ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 22 ห้ามการวิวาท

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 22 ห้ามการวิวาท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                วันรุ่งขึ้นในช่วงก่อนเที่ยง นางหวงออกไปตงเฉิงเพื่อเขาคารวะจี้ชวี่ปิ้ง เสิ่นจั้งเฟิงเข้าวังไปทำงานตามปกติ เว่ยฉางอิ๋งว่างอยู่ไม่มีสิ่งใดทำ จึงเรียกคนนำดาบคู่ชายหญิงที่เสิ่นเซียนกำนัลให้ในวันยกน้ำชาออกมาดูอย่างละเอียด

                กระบี่คู่หญิงหนึ่งชายหนึ่งนี้มีรูปร่างเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่กระบี่หญิงนั้นบางกว่าและสั้นกว่าเหมาะให้ผู้หญิงใช้มากว่า มองโดยรวมแล้วธรรมดาสามัญไร้ความงดงามเลอค่า แตกต่างกับความเรียบง่ายแต่ล้ำค่าของ ‘ลู่หู’ ลิบลับ อย่าว่าแต่ด้ามกระบี่เลย แม้แต่ปลอกกระบี่ก็ใช้เพียงหนังปลาฉลามมาพันให้พอเสร็จๆ เท่านั้น รูปลักษณ์ไม่งดงามเลยแม้แต่น้อย

                กระบี่ที่เสิ่นเซวียนมอบให้แน่นอนว่าต้องเป็นกระบี่ที่ไร้พู่ห้อย เว่ยฉางอิ๋งชักกระบี่หญิงออกมา แต่กลับเป็นตัวกระบี่ที่มืดๆ ทึบๆ ไม่แวววาบเปล่งประกายเหมือนยาม ‘ลู่หู’ เพิ่งออกจากฝักเช่นนั้น ลำพังเพียงมองจากภายนอกก็ไม่โดดเด่นเอาเสียเลย เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รู้สึกผิดหวัง ตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลที่สืบทอดด้านบู๊ อาวุธที่เก็บสะสมเอาไว้ก็เหมือนกับตำราล้ำค่า และตัวอักษรลายมือจริงต่างๆ ที่ตระกูลเว่ยเก็บสะสมเอาไว้ หากไม่ถึงระดับที่ดีนัก ก็จะนำไปเก็บไว้ในคลังเพื่อเป็นการสั่งสมชื่อเสียงของตระกูล ของกำนัลรับไหว้ที่มอบให้กับบุตรชายที่เป็นความหวังอันใหญ่หลวงของตระกูลและบุตรสะใภ้นั้น ต่อให้มองดูธรรมดา แต่จะเป็นของธรรมดาทั่วไปจริงๆ ได้อย่างไรกัน?

                นางขยับเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นเพียงตัวกระบี่ในส่วนที่ใกล้กับด้ามมีลายทับซ้อนกันอย่างละเอียดเหมือนเกล็ดปลา และส่วนติดกับด้ามก็มีตัวอักษรขนาดเท่าเมล็ดข้าวสลักเอาไว้ว่า…เยวี่ยหยวน (เดือนเต็มดวง)

                คาดว่านี่คงเป็นนามของกระบี่ เว่ยฉางอิ๋งไปดูกระบี่ชายอีกหน ปรากฏว่าในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกันก็สลักอักษร ‘ฮวาห่าว’ (บุปผางาม) ไว้สองตัว ‘บุปผางาม เดือนเต็มดวง’ เป็นคำมงคล เพียงแต่… เว่ยฉางอิ๋งพลิกดูไปมาอยู่เป็นนานก็มองไม่ออกว่าบนตัวกระบี่ชายหญิงคู่นี้นอกจากนามของกระบี่แล้ว จะมีที่อื่นใดที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงบุปผางามเดือนเต็มตัวอยู่เลยแม้สักแห่ง

                เอ่อ… อาจเพราะพ่อสามีอยากมอบกระบี่คู่เป็นของกำนัลแต่งงานใหม่ เวลาจวนตัวจึงสั่งให้คนนำไปสลักนามที่เป็นมงคลลงไป?

                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยว่าไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

                ในขณะที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่ทั้งสองเล่มอยู่ จูหลานก็รายงานด้วยเสียงกังวานจากภายนอกว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ พ่อบ้านที่เรือนทางด้านหน้านำปลามาส่งที่หน้าประตูแล้ว ยามนี้ให้พวกเขาเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ?”

                “ปลา?” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ สระน้ำเล็กๆ ที่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ข้างนอกนั่น ก่อนหน้านี้นางว่านเคยบอกว่าน่าจะเลี้ยงปลาหลีฮื่อหรือปลาทองเอาไว้ดูเล่น เสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้สนใจว่าจะเลี้ยงชนิดไหนและให้นางเป็นคนตัดสินใจ เว่ยฉางอิ๋งจึงเลือกเอาปลาทอง… ตามกฎของบ้านตระกูลเสิ่น เมื่อแต่งสะใภ้เข้าบ้านก็จะให้เรือนเดี่ยวแก่คู่สามีภรรยาใหม่หนึ่งเรือน ค่าใช้จ่ายในการจัดแจงและตกแต่งเรือนทั้งเรือนหากไม่มากมายเกินไปก็สามารถเบิกจากกองกลางได้

                ดังนั้นหลังจากที่นางเลือกว่าจะเลี้ยงปลาทองก็ไม่ต้องให้คนออกไปซื้อหา เพียงแต่สั่งคนให้ไปบอกกับพ่อบ้านใหญ่คำหนึ่ง พ่อบ้านใหญ่ก็จะสั่งคนออกไปทำ ครานี้ได้ยินว่าพ่อบ้านที่เรือนหน้านำมาส่งให้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงสั่งความว่า “ให้พวกเขาน้ำเข้ามาได้เลย แล้วเชิญท่านอาเฮ่อไปดูสักหน่อย”

                หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งได้ยินผ่านทางหน้าต่างว่านางเฮ่อกล่าวคำทักทาย แล้วผ่านไปอีกพักใหญ่ในลานบ้านก็กลับมาสงบอีกครั้ง นางเฮ่อเข้ามารายงานว่า “พ่อบ้านนำปลามาปล่อยในสระตัวตนเอง เป็นปลาทองทั้งสิ้นยี่สิบตัว พ่อบ้านบอกว่าเป็นการอวยพรขอให้คุณชายและฮูหยินน้อยสมบูรณ์เต็มสิบงดงามเต็มสิบเจ้าค่ะ ข้าน้อยดูแล้วปลาทองยี่สิบตัวนั้น มีสีทองสิบตัว สีแดงสิบตัว ล้วนแข็งแรงดี พอลงน้ำก็ว่ายไปหาที่หลบซ่อนตัวใต้ใบบัวเจ้าค่ะ”

                เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “น้ำในสระน้ำสีฟ้าใสดังท้องฟ้า ข้างในยังปลูกดอกบัวเอาไว้ด้วย จึงควรเลี้ยงปลาทองที่มีสีสันสดใสเช่นนี้จึงจะน่าดู หากเป็นสีดำหรือขาวก็จะไม่สะดุดตา”

                นางเฮ่อบอกอีกว่า “ข้าน้อยจะไปเอาต้นบัวมาให้พวกมันอีกเจ้าค่ะ”

                “สมควรแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งว่า “เรื่องเหล่านี้ให้ท่านอาเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”

                นางเฮ่อกำลังจะถอยออกไปดูพวกสาวใช้ตัวน้อยข้างนอกสักหน่อย ไม่คิดว่านางว่านที่เป็นคนสุขุมมาโดยตลอดกลับพุ่งตัวเข้ามาด้วยความเร่งร้อน รีบคารวะแล้วรายงานอย่างร้อนรนว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ มีคนจากทางบ้านสองมา บอกว่าฮูหยินน้อยรองทะเลาะกับคุณชายรองอย่างหนักด้วยเรื่องของลวี่เฉียว ยามนี้ท่านราชครู ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณชายสามล้วนไม่อยู่บ้าน ฮูหยินน้อยใหญ่สั่งคนให้ไปตามคุณชายห้าและคุณชายหกที่เรือนหน้ามาแล้ว… ยังต้องขอเชิญฮูหยินน้อยไปช่วยปรามด้วยเจ้าค่ะ!”

                เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ กล่าวว่า “พี่สะใภ้รองกลับมาแล้วหรือ?”

                “เฮ่อ ก็มิใช่หรือเจ้าคะ?” นางว่านถอนหายใจ “ฮูหยินให้ฮูหยินน้อยรองกลับมาเพื่อจัดการเรื่องของลวี่เฉียวโดยเฉพาะเจ้าค่ะ ไม่คิดว่า… ฮูหยินน้อยรีบไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ ได้ยินคนที่มาบอกว่าลานอู๋ฮวา[1]ทะเลาะกันหนักยิ่ง อย่าได้เกิดเรื่องใดขึ้นเลย”

                เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางเร่งตนอย่างร้อนรนนัก แม้จะมิได้เป็นห่วงบ้านสองเท่าใด แต่ทุกคนล้วนไปห้ามปรามกันหมด ตนเองก็ไม่ควรชักช้า ดีที่เสื้อผ้าที่ใช้ยามแต่งงานใหม่ล้วนเป็นของใหม่ ออกนอกเรือนจึงไม่ต้องไปผลัดเปลี่ยนใดๆ เป็นพิเศษ เพียงจัดผมเผ้าสักหน่อยเมื่อเห็นว่าไม่มีที่ใดดูเสียมารยาทแล้วจึงตามนางว่านออกจากเรือนไป

                เมื่อไปถึงที่หน้าประตูเรือนจินถง ก็เห็นว่าสาวใช้ที่บ้านสองส่งมาขอความช่วยเหลือกำลังรออยู่แล้ว เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋ง ยังมิทันเอ่ยคำใดดวงตาก็พลันแดงก่ำขึ้นมา กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยสามโปรดตามข้าน้อยมาเจ้าค่ะ”

                ตามสาวใช้ที่เกือบจะวิ่งช้าๆ มาตลอดทางก็มาถึง อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงคุณชายห้าเสิ่นจั้งจีและคุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุนกล่าวห้ามปรามหนแล้วหนเล่าดังออกมา “พี่รองท่านใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อน!”

                “พี่สะใภ้รองมีเมตตามีคุณธรรมทั้งเรียบร้อยมาโดยตลอด ในเมื่ออยากจะขายลวี่เฉียวก็จักต้องมีเหตุผล ไยพี่รองไม่ใจเย็นลงก่อน แล้วฟังพี่สะใภ้รองบอกเล่าสาเหตุเล่า?”

                ระหว่างนั้นคล้ายมีเสียงนางหลิวกำลังปลอบโยนนางตวนมู่อยู่… คิดไม่ถึงว่าตนเองอุตส่าห์รีบมาถึงเพียงนี้แต่ก็ยังมาถึงช้าที่สุด เว่ยฉางอิ๋งอดปวดหัวไม่ได้ จึงพยายามฝืนใจเข้าประตูไป และเห็นว่าภายในลานกำลังชุลมุนวุ่นวาย เสิ่นเหลี่ยนสือหน้าแดงหูแดง ใบหน้าเคร่งเครียดเอาเรื่องและกำลังถูกเสิ่นจั้งจีและเสิ่นเหลี่ยนคุน คนหนึ่งกอดเอว อีกคนรัดไหล่ กดเข้าเอาไว้แน่น นางตวนมู่เองก็อยู่ในสภาพผมสยายยาวหน้าตาอิดโรย แล้วถูกนางหลิวรั้งตัวไว้ในอ้อมแขน

                ที่เท้าของพี่สะใภ้ทั้งสองมีปิ่นหยกที่หักเป็นสองท่อนตกอยู่ ไม่รู้ว่าตกลงมาหักยามกำลังดิ้นรนขัดขืน หรือว่าจงใจโยนลงมาให้หักพังเสียหาย

                บ่าวไพร่กลุ่มใหญ่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร บ้างก็ยืนอยู่ที่ทางเดิน บ้างก็ยืนอยู่ในลานบ้าน แต่ละคนล้วนมีท่าทางกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าควรจะวางมือไม้ไว้ที่ใดจึงจะดี…

                ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ในจำนวนนี้มีหญิงสาวอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแต่กลับสวมรองเท้าเพียงข้างเดียวอีกเท้าหนึ่งเปลือยเปล่า บนหัวมีฝุ่นดินติดอยู่เต็มไปหมด นางก้มหน้าเอาผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

                ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งก้าวเข้าประตูเรือนมา เสิ่นเหลี่ยนสือกำลังดิ้นรนและชี้หน้าด่าทอนางตวนมู่ขนานใหญ่ “เจ้า นังเมียชั่ว…”

                เสิ่นจั้งจียิ้มเจื่อนๆ รีบเอื้อมมือปิดปากเขาว้า “พี่รองท่านพูดจากันดีๆ ได้หรือไม่? ยามนี้มีคนตั้งมากาย พวกเราเขาไปพูดกันในห้องดีหรือไม่?”

                นางตวนมู่และเสิ่นเหลี่ยนสือเป็นคู่ครองที่เหมาะสมทัดเทียมกัน พี่สะใภ้ผู้นี้เข้าบ้านมาแปดปี คอยดูแลปรนนิบัติพ่อแม่สามีอย่างตั้งใจยิ่ง มักได้รับคำชมจากญาติผู้ใหญ่อยู่เสมอ แม้จนยามนี้ยังไม่มีบุตรชาย แต่ก็ให้กำเนิดบุตรสาวบ้านใหญ่สองคน อนุของเขาก็มีบุตรสาวหนึ่งคน หนึ่งในนั้นเสิ่นซูเหยียนซึ่งเป็นบุตรสาวคนเล็กยังเป็นเทพธิดาน้อยที่มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง นางตวนมู่มีชื่อเสียงดีงามทั้งในบ้านเสิ่นและในเมืองหลวง… ยามนี้เสิ่นเหลี่ยนสือด่าทอนางว่าเป็นเมียชั่วต่อหน้าคนมากมายเพราะอนุคนนึ่ง หากเรื่องแพร่ออกไป มีหรือที่บ้านตระกูลตวนมู่จะไม่มาขอคำอธิบายถึงประตูบ้าน?

                อีกประการหนึ่ง ว่ากันว่าอบรมบุตรต่อหน้าสอนสั่งเมียลับหลัง การกระทำของเสิ่นหลี่ยนสือนี้หากแพร่ออกไปก็จะทำให้ผู้อื่นวิจารณ์เขาว่าไร้เมตตาต่อภรรยาหลวง ไม่ยอมไว้หน้าคู่ครองที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย…

                คุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุนก็ผลักพี่ชายตนเข้าไปในห้อง “พี่รองยามนี้ท่านโกรธจนเลอะเลือนแล้ว เขาไปในห้องดื่มน้ำชาสักถ้วยเสียก่อน และให้พี่สะใภ้รองล้างหน้าแปรงผมสักหน่อย พร้อมแล้วจึงค่อยมาคุยกันใหม่”

                เว่ยฉางอิ๋งเดินไปข้างๆ นางหลิว แล้วค่อยๆ ถามอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใดดีว่า “พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ พี่สะใภ้รอง…?”

                “ทั้งสองคนต่างพูดจากันด้วยอารมณ์ ไยต้องทำเช่นนี้เล่า?” เวลานี้นางหลิวเองก็ไม่สะดวกจะพูดมาก เพียงแต่ส่งสายตามา แล้วประคองนางตวนมู่และกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “น้องสะใภ้รอง พวกเราไปหวีผมล้างหน้าข้างหลังสักหน่อยเถิด น้องรองดื่มชาแล้วค่อยมาค่อยพูดค่อยจากับเขา การกระทำของเจ้าพวกเราทั้งบ้านล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา แล้วจะไปทำร้ายอนุตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร? พวกเราต้องสอบถามน้องรองให้ชัดเจนว่าเป็นผู้ใดพูดจาส่งเดชยุแยงพวกเจ้าสามีภรรยา และต้องไม่ละเว้นคนผู้นั้น!”

                ทั้งสองฝ่ายทั้งปลุกปลอบทั้งฉุดลากกันดังนี้ ที่สุดก็แยกสองสามีภรรยาที่กำลังลงไม้ลงมือออกจากกันได้

                เว่ยฉางอิ๋งตามพี่สะใภ้ทั้งสองคนเข้าไปในเรือนหลังของลานอู๋ฮวา และกลับเห็นว่าในเรือนนี้ครึกครื้นกว่าเรือนจินถงนัก ในลานบ้านมีค้างปลูกต้นองุ่น ใต้ค้างองุ่นผูกชิงช้าเอาไว้ บนระเบียงทางเดินมีลูกบอลเย็บจากหนังทิ้งไว้ลูกหนึ่ง ข้างบนราวแขวนนอกฮว่าเหมยเอาไว้คู่หนึ่งและกำลังส่งเสียงร้องอย่างอ่อนโยน… นั่นเพราะบ้านสองมีเด็กอยู่สามคน

                เครื่องเรือนในห้องของนางตวนมู่คล้ายคลึงกับในห้องเว่ยฉางอิ๋ง สิ่งของภายในล้วนจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีที่ใดรกรุงรัง เมื่อนึกย้อนไปว่าตอนก่อนเที่ยงยังไม่ได้ยินข่าวนางตวนมู่กลับมา คาดว่านางเพิ่งจะกลับมาตอนนี้ ห้องที่ไม่ได้อยู่มาวันสองวันยังคงสะอาดและเป็นระเบียบ เห็นได้ว่าปกติแล้วนางตวนมู่จะต้องกำชับบ่าวไพร่ดูแลให้เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ว่าต่อให้นางไม่อยู่ก็ต้องเป็นเช่นนี้ เตรียมว่านางจะกลับมาใช้เวลาใดก็ได้

                เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไม่ได้ว่า ดูจากการจัดสิ่งของต่างๆ ภายในห้องก็รู้ได้ว่าพี่สะใภ้ผู้นี้จะต้องเป็นคนที่เข้มงวดอย่างมาก…

                เพราะไม่มีนางหลิวอยู่ด้วย ทางนี้นางจึงใจลอย รอจนสาวใช้ตักน้ำเข้ามา นางตวนมู่ล้างหน้าทั้งน้ำตา จึงเพิ่งพบว่าแก้มข้างหนึ่งของนางมีรอยแดงสองรอย ซึ่งบวมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

                เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งตกใจแล้วจึงคิดขึ้นมาได้ ว่าคงเป็นรอยตบที่หลบไม่พ้น มิน่าเล่าเมื่อตนเข้าประตูมา จึงเห็นเสิ่นจั้งจีและเสิ่นเหลี่ยนคุนรั้งตัวเสินเหลี่ยนสือเอาไว้สุดแรงเช่นนั้น กระทั้งไม่มีแม้เวลาจะมาทักทายตนสักคำ ที่แท้เสิ่นเหลี่ยนสือถึงกับลงไม้ลงมือ!

                เรื่องนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าด่าทอนางตวนมู่ต่อหน้าธารกำนัลเสียอีก บุตรสาวมีพ่อมีแม่มาถูกทุบตี หากรู้เข้าภายหลังแล้วไม่เข้ามาขอคำอธิบายที่หน้าประตู แล้วหน้าตาของสตรีในตระกูลจะอยู่ที่ใด?

                แน่นอนว่าตระกูลเสิ่นมิได้หวาดกลัวตระกูลตวนมู่ ปัญหาคือมิใช่ว่าตระกูลเสิ่นจะนิ่งเฉยดูดายตระกูลตวนมู่ได้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะยามนี้แม่เฒ่าเติ้งยังคงฝากความหวังให้นางตวนมู่เชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวน้องสาวร่วมตระกูลของนางไปช่วยทำการรักษา และเมื่อไล่เรียงกันไปจริงๆ ก็คือต้องการให้นางไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาด้วยตนเอง… ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสิ่นเหลี่ยนสือก็มาตบตีนางตวนมู่เสียแล้ว ต่อให้นางตวนมู่ยังคงยอมไปเชิญคนที่บ้านแม่ของตน แต่เมื่อใบหน้าของนางเป็นเช่นนี้ แล้วจะให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวไปรักษาให้ด้วยจิตใจสงบได้อย่างไร?

                ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะไปเล่าเรื่องนี้ให้จี้ชวี่ปิ้งฟัง!

                เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไม่ได้ว่า หรือเพราะเสิ่นเหลี่ยนสือได้หลักฐานว่านางตวนมู่เป็นคนทำร้ายบุตรชายผู้สืบสกุลของตนในครรภ์ของลวี่เฉียว จึงได้โกรธเกรี้ยวจนลืมตัวเช่นนี้?

                หาไม่แล้วเสิ่นเหลี่ยนสือที่ดูท่าทางสุภาพอ่อนโยนและเป็นมิตรดังที่ตนเห็นในวันยกน้ำชาผู้นั้น กลับดูไม่เหมือนคนที่จะลงมือตบตีด่าทอภรรยาแต่อย่าใด!

                ยามนี้นางตวนมู่ล้างหน้าตาเสร็จ มองดูร่องรอยบนใบหน้าตนในกระจก แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีกหน นางหลิวจึงต้องรีบปลอบโยนนางหนแล้วหนเล่า เว่ยฉางอิ๋งเองก็ต้องคอยปลอบนางไปด้วย… ที่สุดก็ปลอบจนนางตวนมู่สงบลงได้ แล้วบ่าวจากเรือนหน้าก็มาเชิญ บอกว่าเสิ่นเหลี่ยนสือรับปากแล้วว่าจะฟังคำอธิบายของนางตวนมู่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

                ครั้นแล้ว พี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสองจึงไปที่โถงด้านหน้ากับนางตวนมู่ ปรากฏว่าเสิ่นเหลี่ยนสือยังคงหน้าดำคร่ำเครียด และถูกน้องชายสองคนนั่งประกบอยู่ทั้งซ้ายขวา สีหน้ายังคงไม่น่าดู แต่เมื่อเห็นนางตวนมู่เข้ามา กลับเพียงแค่นเสียงออกไปหนหนึ่งและมิได้พูดสิ่งใด

                นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งประคองนางตวนมู่เข้ามานั่งที่ที่นั่งรอง หลังจากนั่งลงแล้ว น้ำตาเม็ดโตๆ ของนางตวนมู่ก็หลั่งไหลออกมาด้วยท่าทีน้อยอกน้อยใจเหลือแสน นางหลิวซึ่งเป็นพี่สะใภ้ใหญ่อดจะตำหนิเสิ่นเหลี่ยนสือไปสองสามประโยคไม่ได้… นางตวนมู่อุตส่าห์สงบสติอารมณ์ลงได้ แต่พออ้าปากพูดประโยคแรกก็กลับทำให้ทุกคนตกตะลึง “ลวี่เฉียว นางไม่ระวังทำให้บุตรแท้งเอง ด้วยกลัวว่าจะถูกตำหนิ จึงจงใจเอายาขับเลือดใส่ไว้ในถ้วยชา เพื่อจงใจให้ร้ายผู้อื่น ยุแยงให้เกิดความบาดหมางในเรือนหลังของบ้านสอง! ข้าเห็นแก่ที่นางเคยปรนนิบัติเจ้า ไม่คิดทำโทษนาง เพียงคิดว่ารอจนนางออกเดือนแล้วก็จะเอานางขายออกไป… มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?”

                เสิ่นเหลี่ยนสือเองก็สะดุ้งไปหนหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวเยาะหยันว่า “เจ้ามีหลักฐานใดบอกว่าลวี่เฉียวทำให้ตนเองแท้งลูก?”

                เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากล่าง คิดในใจว่าเป็นเรื่องจริง… เสิ่นเหลี่ยนสือคิดว่านางตวนมู่เป็นคนทำร้ายบุตรชายของตน จึงได้บันดาลโทสะถึงเพียงนี้… เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามนี้นางตวนมู่จะปิดฉากเรื่องนี้อย่างไร? ตลอดมานางขึ้นชื่อเรื่องคุณธรรมความดี หากไม่มีหลักฐานสักน้อย เสิ่นเหลี่ยนสือก็จะไม่เชื่อแน่นอน

                แล้วได้ยินนางตวนมู่สะอึกสะอื้นบอกว่า “ย่อมต้องมีแน่นอน หากไม่แล้ววันนี้ข้าจะออกปากว่าจะขายลวี่เฉียวไปได้อย่างไร?” จากนั้นก็ค่อยๆ พูดไปทีละเรื่อง และคอยเรียกบ่าวทั้งนอกบ้านในบ้านมาเป็นพยาน เว่ยฉางอิ๋งฟังดูแล้วรู้สึกแต่เพียงว่าหลักฐานต่างๆ แน่นหนารัดกุมไร้ช่องว่างให้โต้กลับได้ จึงรู้สึกดึงเครียดขึ้นมาในใจ

                นางหาช่องโหว่ของคำกล่าวนี้ไม่ได้ เสิ่นเหลี่ยนสือนิ่งคิดอยู่เป็นนาน สอบถามไปสองสามประเด็น นางตวนมู่ก็อธิบายออกมาได้อย่างรวดเร็วและสมเหตุสมผล เสิ่นจั้งจีและเสิ่นเหลี่ยนคุนล้วนแอบปาดเหงื่อ กล่าวว่า “พี่รองท่านฟังเถิด พวกเราบอกแล้วว่าพี่สะใภ้รองเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเสมอมา แล้วจักทำร้ายบุตรชายของท่านได้อย่างไร? หรือบุตรของพี่รอง มิใช่บุตรของพี่สะใภ้รองเล่า?”

                เสิ่นเหลี่ยนสือไม่อาจหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้ ทั้งถูกพวกน้องชายค่อนแคะ นางหลิวเองก็คอยช่วยพูด เขาจึงทำได้เพียงมองนางตวนมู่ด้วยสายตาเคลือบแคลงไปตามสัญชาตญาณเป็นหนสุดท้ายและขอโทษนาง….

____________________________

[1] อู๋ฮวา แปลว่า ไร้บุปผา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด