ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 91 ไม่ทะเลาะไม่รู้จัก (1)

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 91 ไม่ทะเลาะไม่รู้จัก (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                …เมื่อถูกจี้ชวี่ปิ้งทิ้งไปเฉยๆ ทุกคนจึงมองหน้ากันไปมาอยู่เนิ่นนาน เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามนางหวงด้วยความรู้สึกยากจะเชื่อได้ว่า “มิใช่ท่านอาบอกว่าจี้ชวี่ปิ้งเคยได้รับบุญคุณจากตระกูลเว่ยของเรารึ?” เหตุใดวันนี้นางจึงรู้สึกว่าความจริงแล้วจี้ชวี่ปิ้งมีความแค้นกับตระกูลเว่ย? ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ความแค้นธรรมดาเสียด้วย?

                นางหวงเอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ท่านหมอเทวดาเป็นคนเช่นนี้มาแต่ไรเจ้าค่ะ…”

                แล้วเห็นเว่ยฉางอิ๋งแสดงสีหน้าออกมาว่า ‘ท่านก็รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นนี้แล้วยังเสนอความคิดให้พาท่านพี่มาอีก’ นางหวงยิ่งเลิ่กลั่กกว่าเดิม แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าน้อยก็คิดเผื่อเอาไว้หากมีสิ่งใด”

                เดิมทีก่อนจะมาเสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่เห็นด้วยกับการมาหาจี้ชวี่ปิ้งที่นี่ แต่เวลานี้เห็นภรรยาถูกกระทบกระเทือนใจอย่างแรง จึงกลับเป็นฝ่ายมาปลอบนางแทน “ท่านอาหวงกล่าวไม่ผิด ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ว่าฝีมือแพทย์ของท่านหมอเทวดาจี้ดียิ่งนัก เพียงแต่อารมณ์…ร้อนไปหน่อย แต่ในเมื่อเป็นแพทย์ ฝีมือแพทย์ดีจึงสำคัญที่สุด มิใช่เจ้าบอกว่าขอเพียงท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าไม่เป็นไร เจ้าถึงจะวางใจหรอกหรือ? ในเมื่อเป้าหมายที่มาครานี้ก็ลุล่วงแล้ว เรื่องอื่นก็อย่าได้ไปถือสาเลย”

                เว่ยฉางอิ๋งพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าจะไปรู้ได้ที่ใดว่าเขามีนิสัยประหลาดเพียงนี้? ข้าก็นึกแต่เพียงว่าอย่างมากที่สุดก็แค่ไม่ชอบพูดจาเท่านั้น”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “หากนับไปแล้วท่านหมอผู้นี้ก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับญาติผู้ใหญ่ของเรา พวกเราก็คิดเสียว่ายอมให้ผู้ใหญ่สักหน่อยเถิด” เขารู้ว่าครั้งเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่บ้านเดิมของตนนั้นได้รับการเอาอกเอาใจเพียงใด นับแต่ออกเรือนมา ในตระกูลเสิ่นเองก็ไม่ได้มีคนที่มีนิสัยประหลาด แล้วเว่ยฉางอิ๋งจะเคยได้เจอกับคนอารมณ์ร้ายที่ใด? คาดว่าคนเพียงคนเดียวที่นางสามารถมาเอามาเทียบกับจี้ชวี่ปิ้งได้ก็คงเป็นกู้หน่ายเจิงที่บังเอิญได้พบครั้งไปที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว

                ดังนั้นแม้เว่ยฉางอิ๋งจะเคยได้ยินทั้งนางหวงและฮูหยินซูพูดว่าจี้ชวี่ปิ้งเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่ที่ว่าร้ายนั้นร้ายมากมายเพียงใดกันแน่ ซึ่งสถานการณ์จริงก็ช่างห่างไกลจากในจินตนาการของเว่ยฉางอิ๋งมากมายเกินไปจริงๆ

                เมื่อคิดว่าตนเองขืนลากสามีมา จนทำให้สามีทั้งถูกล้อทั้งถูกตำหนิ ยามนี้สามีกลับต้องเป็นฝ่ายมาปลอบโยนตน เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกว่าทนยอมรับไม่ไหว… ยิ่งชิงชังจี้ชวี่ปิ้งมากเข้าไปอีก เพียงแต่ได้นางหวงเข้ามากล่าวเตือนนางว่า “จี้ชวี่ปิ้งก็เป็นคนเช่นนี้ หากฮูหยินน้อยจะโทษก็โทษข้าน้อยเถิดเจ้าค่ะ ล้วนเพราะข้าน้อยไม่ดีเอง คิดว่าคุณชายยังหนุ่ม จึงยากจะไม่มุทะลุเลือดร้อนและไม่ใส่ใจบาดแผลเล็กๆ หากบังเอิญถูกหมอสวะตรวจผิดพลาดแล้วมีอาการบาดเจ็บสะสม วันหน้าก็จะไม่เป็นการดี จึงเกลี่ยกล่อมให้ฮูหยินน้อยมากับคุณชาย คนทั่วเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้จักอุปนิสัยของท่านหมอเทวดาจี้ ยามมารับการรักษาก็ล้วนเตรียมตัวจะถูกเขาปฏิบัติเช่นนี้ด้วยทั้งสิ้นเจ้าค่ะ…”

                “สมัยนั้น ญาติผู้ใหญ่ในบ้านข้ามิใช่เคยช่วยเหลือเขามาก่อนหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามด้วยความขุ่นเคือง “ฟังท่านอาว่า เขาก็เห็นแก่น้ำใจอันนี้?”

                นางหวงยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ความจริงแล้ว..นี่…ท่านหมอเทวดาจี้ก็เห็นแก่น้ำใจแล้วเจ้าค่ะ…”

                ซึ่งก็หมายความว่า หากตนเองไม่ใช่บุตรสาวตระกูลเว่ย และเสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่เขยตระกูลเว่ย เมื่อเข้าบ้านมาวันนี้ ท่าทีของจี้ชวี่ปิ้งก็จะยิ่งเลวร้ายกว่านี้?

                นี่มันเป็นคนเช่นใดกัน!

                เว่ยฉางอิ๋งไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่ามีคนประเภทกู้หน่ายเจิงและจี้ชวี่ปิ้งไว้ทำสิ่งใด คนเขาไม่ได้มีความแค้นเคืองใดกับเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงทำเรื่องล่วงเกินผู้คนจนถึงตายออกมาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา?

                นางโกรธเกรี้ยวเดือดดาลพลางสั่งความด้วยเสียงต่ำ “ข้าทนเรื่องนี้ไม่ไหว ท่านอารีบหาวิธีจัดการจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้เสีย!”

                นางหวงรีบบอกให้นางเงียบเสียง เพราะแม้ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะทิ้งทุกคนเอาไว้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขายังคงแอบฟังความเคลื่อนไหวในนี้อยู่หรือไม่? นางจึงกดเสียงต่ำพูดไปเบาๆ ว่า “ฮูหยินน้อยที่แสนดีของข้า ท่านโปรดระงับโทสะเถิด อย่าได้ถือสาท่านหมอเทวดาจี้เลย! ท่านลองคิดดูว่าท่านหมอเทวดาอยู่ตัวคนเดียว แม้จะมีวงศ์ตระกูลแต่ท่านก็ไม่ได้ไยดี จึงได้รับคุณหนูตวนมู่แปดซึ่งเป็นคนนอกตระกูลเอาไว้เป็นศิษย์ และนางก็เป็นบุตรสาวในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ด้วยเช่นกัน อยู่ดีๆ พวกเราจะไปจัดการบุตรสาวบ้านตวนมู่อย่างไรได้เจ้าคะ? ส่วนหากจะลงมือกับท่านหมอเทวดา…นั่นก็ต้องให้ท่านหมอเทวดากลัวด้วยนะเจ้าคะ!”

                แล้วกดเสียงต่ำๆ เตือนสติไปอีกว่า “คนภายนอกต่างรู้กันว่าด้วยฝีมือล้ำเลิศของท่านหมอเทวดา นายท่านใหญ่ของบ้านเราจึงได้มีชีวิตยืนยาวมาจนทุกวันนี้ ทั้งยังมีฮูหยินน้อยและคุณชายห้าของเราด้วยนะเจ้าคะ!”

                หากจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้ไม่ใช่คนที่หัวแข็งเป็นที่สุด บรรดาผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงจะปล่อยให้เขาอวดดีมาจนถึงเวลานี้หรือ? ทั้งที่เป็นเพียงแค่หมอคนหนึ่งที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังวางท่าอยากรักษาให้ก็รักษา ไม่อยากรักษาให้ก็ไม่รักษาต่อเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย!

                ยิ่งไปกว่านั้นจี้ชวี่ปิ้งยังเคยช่วยเว่ยเจิ้งหง… ผู้อื่นลงมือกับเขาก็ยังแล้วไป แต่เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของเว่ยเจิ้งหงก็ยังจะมาลงมือกับจี้ชวี่ปิ้ง ทำเช่นนี้ก็ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าไม่รู้จักคุณคนที่ช่วยชีวิตบิดาน่ะสิ!

                เมื่อถูกนางหวงเตือนสติ เว่ยฉางอิ๋งก็สงบลงบ้างเล็กน้อย แล้วก็คิดขึ้นมาอีกว่า ทั้งแม่เฒ่าซ่งและนางหวงต้องพยายามและทุ่มเทปานใดจึงสามารถผูกสัมพันธ์กับจี้ชวี่ปิ้งเอาไว้ได้ หากจะมาทำลายสายสัมพันธ์ที่ญาติผู้ใหญ่จัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วยความโกรธเพียงชั่ววูบย่อมไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย …ต่อให้วันหน้านางไม่ได้ใช้สอยจี้ชวี่ปิ้งอีก แต่ท่านพ่อเว่ยเจิ้งหงเล่า? แม้ครั้งนั้นจี้ชวี่ปิ้งจะบอกว่าเขามีความสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเว่ยเจิ้งหงได้เพียงเท่านี้แล้ว แต่เมื่อมองดูสมุนไพรที่อยู่เต็มลานบ้านแห่งนี้ เพียงคิดก็รู้ว่าแม้จี้ชวี่ปิ้งจะอยู่อย่างซ่อนเร้นก็ส่วนซ่อนเร้นไป แต่เขากลับไม่เคยปล่อยวางฝีมือแพทย์ของของตนลงเลย ไม่แน่ว่าจะยังคงตั้งอกตั้งใจศึกษาค้นคว้าต่อไปจนมีความก้าวหน้ากว่าก่อนแล้วก็เป็นได้!

                เมื่อทบทวนไปมาแล้ว นางก็ขบริมฝีปากหนแล้วหนเล่า จากนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “เห็นแก่ท่านพ่อ… พวกเราไปกันเถิด”

                เสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่านางดูไม่พอใจเช่นนี้ จึงปลุกปลอบนางว่า “ดีชั่วอย่างไร วันนี้ข้าก็ลางานมาแล้ว ยามนี้กลับไปก็ไม่มีสิ่งใดต้องทำ มิสู้พาเจ้าไปชมตลาดสักหน่อย?”

                “ที่ตลาดมีสิ่งใดน่าชมกัน มีแต่คนสับสนวุ่นวาย” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “อย่างไรก็กลับบ้านเลยดีกว่า เพื่อให้ท่านแม่ทราบผลด้วยท่านจะได้วางใจ อีกประการสองวันมานี้มิใช่เจ้ากำลังรอแหลนของเจ้าอยู่หรือ? ไม่แน่ว่าอาจมาถึงแล้ว”

                ทั้งสองคนสนทนากันจนมาถึงในลานบ้าน พลันมีลมวูบหนึ่งพัดมา ทำให้แขนเสื้อกว้างของเว่ยฉางอิ๋งพัดเปิดขึ้น จนเผยให้เห็นข้อมือขาวนวลดังหิมะและกำไลหยกหนึ่งอันบนข้อมือของนาง

                กำไลหยกอันนี้แต่แรกนั้นเป็นหนึ่งในของหมั้นครั้งตระกูลเสิ่นมาหมั้นหมายนาง มีเนื้อใสสีเขียว เป็นหยกน้ำงามชั้นเลิศ คล้ายกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ไปตักมาจากแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิและจับตัวแข็งอยู่บนข้อมือเช่นนั้น ทั้งยังส่องแสงสะท้อนไปบนผิวขาวหิมะจนเป็นสีเขียวเข้ม อีกทั้งในวันนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ยังสวมเสื้อส้างหรูสีขาวนวลจันทร์ปักภาพกิ่งก้านดอกเหมยเล็กๆ สีขาว ดังนั้นในระหว่างที่มีลมพัดมา กำไลอันนี้ย่อมสะดุดตาคนนัก

                ตวนมู่ซินเหมี่ยวกำลังเลือกเก็บยามาหนึ่งตะกร้าเล็กและหันหลังมาเห็นกำไลอันนี้พอดี นางอดจะตาลุกวาวไม่ได้ พลันเอาตะกร้ายาวางไว้บนกระจาดยาอันหนึ่ง เร่งเดินรวบสามก้าวเป็นสองก้าวเข้ามาหา แล้วดึงแขนเสื้อของเว่ยฉางอิ๋งขึ้นจะปลดกำไลของนาง “หยกดี! เอาให้ข้าเร็ว!”

                เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจเชื่อได้เลยจริงๆ ว่าศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนจะไร้ยางอายได้ถึงขั้นนี้! เมื่อครู่นี้ คนเป็นอาจารย์ก็เพิ่งจะสะบัดหน้าใส่พวกเขาสามีภรรยา ส่วนคนเป็นศิษย์ก็คิดจะชิงกำไลของนางอย่างอุกอาจ!

                ตวนมู่ซินเหมี่ยวเพิ่งจะสัมผัสถูกกำไลหยกอันนั้น เว่ยฉางอิ๋งที่เวลานี้อดทนจนเหลืออดแล้วพลันดึงมือออกและไหลหลุดออกมาจากมือของนางอย่างรวดเร็ซเหมือนปลาว่ายน้ำ พลิกข้อมือแล้วหันกลับมากดที่ประตูลมปราณของตวนมู่ซินเหมี่ยว แล้วตวาดออกไปด้วยความโกรธว่า “เจ้านี่มันบังอาจนัก!

“เจ้าทำสิ่งใดกันนี่? รีบเอากำไลมาให้ข้า!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวดิ้นรนครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่หลุด พลันโวยวายขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ให้ข้าดูสิว่าเป็นหยกชั้นเลิศระดับนั้นหรือไม่? หากไม่ใช่ ข้าก็หาต้องการไม่”

…แม้แต่คนใจเย็นอย่างเสิ่นจั้งเฟิงได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็ยังต้องเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “คุณหนูตวนมู่ กำไลนี้เป็นของหมั้นที่บ้านข้านำไปหมั้นหมายภรรยาของข้า ไม่อาจนำไปเป็นค่ารักษาได้”

หากเขาไม่เอ่ยถึงค่ารักษา เว่ยฉางอิ๋งเอาแต่โกรธเกรี้ยวเพราะท่าทีของจี้ชวี่ปิ้งจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เมื่อเอ่ยถึงค่ารักษาขึ้นมา… เว่ยฉางอิ๋งก็ยิ่งเดือดดาลเข้าไปอีก …มือที่จับตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไว้ก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น แล้วกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “ยังกล้ามาขอค่ารักษา! มีคนที่เป็นหมอเช่นอาจารย์เจ้าด้วยรึ? จู่ๆ ก็เรียกคนเข้าบ้าน แล้วก็วางท่ายิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่ครึ่งค่อนวัน เอ่ยวาจาไม่อ่อนน้อมถ่อมตน สุดท้ายก็ยังด่าทอยกใหญ่แล้วเดินจากไป! ก็แค่ตรวจชีพจรครู่เดียวแต่กลับหวังจะเอากำไลหยกเนื้องามชั้นเลิศของข้าอันนี้เป็นค่ารักษา… พวกเจ้าศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนเป็นหมอหรือเป็นโจรกันแน่?”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวถูกนางบีบข้อมือรู้สึกเจ็บปวดและมีท่าทีร้อนรนขึ้นมา “อะไรนะ? พวกเจ้ายังไม่ได้จ่ายค่ารักษาก็คิดจะจากไปรึ! เช่นนั้นก็ต้องอยู่ที่นี่ ข้าหมายตากำไลอันนี้แล้วจะอย่างไร? มีปัญญาจริงๆ วันหน้าพวกเจ้าอย่าได้มาขอร้องท่านอาจารย์ข้าอีก!”

“เจ้าฝันไปเถอะ!” เว่ยฉางอิ๋งโกรธเกรี้ยวมาจากขั้วหัวใจ และไม่คิดถึงเรื่องที่แม่เฒ่าซ่งคอยผูกมัดจิตใจจี้ชวี่ปิ้งมาตลอดหลายปีอีกแล้ว พลันเข้าไปกระชากคอเสื้อของนางแล้วตวาดใส่ว่า “กล้าหมายปองกำไลของเข้า! อย่านึกว่าเจ้าเป็นคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่แล้วข้าจะตีเจ้าไม่ได้นะ!”

“เจ้ากล้าตีข้า!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวตาค้างปากสั่น แล้วหันหน้ามาร้องใส่เสิ่นจั้งเฟิง “คุณชายสามตระกูลเสิ่น เจ้าแน่ใจว่าเจ้าแต่งกับบุตรสาวตระกูลเว่ย มิใช่นางโจรแห่งเขาเฟิ่งซาน? คงมิใช่ว่าตระกูลเว่ยตบตาเจ้าหรอกนะ!”

เดิมทีเสิ่นจั้งเฟิงอยากจะเตือนภรรยาให้ยุติเรื่องนี้เสีย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของตวนมู่ซินเหมี่ยวเขาก็กลับหันมาปกป้องภรรยา โดยกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “คุณหนูตวนมู่โปรดระวังวาจา ภรรยาข้าเพียบพร้อมดีงาม ถือกำเนิดในตระกูลเลื่องชื่อ ฐานะในตระกูลสูงส่ง จักให้เจ้าให้ร้ายทำลายชื่อเสียงส่งเดชได้อย่างไร?”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวถูกเว่ยฉางอิ๋งผลักจนเดินโซเซ จึงเอ่ยอย่างโมโหโกรธาว่า “ถือว่าข้าถามไปเปล่าประโยชน์! รู้อยู่แล้วว่าบ้านเสิ่นของพวกเจ้าต้องเข้าข้างคนของตนเอง! เจ้าเบิกตาดู แต่กลับพูดจาไร้แก่นสาร ภรรยาของเจ้าผู้นี้มีท่าทีเยี่ยงบุตรสาวตระกูลเว่ยแม้สักน้อยที่ใดกัน? ไม่รู้จักว่ากันด้วยเหตุผลเลยแม้แต่น้อย!”

“เหตุผลเอาไว้พูดกับคนที่เข้าใจต่างหาก พวกเจ้าศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนเป็นโจรกันทั้งรัง มีเหตุผลใดให้ต้องพูดอีก?” เว่ยฉางอิ๋งต่อว่านางไปซึ่งๆ หน้า!

ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดด้วยโทสะว่า “เจ้ารู้ว่าที่นี่เป็นรังโจร แล้วเหตุใดตนเองยังวิ่งรี่เข้ามา? หรือว่าอาจารย์ข้าไปเชิญเจ้ามากัน?”

“หากรู้ว่าสามีข้าไม่เจ็บป่วยแต่แรก ผู้ใดจักอดทนมาดูสีหน้าอาจารย์เจ้า!”

“ไม่มาหาอาจารย์ข้า แล้วพวกเจ้าจะแน่ใจว่าไม่เจ็บป่วยรึ?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ข้ามแม่น้ำแล้วพังสะพาน ก็มิใช่เป็นเช่นเจ้านี้… ยังมิทันออกนอกเรือนเลยก็มานินทาอาจารย์ข้าเสียแล้ว เมื่อตอนเข้ามา เหตุใดจึงดูสีหน้าท่านอาจารย์ได้แล้วเล่า?”

เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็โกรธเคืองจี้ชวี่ปิ้งอยู่ไม่เบา ยามนี้ทั้งถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวแย่งกำไลทั้งพูดจาไม่เข้าหูอีก ในใจนางพลันมีไฟลุก จึงไม่มีเวลามาห่วงว่าข้างกายมีทั้งสามีและบ่าวไพร่อีกกลุ่มใหญ่อยู่ด้วย แม้แต่คำที่นางเคยได้ยินองค์หญิงอันจี๋ข่มขู่องค์หญิงหลินชวนเมื่อครั้งเข้าวังตามฮูหยินซูไป นางก็พูดออกมาจากปาก “เจ้ายังปากมากอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทึ้งเสื้อผ้าเจ้าออกให้หมดเสียตรงนี้!”

เมื่อพูดความนี้ออกไป เสิ่นจั้งเฟิงและคนอื่นๆ ก็พากันลนลานขึ้นมายกใหญ่… นางหวงหน้าแดงหูแดงและกำลังจะเข้าไปปรามไม่คิดว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านใดๆ หากแต่ยิ้มเยาะแล้วยกอกขึ้นไปพิงเว่ยฉางอิ๋ง พลางเอ่ยอย่างยโสว่า “เอาสิ! เจ้าทึ้งสิ หากเจ้าทึ้งไม่หมดไม่นับนะ! เจ้าอย่าลืมว่าสามีเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย เจ้าว่าเมื่อสามีเจ้าเห็นข้าหมดทั้งตัวแล้ว กลับไปจะไม่มารับข้าเข้าบ้านได้หรือ? พอถึงยามนั้นขึ้นมาแล้วข้าก็มีเรื่องกับเจ้าอยู่สามวันสามคืน เจ้าน่าจะจำให้ดีว่าข้าเรียนวิชาแพทย์ รักษาคนได้ก็ทำร้ายคนได้ เจ้ากล้าอยู่บ้านเดียวกับข้า อย่าได้กลายเป็นว่าพอถึงเวลาก็กลับไม่มีลูกไปชั่วชีวิต พอมานึกถึงวันนี้ จะร้องไห้ก็ไม่ทันเสียแล้ว!”

“คิดว่าข้าไม่มีวิธีจัดการเจ้าจริงๆ รึ!” เว่ยฉางอิ๋งตะลึงค้าง ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือว่าอายกันแน่ ใบหน้าแดงก่ำจนเลือดแทบจะหยดออกมา แต่กลับระเบิดอารมณ์ออกมาเสียก่อน ..เสิ่นจั้งเฟิงกลัวใจเหลือเกินว่านางจะลงมือจึงรีบเข้าไปดึงนางไว้ “อิ๋งเอ๋อร์ พอเถิดพอเถิด หยุดเท่านี้เถิด พวกเรากลับบ้านกันก่อน”

“เจ้าหุบปาก!” เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวตวาดเป็นเสียงเดียวกัน!

เว่ยฉางอิ๋งชี้นิ้วไปข้างนอกประตูวงพระจันทร์ “เจ้าไปรอข้าที่ประตูใหญ่! พวกเจ้าไปทั้งหมด!”

“อิ๋งเอ๋อร์…” เสิ่นจั้งเฟิงปาดเหงื่อ อยากจะเตือนภรรยาให้ใจเย็นลงสักหน่อย ทว่ากลับถูกความโกรธของเว่ยฉางอิ๋งที่มีต่อตวนมู่ซินเหมี่ยวกดลงเสียสนิท นางไม่ได้สนใจเขาเลย กลับยิ่งพูดอย่างหมดความอดทนว่า “เจ้าจะไปหรือไม่? ที่เจ้าไม่ยอมไปคงมิใช่เพราะหมายปองความงามของนาง กลัวว่าหากไปแล้วก็จะมิได้เห็นร่างหมดจดของนาง?!”

เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจยาว แล้วพูดกับตวนมู่ซินเหมี่ยวว่า “ภรรยาข้าเป็นคนแข็งกร้าว เจ้าเป็นคนยั่วนางเอง จะโทษนางไม่ได้!”

เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหยันพลางกดตัวนางไว้ “แน่จริงก็ไปหาสามีมาช่วยเจ้าสิ!” พวกข้าจะช่วยกันรังแกเจ้าแล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้?

เมื่อให้เสิ่นจั้งเฟิงและทุกคนไปจนหมดแล้ว แม้แต่หนีเวยอีก็ยังถูกนางหวงปิดปากอุ้มออกไป ในลานบ้านเวลานี่จึงเหลือเพียงแค่คนสองคน… เว่ยฉางอิ๋งกระชากตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวและกำลังจะฉีกเสื้อส้างหรูของนางออก ตวนมู่ซินเหมี่ยวดิ้นรนทัดทานแต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ จึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “เจ้ากล้าฉีก วันพรุ่งข้าจะไปอาละวาดที่บ้านตระกูลเสิ่น บอกว่าเสิ่นจั้งเฟิงยืนดูอยู่ที่นี่ด้วย ให้เขาแต่งกับข้าเป็นการรับผิดชอบ! ข้าเป็นถึงคุณหนูแปดในสายหลักของตระกูลตวนมู่ ไม่เชื่อว่าบ้านเสิ่นจะกล้าไม่ให้คำตอบใดแก่ข้า! หากเจ้าจะลงมือ ก็ให้คิดถึงผลลัพธ์ให้ดี!”

____________________________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด