ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 36 เหนียนเซิงย้าว

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 36 เหนียนเซิงย้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                หลังจากนั้นพักใหญ่ เสิ่นจั้งเฟิงกลับมาจากส่งแขก ฟังเว่ยฉางเฟิงเล่าเรื่องที่ประสบมาด้วยน้ำเสียงโอดครวญ จึงกล่าวออกไปอย่างหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงว่า “ข้าเห็นสาวใช้นางนั้นออกมาก็รู้ว่าไม่ดีแน่ สาวใช้สองคนที่ข้ายกให้ท่านเหนียนก็มีหน้าตางดงาม แต่เขากลับเห็นใหม่ลืมเก่า ระยะนี้เกรงว่าคงจักเบื่อพวกนางแล้ว พอเห็นสาวใช้ในวันนี้จึง… มิใช่บอกแล้วหรือว่าคนที่ไม่อยากยกให้ วันนี้ก็อย่าได้ส่งไปเรือนชั้นหน้า?”

                เว่ยฉางอิ๋งกระดากอายที่จะบอกกับเขาว่าสาเหตุที่ส่งลู่จูซึ่งเป็นสาวใช้ที่มีหน้าตางดงามออกไปนั้นก็เพราะว่าท่านอาทั้งสามคนล้วนเตือนว่า บ่าวหน้าตางดงามจึงจะทำให้พวกเขาสามีภรรยามีหน้ามีตา จึงว่า “เช่นนั้นเรื่องเป็นดังวันนี้แล้วจะทำอย่างไรเล่า? จะยกลู่จูให้เขาไปอีกคนหรือ? และก็ไม่รู้ว่าลู่จูจะยินยอมหรือไม่?”

                เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางลำบากใจ จึงปลอบนางไปว่า “ท่านเหนียนคล้ายจะต้องใจลู่จูอยู่บ้าง ทว่าหากเจ้าไม่ยินยอม ไม่ยกให้เขาก็ไม่เป็นไร กลับไปข้าจะให้คนไปซื้อบ่าวหน้าตางามๆ สองนางจากข้างนอกไปมอบให้เขาที่บ้านเป็นพอแล้ว”

                “ดูท่าเจ้าจะยอมตามท่านเหนียนผู้นี้ยิ่งนัก?” เว่ยฉางอิ๋งอดจะลองถามไปไม่ได้

                เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ไม่ปิดบัง “หากไม่มองว่าเขาเป็นคนเจ้าชูนัก คนผู้นี้เรียกได้ว่ามีความสามารถรอบด้าน ทั้งฉิน หมากรุก คัดอักษร วาดภาพ ยุทธศาสตร์ การต่อสู้ เตะลูกหนัง โยนลูกธนูลงไห ยิงธนู ขี่ม้า ล้วนชำนาญไปเสียทุกอย่าง ปีนั้นในขณะที่ข้ากำลังท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ เห็นเขากำลังโต้แยงกับคนผู้หนึ่งเรื่องกลอนบทหนึ่งอยู่ และเพราะคนที่กำลังโต้แย้งกับเขาก็นับว่าเป็นสหายของข้า ข้าจึงเข้าไปสอบถามดูสองสามคำ… ภายหลังไกล่เกลี่ยจนพวกเขาแยกกัน แล้วเขากลับตามข้ามา เมื่อข้าสนทนากับเขาแล้ว เห็นว่าเขามีความสามารถ ความคิดอ่านปราดเปรื่องว่องไว และเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนทั่วไป จึงได้ทาบทามเขามา และเพราะว่าเขาอายุมากกว่าข้าสิบปี จึงเรียกเขาว่าท่าน”

                พูดถึงตรงนี้ เสิ่นจั้งเฟิงก็หัวเราะเสียงลั่นออกมา “เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่า… ครานั้นข้ายังนึกว่าท่านเหนียนไปสอบถามมาก่อนว่าวันนั้นข้าจะผ่านไป จึงจงใจโต้แย้งกับคนบ้านหมิ่นขึ้นมา เพื่อจะได้มีโอกาสแนะนำตัวกับข้าได้โดยอ้อม… ภายหลังจึงเพิ่งมารู้ว่าเป็นเพราะเขาหมายตาสาวใช้สองนางที่อยู่ข้างกายข้ายามนั้นต่างหาก!”

                เว่ยฉางอิ๋งโพล่งถามไปว่า “แล้วสาวใช้สองนางนั้นเล่า?” นับแต่นางแต่งเข้าบ้านมา ในบรรดาสาวในเรือนจินถงใช้ที่เคยดูแลรับใช้เสินจั้งเฟิงอยู่แต่เดิมนั้น ผู้ที่นางเห็นว่ามีหน้าตาดีที่สุดก็คือบ่าวที่มีสามีแล้วซึ่งเป็นคนดูแลห้องครัวในส่วนหลังสุดของเรือน… จากสภาพการที่วันนี้ท่านเหนียนผู้นั้นไม่ยอมให้สาวใช้นางอื่นนอกจากลู่จูดูแลรับใช้เขา ก็สามารถมองออกว่า หากมิใช่คนงามระดับลู่จู เขาก็ไม่มีวันเหลียวแล

                ลู่จูเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของเว่ยฉางอิ๋ง ในเมื่อข้างกายเสิ่นจั้งเฟิงเคยมีบ่าวหน้าตางดงามเช่นนี้ เหตุใดตอนนี้จึงไม่เห็นแม้สักคน?

                “ยกให้เขาไปนานแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างไม่ใยดีว่า “ด้วยความสามารถของเขา เว้นสามปีห้าปีจะมอบหญิงงามแก่เขาสักคนสองคนก็มิเป็นไร?”

                เห็นเขาชื่นชมเหนียนเซิงย้าวเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา “ยามเจ้าพบเขานั้น เขากำลังโต้แย้งกับคนด้วยเรื่องกลอนบทหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นกลอนใด และโต้แย้งกันเรื่องใด?” แม้เสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง ทว่าก็มีฐานะของบุตรชายตระกูลใหญ่อยู่ด้วย จึงมิใช่ว่าคนเช่นใดเข้ามาสนทนาด้วยแล้วเขายอมคุยตอบ เหนียนเซิงย้าวผู้นั้นหวังจะเข้าหาสาวใช้หน้าตาสะสวยแต่กลับมิได้ถูกไล่ไป เห็นชัดว่ายามเข้าไปห้ามการวิวาทก่อนหน้านี้ เสิ่นจั้งเฟิงมิได้รู้สึกไม่ดีต่อเขา

                เขาเกิดเรื่องโต้แย้งกับสหายของเสิ่นจั้งเฟิง ต่อให้สหายผู้นั้นมิได้สนิทชิดเชื้อกับเสิ่นจั้งเฟิงนัก… นั้นเพราะหากสนิทกันแล้วเมื่อข้อโต้แย้งสงบลงย่อมต้องไปด้วยกัน… แต่เมื่อเทียบกับคนแปลกหน้าเช่นเหนียนเซิงย้าว อย่างไรเสียสหายผู้นั้นย่อมจะสนิทสนมกว่า เช่นนี้แล้วเสิ่นจั้งเฟิงยังมิได้ไม่รู้สึกไม่ดีกับเขา กอปรกับประเด็นที่เหนียนเซิงย้าวก็มิได้เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ ดังนั้น นอกจากกลอนที่ทำให้เกิดข้อโต้แย้งบทนั้นไม่เลวแล้ว ยังจะมีสาเหตุใดอื่นอีก?

                อย่างไรเสียเว่ยฉางอิ๋งก็เกิดในตระกูลเว่ยซึ่งมีชี่อเสียงเป็นเลิศในด้านบุ๋น แม้นางจะมีความสามารถในระดับกลางๆ แต่สำหรับเรื่องกวีที่งดงามแล้ว เมื่อได้พบเห็นย่อมไม่อยากจะพลาดโอกาสไป

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “กลอนบทนั้นข้ายังจำได้ ข้าจักท่อให้เจ้าฟัง…

                คนงามเอยบนหอมุก                   มืองามเอยม้วนม่านมุ้ง

                สั่นไหวเอยแสงเทียนสว่าง            ส่องคันฉ่องเอยชุดตื่นเช้า

                หอยไส้ดำเอยวาดคิ้วยาว             ชุ่ยเตี้ยน[1]เอยประกายจับหน้าผาก

                แต้มลักยิ้มเอยลักยิ้มหอม            ชาดแดงเอยแต้มปากแดง

                ผมดำเอยม้วนเป็นคู่                     กระจอกทองเอยโผกลางมวยผม

                สาวใช้เอยส่งอาภรณ์                   แขนกว้างเอยลมพัดปลิว

                ใต้เท้าเอยหยกยามก้าว                เครื่องประดับเอยดังติงตัง

                ออกจากเรือนเอยกลับโศกตรม      ราวระเบียงเอยเหม่อมองไกล

                สามีเอยอยู่ชายแดน                     ใบหน้างามเอยอ้างว้างใจ

                ผนังเอยภมรวุ่น                            กลางสวนเอยร้อยบุปผา

                ถนนแน่นเอยเย้าหยอกไหลหลั่ง    สุราหวานเอยผู้เดียวชม!

                ยามใดเอยได้พบสักแห่ง               เช้าค่ำเอยดังนกเป็ดน้ำ!”

                เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจบอกว่า “กลอนช่างเหมือนตัวคนดีแท้….อื่ม? เหตุใดกลอนนี้จึงทำให้โต้แย้งกันเล่า? คงมิใช่ว่าเขาจะ… กับสตรีในกลอนนี้…” วิเคราะห์เอาจากความรู้สึกที่มีต่อท่านเหนียนผู้นี้ แวบแรกที่เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงได้ก็คือ หรือการไปหมายตาสาวใช้หน้าตาสะสวยในบ้านผู้อื้นยังไม่อาจเติมเต็มความต้องการจะไล่ล่าสาวงามของเหนียนเซิงย้าวผู้นี้ได้ กลับกลายเป็นว่าแม้แต่หญิงที่มีสามีแล้วเจ้าหมอนี่ก็ยังไม่ละเว้น… ดูจากในกลอนบทนี้ แสงเทียนสั่นไหวและชุดยามตื่นนอนตอนเช้า ขั้นตอนการแต่งหน้าทำผมก็ยังบรรยายออกมาได้อย่างละเอียดนัก ตั้งแต่การเขียนคิ้ว จนถึงการใส่ชุ่ยเตี้ยนซึ่งเป็นเครื่องประดับผมที่ทำจากหินสีฟ้า จนถึงการแต้มจุดลักยิ้ม จนถึงการทาปาก จนถึงการเกล้าผมดำยาว จนถึงการปักเครื่องประดับผมทองคำรูปนกกระจอก… ทำผมแต่งหน้าเสร็จแล้วก็ยังมีการเปลี่ยนเสื้อผ้า แขนเสื้อกว้างพริ้วดังอาภรณ์ของเทพธิดา แล้วสวมเครื่องประดับเพิ่มลงไป หยกที่เท้าส่งเสียงดัง และที่ขาดไม่ได้ยังมีภาพสิ่งของต่างๆ ที่ปักประดับลงบนผืนผ้าไหม…. นี่เห็นชัดว่าเป็นการพักค้างอยู่ภายในห้องของสตรีจนถึงยามเช้า มองนางแต่งหน้าแต่งตัว แล้วจึงจากไปอย่างพึงพอใจ… ไม่แน่ว่ายังเป็นเหนียนเซิงย้าวที่ช่วยปรนนิบัติสาวงามแต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเองอีกด้วย!

                ความหอมหวานและภาพรัญจวนใจที่อยู่ภายในนั้นสามารถจินตนาการตามไปได้ไม่ยากเย็น…

                ยิ่งไปกว่านั้นในท่อนๆ หลังที่เอ่ยถึง ‘กลับโศกตรม’ ‘อ้างว้างใจ’ ก็อาจจะเป็นความรู้สึกผิดในใจที่หญิงผู้นี้มีต่อสามีหลังจากนางลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่น ไม่แน่ว่ายังอาจเป็นหญิงผู้นี้มีความโศกเศร้าและอ้างว้างอยู่ก่อน แล้วเหนียนเซิงย้าวสบโอกาสจึงได้เข้าไปตีสนิท แล้วทั้งสองคน… ในความคิดของเว่ยฉางอิ๋ง สองสามวรรคท้ายๆ นั้นเป็นการเย้ยหยันสามีตัวจริงของชาวบ้านอย่างเปล่าเปลือยโจ่งแจ้งว่า ใครใช้ให้เจ้าไม่อยู่บ้าน ใครใช้ให้เจ้าปล่อยให้ภรรยาเฝ้าอยู่ในห้องเพียงลำพัง เจ้าดูสิ ภรรยาของเจ้าเปล่าเปลี่ยวแล้ว จะมีก็เพียงภมรคลั่งผีเสื้อพเนจรเช่นข้าที่ไปปลอบประโลมนางอย่างไรเล่า!

                ทั้งยังการตั้งตารอที่จะได้มาพบกันสักแห่งเหมือนนกเป็ดน้ำที่มาอยู่คู่กัน… ในเมื่อกลอนเป็นเหนียนเซิงย้าวแต่ง ผู้ใดจักรู้ว่ากำลังกล่าวถึงหญิงงามนางนี้กับสามีของนาง หรือว่าเป็นเหนียนเซิงย้าวกับหญิงงามผู้นี้กัน…

                ดังนั้นแล้ว เจ้าหมอนี่คงจักถูกคนในครอบครัวของนางหรือสามีของนางจับตัวมาสืบถามเอาความจริง?

                เอ่อ… คนชนิดนี้ ต่อให้มีความสามารถ หากนำมาใช้งานแล้วจะไม่มีปัญหาใดหรอกหรือ?

                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเครียดยิ่งนัก…

                เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วไปออกไปหยิกแก้มนาง แล้วกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีว่า “เจ้าคิดไปถึงที่ใดแล้ว? แม้ท่านเหนียนจะมีความโปรดปรานเช่นนั้น ทว่าก็หาใช่คนที่ไม่รู้จักขอบเขตไม่ เขาชอบหาเศษหาเลยกับสาวใช้ แต่หากเป็นเจ้าออกไป เขาจะไม่มีวันเสียมารยาทเป็นเด็ดขาด” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “หากเขาเป็นคนที่พอเห็นหญิงงามอยู่ตรงหน้าก็หน้ามืดตามัวจนลืมตัวแล้วล่ะก็ แล้วจักเป็นผู้ที่มีความสามารถหลากหลายด้านเช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะต่อให้เป็นผู้ที่มีปัญญาล้ำเลิศกว่าผู้ใดมาแต่กำเนิด แต่ด้วยความสามารถด้านต่างๆ ของเขา เวลาที่ต้องใช้ร่ำเรียนนั้นย่อมไม่น้อยเช่นกัน!”

                เว่ยฉางอิ๋งกลับเชื่อในคำพูดนี้ แม้นางจะไม่เคยเห็นเหนียนเซิงย้าวผู้นี้มาก่อน แต่เมื่อคิดว่าหากคนผู้นี้เป็นคนที่ไม่รู้จักแบ่งแยกควรไม่ควรจนกล้าทำเจ้าชู้กับบุตรสาวตระกูลใหญ่หรือภรรยาของคนในตระกูลเลื่องชื่อที่มีหน้ามีตา ลำพังเรื่องชาติกำเนิดของเขาก็เกรงว่าจะมีชีวิตรอดมาไม่ถึงยามนี้หรอก

                แล้วจึงได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะฮิๆ ออกมาพลางว่า “กลอนบทนี้เขาแต่งขึ้นมา เมื่อตอนที่ไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ขณะเดินผ่านเรือนเดี่ยวหลังหนึ่งของบ้านตระกูลหมิ่นที่อยู่นอกเมืองได้มองเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังจับราวระเบียบเหม่อหมองไปไกลๆ อยู่บนอาคารในเรือนแห่งนั้น จากนั้นเขาก็ใส่จินตนาการเติมแต่งลงไป แต่งเสร็จแล้วก็แล้วไป แต่เขากลับยังอยากจะวิ่งไปเคาะที่หน้าประตูใหญ่ของเรือนแห่งนั้น เพื่อไปขอกระดาษและพู่กันมาจดลงไป… ความจริงแล้วหากจดลงไปแล้วจากไปก็มิเป็นไร ได้ยินว่าบ่าวตระกูลหมิ่นยังชมเชยเขาหลายคำ ทั้งยังช่วยเขาตากกระดาษจนรอยหมึกแห้งแล้วจึงเก็บกลับไปให้ ปรากฏว่าเขาก็ช่าง… จักต้องไปบอกชาวบ้านเสียให้จงได้ว่าคนที่กลอนบทนี้เขียนถึงก็คือหญิงที่อยู่บนอาคารในเรือนนั่นเอง คนบ้านหมิ่นพลันหน้าตาบึ้งดึงขึ้นมาทันใด แล้วไล่ตีเขาออกมานอกประตู! ในระหว่างที่กำลังผลักเขา กลับทำให้หยกประดับซึ่งเป็นของสืบทอดของบรรพบุรุษของเขาถูกตีจนแตก  ทั้งสองฝ่ายจึงได้เริ่มโต้แย้งกันขึ้นมา”

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “แต่ด้วยสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมดทั้งมวล บ้านหมิ่นย่อมนึกว่าเขาและหญิงในตระกูลมีสิ่งใดกัน…?”

                “…” เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่พูดจา ได้แต่ลูบคางแล้วมองนางยิ้มๆ

                เว่ยฉางอิ๋งไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ จึงกล่าวว่า “เอ๋ เจ้าพูดต่อไปสิ!”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางขยับเขามาข้างหูนางแล้วเอ่ยเสียงต่ำๆ “เจ้าจูบข้าหนหนึ่ง ข้าจึงจะพูด!”

                เว่ยฉางอิ๋งเขินอายนักหนา พลันลุกขึ้นแล้วว่า “ผู้ใดสนเจ้ากัน? ข้าไม่เห็นจักอยากฟังเลย!” นางเดินออกไปข้างๆ แต่กลับเห็นเสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้เดินตามมาจึงอดจะรู้สึกผิดหวังขึ้นมาในใจไม่ได้ ผ่านไปอีกพักใหญ่ ที่สุดเสิ่นจั้งเฟิงก็เดินมาหาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งแอบดีใจ ถามไปว่า “ข้อโต้แย้งของบ้านหมิ่นและเหนียนเซิงย้าวเป็นเช่นใดกันแน่?”

                ผู้ใดจะรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่แม้จะสนใจนาง… เว่ยฉางอิ๋งโกรธเกรี้ยวยิ่งนักและไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้

                ดึงดันกันอยู่เช่นนี้พักหนึ่ง ก็มีบ่าวเข้ามาถามว่าจะจัดอาหารเย็นเลยหรือไม่

                ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงทานอาหารกันด้วยความเงียบงัน ซึ่งพวกของนางหวงมองเห็นภาพนี้อยู่ในสายตา… เวลาอาบน้ำ นางหวงจึงอ้างว่าจะนำสบู่ถั่วเหลือง[2]ส่งเข้าไปในห้องอาบน้ำ แล้วสั่งให้เจวี่ยเกอและหานเกอออกไป ให้ตนอยู่คอยรับใช้เอง แล้วจึงถือโอกาสกล่าวเตือนไปด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “แม้ลู่จูจะเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของฮูหยินน้อย ทว่าความจริงแล้วก็เป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง ฮูหยินน้อยปกป้องคนของตนถือเป็นเรื่องดี แต่หากต้องทำให้ฮูหยินน้อยและคุณชายขัดใจกันเพราะนาง นั่นกลับไม่สมควรแล้ว! อีกประการเมื่อครู่นี้ข้าน้อยไปสอบถามความคิดเห็นของลู่จูมาแล้ว ที่ลู่จูปิดประตูใส่หน้าพวกของจูสือก่อนหน้านี้ ล้วนเพราะนางรู้สึกขัดเขิน จะว่าไปแล้วท่านเหนียนก็ยังหนุ่ม คนก็หล่อเหลา ทั้งคุณชายยังให้ความสำคัญกับเขา หากเขายอมให้ลู่จูเป็นอนุภรรยาอย่างออกหน้า ลู่จูเองก็มิใช่ว่าจะไม่ยินยอมนะเจ้าคะ”

                 ในความคิดอ่านของพวกนางหวง สองสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คู่นี้แต่ไรมาก็ดีต่อกันและหอมหวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้ง ทุกคราที่ทานอาหารกันก็หวานชื่นกันยิ่งนัก แล้วไยวันนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงทำหน้าบึ้งดึง เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ออกจะขัดๆ เขินๆ เล่า? ก่อนหน้านี้พอเว่ยฉางอิ่งได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงไปส่งแขกกลับมา นางก็สั่งให้บ่าวออกไปจนหมด ด้วยต้องการไถ่ถามเสิ่นจั้งเฟิงเพียงลำพังว่าจะให้ลู่จูอยู่หรือไป… ดังนั้นแล้วสาเหตุสองสามีภรรยามีสีหน้าไม่สู้ดี ต้องมีแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่เกี่ยวข้องกับลู่จูแน่แล้ว!

                นางหวงแทบจะคิดขึ้นมาในทันใดว่านี่จะต้องเป็นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่คิดว่าจะไม่ยอมยกลู่จูซึ่งเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของตนให้ ส่วนเสิ่นจั้งเฟิงก็ยืนกรานว่าจะยกให้เพื่อผูกมัดใจที่ปรึกษา… ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาจึงโต้แย้งกันขึ้น จนถึงตอนทานอาหารสีหน้าก็ยังไม่ดีขึ้น!

                เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่านางหวงคาดเดาไปเช่นนี้ นางยังคอยแต่นึกถึงเรื่องที่เหนียนเซิงย้าวโต้แย้งกับบ้านตระกูลหมิ่นอยู่ และกำลังขบคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะทำอย่างไรจึงจะบีบให้เสิ่นจั้งเฟิงเล่าเรื่องแต่ต้นจนจบออกมาแต่โดยดี กำลังเหม่อลอยจึงมิได้ฟังจนครบถ้วนและได้ยินเพียงสองประโยคสุดท้าย จึงอดจะปากอ้าตาค้าง และผลุนผลันยืนขึ้นมาจากน้ำ แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “นางรับคำแล้วจริงรึ?” เพราะต่อให้ลู่จูตั้งใจจะยกฐานะตนเอง แต่ในสายตาของเว่ยฉางอิ๋งแล้วเหนียนเซิงย้าวก็ไม่นับว่ามีฐานะสูงส่งแต่อย่างใดนี่!

                “ข้าน้อยจะหลอกฮูหยินน้อยหรือ?” นางหวงให้คำมั่นอย่างหนักแน่นขณะเอาผ้ามาช่วยเช็ดตัวนางให้แห้ง แต่ในใจกลับคิดว่า ดีชั่วอย่างไรก็อย่าได้ให้ฮูหยินน้อยต้องผิดใจกับคุณชายขึ้นมาจริงๆ ด้วยเรื่องของลู่จู ส่วนทางลู่จูนั้น… ท่านอาเช่นข้าก็พูดไปดังนี้แล้ว ต้องสนใจหรือว่านางจะรับหรือไม่รับคำ อย่างไรก็ตามข้าก็จักให้นางรับคำให้จงได้ เพื่อมิให้กระทบกับความสัมพันธ์ของฮูหยินและคุณชาย!

                เมื่อกล่าวมาเช่นนี้ก็เป็นดังว่า เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อนางยินยอมเอง ก็เอาเช่นนี้เถิด ข้าเองก็จักจัดเตรียมของสักเล็กน้อยให้นางไว้ติดตัวหลังนางไป ดีชั่วก็เคยเป็นนายบ่าวกันมา”

                นางหวงเห็นนางว่ามาเช่นนี้ก็ลอบโล่งใจ แล้วเอ่ยเตือนขึ้นมาอย่างเป็นนัยว่า “พอฮูหยินน้อยกลับไปที่ห้องแล้วก็ต้องบอกกล่าวกับคุณชายให้ชัดเจน อย่าให้คุณชายต้องเข้าใจผิดต่อไปเล่าเจ้าคะ”

                ความหมายของนางก็คือให้เว่ยฉางอิ๋งไปบอกกับเสิ่นจั้งเฟิงว่ายอมรับปากยกลู่จูให้แก่เหนียนเซิงย้าวแล้ว

                แต่เว่ยฉางอิ๋งมิได้สนใจเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะเสิ่นจั้งเฟิงก็พูดแล้วว่าหากไม่ยกลู่จูให้เขาก็ไม่เป็นไร… หากไม่ยกให้ เขาก็ไปซื้อคนจากข้างนอกมามอบให้เขาสองคนก็มีค่าเท่ากัน นี่มิใช่เรื่องใหญ่โตใด จึงได้ตอบรับไปลอยๆ คำหนึ่งเท่านั้น

_____________________________

[1] ชุ่ยเตี้ยน เป็นเครื่องประดับผมทำจากหินสีฟ้า สามารถทำได้เป็นหลายรูปทรง เช่นดอกไม้ หวีสับ

[2] สบู่ถั่วเหลือง เป็นสบู่อาบน้ำในสมัยโบราณ ที่มีส่วนผสมหลักเป็นถั่วเหลืองบ่นและเครื่องหอมต่างๆ ทำเป็นก้อนใช้ขัดผิดเวลาอาบน้ำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด