ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 120 กลับตาลปัตร

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 120 กลับตาลปัตร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                นางตวนมู่ตื่นตระหนกเป็นหนักหนา ส่วนนางหมิ่นกลับมีเรี่ยวแรงขึ้นมาเสียอย่างยิ่ง! ทั้งมีแววแห่งความยินดีสาดเข้ามาในดวงตา แต่ปากกลับยังตำหนิไปอย่างรุนแรงว่า “เจ้านี่พูดจาส่งเดชจริงๆ! ฮูหยินรองตระกูลซ่งยังเป็นบุตรสาวของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วด้วย มีชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียวกับพี่สะใภ้รองของเจ้าเชียวนะ! หากว่ากันเรื่องฐานะตระกูลก็สูงส่งกว่าบ้านเราตั้งเท่าใด การอบรบเลี้ยงดูของคนในตระกูลระดับนั้นเข้มงวดออกปานใด จะพูดจายุยงใส่ไคล้เกินจริงเช่นนี้ได้อย่างไร! ต้องเป็นเจ้าเพ้อเจ้อไปเอง แต่กลับเอาเรื่องนี้ไปเกี่ยวพันกับฮูหยินรองตระกูลซ่งซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์เสียแล้ว?!”

                 คำพูดนี้เท่ากับเป็นการเตือนสติให้เผยเหม่ยเหนียงรีบเอาหลักฐานออกมา ..เผยเหม่ยเหนียงเชิดหน้าขึ้นสูง เอ่ยอย่างเย็นชาว่า ท่านแม่เคารพยำเกรงตระกูลสูงศักดิ์ตลอดมา หากไม่เชื่อข้า …แต่ตอนที่ตวนมู่อู๋เซ่อบอกกับข้าในวันนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสาวใช้บ่าวไพร่ของพวกเราก็อยู่ด้วย ฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งก็ยังได้ยินด้วย ทั้งยังร้องห้ามนาง ไม่อยากให้นางมาบอกข้า! พวกเจ้าล้วนสามารถไปสอบถามกับฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งได้! ฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งมีชื่อเสียงดีงามเลื่องลือทั่วไป ทั้งยังโกหกไม่เก่ง คาดว่าต่อให้ต้องการจะช่วยตวนมู่อู๋เซ่อปิดบังอำพราง แต่หากมาสอบถามเอาต่อหน้าตรงๆ ก็จะไม่มีทางไม่มีพิรุธให้เห็นเป็นแน่!”

                สถานการณ์กลับตาลปัตร จากเดิมทีที่มีเผยเหม่ยเหนียงเพียงคนเดียวที่ทำไม่ถูก กลับกลายเป็นว่านางยังถูกตวนมู่อู๋เซ่อลูกผู้น้องของตวนมู่เยี่ยนอวี๋ยุยงและปลุกปั่นชี้นำไปในทางผิด …นางหลิวและนางตวนมู่แทบกระอักเลือดอยู่ในใจ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่าเรื่องในบ้านเรื่องนี้ยิ่งสับสนวุ่นวายกันไปใหญ่แล้ว …แล้วคนบ้านเผยจะยอมปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร?

                นางหมิ่นร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ขึ้นมาทันใด “ข้าก็บอกแล้วว่าบุตรสาวที่ดีๆ อยู่ของข้า ครั้งก่อนออกเรือน มีผู้ใดบ้างที่ได้มาพบแล้วจะไม่ชมเชยว่าอ่อนโยนเรียบร้อยเป็นกุลสตรี? หาไม่แล้ว ด้วยลำดับตระกูลของพวกเรา นางจะไปเข้าตาฮูหยินท่านราชครูได้อย่างไร? ทั้งยังถูกหมั้นหมายให้เป็นภรรยาของหลานชายแท้ๆ ที่ฮูหยินท่านราชครูเลี้ยงดูประหนึ่งบุตรแท้ๆ มาจนเติบใหญ่ด้วย! แต่เหตุใดพอออกเรือนแล้วก็กลายเป็นไม่ดีไม่งามเช่นนี้? อยู่ดีๆ แต่กลับไปทำให้ทั้งผู้ใหญ่และบรรดาพี่สะใภ้โมโหกันไปหมด! ข้าก็คิดแต่ว่าข้าคงเคยทำเวรกรรมไว้แต่ชาติปางก่อน จนพลอยทำให้เด็กผู้นี้ต้องรับเคราะห์ไปด้วย อยู่ดีๆ แต่กลับถูกสิ่งใดครอบงำจิตใจไปเสียแล้ว! ผู้ใดจักคิดว่ากลับเป็นเพราะเด็กผู้นี้ซื่อเกินไปจึงถูกคนปลุกปั่นเอา!”

                นางล้วนยกเอาหลักการที่นางหลิวพูดมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดออกมาใช้ แล้วร่ำไห้ต้องการให้นางหลิวชี้แจ้งมา “ท่านเป็นสะใภ้ใหญ่ตระกูลเสิ่น บุตรสาวผู้ต่ำต้อยของข้าเลอะเลือนเพราะไปฟังคำยุยงของผู้อื่น จนมาล่วงเกินท่านหลายครั้งหลายครา เรื่องนี้ล้วนเป็นนางไม่ดี สักพักข้าจักต้องลงโทษนางหนักๆ ให้ท่านพอใจ! แต่ยามนี้นางยังมิทันได้รับใบหย่า อย่างไรก็ยังเป็นน้องสะใภ้ของท่านอยู่! ว่ากันตามตรงแล้วนางไม่เคารพต่อท่านและผู้ใหญ่ล้วนเพราะถูกคนยุยง จึงตั้งแง่มาแต่ต้น นึกว่าพวกท่านทั้งหลายมีเจตนาร้ายต่อนาง ยามนี้นางมีความผิด ทว่าผู้ที่ยุยุงปลุกปั่นนางผู้นี้ ก็ขอให้ท่านทวงถามความยุติธรรมให้บุตรสาวผู้ต่ำต้อยของข้าด้วย!”

                นางตวนมู่โกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัว เอ่ยเสียงแหลมว่า “นี่มันช่าง… ช่างเหลวไหลสิ้นดี! ลูกผู้น้องของข้าผู้นั้นเป็นถึงสะใภ้ของเสนาบดีฝ่ายพิธีการ เป็นคนสำรวมและระมัดระวังตัวมาแต่ไร จะเอ่ยคำพูดเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? เรื่องนี้ต้องขอให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งมาอธิบายให้ชัดแจ้งที่จวนเสียแล้ว! ชื่อเสียงของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วของข้า มีหรือจะยอมให้บุตรสาวต่ำทรามแห่งตระกูลเผยของเจ้ามาให้ร้ายได้ตามใจ!” แล้วตะคอกใส่นางหมิ่นไปว่า “ฮูหยินหมิ่นท่านก็ใจร้อนเกินไปแล้ว แค่คำกล่าวอ้างของบุตรสาวท่านเพียงฝ่ายเดียวในเวลานี้ ท่านก็เชื่อเสียแล้ว ไยจึงกลายเป็นว่าคำพูดของบุตรสาวท่านน่าเชื่อถือ แต่คำพูดของผู้อื่นท่านกลับฟังไม่ได้ยินเสียแล้ว?”

                นางหมิ่นขบคิดในใจอย่างรวดเร็วว่า อย่างไรเสียบุตรสาวของตนก็กำเริบเสิบสานเพียงนี้แล้ว ทั้งยังล่วงเกินคนไปแล้ว ชื่อเสียงของตวนมู่อู๋เซ่อก็ยังถูกยกออกมาอ้างด้วยแล้ว หากยามนี้จะมาพูดจาดีๆ เจียมเนื้อเจียมตัวกับนางตวนมู่ก็ไร้ประโยชน์แล้ว กลับจะยิ่งทำให้ท่าทีของตระกูลตนดูอ่อนลง และยิ่งจะถูกข่มเหงรังแก! ไม่สู้ยืนยันให้ถึงที่สุด ไม่แน่ว่าทางฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งนั้น อาจมีเรื่องน่ายินดีมาให้ตนก็เป็นได้?

                ด้วยเหตุนี้ จากท่าทีระมัดระวังตัวไปเสียทุกเรื่องนับแต่เข้าประตูมาในวันนี้ นางจึงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แล้วเอ่ยไปอย่างเย็นชาว่า “คำพูดของฮูหยินน้อยรองนี้ช่างน่าขันนัก! แต่แรกก็มิใช่ว่าบ้านเผยของเราหน้าด้านหน้าทนยัดเยียดบุตรสาวมาเป็นสะใภ้บ้านเสิ่น บุตรสาวของข้าเป็นเช่นใดยามอยู่ในบ้านตนเอง ฮูหยินท่านราชครูย่อมรู้ดีเป็นที่สุด! ในเมืองหลวงนี้ มีผู้ใดไม่รู้ว่าคุณชายสี่แห่งจวนเสิ่นเป็นผู้ที่ฮูหยินท่านราชครูเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ และมองเขาเป็นเช่นบุตรชายแท้ๆ? ด้วยความดีงามของฮูหยินท่านราชครู เมื่อนางเลือกภรรยาเอกให้แก่คุณชายสี่แล้วจักไม่เลือกสรรอย่างพิถีพิถันและกลั่นกรองหนแล้วหนเล่าได้หรือ? หรือว่าฮูหยินน้อยรองท่านก็ถูกปลุกปั่นจนเลอะเลือนเช่นเดียวกับบุตรสาวของข้าเสียแล้ว จนนึกว่าที่ฮูหยินท่านราชครูดีต่อคุณชายสี่นั้นเป็นเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ จึงอดรนทนไม่ไหวที่จะหาภรรยาไม่ดีมาถ่วงคุณชายสี่?!”

                ในขณะที่นางตวนมู่กำลังร้อนรนก็ถูกนางหมิ่นจับทางได้ ทั้งยังยกเอาเรื่องที่ฮูหยินซูเป็นคนไปหมั้นหมายกับบ้านเผยให้หลานชาย นางจึงอดใบ้กินไม่ได้ นางหลิวเอ่ยทั้งใบหน้าเคร่งเครียดว่า “เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตไปแล้ว ต้องขอให้ฮูหยินหมิ่นและ ฮูหยินทุกท่านรอที่นี่สักประเดี๋ยว พวกเข้าต้องเข้าไปขอความเห็นจากท่านแม่ข้างในก่อน!”

                คำพูดว่าไปดังนี้ แต่เรื่องที่เผยเหม่ยเหนียงเอ่ยไปถึงนางฮั่ว ฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งและตวนมู่อู๋เซ่อผู้เป็นฮูหยินรอง ทั้งยังพูดต่อหน้าคนตระกูลเผยทั้งบ้าน …ไม่ว่าฮูหยินซูจะเชื่อหรือไม่ หรือจะยอมเชื่อหรือไม่ ก็ไม่อาจไม่สั่งให้คนไปจวนซ่งเพื่อเชิญฮูหยินตระกูลซ่งทั้งสองคนมาให้ความกระจ่าง

                เมื่อนางหลิวกลับมาก็บอกกล่าวถึงความคิดเห็นของฮูหยินซู นางหมิ่นพลันต่อว่าบุตรสาวขึ้นมาในทันใด “ตวนมู่อู๋เซ่อเป็นสะใภ้ตระกูลซ่ง แต่เจ้าแต่งเข้าตระกูลเสิ่น นางไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอันใดกับเจ้า แล้วเจ้าไปฟังความนางทำสิ่งใด? ยามนี้ถูกคนปลุกปั่นจนไปล่วงเกินผู้ใหญ่ทั้งล่วงเกินบรรดาพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าว่ามาซิ ว่าเรื่องที่เจ้าทำนั้นโง่เง่าปานใด! ในเมื่อเจ้าเกิดความเคลือบแคลงในใจ แล้วเหตุใดจึงไม่มาขอคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ในบ้านสามีและพวกพี่สะใภ้ดีๆ? เมื่อครู่นี้เจ้าว่าความดีงามของฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งเป็นที่เลื่องลืออยู่ทั่วไป แล้วไม่เคยได้ยินหรือว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าผู้นี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องความดีงามเช่นกัน? นะ…นี่เจ้าจะทำให้ข้าโมโหตายแล้ว!”

                นางตวนมู่แอบขบฟัน กับคนภายนอก นางและนางหลิวล้วนมีชื่อเสียงเรื่องความดีงาม ยามนี้นางหมิ่นเพียงเอ่ยถึงนางหลิวแต่กลับไม่เอ่ยถึงนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่า ตวนมู่อู๋เซ่อและเผยเหม่ยเหนียง ‘ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกากัน’ ตวนมู่อู๋เซ่อและ เผยเหม่ยเหนียงไม่ได้เป็นญาติอันใดกันจริงดังว่า แต่นางตวนมู่มิใช่เป็นคู่สะใภ้กับ เผยเหม่ยเหนียงหรอกหรือ? คำพูดของนางหมิ่นนี้เป็นการบอกกลายๆ ว่าตวนมู่อู๋เซ่อถูกนางตวนมู่บงการให้ไปทำร้ายเผยเหม่ยเหนียง …ความพยายามเช่นนี้เลวร้ายเพียงใด?

                แค่คิดก็รู้ว่า ขอเพียงวันพรุ่งฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งแสดงสีหน้าออกมาเพียงน้อยนิดว่าตวนมู่อู๋เซ่อเคยเอ่ยคำดังนี้จริง ไม่เพียงลูกผู้น้องผู้นี้ของตนจะไม่อาจอยู่ในบ้านสามีได้อีกต่อไป แม้แต่นางตวนมู่เองก็ยังต้องไปเกี่ยงข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

                ทว่ายามนี้นางตวนมู่กลับไม่อาจช่วยลูกผู้น้องพูดสิ่งใดได้เช่นกัน …เพราะอย่างไรเสีย ตวนมู่อู๋เซ่อเป็นคนเช่นใด นางตวนมู่ก็มิใช่ว่าไม่รู้อยู่แก่ใจ คำพูดเช่นนี้ เรื่องเช่นนี้ ว่ากันตามจริงแล้วมิใช่ว่านางจะทำออกมาไม่ได้!

                เวลานี้ แม้นางตวนมู่จะรีบผลักไสเรื่องนี้ออกให้พ้นตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว แล้วจักมีเวลาใดไปสนใจลูกผู้น้องผู้นี้อีก? ทั้งยังรู้สึกชิงชังตวนมู่อู๋เซ่อว่าเหตุใดจึงไร้สมองปานนี้ ต่อให้อยากจะพูดเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่แม้จะหลบเลี่ยงฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งไปเสีย! นางคิดจริงๆ หรือว่าเมื่อตนเป็นบุตรสาวตระกูลตวนมู่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องใดๆ?              ในขณะที่นางตวนมู่ทึ้งผ้าเช็ดหน้าเค้นสมองอยู่นั้น จนถึงเวลานี้ ที่สุดเผยเหม่ยเหนียงก็ร้องไห้ออกมา สะอึกสะอื้นบอกว่า “ตวนมู่อู๋เซ่อบอกว่าบ้านเผยของเราเป็นตระกูลเล็กๆ หากมิใช่ว่าท่านป้าใหญ่ต้องการอาศัยโอกาสที่ท่านพี่จะแต่งภรรยาเพื่อข่มจวนเซียงหนิงปั๋วเอาไว้ ข้าจะมีคุณสมบัติแต่งเข้ามาได้ที่ใด? ข้าคิดว่าเดิมที่ลำดับของตระกูลเผยของเราก็ไม่ทัดเทียมกับตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ยังเป็นน้องสาวของพี่สะใภ้ฝั่งลุงของท่านพี่ด้วย ดังนั้น…”

                “เจ้าไม่ต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า รอวันพรุ่งเมื่อไปเชิญฮูหยินตระกูลซ่งทั้งสองคนมาพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างแล้ว ข้าก็จะเพียงส่งตัวเจ้าให้แก่บ้านฝั่งสามี ไม่ว่าบ้านสามีเจ้าจะฆ่าจะแกงตามใจ ก็สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว! ผู้ใดใช้ให้เจ้าเลอะเลือนเช่นนี้?!” นางหมิ่นหลั่งน้ำตาพลางด่าทอบุตรสาวเสียงดังลั่น …และกลับทำเอาทั้งนางหลิว นางตวนมู่ และเว่ยฉางอิ๋งสามสะใภ้ที่ยังคิดอยากจะพูดต่อ แต่คำพูดที่จะพูดได้ล้วนถูกสกัดกั้นเอาไว้หมดแล้ว นางหมิ่นผลักแขนเผยเหม่ยเหนียง กล่าวว่า “เจ้าจงเข้าไปโขกหัวขอขมาท่านป้าใหญ่ของเจ้าให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้! ไม่รู้จักคิดเสียบ้างว่าท่านป้าใหญ่ของเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูสามีของเจ้ามาจนเติบใหญ่ ทั้งยังเห็นเขาเป็นดังบุตรชายแท้ๆ ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นแม่สามีแท้ๆ ของเจ้าด้วย! เจ้ากลับกล้าทำให้นางโมโห! หากวันนี้เจ้าทำให้ท่านป้าใหญ่ของเจ้าให้อภัยให้ไม่ได้ ก็คุกเข่ามันจนตายไปตรงนี้ล่ะ ข้าก็จะไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกแล้ว!”

                …ภายในห้อง ฮูหยินซูได้ฟังหม่านโหลวมารายงานเรื่องราวแต่ต้นจนจบอย่างระมัดระวัง สีหน้าค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา พักใหญ่จากนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าออกไปบอกกับ ฮูหยินหมิ่นว่า ในเมื่อเหม่ยเหนียงเจ้าเด็กคนนี้ถูกคนปลุกปั่น ทุกเรื่องก็รอให้ความจริงกระจ่างเสียก่อน แล้วข้าค่อยรับการคารวะจากนางก็ยังไม่สาย วันนี้ข้าไม่สบาย ไม่อาจออกไปพบพวกนาง ในเมื่อกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันพรุ่งจะเชิญฮูหยินตระกูลซ่งทั้งสองคนมา เช่นนั้นก็เอาไว้วันพรุ่งค่อยว่ากันเถิด”

                แล้วสั่งความไปอีกว่า “หากนางเผยจะต้องคุกเข่าเสียให้ได้ ก็ให้บ่าวชราที่แข็งแรงสองคนส่งนางกลับจวนเซียงหนิงปั๋วไปเสีย อย่างไรก็อย่าให้นางอยู่ในจวนเรา”

                หม่านโหลวรับคำว่า “เจ้าค่ะ!”

                รอจนนางออกไปแล้ว เว่ยเจิ้งอินที่นั่งอยู่บนตั่งข้างโต๊ะแกะสลักจึงขมวดคิ้วพลางว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพวกบ้านเผยนี่มีเจตนา?”

                “อย่าว่าแต่บุตรสาวตระกูลใหญ่เลย ผู้คนเช่นบ้านเรา จะมีเด็กสาวไร้หัวคิดที่กล้ากำเริบเสิบสานเพียงนี้อยู่สักกี่คนกัน?” ฮูหยินซูเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เพียงแต่เห็นว่านางอารมณ์ไม่ใคร่ดีนักเมื่อวันยกน้ำชา ข้าก็คิดว่านางยังเด็กจึงมีความคิดตื้นเขิน นับแต่แต่งเข้ามาก็ถูกจั้งฮุยเอาอกเอาใจ จึงอาจเป็นไปได้ว่ายิ่งทำให้นางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง …เดิมทียังคิดว่าวันหน้าหลานสะใภ้ผู้นี้จะคอยสนับสนุนจั้งฮุยได้อย่างไร? ที่แท้กลับเป็นเพราะข้ามองผิดไป นี่กลับเป็นเรื่องที่มีการไตร่ตรองเอาไว้ล่วงหน้า เพียงแต่น่าเสียดายที่แผนการนี้กลับนำมาใช้กับคนในบ้าน!”

                พูดไปพลางปรากฏความชิงชังขึ้นบนใบหน้า เดิมทีหลังจากเผยเหม่ยเหนียงแต่งเข้าบ้านมา ตามหลักแล้วนางก็จะต้องเจียมเนื้อเจียมตัวเสียอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่เพราะนางเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ อันดับตระกูลของบ้านฝั่งมารดาไม่สู้บ้านสามีเท่านั้น แต่เพราะเสิ่นจั้งฮุยเป็นผู้ที่ฮูหยินซูท่านป้าใหญ่ผู้นี้เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่

                ดังนี้แล้ว สองสามีภรรยาควรต้องนอบน้อมต่อจวนราชครู ยิ่งไปกว่านั้นพี่สะใภ้ฝั่งลุงทั้งสามคน นับแต่นางหลิวจนถึงเว่ยฉางอิ๋งต่างก็เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของตระกูลสูงศักดิ์ทั้งสิ้น แรกเริ่มนางก็ทำเอาทุกคนในบ้านสามีพากันรังเกียจนาง จากนั้นก็มาบอกว่าตวนมู่อู๋เซ่อลูกผู้น้องของตวนมู่เยี่ยนอวี่พี่สะใภ้รองฝั่งลุงมายุยงนางตั้งแต่นางยังไม่ออกเรือน …แม้จะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่อาจทำให้เผยเหม่ยเหนียงหลุดพ้นจากความผิดทั้งหมดไปได้ แต่ก็กลับมีเหตุผลว่าพฤติกรรมอกตัญญูไม่ดีงามที่นางมีนั้นเพราะถูกคนยุยงปลุกปั่นมา ทำให้นางพอมีช่องทางให้ยอกย้อนได้

                อย่างไรเสีย เผยเหม่ยเหนียงก็เป็นสะใภ้ใหม่ แต่งเข้าบ้านมายังไม่ครบเดือนเลย ทั้งสามีก็หลงนาง แล้วจะไม่ช่วยนางพูดและไปขอร้องผู้ใหญ่และคนในรุ่นเดียวกันให้เห็นแก่ที่นางอายุยังน้อยไม่รู้ความ และให้อภัยนางในครานี้หรือ? นางเองก็ไม่ใช่บุตรสะใภ้หากแต่เป็นหลานสะใภ้ ยิ่งไปกว่านั้นนางหมิ่นก็พูดไปแล้วว่าฮูหยินซูที่เป็นคนไปหมั้นหมายบุตรสาวของนางเอง มิใช่บ้านเผยพยายามยัดเยียดให้ลูกสาวใฝ่สูงไปแต่งกับตระกูลเสิ่น!

                พอฮูหยินซูไปหมั้นหมายเผยเหม่ยเหนียง ตวนมู่อู๋เซ่อซึ่งเป็นลูกผู้น้องของนางตวนมู่สะใภ้รองของตนก็ไปยุยงนาง …เผยเหม่ยเหนียงก็ถือว่าเป็นผู้ถูกกระทำเช่นกัน!

                เพียงแต่หลังจากเผยเหม่ยเหนียงบอกว่าตวนมู่อู๋เซ่อยุยงนาง …แล้วเรื่องราวก็เป็นเหมือนในวันนี้ นางหมิ่น ‘ด่าจนเผยเหม่ยเหนียงได้สติ’ จากนั้นเผยเหม่ยเหนียงก็ ‘ได้สติขึ้นมา’ แล้วกลับมาคุกเข่าที่หน้าเรือนฮูหยินซู ร้องห่มร้องไห้ขอร้องให้ฮูหยินซูยกโทษให้ …ต่อให้เสิ้นโจ้วไม่พอใจนาง และยืนยันจะให้เสิ่นจั้งฮุยเลิกกับนาง แต่หากเสิ่นจั้งฮุยยืนกรานแน่วแน่ แล้วฮูหยินซูจะถือสาเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งต่อไปอีกได้อย่างไรกัน?

                แน่นอนว่าต่อให้ฮูหยินซูยอมอดทนให้นางได้ แต่ในใจก็จะไม่ชอบนางอีกแล้ว

ทว่าเรื่องราวก็กลับมาอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเผยเหม่ยเหนียงและฮูหยินซู เพราะนางเป็นหลานสะใภ้ไม่ใช่ลูกสะใภ้ เดิมทีฮูหยินซูก็ไม่เหมาะจะไปจัดการนางตรงๆ อยู่แล้ว

                เมื่อเกิดเรื่องราวใหญ่โตปานนี้ นางตวนมู่ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ฝั่งลุงก็ต้องเสียหน้าเป็นที่สุด วันหน้าหากนางไม่คอยเดินเลี่ยงเผยเหม่ยเหนียงก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเผยเหม่ยเหนียงก็ยังพูดเรื่องที่นางสงสัยว่าฮูหยินซูมีเจตนาเช่นใดจึงเลือกตนมาเป็นภรรยาของเสิ่นจั้งฮุยออกมาจนหมดเปลือกแล้ว …เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ใช่คนเช่นนั้น วันหน้าฮูหยินซูก็ไม่อาจไม่ควบคุมทั้งตนเองและพวกลูกสะใภ้ว่าอย่าไปยุ่งย่ามกับเผยเหม่ยเหนียงอีก!

                ปัญหาก็คือฮูหยินซูคอยคำนึงถึงความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างสามีและน้องชายสามีเสมอมา นางจึงรับประกันว่าหลังจากเผยเหม่ยเหนียงแต่งเข้ามาแล้ว ฮูหยินซูก็จะไม่อ้างเรื่องที่ตนเองเลี้ยงดูเสิ่นจั้งฮุยแล้วไปสอบถามเรื่องต่างๆ ภายในจวนเซียงหนิงปั๋วอีกต่อไป… บุตรธิดาของนางเองก็มีมากมาย ทั้งยังมีหลานย่าแล้ว วุ่นวายเรื่องบุตรธิดาของตนก็ยังไม่ทันแล้ว จึงหาได้ยินยอมพร้อมใจ และกลับคร้านจะต้องไปเป็นกังวลเสียด้วยซ้ำ!

                แต่เผยเหม่ยเหนียงก็กลับไม่รู้สิ่งใดบ้างเลย หรือไม่ก็ไม่ยอมเชื่อว่าฮูหยินซูไม่ได้ถือว่าตนมีความสำคัญเพราะเคยมีบุญคุณที่เลี้ยงดูเสิ่นจั้งฮุยมา หากแต่ต้องการมากดขี่ตนเองสองสามีภรรยา เผยเหม่ยเหนียงจึงได้ลงมือเช่นนี้ ทั้งยังยอมเสี่ยง เพื่อให้คนทั้งจวนราชครูจะไม่กล้ามาเอ่ยปากเรื่องของจวนเซียงหนิงปั๋วอีกแม้สักคำในภายภาคหน้า …และทำให้นางซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่ของจวนหนิงปั๋วได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!

                เมื่อคิดถึงท่าทีเอาแต่ใจไม่รู้จักธรรมเนียมประเพณีเมื่อครั้งเผยเหม่ยเหนียงเพิ่งแต่งเข้าบ้าน จนถึงยามนี้ที่คาดว่านางน่าจะวางแผนมาล่วงหน้าทีละขั้นๆ แล้วนับตั้งแต่นางแต่งเข้าบ้านมา วางกลอุบายแยบยล ด้วยการอาศัยชื่อเสียงอันดีงามของตนเองก่อเรื่องครานี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมจวนเซียงหนิงปั๋ว …สำหรับฮูหยินซูที่มีเจตนาดีกับหลานสะใภ้มาโดยตลอดและไม่เคยเตรียมป้องกันมาก่อนแล้ว เรื่องนี้ทำให้จิตใจของนางเป็นทุกข์และโกรธเคืองจนพูดไม่ออก!

                เว่ยเจิ้งอินถอนหายใจบอกว่า “หากเป็นเช่นนี้ ที่นางพูดเรื่องของตวนมู่อู๋เซ่อก็เกรงว่าจะเป็นความจริงแล้ว”

                “สะใภ้รองของท่านเสนาบดีฝ่ายพิธีการผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องขี้อิจฉาและโง่เง่า” ฮูหยินซูยิ้มหยันพลางว่า “แต่ก็เพราะนางได้สามีดี แม้มิได้เอาอกเอาใจเช่นที่เฟิงเอ๋อร์ของข้าปฏิบัติต่อหลานสาวของท่าน แต่ก็เป็นคนที่ซื่อตรงและโอบอ้อมอารี …จึงสามารถทนรับเรื่องที่นางไร้บุตรชาย ทั้งยังขี้อิจฉา ทั้งใจคอคับแคบมาได้ตลอดหลายปีนี้! เกรงว่าตัวตวนมู่อู๋เซ่อเองคงไม่รู้ นางทึกทักเอาเองว่าตนต่างหากจึงจะคู่ควรกับซ่งไจ้เจียง จึงดูแคลนพี่สะใภ้ใหญ่ซึ่งเกิดในตระกูลฮั่วแห่งอวิ๋นเสีย คิดว่านางฮั่วไม่คู่ควรมาเป็นนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลซ่ง ควรมอบอำนาจการดูแลบ้านเรือนให้กับนาง …ความจริงแล้วดูคล้ายว่านางฮั่วต้องกล้ำกลืนฝืนทน ทว่าหลายปีมานี้นางกลับกระพือชื่อเสียงเรื่องความอิจฉาริษยาของตวนมู่อู๋เซ่อไปจนคนทั่วเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นกลับทำให้ตัวนางฮั่วเองมีชื่อเสียงว่าเพียบพร้อมดีงาม!”

                เว่ยเจิ้งอินเอ่ยยิ้มๆ “ตระกูลตวนมู่ก็ไม่รู้ว่าอบรบ ตวนมู่อู๋เซ่อออกมาอย่างไร? ตวนมู่อู๋ยิวลูกผู้น้องฝั่งบิดาของนาง ข้าฟังอวี๋อู่ว่าเขาก็เป็นคนใจร้อนไปสักหน่อย ทว่าคนก็หาได้เลอะเลือน หากจะบอกว่าถูกที่บ้านเอาใจจนเสียคน ข้าก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีบ้านใดที่เอาใจลูกๆ มากกว่าที่ท่านแม่และพี่สะใภ้ข้าเอาใจฉางอิ๋งเลย ทว่าท่านเองก็เห็นแล้ว ว่ากันเรื่องกริยามารยาทที่พึงมี ฉางอิ๋งมีเรื่องใดที่ขาดตกบกพร่องบ้าง?”เว่ยเจิ้งอินอาศัยโอกาสนี้ช่วยพูดเรื่องดีๆ ให้แก่หลานสาวของตน แล้วว่า “สองวันก่อนข้าเพิ่งได้ยินมาจากทางจวนซ่งว่า แม้แต่ซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียวของตระกูลซ่งก็ยังทนรับพฤติกรรมของตวนมู่อู๋เซ่อไม่ไหว เพราะนางไประรานน้องสามีผู้นี้ พอซ่งไจ้เจียงรู้เรื่องเข้า ก็ไม่อาจทนรับนางได้อีกต่อไปและสอนสั่งนางไปอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ภายหลังผู้ใหญ่ตระกูลตวนมู่มาช่วยพูดไกล่เกลี่ยเรื่องนี้จึงได้สงบลง ดูท่าว่าหากครานี้บ้านท่านไม่หย่าขาดกับนางเผย เช่นนั้นก็ต้องเป็นบ้านซ่งหย่าขาดกับตวนมู่อู๋เซ่อแล้ว”

                ฮูหยินซูถอนหายใจยาวๆ หนหนึ่ง แล้วเอนตัวไปพิงหมอนอิง กล่าวว่า “ยามนี้เรื่องเหล่านี้ยังล้วนเป็นเรื่องเล็ก พวกเรามาพูดเรื่องเมื่อครู่นี้ต่อเถิด…”

______________________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด