ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 173 ขมสิ้นหวานมา

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 173 ขมสิ้นหวานมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“คล้ายว่าเป็นพี่หญิงใหญ่เว่ยสั่งบ่าวเฝ้าประตูเอาไว้ บอกว่าน้องหญิงเจ้ากำลังไว้ทุกข์ ไม่พบแขกข้างนอก ตอนข้าเพิ่งมาถึงหน้าประตูเมื่อครู่นี้ ทางนั้นบอกให้หลิวรั่วเหยียกลับไปเช่นนี้” หมิ่นอีนั่วเอ่ยเสียงเบา “และบอกข้าดังนี้เหมือนกัน เพียงแต่พอข้าเดินมาได้ครึ่งทางก็นึกออกว่าก่อนหน้าเคยเข้ามาในเรือนเจ้าทางประตูมุมกำแพง จึงลองมาดู ไม่คิดว่าทางนั้นก็ปล่อยให้ข้าเข้ามาแล้ว เมื่อเดินมาถึงทางเข้าเรือน ก็พอดีเห็นเจ้าเกือบจะล้ม เจ้านี่ก็จริงๆ เชียว อากาศหนาวเพียงนี้กลับไม่ระวังรักษาตนเองแม้แต่น้อย ท่านน้าสิบห้าจากไปแล้ว เจ้าก็ยิ่งต้องดูแลตนเองให้ดี หาไม่แล้วท่านน้าเขยสิบห้า และยังมีลูกผู้พี่ พี่หญิงใหญ่เว่ย พวกเขาล้วนเป็นห่วงเจ้านะ!”

เว่ยฉางเจวียนพลันปวดใจขึ้นมา คิดในใจว่าเวลานี้ทั้งท่านพ่อและพี่ชายพี่สาวล้วนชิงชังตนเอง หากมาเป็นห่วงตนก็แปลกแล้ว พวกเขาล้วนแทบทนไม่ไหวที่จะไม่ต้องได้เห็นตนอีกต่างหาก…

สักพักหนึ่งนางจึงเอ่ยเสี่ยงต่ำๆ ว่า “ในเมื่อเป็นพี่หญิงใหญ่สั่งมา เช่นนั้นก็เอาเช่นนี้ก่อนเถิด พี่หญิงใหญ่อาจจะอยากให้ข้าตั้งใจไว้ทุกข์” ก่อนหน้านี้ เว่ยฉางหว่านเคยด่าทอที่นางไปใกล้ชิดกับหลิวรั่วเหยียมากเกินไป แต่กลับไม่คิดว่าก่อนนางจะไปคราวนี้ยังไม่ลืมสั่งบ่าวเฝ้าประตูเอาไว้ด้วย

เมื่อคิดถึงท่าทีเกรี้ยวกราดของพี่สาวคนโตในโถงงานศพในวันนั้นแล้ว เว่ยฉางเจวียนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่เต็มอก

แต่กลับไม่สังเกตว่าเมื่อตนพูดเช่นนี้ออกไป หมิ่นอีนั่วกลับมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พลันเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “ที่ข้ามาวันนี้ก็ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว …ทว่า…คือว่าข้า …ช่างเถิด ข้าคิดว่าเวลานี้เจ้าคงไม่มีแก่ใจฟังหรอก”

เว่ยฉางเจวียนจึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่าคำที่นางพูดไปก่อนหน้านี้เป็นการตำหนิ หมิ่นอีนั่วโดยอ้อมว่ามารบกวนตน จึงรีบขอขมานาง ทั้งอธิบาย ทั้งรั้งตัวนางเอาไว้

ทว่าหมิ่นอีนั่วก็เคอะเขินจะอยู่ต่ออีกจริงๆ จึงยืนกรานว่าจะขออำลาและจากไป

ก่อนไปนางก็ลังเลอยู่เป็นนาน ที่สุดก่อนนางขึ้นรถ ก็กระซิบเตือนเว่ยฉางเจวียนที่ข้างหูสองสามคำ บอกให้นางปล่อยวาง อย่าไปเป็นปรปักษ์กับเว่ยฉางอิ๋งอีก

เว่ยฉางเจวียนยิ้มเยือกเย็นพลางว่า “ต่อให้ข้ายอมปรองดองกับนาง เวลานี้นางจะยอมปรองดองกับข้าหรือ?” นางถูกโกรธจนไม่รู้ว่าจะโต้แย้งหมิ่นอีนั่วเช่นใด จึงพูดส่งเดชไปด้วยความโกรธ …เวลานี้นางอดจะไปกินเนื้อ ดื่มเลือดของเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้จริงๆ! แต่กลับไม่คิดว่าหมิ่นอีนั่วยังคงพยายามเตือนให้นางไปปรองดอกงกับลูกผู้พี่ผู้นี้เสีย!

ปรองดอง!

เมื่อฟังอยู่ในหูของเว่ยฉางเจวียนแล้วก็คือให้ก้มหัวยอมแพ้ ถือดีอันใด? มารดาของนางก็ต้องตายเพราะเรื่องนี้แล้ว! นางยังต้องไปก้มหัวให้ศัตรูอีก …พอเว่ยฉางเจวียนคิดถึงก็อยากจะกระอักเลือดในอกออกมา!

ความจริงแล้วเพราะนางรู้สึกซาบซึ้งที่หมิ่นอีนั่วมาเยี่ยมเยือนและปลอบโยนนางในวันนี้ หาไม่แล้วหากเป็นผู้อื่นมาพูดจาเช่นนี้ เว่ยฉางเจวียนก็จะต้องร้อนรุ่มในหัวและกระโจนเข้าไปสู้ตายด้วยแล้ว!

แต่หมิ่นอีนั่วกลับเข้าใจผิดว่านางเป็นกังวลเรื่องนี้จริงๆ จึงเม้มปากหัวเราะพลางว่า “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เป็นกังวล ข้าจะบอกกับเจ้าว่า ฮูหยินเว่ยใกล้จะคลอดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นครรภ์บุตรชายที่จี้ชวี่ปิ้งเป็นตรวจออกมาด้วยตนเอง ถึงยามนั้นนางจะต้องยินดีปรีดานัก เจ้าอาศัยช่วงเวลานั้นให้คนไปส่งของกำนัลและเอ่ยถึงเรื่องนี้สักหน่อย นางจะต้องรับปากแน่นอน”

….เว่ยฉางเจวียนเองก็ไม่รู้ว่าตนเองส่งหมิ่นอีนั่วจากไปอย่างไร แล้วกลับมาในห้องอย่างไร สรุปก็คือเมื่อนางกลับมาในห้อง แล้วเงยหน้าขึ้นมาเห็นดอกดารารัตน์กระถางนั้น แม้จะคิดก็ไม่ทันคิด พลันพุ่งตัวเข้าไปยกกระถางดอกไม้ขึ้นแล้วโยนใส่ม่านกันลมแปดพับรูปนกกางเขนบนต้นเหมยไปอย่างแรง!

เสียงเครื่องเคลือบดินเผาแตกดังเพล้งทำเอาสาวใช้ที่อยู่ทั้งข้างนอกข้างในพากันตกใจจนไม่กล้าออกเสียง …หลังจากฮูหยินเสียไป ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองก็เข้ามาดูแลบ้าน ฐานะของคุณหนูเจ็ดย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อน เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูก็ยังเป็นคุณหนูวันยันค่ำ เวลานี้นางมาระบายอารมณ์กับดอกดารารัตน์ที่ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองส่งมาให้ แม้บรรดาบ่าวไพร่จะโกรธเคืองนักแต่ก็ไม่กล้าต่อว่าใดๆ ด้วยกลัวว่าจะถูกพาลมาโกรธตนด้วย …แล้วมีบางคนที่พอกรอกตาหนหนึ่งก็ค่อยๆ แอบถอยออกไป และไปฟ้องนางหมิ่นและนางโจวที่เรือนทางด้านหน้า

เว่ยฉางเจวียนไม่รู้จักคนเหล่นี้ หรือต่อให้รู้จักเวลานี้นางก็ไม่มีแก่ใจมาถือสา ความสนใจทั้งหมดของนางล้วนอยู่ที่ความคิดเดียว “นางเป็นคนยุยงให้ท่านย่าบีบให้ท่านแม่ตาย! ทำให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เวลานี้นางกลับกำลังจะมีเรื่องน่ายินดีด้วยบุตรชายแสนล้ำค่า ยังคิดว่าหลังจากคลอดบุตรชายแล้วก็จะเชิญแขกเหรื่อไปเฉลิมฉลองที่บ้านด้วยรึ? ข้าจะต้องแก้แค้น! แก้แค้น! ต้องไม่มีวันยอมให้นางได้อกได้ใจเช่นนี้!!”

เว่ยฉางเจวียนเดินไปเดินมาในโถงอย่างไม่ยอมใจ ในขณะที่นางกำลังร้อนใจอยู่นั้น นางหมิ่นที่ได้ยินข่าวก็พาคนรีบรุดมา เมื่อมองเห็นว่าเพียงแค่เวลาชั่วครู่ดอกดารารัตน์ชั้นเลิศที่ตนไปเลือกหามาหนึ่งกระถางก็ถูกโยนทิ้งจนยับเยิน เศษเครื่องเคลือบกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นยังไม่ว่า ฉากกันลมรูปนกกางเขนบนต้นเหมยที่กรอบเป็นไม้จันทน์แดง มีผ้าทอชั้นเลิศขึงเป็นพื้น และต้องใช้ช่างปักฝีมือดีที่สุดของเจียงหนานหลายสิบคนใช้เวลาเป็นปีจึงปักเสร็จ ก็ถูกกระถางโยนใส่จนขาด …หางตานางหมิ่นพลันกระตุกหนแล้วหนเล่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบาว่า “น้องเจ็ดเป็นอันใดไปเล่า? มีเรื่องใดไม่พอใจก็โปรดบอกพี่สะใภ้มาเถิด ไยต้องมาระบายอารมณ์กับของดีๆ เล่า?”

 “ข้ากำลังคิดเรื่องบางอย่าง รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่อย่ามารบกวนข้า!” นางหมิ่นและนางโจวล้วนเป็นหลานสะใภ้ที่แม่เฒ่าซ่งเป็นคนเลือกมา นางตวนมู่ไม่ชอบและไม่เชื่อใจพวกนางมาจากขั้วหัวใจ ก่อนหน้านี้เว่ยฉางเจวียนมีแม่คอยถือหาง จึงนับไม่ได้ว่านางให้ความเคารพต่อพี่สะใภ้ทั้งสองคน นางเคยชินจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกเสียใจในความผิดของตน แม้ว่าหลังจากมารดาของนางจากไปแล้วพวกพี่สะใภ้ก็เข้ามาดูแลบ้าน ฐานะของตนเองตกต่ำลงกว่าเดิมมาก แต่เพราะครานี้นางรู้สึกว้าวุ่นใจ จึงยังระบายอารมณ์เหมือนยามนางไม่พอใจแต่ก่อนนี้อย่างอดไม่ได้

นางหมิ่นฟังบ่าวไปรายงานว่าเว่ยฉางเจวียนโยนดอกดารารัตน์ทั้งกระถางทิ้งต่อหน้าทุกคน นางก็ไม่พอใจอย่างยิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นที่นางมาครานี้ก็ต้องการจะมาเอาความด้วย เมื่อมาได้ยินคำนี้จึงบัดดาลโทสะขึ้นมายกใหญ่อย่างอดไม่ได้ แล้วพูดเสียงแข็งว่า “ที่น้องหญิงพูดเช่นนี้ข้ากลับฟังไม่รู้ความแล้ว! พี่สะใภ้เช่นข้าหวังดีนำดอกดารารัตน์ที่ดีที่สุดกระถางหนึ่งมาให้น้องเอาไว้ชื่นชม ก็เพราะเห็นใจในความเจ็บปวดที่น้องต้องเสียท่านแม่ไป! ไม่กล้าหวังให้น้องรู้สึกซาบซึ้ง แต่ฟังความหมายที่น้องพูดกลับกลายเป็นว่าดอกดารารัตน์กระถางนี้ไปเพิ่มความลำบากให้น้อง และทำให้น้องรำคาญใจเสียแล้ว?! นี่มันเป็นเหตุผลชนิดใดกัน ต้องขอให้น้องอธิบายให้ชัดเจนด้วย!”

ในคำพูดนี้ สำหรับเว่ยฉางเจวียนที่เดิมทีก็อ่อนไหวกับฐานะที่เปลี่ยนแปลงไปหลังมารดาเสียเป็นอย่างมาก เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ประโยคนั้นว่า ‘ความเจ็บปวดที่ต้องเสียท่านแม่’ สมองนางพลันมีเสียงก้องคราวหนึ่ง เสียงเสียงหนึ่งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในหัวของนาง “เจ้าฟังสิ! เจ้าฟังสิ! พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าผู้นี้กำลังเอาเรื่องที่แม่เจ้าเสียมาอ้าง เพื่อบอกเป็นนัยว่ายามนี้หาใช่เวลาที่ท่านแม่ยังอยู่แล้ว! วันหน้าจะถึงคราวเจ้ารำคาญพี่สะใภ้ทั้งสองที่ใดกัน? พี่สะใภ้ทั้งสองคนไม่ชักสีหน้าใส่เจ้าก็ไม่เลวมากแล้ว! วันหน้าพี่สะใภ้ที่เป็นเพียงบุตรสาวตระกูลใหญ่ทั้งสองคนนี้ก็จะปีนขึ้นมาเหยียบหัวลบหลู่รังแกเจ้าตามอำเภอใจแล้ว!!!”

เว่ยฉางเจวียนพลันถลึงตากว้างจ้องเขม็งไปที่นางหมิ่น ชี้นิ้วไปทางนาง ปากขยับคิดจะเอ่ยบางสิ่ง …นางหมิ่นเห็นว่าน้องสามีโกรธด้วยคำพูดของตนจนเป็นเช่นนี้ แรกเริ่มก็ตกใจไปโดยไม่ทันรู้ตัว กำลังจะขืนทำหน้ายิ้มออกไปขอขมาตามความเคยชิน …แต่ระหว่างที่กำลังจะยิ้มนั้น นางพลันนึกขึ้นมาได้ว่าแม่สามีที่คอยปกป้องน้องสามีเป็นที่สุดตายไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น น้องสามีผู้นี้ยังถูกคนทั้งบ้านสามีรังเกียจเพราะการตายของแม่สามีด้ว แล้วตนยังต้องกลัวนางอีกทำสิ่งใด?

เมื่อคิดถึงว่าเมื่อก่อนนี้ เว่ยฉางเจวียน อาศัยว่ามีบิดามารดารักใคร่ จึงแทบไม่ให้ความยำเกรงแก่ตนที่เป็นพี่สะใภ้เลย คล้ายว่าตลอดหลายปีมานี้ น้ำเสียงตำหนิติเตียนของนางที่เหมือนกับกำลังต่อว่าบ่าวไม่มีผิดนั้น นางหมิ่นก็ไม่รู้ว่าเคยได้ยินมากี่ครั้งกี่หนแล้ว ทว่าแต่ไรมาไม่มีแม้สักครั้งที่นางจะกล้าตอบโต้ แล้วมีครั้งใดบ้างที่ตนไม่ต้องข่มความโกรธข่มน้ำตาลงไปให้จงได้?

เวลานี้นับว่าขมสิ้นหวานมาแล้ว ไม่เพียงแค่รับเรื่องใหญ่น้อยในจวนมาดูแล น้องสามีน่าชังผู้นี้ก็ไร้ซึ่งที่พึ่งพิงแล้ว วันหน้าก็เป็นเวลาแก้แค้นของตนแล้ว!

ฉะนั้น นางหมิ่นพลันมีรอยยิ้มออกมาในทันใด เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นยะเยือกว่า “ข้ากำลังขอคำชี้แนะจากน้องหญิงอยู่นะ ขอถามน้องหญิงว่าที่ข้าส่งดอกดารารัตน์มาให้เจ้ามีที่ใดไม่ดี? เจ้าโปรดเอ่ยออกมาให้ข้าปรับปรุง เพื่อมิให้คราหน้ามาล่วงเกินเจ้าอีก! แต่หากน้องหญิงบอกสาเหตุออกมาไม่ได้ ก็อย่าโทษว่าคนเป็นพี่สะใภ้เช่นข้าต้องบอกเรื่องจารีตธรรมเนียมกันคนเป็นคุณหนูเช่นเจ้าเล่า! มิใช่พี่สะใภ้คิดแค้นเจ้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ หรือจงใจมาหาความเจ้า ทว่าน้องหญิงก็อายุไม่น้อยแล้ว เวลานี้ท่านแม่ก็มาเสียไปอีก ว่ากันว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นดังมารดา เรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจ หาก พี่สะใภ้ใหญ่เช่นข้านี้ไม่กล้าสอนเจ้า เกิดเรื่องแพร่ออกไปผู้อื่นก็จะต้องด่าทอข้า! ข้าทำไปเพราะหวังดีต่อจ้า!”

นางหมิ่นกำลังพูดอย่างฮึกเหิมได้อกได้ใจ วางแผนว่าจะเอาความโกรธที่ต้องทนรับยามอยู่ต่อหน้าแม่สามี ทั้งความรู้สึกต่ำต้อยที่ต้องทนรับจากน้องสามี คืนไปกลับไปให้หมดพร้อมทั้งดอกเบี้ย ไม่คิดว่าเว่ยฉางเจวียนที่อ้ำอึ้งอยู่เป็นนานแต่ก็ไม่เอ่ยสักคำออกมา จู่ๆ ก็กรอกตาขาวขึ้นมา และเป็นลมล้มพับลงไปทั้งเช่นนั้น!

เมื่อเห็นดังนั้น นางหมิ่นเองก็อดจะตกใจขึ้นมาไม่ได้ …แม้ดูไปแล้วเวลานี้ทั้งพ่อสามีและสามี น้องชายของสามี และพี่สาวของสามีต่างพากันชิงชังน้องสาวสามีผู้นี้แล้ว แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ไม่แน่ว่าพอผ่านไปสองวันก็ไม่ได้ชังนางสักเท่าใดแล้ว? ฉะนั้นต่อให้ นางตวนมู่ไม่อาจฟื้นคืนจากความตายได้ และเรื่องในเรือนหลังของจวนแห่งนี้ก็ต้องเป็นตนเองและนางโจวดูแล แต่หากจะจัดการน้องสาวสามีผู้นี้ก็ไม่ควรจะทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นดี

นางจึงจำต้องหยุดไล่เรียงเอาความไว้ก่อน แล้วสั่งให้คนอุ้มเว่ยฉางเจวียนไปบนตั้งนอนข้างในห้อง แล้วให้คนไปเชิญหมอมา …จวบจนหมอบอกว่าเว่ยฉางเจวียนเพียงแค่ทานอาหารไม่เพียงพอติดต่อกันหลายวัน กอปรกับโกรธเคืองจนกระทบกระเทือนจิตใจจึงได้หมดสติไป หาใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตไม่ นางหมิ่นยังถามสาวใช้ข้างกายเว่ยฉางเจวียนอย่างละเอียดแล้ว ว่าก่อนหน้านี้น้องสามีไปยืนอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยในสวนเป็นเวลานาน คาดว่าคงจะเกี่ยวกับที่นางต้องลมหนาวนานเกินไปด้วย ตอนนั้นเองจึงได้โล่งอก…

หลังจากให้สาวใช้ของเว่ยฉางเจวียนคอยอยู่รับใช้นางแล้ว นางหมิ่นจึงพาคนของตนกลับไปที่เรือนใหญ่ พอดีพบว่าเว่ยฉางอวิ๋นสามีของตนอยู่ เมื่อเห็นนางเข้ามาจากข้างนอกจึงถามว่า “เจ้าไปที่ใดมา?”

นางหมิ่นคิดในใจคราวหนึ่งจึงบอกว่า “เมื่อครู่นี้น้องเจ็ดโยนดอกดารารัตน์ทั้งกระถางที่ข้าเพิ่งจะส่งไปให้ตอนเช้าทิ้งเสียแล้ว ข้าตกใจนัก คิดว่ามีที่ใดที่ไปล่วงเกินน้องเจ็ด จึงรีบไปสอบถามดู”

 เว่ยฉางอวิ๋นได้ยินชื่อเว่ยฉางเจวียนก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด เอ่ยอย่างถมึงทึงว่า “เจ้าไปดูนางทำสิ่งใด? นังลูกสาวอกตัญญูเช่นนี้ แล้วยังเอาดอกดารารัตน์ไปให้นางอีก?! เจ้าว่างนักรึ? เรื่องในจวนนี้เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วรึ?”

เมื่อถูกเขาตำหนิเอาซึ่งหน้าเช่นนี้ นางหมิ่นพลันอ้ำอึ้ง แต่ในใจกลับแอบยินดี แล้วเอ่ยไปอย่างนบนอบว่า “แต่ว่า…แต่ว่าบ่าวยังบอกว่า ก่อนหน้านี้น้องเจ็ดไปยืนตากลมหนาวที่ใต้ต้นเหมยที่ท่านแม่ชอบที่สุดครั้งยังมีชีวิตอยู่ ข้าจึงไม่ใคร่วางใจเลยจริงๆ …พอไปดู ปรากฏว่าน้องเจ็ดยังพูดไม่ทันถึงสองคำก็เป็นลมไปแล้ว”

เว่ยฉางอวิ๋นพลันโพล่งถามไปคำหนึ่งว่า “เป็นอันใดมากหรือไม่?”

“เมื่อครู่นี้เชิญหมอมาดูแล้ว บอกว่าไม่เป็นอันใดมาก แต่อย่างไรก็ต้องพักฟื้นให้ดี ให้พักผ่อนอย่างสงบได้เป็นดี” นางหมิ่นลอบขบริมฝีปากล่าง พลางเอ่ยไปเสียงเบาๆ

เว่ยฉางอวิ๋นกลับมามีสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม กล่าวว่า “ในเมื่อมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ก็ให้คนข้างกายนางดูแลเป็นพอแล้ว ในวันที่อากาศเช่นนี้ หากนางอยากชมดอกเหมย ไปดูที่ใดไม่ไป จำต้องไปยืนอยู่ในลานบ้าน ทั้งยังไม่สวมเสื้อผ้าให้มากสักหน่อยด้วย นี่นางจงใจสร้างความลำบากชัดๆ! เจ้าไม่ต้องไปวิ่งตามนางให้มากนัก คอยดูแลจวนกับน้องสะใภ้รองให้ดีเป็นสำคัญ!”

นางหมิ่นรับคำแต่โดยดี …รอจนเขาหันหลังเดินไปที่ห้องหนังสือทางด้านหน้า นางกลับสั่งคนให้ไปเรียกนางโจวผู้เป็นน้องสะใภ้มาสนทนากัน

_________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด