลงเขาไปแล้วก็ไปขอบคุณต่อหน้าไม่ได้อีก ภายหลังเมื่อกลับมาในห้อง ยิ่งคิดก็ยิ่ง… เฮ่อ เรื่องนี้ไม่เอ่ยถึงดีกว่า!”

                หลิวรั่วเหยียยิ้มแล้วว่า “เพราะข้าไม่ดีเอง เรื่องเช่นนั้นเมื่อคิดถึงขึ้นมาก็ต้องทำให้รู้สึกไม่สบาย ข้าอยากจะเอ่ยถึงชื่อเสียงของพี่เว่ยท่าน แต่กลับทำให้พี่เว่ยต้องคิดถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมาอีกเสียนี่”

                “ใช่ที่ใด?” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าสดชื่น “กลับเป็นข้าที่ขี้ขลาด เอาแต่หวาดกลัวทั้งที่ไม่มีอันตรายใด แต่กลับทนไม่ได้ยามนึกย้อนกลับไปต่างหาก”

                นางหลิวเห็นว่าพวกนางยิ่งสนทนายิ่งเข้ากันได้ดี ราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ กันเช่นนั้น แน่นอนว่านางย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกนางกลมเกลียวกันเช่นนี้ต่อไป จึงพูดกระเซ้าแทรกไปว่า “รั่วเหยีย เมื่อครู่นี้เจ้ายังเป็นกังวล บอกว่าพี่เว่ยของเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ และวันนี้น้องสามก็อยู่เรือน เจ้าจึงไม่สะดวกจะไปคารวะที่เรือนจินถง ก่อนนี้ฮวายเฝยไปเสียนานยังไม่กลับมา เจ้าก็ยังกลัวว่าจะเชิญพี่เว่ยของเจ้ามาไม่ได้เสียแล้ว… เจ้าน่าจะรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?”

                หลิวรั่วเหยียหัวเราะออกมาบอกว่า “พี่เจ็ดท่านก็มิใช่บอกไปแล้วหรือ? ก็พี่เว่ยเพิ่งจักแต่งงานใหม่เช่นไรเล่า!” รอยยิ้มของนางไร้เดียงสาและอ่อนหวาน คล้ายมิเคยได้เห็นเสิ่นจั้งเฟิงมาก่อนเลย คล้ายกับว่ายามนี้เพียงกระเซ้าเว่ยฉางอิ๋งไปอย่างไม่คิดสิ่งใดเท่านั้น มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่านางรู้สึกอิจฉาหรือไม่พอใจ

                …ยามรอยยิ้มเช่นนี้อยู่ในสายตาของทุกคน แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็อดจะรู้สึกชื่นชมไม่ได้ และนางหลิวก็อดจะสะท้านใจแทนหลิวรั่วอวี้ไม่ได้ว่า เด็กสาวหลิวรั่วเหยียผู้นี้ยังเป็นเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้แล้วว่านางจางผู้นั้นร้ายกาจเพียงใด อาศัยเพียงแค่ความโกรธแค้นที่หลิวรั่วอวี้มีอยู่เต็มอกจะสามารถไปสู้รับปรบมือกับสองแม่ลูกนี่ได้จริงหรือ?

                เว่ยฉางอิ๋งยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “คุณหนูสิบเอ็ดโปรดอย่างได้ฟังพี่สะใภ้ใหญ่พูดส่งเดชเชียว วานนี้ยามข้าเช็ดผมแล้วลืมปิดหน้าต่าง โดนลมโกรกทั้งคืน ปรากฏว่าเช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาก็ปวดหัว จึงนอนพักทั้งก่อนและหลังเที่ยง ปรากฏว่าคนรอบตัวก็กลับไม่คอยเป็นหูเป็นตาให้ ฮวายเฝยไปหาแล้ว พอเห็นว่าข้ายังไม่ตื่นก็ไม่กล้าเรียก จริงๆ เลยเชียว…”

                นางหลิวยิ้มน้อยๆ “น้องสะใภ้สามต่อว่าท่านอาหวงต่อหน้าไปแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าก็ได้ยินท่านอาหวงอธิบายว่า ความจริงคือน้องสามรักใคร่เจ้า จึงกำชับพวกนางว่าห้ามไปรบกวนเจ้า แม้แต่น้องสามเองอยากจะอ่านหนังสือ ก็ยังตั้งใจออกไปอ่านที่ห้องหนังสือ เพื่อมิให้เสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือไปรบกวนเจ้าเอาได้! เรื่องนี้จักโทษท่านอาหวงได้ที่ใด?”

                “พี่สะใภ้ใหญ่นี่จริงๆ เชียวเจ้าคะ! เมื่อครู่นี้ก็มิใช่บอกแล้วว่าไม่ให้เอ่ยเรื่องนี้นี่เจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงมีอาการไม่พอใจนางหลิว “คุณหนูสิบเอ็ดอยู่ที่นี่ด้วยนะเจ้าคะ พี่สะใภ้ใหญ่พูดเรื่องพวกนี้… แล้วจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”

                หลิวรั่วเหยียยิ้มหวาน กล่าวว่า “พี่เว่ยเจ้าคะ ท่านไม่ทราบ พี่เจ็ดออกเรือนมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว ข้ายังมิเคยได้ยินว่าสามีของพี่เจ็ดจะรักใคร่นางเช่นนี้เลย ปรากฏว่าพี่เว่ย ท่านเพิ่งจะแต่งงานมาไม่กี่วัน สามีของพี่เว่ยก็รักใคร่ท่านเพียงนี้ แล้วพี่เจ็ดจักไม่แขวะท่านสักสองสามประโยคได้หรือเจ้าคะ? พี่เว่ยท่านก็อย่าได้ถือโทษพี่เจ็ดของข้าเลย สามีที่รักใคร่พี่เว่ยเช่นนี้ ข้าโตมาจนป่านนี้ก็เห็นแต่เพียงท่านพ่อของข้าเท่านั้นที่เทียบได้! อย่าว่าแต่พี่เจ็ดกระเซ้าท่านเลย แม้แต่เมื่อข้าได้ฟัง ไม่กลัวว่าพี่สาวทั้งสองท่านจะหัวเราะเยาะ ข้าก็ยังคิดว่าวันหน้าหากสามารถได้แต่งกับสามีที่เอาอกเอาใจเช่นนี้จะดีเพียงใด?”

                “…” เว่ยฉางอิ่งพลันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ใบหน้าของนางหลิวยังคงมีรอยยิ้ม แต่มือกลับเริ่มสั่นน้อยๆ แล้ว… เห็นชัดว่าถูกยั่วให้โมโหไม่เบาเลย!

                คำพูดนี้ของหลิวรั่วเยียก็คือการตบหน้านางหลิวชัดๆ!

                ออกเรือนมาสิบกว่าปี มีทั้งบุตรและธิดา และทั้งบุตรและธิดาก็ได้รับการอบรมเสียจนผู้ใดเห็นผู้ใดรัก ทั้งยังเป็นคนดูแลเรื่องในบ้านอย่างเป็นระเบียบร้อยทุกอย่าง! ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดมาเป็นเกณฑ์ นางหลิวล้วนเป็นยอดภรรยาและมารดาที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ นางยังเป็นสะใภ้ใหญ่อีกด้วย! แต่กลับกลายเป็นว่าเว่ยฉายอิ๋งผู้เป็นน้องสะใภ้ เมื่อครั้งยังไม่ทันเข้าเรือนก็ได้รับเครื่องประดับซึ่งเป็นสินติดตัวที่ล้ำค่าที่สุดของแม่สามีเป็นของกำนัล ทั้งที่ชื่อเสียงย่อยยับ แต่สามีกลับเอาสาวใช้หน้าตางดงามออกจากเรือนไปจนหมด แม้แต่สาวใช้ที่ปรนนิบัติเขามานานตั้งแต่เขายังเล็กก็มอบให้แก่ผู้อื่น ด้วยกลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเรือนหลัง! พอแต่งเข้ามาสามีก็คอยปกป้องเอาใจใส่ คอยพิจารณาทุกเรื่องเพื่อนางอย่างรอบคอบ แม้ท่านยายจะกำลังป่วยอยู่ แต่เพื่อคำพูดของนางเพียงประโยค เขาก็ยังพยายามหาหนทางให้ได้อยู่เป็นเพื่อนนางที่เรือนในวันหยุด…

                เรื่องเหล่านี้ บางเรื่องเว่ยฉางอิ๋งรู้และบางเรื่องก็ไม่รู้ ทว่าความเก็บกดและความเจ็บใจที่หลั่งไหลผ่านสายตาของนางหลิวในชั่วพริบตานั้น ยังทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสะท้านใจ ในสายตาของนางก็เห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้เก่งกาจมากอยู่แล้ว เพียงดูจากเสิ่นซูจิ่งบุตรสาวคนโตที่อายุได้สิบขวบแล้ว และนางยังให้กำเนิดบุตรชายอีกคนด้วย อีกทั้งจนถึงยามนี้บ้านใหญ่ก็ยังไม่มีบุตรชายบุตรสาวของอนุยังไม่ว่า ในสถานการณ์ที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ ชื่อเสียงอันดีงามของนางหลิวล้วนเป็นที่ประจักษ์ของทุกคน… ครั้งเว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ที่เฟิ่งโจวก็เคยได้ยินฮูหยินซ่งมารดาของตนกล่าวเตือนว่า พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองของนางล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงเรื่องคุณธรรมความดี เมื่อเข้าบ้านไปแล้วจะต้องพึงระวังไว้ให้จงดี อย่าได้ไปล่วงเกินพวกนางทีเดียว!

                 พี่สะใภ้ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมผู้หนึ่ง ในสายตาของผู้คนล้วนนึกคิดว่าต้องเปี่ยมไปด้วยความดีงาม สะใภ้ใหม่เพิ่งจะเข้าบ้านมาผู้คนยังไม่ทันได้รู้ว่าเป็นคนเช่นใด หากมิทันไรก็ขัดแย้งกับพี่สะใภ้เสียแล้ว อย่างไรเสียก็จักต้องเป็นสะใภ้ใหม่ที่ใช้การไม่ได้!

                นับแต่เข้าบ้านมา เว่ยฉางอิ๋งก็พบว่าสิ่งที่มารดาของตนเคยเตือนเอาไว้นั้นไม่ผิดเลยสักน้อย พี่สะใภ้ทั้งสองคนนี้ดูแล้วเพียบพร้อมช่างเอาใจใส่ แต่ไม่มีแม้สักคนที่จะไปหาเรื่องหาราวเอาได้ง่ายๆ! แต่ยามนี้หลิวรั่วเหยียที่ปีนี้เพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น กลับใช้คำพูดที่ดูคล้ายเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่มายั่วยุให้พี่สะใภ้ใหญ่ที่มีชั้นเชิงลึกล้ำและใจแข็งเด็ดเดี่ยวถึงกับเสียอาการ!

                ทั้งอายุ ทั้งฐานะของหลิวรั่วเหยีย และสีหน้าน้ำเสียงที่ดูไร้เดียงสาทั้งยังหัวร่อต่อกระซิกของนาง ล้วนทำให้นางหลิวเกิดอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

                …ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หลิวรั่วอวี้ไม่อยู่ หากนางอยู่ ลำพังแค่ประโยคที่ว่า “สามีที่รักใคร่พี่เว่ยเช่นนี้ ข้าโตมาจนป่านนี้ก็เห็นแต่เพียงท่านพ่อของข้าเท่านั้นที่เทียบได้!” ก็สามารถแทงหลิวรั่วอวี้ไปไม่รู้กี่แผลได้อย่างสบายๆ!

                เด็กสาวผู้นี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้… ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจ นางก็เพิ่มความระแวดระวังตัวขึ้นมาอีกสองหมื่นเท่า ลำพังแค่เพียงคำพูดนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าก่อนนี้นางหลิวจะมีท่าทีจริงใจกับตนเพียงใด หรือขอบคุณที่นางหวงช่วยถอนพิษให้หลิวรั่วอวี้ปานใด นับแต่วันนี้ไป ตนและนางหลิวสองพี่สะใภ้น้องสะใภ้ก็จะไม่มีวันสนิทสนมกันได้อีกต่อไปแล้ว

                เพราะความโกรธแค้นและริษยาที่นางหลิวแสดงออกยามนี้นั้นช่างชัดเจนเสียเหลือเกิน แม้ว่าวันหน้านางหลิวจะมาขอโทษและอธิบายกันตน แต่อย่างไรก็จักไม่มีวันอธิบายได้ชัดเจน เพราะเว่ยฉางอิ๋งก็จนปัญญาที่จะไม่จดจำเอาไว้เสีแล้ว นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาไม่ถึงหนึ่งเดือน เพิ่งจะได้พบนางหลิวกี่หนกัน? ต่อให้ใกล้ชิดเพียงใดก็ยังมีขอบเขต นางเองก็อดจะระวังตัวขึ้นมาไม่ได้!

                ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดจากฝั่งของนางหลิวแล้ว วันนี้นางถูกนำมาเปรียบเทียบกับเว่ยฉางอิ๋ง และไม่ว่าเรื่องใดนางก็ด้อยกว่าเว่ยฉางอิ๋งทั้งนั้น แล้วนางจะไม่เอาคำพูดเหล่านี้จดจำไว้ในใจได้หรือ?

                คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้คนที่เป็นพวกเดียวกันอย่างนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งต้องแตกหักกัน หลิวรั่วเหยียยังทำคล้ายกับมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนางหลิว และยังพูดต่อไปอย่างมีความสุขและไร้เดียงสาว่า “แต่ทว่า พี่เจ็ดก็เป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องต่างๆ ไว้ในใจเสมอมา ไม่แน่ว่าโดยส่วนตัวแล้วสามีของพี่เจ็ดอาจจะเอาอกเอาใจพี่เจ็ดยิ่งกว่าที่สามีพี่เว่ยเอาใจพี่เว่ยเสียอีก เพียงแต่พี่เจ็ดไม่พูดเท่านั้น… พี่เว่ย ท่านว่าพี่เจ็ดเจ้าเล่ห์เสียยิ่งนักหรือไม่ ความดีของสามีพี่เจ็ด นางกลับไม่เอ่ยถึง ยามพวกเราอยากกระเซ้านางกลับทำไม่ได้เสียนี่! จะทำได้ก็แต่เพียงถูกนางกระเซ้าเอาเท่านั้น!”

                …เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าสีหน้าของนางหลิวยังไม่ผ่อนคลายลง จึงทำได้แต่ยิ้มพยายามกู้สถานการณ์ และเอ่ยกลบเกลื่อนไปว่า “ท่านพูดถูกแล้ว ข้าได้ยินว่าแต่ไรมาพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ต่างก็ดีต่อกันยิ่งนัก…”

                ในใจนางอดจะถอนหายใจไม่ได้ วันนี้นางและนางหลิวต่างรู้กันในทีว่าจะมาช่วยกันพรรณนาว่าเสิ่นจั้งเฟิงดีต่อตนมากมายเช่นไรบ้าง ก็มิใช่เพื่อยั่วยุหลิวรั่วเหยียและทำให้นางเจ็บใจหรอกหรือ? เหตุใดคำพูดเพียงบางเบาของหลิวรั่วเหยียจึงทำให้นางหลิวเสียกริยาได้ถึงปานนี้?

                หรือว่า… ระหว่างนางหลิวและเสิ่นจั้งลี่มีเรื่องใดไม่ชอบมาพากล?

                หาไม่แล้วจากชั้นเชิงของนางหลิวก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะถูกยั่วยุได้โดยง่ายเช่นนี้นี่…

                ทว่าไม่ว่าจะเป็นดังนี้หรือไม่ เว่ยฉางอิ๋งก็กระจ่างใจแล้วว่า ต่อให้หลิวรั่วอวี้จะมีนางหลิวคอยช่วยเหลืออยู่ ก็เกรงว่ายังมิใช่คู่ปรับของหลิวรั่วเหยีย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเบื้องหลังของหลิวรั่วเหยียยังมีนางจางที่คอยข่มหลิวรั่วอวี้มาตลอดชีวิต

                ดูไปแล้ว หนี้แค้นที่ต้องต้องชำระกับตระกูลหลิวที่ให้ร้ายตนแต่หนก่อนนั้น อย่างไรก็ยังคงต้องลงมือด้วยตนเอง!

                พี่สะใภ้ใหญ่และหลิวรั่วอวี้ทางนี้ เกรงว่าจะฝากความหวังสิ่งใดไม่ได้แล้ว

_____________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด