ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 147-1อาและอาสะใภ้

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 147-1อาและอาสะใภ้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เว่ยเซิ่งอี๋ยกมือขึ้นด้วยท่าทีสงบแล้วกล่าวว่า “หลานไม่ต้องมากพิธี” จากนั้นสั่งให้สะใภ้ทั้งสองคนถอยออกไป แล้วให้ เว่ยฉางอิ๋งนั่งลง

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเรียบๆ ว่า “หลานกลับไม่กล้านั่ง ครานี้หลานมาขอขมากับท่านอารองและท่านอาสะใภ้เจ้าค่ะ ยังมิทันได้ขอขมา แล้วหลานจะกล้านั่งลงได้อย่างไรเจ้าคะ?”

“หลานมีโทษอันใดเล่า?” เว่ยเซิ่งอี๋ได้ยินคำก็แย้มยิ้มหนึ่งครา เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ “ล้วนเป็นอาที่มีกิจยุ่งนัก จึงทำให้ละเลยเรื่องในเรือนหลัง ปล่อยให้ท่านอาสะใภ้ของเจ้าทำการตามอำเภอใจเกินไป และเอาใจจนทำให้ฉางเจวียนกลายเป็นลูกสาวที่ไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ยามนี้มาหารือว่าจะปลอบโยนหลานอย่างไรก็ยังไม่ทันแล้ว แล้วจะให้หลานมาเป็นฝ่ายขอขมาได้อย่างไร?”

เว่ยฉางอิ๋งแย้มยิ้มเรียบๆ กล่าวว่า “ท่านอารองกล่าวเช่นนี้ หลานยิ่งไม่กล้ารับโดยเด็ดขาด แรกเริ่มที่น้องเจ็ดมาหาความหลาน ในใจหลานก็รู้สึกว่าถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ แต่แล้ววานนี้แม่สามีกลับเตือนสติหลาน ว่าคงเป็นเพราะนับแต่หลานแต่งเข้าบ้านมา ด้วยเหตุผลนานา นอกจากวันกลับบ้านคราก่อนก็ล้วนไม่เคยมาคารวะท่านอาและท่านอาสะใภ้อีกเลย นับว่าอกตัญญูนัก ดังนี้แล้ว น้องเจ็ดจึงเป็นฝ่ายมาตักเตือนหลานจริงๆ แต่อนิจจาที่หลานโง่นัก หากมิได้แม่สามีเตือนสติ จนวันนี้ก็ยังไม่อาจสำเหนียกได้ว่าที่น้องเจ็ดทำเช่นนี้ก็ด้วยความหวังดีนัก แล้วท่านอารองจะบอกว่าหลานไม่มีความผิดใดได้อย่างไร?”

“ฉางเจวียนเจ้าลูกไม่รักดี จะมีความหวังดีใด?” เว่ยเซิ่งอี๋ยิ้มเรียบๆ กล่าวว่า “บุตรสาวของอารอง อารองจะยังไม่เข้านางรึ? นางก็เป็นเจ้าตัวเล็กที่ทึกทักเอาเองว่าตนฉลาดจนถูกคนหลอกใช้ และล่อลวงจนหัวหมุน แต่กลับยังเอาแต่งวยงงไม่รู้สึก หลานอย่าได้พูดด้วยความโกรธอยู่เลย อารองรู้ว่าเจ้าลูกอกตัญญูทำเจ้าโกรธไม่เบาเลย…”

“ท่านอารองกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ วันนี้หลานมาขอขมากับท่านอารองด้วยความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แล้วจะกล้าโกรธท่านอารองได้อย่างไรเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งยืนยันว่า “ต้องขอให้ท่านอารองโปรดอย่างขัดเคืองที่หลานเป็นฝ่ายเพิกเฉยและอกตัญญูก่อนเจ้าค่ะ!” พูดไปพลางกำลังจะคำนับอย่างเต็มพิธี

เว่ยเซิ่งอี๋เอื้อมมือออกไปประคอง ทว่าแม้จะเป็นอาหลานกัน แต่ก็เป็นชายและหญิง จึงไม่กล้าประคองถูกตัวจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเข้าก็เป็นบัณฑิตไม่รู้เรื่องวรยุทธ ทั้งยังอยู่ในวัยที่พอมีอายุแล้ว จึงไม่แน่ว่าจะยั้งตัวเว่ยฉางอิ๋งที่ฝึกวรยุทธมาแต่เล็กได้ไหว …เมื่อเห็นว่าหลานสาวคำนับขอขมาตนอย่างเต็มพิธีการ ดวงตาของเว่ยเซิ่งอี๋ค่อยๆ หรี่ลง นิ่งคิดอยู่เป็นนาน แล้วสั่งกับบ่าวทั้งซ้ายขวาว่า “ไปพาเจ้าลูกไม่รักดีนั่นมาหาข้า!”

แล้วหันไปพูดกับ เว่ยฉางอิ๋งด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “ในเมื่อหลานไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ดูว่าวันนี้อารองจะอบรบเจ้าลูกไม่รักดีผู้นี้อย่างไร”

เว่ยฉางอิ๋งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ท่านอารองกล่าวเช่นนี้ กลับทำให้รู้สึกว่าวันนี้หลานหาได้มาขอขมาจากใจจริง หากแต่จงใจมาสร้างความลำบากให้น้องเจ็ดเช่นนั้น หลานกลับไม่กล้ารับข้อหานี้หรอกเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นว่านางยืนกรานจะขอขมาเสียให้จงได้ เว่ยเซิ่งอี๋ลูบแหวนหยกบนนิ้ว เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “หลายวันนี้มานี้หลานไม่ได้มาหาล้วนเป็นเพราะภาระในบ้านสามี แต่โบราณมาเมื่อบุตรสาวออกเรือนไปแล้วก็ล้วนต้องเห็นเรื่องที่บ้านสามีเป็นสำคัญ มีที่ใดที่เมื่อบุตรสาวแต่งออกไปแล้ว ทุกสองสามวันก็ละวางภาระในบ้านสามีแล้ววิ่งกลับมาที่บ้านฝั่งมารดา? อารองกล่าวเช่นนี้ หลานคิดว่าเป็นเช่นไร?”

“หลานน้อมรับคำสั่งสอนของท่านอารอง” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า

“ในเมื่อเป็นดังนี้แล้ว นับแต่หลานกลับมาบ้านคราก่อน จึงเพิ่งกลับมาบ้านในวันนี้ก็หาได้เป็นความผิดใดไม่ เช่นนั้นก็ลุกขึ้นก่อนเถิด” เว่ยเซิ่งอี๋ประคองนางเบาๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อวันนี้เจ้าก็กลับมาแล้ว มิสู้อยู่ทานอาหารด้วยกัน ถือโอกาสที่อารองว่าง เจ้าข้าอาหลานควรได้สนทนากันยาวๆ สักหน เพื่อมิให้พวกคนชั่วมายุยงปลุกปั่นระหว่างกลาง จนทำให้สายเลือดเดียวกันต้องแตกแยก”

เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นตามคำ กล่าวว่า “คำกล่าวของท่านอารองนี้มีเหตุผล ทว่าที่หลานมาวันนี้กลับมิได้เพียงมาขอขมาเจ้าค่ะ”

เว่ยเซิ่งอี๋ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด กลับยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “นี่หลานจะคำนับก่อนค่อยจัดการแล้วหรือ? เพียงแต่อารองก็บอกแล้วอย่างไร ฉางเจวียนเจ้าลูกไม่รักดีผู้นี้ อารองจะต้องสั่งสอนให้ดีๆ เรือนที่นางอยู่ค่อนข้างไกล กว่าจะเรียกมาได้จึงช้านัก หลานคงไม่ได้คิดว่าที่อารองให้เจ้าอยู่ทานข้าวด้วยเพราะต้องการกลบเกลื่อนความที่เอ่ยไปก่อนหน้าหรอกนะ?”

“ข้ามักได้ยินท่านปู่และท่านย่าบอกว่าท่านอารองปราดเปรื่องเหนือคน” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเรียบๆ “ความหมายของหลานหรือจะปิดบังท่านอารองได้? หลานล่วงเกินท่านอาและท่านอาสะใภ้ ก็สมควรได้รับโทษแล้ว ทว่าทายาทของท่านอารองและท่านอาสะใภ้ก็หาได้มีเพียงน้องเจ็ดผู้เดียว พี่สะใภ้ทั้งสองและพี่หญิงใหญ่ก็ยังไม่ได้มาออกปากตักเตือนหลาน หลานคิดว่าดีชั่วเช่นใดหลานก็ให้น้องเจ็ดเรียกว่า ‘พี่สาม’ จึงไม่ถึงคราวให้น้องเจ็ดต้องมาลบหลู่นานาต่อหน้าผู้คน! ก่อนหน้านี้เป็นเพราะอยู่ในบ้านผู้อื่น ด้วยพิจารณาถึงชื่อเสียงอันดีงามของบุตรสาวตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของเรา หลานจึงไม่เคยไปถือสา ทว่าภายหลังก็กลับไม่อาจไม่มาทวงถามความยุติธรรมให้ตนได้ ท่านอารองคิดเห็นเช่นใดเจ้าคะ?”

เว่ยเซิ่งอี๋หรี่ตา กล่าวว่า “ใหญ่เล็กมีลำดับ ในนอกแตกต่างกัน ควรเป็นดังนี้ อารองพูดไว้แต่แรกแล้วว่าเดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นฉางเจวียนทำไม่ถูก”

คล้ายว่าแต่ละถ้อยคำของเขาพูดไม่ห่างปากว่า เว่ยฉางเจวียนถูกคนนอกยุยงปลุกปั่นเอา ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับหาได้สนใจไม่ หลังจากนางลุกขึ้นแล้ว ก็เดินไปเลือกนั่งในที่นั่งรองที่หนึ่ง นี่กลับเป็นการแสดงท่าทีว่านางอยากจะดูว่า ที่เว่ยเซิ่งอี๋บอกว่า ‘สั่งสอน’ นั้น แท้จริงแล้วเป็นการสั่งสอนแบบใดกันแน่

ผ่านไปไม่นาน ปรากฏว่ามีคนพาเว่ยฉางเจวียนมาจริงๆ

เว่ยฉางเจวียนสวมเสื้อผ้างดงาม เครื่องประดับครบเครื่อง ที่ปลายแขนเสื้อยังมีรอยขนมกุหลาบกวนแป้งติดอยู่รอยหนึ่งด้วย …หลังจากเว่ยฉางอิ๋งมองดูอย่างละเอียดแล้ว ก็พลันหัวเราะหยันไปหนหนึ่ง และหันไปบอกกับนางหวงและนางเฮ่อว่า “ระหว่างทางที่เข้ามา พี่สะใภ้ทั้งสองบอกว่าท่านอาสะใภ้รองได้ตำหนิและลงโทษน้องเจ็ดไปอย่างหนักแล้ว ข้าก็หลงนึกว่าน้องเจ็ดอายุยังน้อย ท่านอาสะใภ้รองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วจะไม่ตีน้องเจ็ดจนยับเยินเลยหรือ ไม่คิดว่าข้าเป็นกังวลไปเปล่าจริงๆ ที่แท้แล้วน้องเจ็ดก็อยู่ดีมีสุข และกำลังทานขนมกุหลาบกวนแป้งอยู่ในห้องนี่ วันนี้กลับสบายอกสบายใจกว่าพวกเรามากนัก ข้าอุตส่าห์เชื่อคำพวกพี่สะใภ้กลับรู้สึกสะท้อนใจมาตลอดทางเชียว!”

นางหวงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยก็บอกกับ ฮูหยินน้อยแล้วว่าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องคุณหนูเจ็ด ฮูหยินรองเป็นคนที่รักใคร่บุตรชายบุตรสาวเพียงนั้นแล้วจะตัดใจแตะต้องคุณหนูเจ็ดแม้แต่ปลายนิ้วได้ที่ได้เจ้าคะ?”

“คุณหนูเจ็ดและฮูหยินน้อยไร้ความเคืองแค้นต่อกัน ที่มาคอยจ้องหาความ ฮูหยินน้อยประหนึ่งคนบ้าเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะเป็นความต้องการของ ฮูหยินรองอยู่แล้ว ฮูหยินรองจะให้รางวัลแก่คุณหนูเจ็ดก็ยังแทบไม่ทันเลยเจ้าค่ะ แล้วจะตำหนิและลงโทษคุณหนูเจ็ดได้อย่างไร?” นางเฮ่อเอ่ยอย่างเย็นเฉียบ

ก่อนหน้านี้เมื่อ เว่ยฉางเจวียนได้ยินว่าบิดาของนางเรียกให้นางไปพบนางก็รู้แล้วว่าต้องไม่ดีแน่ …ตั้งแต่เช้ามา มิใช่ว่าบิดาถูกท่านแม่ปะเหลาะให้ออกไปข้างนอกแล้วหรอกหรือ? แล้วเหตุใดตอนนี้บิดากลับกลับมาเสียแล้ว? เวลานี้มาได้ยินคำของลูกผู้พี่และท่านอาทั้งสองคนก็ยิ่งทำให้หน้าถอดสีลงไปอีก พอเข้าประตูมาก็คุกเข่าลงกับพื้น แล้วเอ่ยกับเว่ยเซิ่งอี๋อย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านพอช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจหนหนึ่ง แล้วหันหน้ามาถามนางหวงว่า ท่านอาบอกว่าท่านอารองไม่ได้เป็นคนตามใจลูกๆ เหมือนท่านอาสะใภ้รอง จักต้องไม่มีวันเอาแต่นั่งดูดายให้น้องเจ็ดทำลายขนบธรรมเนียมอันดีงามของตระกูลเว่ยของเรา เรื่องนี้จริงหรือเท็จกัน?”

นางหวงยิ้มเรียบๆ พลางเอ่ย “เมื่อก่อนที่ข้าน้อยเคยดูแลรับใช้อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ ดูไปแล้วไปเช่นนั้นเจ้าค่ะ ทว่าข้าน้อยมีฐานะตำต้อย ทั้งคนก็โง่เง่านัก แล้วจะสามารถดาดเดานายท่านรองได้ที่ใดเล่าเจ้าคะ?”

เว่ยเซิ่งอี๋หาได้สนใจคำเย้ยหยันของพวกนางนายบ่าว และไม่ได้จงใจใช้คำพูดและสีหน้าแรงๆ ตำหนิบุตรสาว หากแต่ค่อยๆ เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ครั้งคุณหนูใหญ่บ้านซู บุตรสาวคนโตของท่านอาแท้ๆ ของเจ้าออกเรือน เจ้าเชื่อคำของคุณหนูสิบเอ็ดบ้านหลิวแล้วไปหาความกับพี่สามของเจ้าต่อหน้าธารกำนัล ภายหลังคนบ้านซูมาช่วยเจ้าไกล่เกลี่ย แต่เจ้ากลับไม่ยอมใจ จงใจยุยงองค์หญิงชิงซินให้ไปหาความกับพี่สามของเจ้าอีกครั้งในวันออกเรือนของพระธิดาเฉิงเสียน สองเรื่องนี้ เจ้าทำหรือไม่ได้ทำ?”

————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด