ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 66 หลังงานเลี้ยง (2)

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 66 หลังงานเลี้ยง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                ในเวลาไล่เลี่ยกัน สนมเอกเติ้งก็ถ่วงเวลาอยู่ในห้องทรงพระอักษรเอาไว้ได้จนถึงตอนที่สนมเมี่ยวซึ่งหลังจากออกจากงานเลี้ยงมาก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวพรมน้ำหอมจนสดชื่นไปทั้งตัวและเร่งมาถึง เมื่อช่วยหาข้ออ้างให้สนมเมี่ยวและให้นางอยู่คอยปรนนิบัติยามฮองเต้ทรงหนังสือในห้องทรงพระอักษรแล้ว ก็นับว่าตนทำงานลุล่วงและสามารถออกไปได้ จึงลากสังขารที่เหนื่อยอ่อนกลับไปยังตำหนักหมิงกวง

                ดีที่สั่งคนจัดเตรียมศาลาริมน้ำเอาไว้นานแล้ว ทั้งยังวางหีบน้ำแข็งเอาไว้ครึ่งค่อนวันแล้ว ยามนี้จึงกำลังเย็นสบายนัก นางเอนตัวลงนอนบนตั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ มองไปยังผ้าแพรที่ห้อยย้อยลงมาทั้งสี่ทิศ ลมเย็นจากทางทิศใต้โชยมาเรื่อยๆ เป็นความสุขสบายใจที่อธิบายออกมาไม่ได้ ทำให้สนมเอกเติ้งรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างมาก จากนั้นก็มีนางกำนัลตัวน้อยนำผลไม้ที่ล้างเรียบร้อยแล้วออกมาจากอ่างน้ำ นำมาตัดแต่งเป็นรูปกลีบบัววางอยู่บนจานน้ำแข็งแล้วยกเข้ามา งดงามยิ่งนัก

                พระสนมเติ้งจิบน้ำเฉินเซียงที่แช่ในน้ำแข็งมาก่อนอึกหนึ่ง เพียงรวดเดียวก็กินผลไม้สามชิ้นห้าชิ้นลงไป และหรี่ตาลงอย่างสบายอุรา นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอก พลางเช็ดนิ้วมือพลางเอ่ยถามนางกำนัลที่คอยดูแลรับใช้อยู่ในศาลาริมน้ำเพียงคนเดียว “เจ้าเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้…?”

                นางกำนัลเอ่ยตอบไปอย่างระมัดระวัง “เป็นหญิงงามผู้หนึ่งเพคะ”

                “หญิงงามไม่น่าแปลก เพียงมองก็รู้แล้ว ว่านางเป็นหญิงประเภทที่งามล้ำเลิศจับตา สิ่งที่หาได้ยากยิ่งก็คือความโดดเด่นไม่ธรรมดา ทว่าเรื่องนี้กลับไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ…” สนมเอกเติ้งเอ่ยออกไปอย่างราบเรียบ “ข้าหมายถึงนิสัยใจคอของนาง วันนี้หลิวตี๋คอยรับใช้นางอยู่ตลอด นางว่าเช่นไร?”

                นางกำนัลใคร่ครวญอยู่สักพัก จึงกล่าวว่า “ระหว่างนั้นมีคุณหนูใหญ่ตระกูลซูและคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นมาหานางเพคะ เห็นได้ว่าแม้จะมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน ทว่าวาสนาเรื่องคนกลับไม่เลวเลย ภายหลังนางยังไปที่หอเชียนชิว หลิวตี๋ไม่สะดวกตามไป ยามกลับมาแล้วพบว่าเว่ยฉางอิ๋ง…คอยสังเกตคุณหนูสิบห้าเป็นพิเศษเพคะ”

                สิบห้าเป็นลำดับของเติ้งวานวาน

                หลังจากสนมเอกเติ้งได้ยินดังนั้นจึงนิ่งคิดสักพัก แล้วกลับบอกว่า “ซูอวี๋ลี่เป็นบุตรสาวของอาหญิงแท้ๆ ของเว่ยฉางอิ๋ง หากจะมาคอยดูแลนางก็หาได้เป็นเรื่องแปลกใดไม่ ส่วนเสิ่นจั้งหนิง เด็กสาวผู้นี้มองดูเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่ความจริงก็รู้จักขอบเขตและคอยดูแลปกป้องคนในครอบครัวมาแต่ไร หาไม่แล้วเสิ่นเซวียนก็จะไม่รักใคร่นางถึงเพียงนั้น เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่อาจนำมาอธิบายวาสนาเรื่องคนของเว่ยฉางอิ๋งได้ หากจะเอ่ยถึงวาสนาเรื่องคนต้องดูความสัมพันธ์ของนางกับพี่สะใภ้น้องสะใภ้ เจ้าดูสิพี่สะใภ้ทั้งสองของนางล้วนมิได้เข้ามาดูแลนางเลย กระทั่งมิได้ส่งบ่าวมาสอบถามสักคำ เช่นนี้ก็รู้แล้วว่านางเพิ่งแต่งเข้าบ้านจริงๆ จึงยังไม่ทันหยั่งรากลงลึกได้”

                แล้วว่า “นางคอยสังเกตวานวานรึ คงเพราะได้ยินซ่งไจ้สุ่ยพูดมา”

                นางกำนัลกล่าวว่า “พระสนมเอกกล่าวถูกต้องเพคะ”

                “เมื่อมองดูดังนี้แล้ว นิสัยใจคอก็คงจะไม่เลวร้ายเกินไป หากไม่แล้วซูอวี๋ลี่และเสิ่นจั้งหนิงก็ล้วนเป็นมุกในมือซึ่งเป็นที่รักใคร่ยิ่งในบ้าน ต่อให้มีผู้ใหญ่สั่งความมาแต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำดีกับนาง” สนมเอกเติ้งไตร่ตรองแล้วกล่าวว่า “แต่นางก็คงไม่น่ารักน่าใคร่ไปเสียทุกเรื่องหรอก หาไม่แล้ว หากไม่มีเหตุผลใดพี่สะใภ้แสนคล่องแคล่วของนางทั้งสองคนจะไม่สนใจนางได้อย่างไร… แล้วยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ซูซิ่วม่านก็อยู่ด้วย พวกนางย่อมต้องแสดงท่าทีว่าดีงามเพียบพร้อมเป็นอย่างยิ่งเพื่อแสดงให้ซูซิ่วม่านเห็น ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ของเว่ยฉางอิ๋งกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนคงไม่ดีเป็นแน่แท้ นี่เพิ่งจะแต่งเข้าบ้านก็ไม่ถูกกับพี่สะใภ้เสียแล้ว แล้วจะเอาตัวรอดไปได้สักกี่น้ำ? ชื่อเสียงในเมืองหลวงของสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองของซูซิ่วม่านหาได้ย่ำแย่ไม่ ข้าคิดว่า คงเพราะเว่ยฉางอิ๋งเคยถูกเอาอกเอาใจและตามใจจนเหลิงกระมัง? ต่อให้ข้างกายมีผู้ใหญ่ที่สุขุมรอบคอยให้คำชี้แนะ ก็ไม่แน่ว่านางจะรับฟัง จึงมิได้สนิทสนมกับบรรดาพี่สะใภ้สักเท่าใด”

                สนมเอกเติ้งคลึงๆ ที่ขมับ แล้วพลันลังเลขึ้นมา “เหยาเถา เจ้าว่า…คนที่อยู่ในใจฉีเอ๋อร์ผู้นั้นจะคือเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้จริงหรือไม่? อย่าได้กลายเป็นว่าพวกเราเดาผิดเสียเล่า เช่นนั้นแล้ว เรื่องจะไปเลือกคนที่เหมือนเว่ยฉางอิ๋งมาให้เขา ก็ไม่จำเป็นแล้ว!”

                นางกำนัลเหยาเถาสะดุ้ง ลังเลอยู่พักใหญ่จึงบอกว่า “แต่ไรมาคุณชายไม่เคยมีใจแก่คุณหนูบ้านใดมาก่อนเลย ทว่าหลังจากกลับมาจากชิงโจวก็เขียนกลอนไว้บทหนึ่ง พรรณนาถึงหญิงงามในชุดแดงซึ่งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ ริมธารใสสะอาดในยามรุ่งอรุณ ในเนื้อหาของบทกลอนเต็มไปด้วยความต้องใจหวั่นไหว ฟังจากคนที่ไปชิงโจวกับคุณชายบอก ป่าไผ่ที่คุณชายเดินทางผ่านมาตลอดนางนั้นแม้จะมีไม่น้อย ทว่าก็หาได้พานพบกับหญิงงามในชุดแดงแต่อย่างใดไม่ กลับเป็นเมื่อครั้งที่ไปเขาไผ่น้อยซึ่งอยู่นอกเมืองเฟิ่งโจว ด้วยเกิดเรื่องผิดใจกับเว่ยฉางเฟิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น คุณชายและกู้จื่อหมิงขึ้นเขาไปกล่าวอำลา และเพราะเว่ยฉางเฟิงบอกว่าบนเขามีสตรีสูงศักดิ์อยู่ จึงไม่กล้าพาคนไปด้วยและไปกันเพียงสองคน… หม่อมฉันคิดว่าหากเรื่องราวในบทกลอนที่คุณชายเขียนนั้นมีอยู่จริง ก็คงจะเป็นเรื่องราวที่นั่นแล้วเพคะ”

                สนมเอกเติ้งถอนหายใจคราวหนึ่ง “ปีก่อนซ่งไจ้สุ่ยก็มาที่เมืองหลวงแล้ว แม้จะร่วมทางมากับฉีเอ๋อร์ แต่กลับไม่เห็นว่าฉีเอ๋อร์จะสนใจนางแต่อย่างใด เดิมทีที่วานวานไปมาหาสู่กับซ่งไจ้สุ่ย ข้าก็ยังหลงนึกว่า… ซ่งไจ้สุ่ยผู้นี้แม้จะเสียโฉม ทว่าก็เป็นอิสระแล้ว หากฉีเอ๋อร์ชอบพอนาง ข้าก็ยังสามารถช่วยเขาคิดหาหนทางได้ แต่ไม่คิดว่าวานวานจะบอกว่าที่นางไปมาหาสู่กับซ่งไจ้สุ่ยหาได้เป็นเพราะถูกฉีเอ๋อร์บงการไม่ ฉีเอ๋อร์เองกลับยังเป็นห่วงว่าตวนมู่อู๋เซ่อสะใภ้รองตระกูลซ่งจะมาริษยาวานวานเสียอีก วานวานก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว อย่าได้กลายเป็นว่าเพราะไปเข้าออกบ้านตระกูลซ่งแล้วทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้น จึงเตือนนางว่าอย่างไปจวนตระกูลซ่งบ่อยนัก… ได้ยินว่าสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่บนเขาไผ่น้อยครานั้นมีเพียงสองคน ในเมื่อไม่ใช่ซ่งไจ้สุ่ย คิดไปก็ต้องเป็นเว่ยฉางอิ๋งแล้ว”

                สนมเอกรู้สึกเสียดายยิ่ง “ฉีเอ๋อร์เจ้าเด็กคนนี้ถูกพ่อของเขาพลอยทำให้ต้องรับเคราะห์ไปด้วย แต่เล็กมาต้องทนลำบากไม่น้อย! ตลอดมาข้าย้ำเสมอว่าจะหาภรรยาที่เขาต้องใจเพื่อเขาจะได้มีชีวิตที่ดีงาม แล้วเหตุใดเขาจักต้องไปหมายตาคนที่หมั้นหมายกับผู้อื่นมาตั้งแต่เล็กด้วย?” แล้วสั่งความกับเหยาเถาไปอีกว่า “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร จงหาคนที่คล้ายคลึงกับเว่ยฉางอิ๋ง ไปไถ่ถามหาสตรีตระกูลใหญ่ที่ยังไม่ได้หมั้นหมายและมีนิสัยใจคอใกล้เคียงกับนาง แล้วข้าค่อยไปถามความเห็นจากฉีเอ๋อร์อีกครั้ง”

                เหยาเถาคำนับพลางว่า “เพคะ!”

                สนมเอกเติ้งกำชับนางไปอีกครั้งว่า “เรื่องที่ฉีเอ๋อร์มีใจต่อเว่ยฉางอิ๋งจะต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นเด็ดขาด”

                เหยาเถากล่าวอยางหนักแน่นว่า “หม่อมฉันตระหนักเรื่องควรไม่ควรดีเพคะ” แล้วว่า “พระสนมเอกโปรดวางพระทัย กลอนของคุณชายบทนั้น หลังจากหม่อมฉันให้คนนำออกมาก็เผาทิ้งด้วยมือของหม่อมฉันเองไปแล้ว บ่าวที่รู้เรื่องนี้หม่อมฉันก็ไปกำชับมาหมดแล้ว บ้านของพวกเขาล้วนอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีทางกล้าพูดจาส่งเดชแน่เพคะ”

                “เผาทิ้งแล้วก็ดี” สนมเอกเติ้งโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยสายตาแน่วแน่ว่า “เมื่อไม่มีหลักฐาน หากมีผู้ใดกล้าบอกว่าฉีเอ๋อร์หมายปองภรรยาของสหายร่วมงาน ก็ล้วนเป็นการให้ร้ายทั้งนั้น! แม้ฉีเอ๋อร์ไร้พ่อแม่ปกป้อง แต่ข้าผู้เป็นอากลับยอมให้คนมารังแกหลานชายของตนเองได้ไม่!”

                เหยาเถากล่าวว่า “เพคะ!” แล้วถามว่า “ภรรยาของคุณชายนั้นให้เลือกตามแบบอย่างเว่ยฉางอิ๋ง เช่นนั้น… เรื่องแต่งงานของคุณหนูสิบห้าเล่าเพคะ?”

                เติ้งวานวานก็มิได้มีหน้าตาคล้ายกับองค์ชายหก แม้จะเป็นหลานสาวแท้ๆ แต่ความสนใจที่สนมเอกเติ้งมีต่อนางกลับมิได้มากมายอันใด แต่เมื่อคิดถึงว่าเติ้งจงฉีรักใคร่น้องสาวผู้นี้เป็นพิเศษ เมื่อใคร่ครวญสักพัก จึงยังบอกไปว่า “เจ้าลองดู หากว่ามีบุตรหลานบ้านใดที่เหมาะสมก็จงรายงานขึ้นมาให้ข้าพิจารณาดู พวกเขาพี่น้องต้องพลอยรับเคราะห์เพราะบิดา จึงไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของคนในตระกูล อย่างไรก็เลือกตระกูลที่มีคนน้อยสักหน่อยและให้เป็นคนซื่อตรง เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกรังแกเอา”

                เหยาเถายิ้มแล้วว่า “พระสนมเอกตรัสว่าซื่อตรง หม่อมฉันกลับคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาเพคะ”

                “โอ๋?” สนมเอกเติ้งคิดไม่ถึงว่าเหยาเถายังไม่ทันขยับตัวไปไหนก็ได้เป้าหมายแล้ว จึงถามไปอย่างสงสัยว่า “เป็นผู้ใด?”

                “เป็นองครักษ์ผู้หนึ่งของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวนามว่าเว่ยชิงซึ่งคุณชายเคยเอ่ยถึงเมื่อครั้งกลับมาเพคะ” เหยาเถายิ้มพลางว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าตัวเขาคล้ายไม่เลวเลย”

                สนมเอกเติ้งพลันเอ่ยปากอย่างไม่พอใจว่า “องครักษ์! แม้จะแซ่เว่ย แต่คาดว่าคงจะเป็นพี่น้องในตระกูลสายห่างๆ กระมัง? แม้ตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงของข้าจะมีอันดับไม่ทัดเทียมกับตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว แต่ไม่ว่าอย่างไรวานวานก็เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกในสายหลัก แม้พ่อแม่จะเสียไปทั้งคู่แต่หากแต่งกับบุตรชายจากอนุในสายหลักของตระกูลเว่ยก็ยังพอจะเชิดหน้าชูตาได้ แต่ฐานะในตระกูลของบุตรหลานในตระกูลสายห่างๆ นั้น เพียงคิดก็รู้ว่าต้องมีข้อจำกัดแน่…”

                “พระสนมเอกไม่ทรงทราบ เดิมทีเว่ยชิงผู้นี้กลับมิได้มีสิ่งใด แต่ภายหลังหม่อมฉันสอบถามมาได้ว่า ปีก่อนครั้งเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิงถูกลอบสังหารนั้น เขาก็คือองครักษ์ที่คุ้มครองเว่ยฉางเฟิงจนกลับมาที่เรือนได้สำเร็จผู้นั้นเพคะ” เหยาเถารีบอธิบาย “ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่นับว่าเป็นบุตรหลานในสายที่ห่างไกล ปู่ทวดของเขาและท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่านั้นกลับเป็นพี่น้องกันเชียวนะเพคะ!”

                “เป็นบุตรหลานในตระกูลสายหลักด้วยรึ?” ยามนี้สนมเอกเติ้งจึงมีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เคยช่วยชีวิตเว่ยฉางเฟิง หากวันหน้าเว่ยฉางเฟิงได้ครองอำนาจ ขอเพียงคนผู้นี้ไม่ทำเรื่องเลอะเลือน ฐานะของเขาในรุ่ยอวี่ถังก็จะไม่มีวันถดถอยไปที่ใดแน่ โดยเฉพาะที่เว่ยฉางเฟิงเป็นบุตรชายโทน ไม่มีพี่น้องผู้ชาย ย่อมขาดไม่ได้ที่จะให้เขามาเป็นมือขวาผู้รู้ใจ! แต่เว่ยฉางเฟิงอายุยังน้อย ส่วนเว่ยเจิ้งเหนียนก็กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งก็ล้วนสูงวัยแล้ว… ยังพูดยากนะ!”

                แม้สนมเอกเติ้งคล้ายไม่ใคร่เห็นพ้อง แต่เมื่อใคร่ครวญอยู่เป็นนาน จึงถามอีกว่า “สภาพการณ์ในบ้านของเว่ยชิงผู้นี้เป็นเช่นไร?”

                “บิดามารดาของเขาก็ล้วนเสียไปแล้วเพคะ มีเพียงน้องสาวร่วมท้องสองคน” เหยาเถากล่าวไปตามข้อเท็จจริง

                สนมเอกเติ้งประหลาดใจเป็นยิ่งนัก “เหตุใดเจ้าจึงรู้ดีนัก?” เหยาเถารู้จักเว่ยชิง ก็เพราะเคยไปถามเอาจากบ่าวที่คอยรับใช้ข้างกายเติ้งจงฉีครั้งเขาไปชิงโจว คนเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงบ่าว แต่เว่ยชิงกลับเป็นองครักษ์ของเว่ยฉางเฟิง ทั้งยังเป็นบุตรหลานของตระกูลเว่ย แม้เขาจะไปสนทนาปราศรัยกับบ่าวของเติ้งจงฉี… แต่อย่างไรก็คงไม่ถึงกับเอาเรื่องที่บิดามารดาของตนเสียไปแล้วและตนเองมีน้องสาวสองคนมาเล่าให้ฟังหรอกกระมัง?

                “จะว่าไปก็บังเอิญนักเพคะ” เหยาเถายิ้มเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า “ครั้งกลุ่มของคุณชายไปขอพักค้างแรมที่ตีนเขาไผ่น้อย เพราะเสื้อผ้าเปียกปอน จึงเคยยืมเสื้อผ้าของเว่ยชิงผู้นั้นมาผลัดเปลี่ยนเพคะ ระหว่างนั้นคุณชายบ้านตวนมู่เห็นว่าฝีมือเย็บปักบนเสื้อผ้าที่เว่ยชิงนำออกมานั้นประณีตนัก นึกว่าเป็นท่านแม่ของเว่ยชิงทำให้ จึงเอ่ยชมไปคำหนึ่ง เว่ยชิงจึงได้บอกว่ามารดาของตนเสียไปนานแล้ว เสื้อผ้าของเขาล้วนเป็นน้องสาวทำให้”

                “แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นน้องสาวสองคน?”

                เหยาเถากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “กลับเป็นเพราะคุณชายสิบหกบ้านหลิวเอ่ยแทรก ชมว่ารอยปักนั้นมีสองแบบ ซึ่งฝีมือล้วนแล้วแต่ถึงระดับสุดยอดทั้งนั้น พวกของคุณชายจึงพากันเอ่ยชมว่าฝีมือการเย็บปักของน้องสาวเว่ยชิงนั้นเยี่ยมยอด อายุเพียงน้อยๆ ก็สามารถชำนาญการปักถึงสองแบบ…. เดิมทีก็เพราะเพียงต้องการหยิบยืมเสื้อผ้าของเว่ยชิง จึงต้องกล่าวคำตามมารยาทไปสักหน่อย ปรากฏว่าเว่ยชิงก็มาอธิบายอีกว่าเขามีน้องสาวสองคนซึ่งใช้การเย็บปักสองรูปแบบผลัดเปลี่ยนมาเย็บปักให้เขาเพคะ”

                สนมเอกเติ้งก็หัวเราะออกมา “เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”

                เหยาเถาจึงถามว่า “เช่นนั้น แล้วเรื่องนี้?”

                “ดีชั่วอย่างไรวานวานก็เพิ่งจะปักปิ่น” สนมเอกเติ้งกล่าว “ยังพอมีเวลาพอยืดหยุ่นได้อีกสองสามปีนะ! ก็เพียงเดินทางผ่านเฟิ่งโจวคราวหนึ่งแล้วได้ยินมาจากรายทาง ผู้ใดจักรู้ว่ามองผิดไปหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้นฉีเอ๋อร์ก็มีวานวานเป็นน้องสาวเพียงคนเดียว อาจตัดใจให้นางแต่งออกไปไกลไม่ได้” เอ่ยถึงตรงนี้จึงอดจะลังเลขึ้นมาอีกไม่ได้ว่า “ต่อให้เว่ยชิงจะไม่เลวจริงๆ แต่เขาก็เป็นพี่ชายร่วมตระกูลของเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังสนิทสนมกับเว่ยฉางเฟิง หากวานวานได้แต่งกับเขา วันหน้าเมื่อฉีเอ๋อร์มีโอกาสพบกับเว่ยฉางอิ๋งอีกครั้ง…ก็อย่าได้…อย่าได้ก่อเรื่องก่อราวขึ้นมาเชียว!”

                เหยาเถารีบกล่าวว่า “แม้คุณชายจะยังหนุ่ม ทว่าก็คอยระมัดระวังตัวมาแต่ไร แม้จะเคยมีความรู้สึกที่ดีต่อเว่ยฉางอิ๋ง แต่แม้แต่กับพระสนมเอกทางนี้คุณชายก็ยังไม่เคยเอ่ยปากบอก เห็นได้ว่าเป็นเพราะต้องใจแต่ต้องสอดคล้องคุณธรรม ความจริงแล้วหากให้หม่อมฉันว่า แม้เขาไผ่น้อยนั้นหม่อนฉันจะไม่เคยไป แต่เมื่อเป็นเขาไผ่ ก็ย่อมต้องมีสีเขียวชอุ่มไปหมด เว่ยฉางอิ๋งผู้นั้นมีหน้าตางดงาม ยามสวมเสื้อผ้าสีแดงดังเพลิงและกำลังเดินเล่นอยู่ริมธารในป่าไผ่… ภาพนี้จักงดงามปานใด คนหนุ่มที่อยู่ว่างๆ เมื่อได้มาพบเห็นเข้า แล้วจักไม่ให้หวั่นไหวได้หรือเพคะ? แต่หากให้คุณชายไปชมภาพเช่นนี้อีกสองสามหน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เก็บมาใส่ใจอีกแล้ว ว่ากันตามตรง ก็เพราะคุณชายเป็นคนที่รักษาธรรมเนียมมาโดยตลอด ไม่เคยเข้าออกแหล่งโลกีย์ เคยพบปะหญิงสาวน้อยเกินไป จึงได้…”

                คำกล่าวนี้นับเป็นการเตือนสติสนมเอกเติ้ง สนมเอกพลันตบมือดังๆ ฉาดหนึ่ง กล่าวว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ข้าก็คิดอยู่ว่า แม้ฉีเอ๋อร์จะเคยพบเว่ยฉางอิ๋งซ้ำยังเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้บนเขาไผ่น้อย แต่คาดว่าทั้งเว่ยฉางเฟิงและกู้จื่อหมิงก็ล้วนอยู่ด้วย อย่างมากก็คงจะสนทนากันไปตามมารยาทเพียงสองสาคำ แล้วเหตุใดจะมาต้องใจสตรีผู้นี้เข้าได้? จะว่าไปก็ต้องโทษพี่ใหญ่ของข้า! แม้บิดาของฉีเอ๋อร์ไม่ดี แต่ก็ไม่ควรไปลงกับเด็กนี่! ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เขาไปขัดขวางอนาคตที่พวกเขาพี่น้องควรจะมีด้วย จนทำให้พวกเขาพี่น้องต้องมีชีวิตอย่างยากลำบาก ทั้งฉีเอ๋อร์เองก็รักใคร่น้องสาวนัก หลังจากที่เข้ามาเป็นราชองค์รักษ์อี้ เบี้ยหวัดที่ได้มาทั้งหมดก็ล้วนเอาไปซื้อแป้งซื้อชาดและเครื่องประดับต่างๆ ให้วานวานไว้แต่งตัว ส่วนตนเองกลับไม่ยอมใช้จ่ายใดๆ แล้วจะไปเปิดหูเปิดตาตามแหล่งโลกีย์ต่างๆ ได้อย่างไร? เขายังหนุ่ม กำลังเลือดลมพลุ่งพล่าน เคยพบเห็นหญิงสาวมาไม่มาก ภาพหญิงชุดแดงในป่าไผ่ริมธารน้ำ ทำให้เกิดรักแรกพบ ก็ไม่แปลกเลยจริงๆ!”

                 “ดังนั้นหม่อนฉันจึงคิดว่าพระสนมเอกอย่าได้เป็นห่วงคุณชายเกินไปเลยเพคะ ยามอยู่ในวัยหนุ่มสาว มีผู้ใดไม่เคยพบพานผู้ที่ทำให้จิตใจหวั่นไหวกันเล่าเพคะ? พอนานวันเข้า ได้พบเจอคนมากเข้า ก็จักรู้เองว่าที่แท้หาเป็นดังนั้นไม่…” เหยาเถาเม้มปากยิ้ม “แรกเริ่มนั้นมิใช่พระสนมเอกเองก็ยังเคยทอดอาลัยว่าดวงตาคู่นั้นของฮองเฮาช่างดึงดูดวิญญาณคนยิ่งนัก? แต่หลังจากได้พบกับสนมเมี่ยวแล้ว ก็มิใช่รู้สึกว่าดวงตาของฮองเฮา… บางคราเมื่อมาเทียบกับสนมเมี่ยวแล้ว ก็แทบจะเป็นดวงตาของปลาตายเช่นนั้น?”

                สนมเอกเติ้งชอบฟังคำถากถางฮองเฮาเช่นนี้ ได้ยินคำจึงหัวเราะออกมา “นั่นก็ใช่ ที่ว่ากันว่ารักแรกพบ… หากพบรักแท้เข้าจริงๆ ก็คงจัดการได้ยากแล้ว แต่ที่พบในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่หญิงงาม เรื่องนี้กลับจัดการได้ง่ายนัก เจ้าจงไปสอบถามดูว่าบ้านใดมีคุณหนูรูปงามโดดเด่นจับตา ข้าจะให้ฉีเอ๋อร์ไปพบให้มากๆ สักหน่อย เขาก็จักได้รู้ว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งจะมีรูปโฉมงดงาม แต่คนมีความสามารถในเมืองหลวงมีแน่นขนัดไปหมด หาใช่ว่าจะไม่มีคนที่งดงามยิ่งกว่านาง อย่างเช่นหลิวรั่วเหยียเป็นต้น… น่าเสียดายที่บุตรสาวคนที่สิบเอ็ดของตระกูลหลิวผู้นี้ แม้จะมีหน้าตางดงาม แต่จิตใจกลับไม่ซื่อตรง แม้นางจะมิได้เอนเอียงไปทางตำหนักเว่ยยาง แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่อาจวางใจได้ ห่วงว่านางจะพาให้ฉีเอ๋อร์ของข้าต้องเสียหาย!”

                เหยาเถายิ้มพลางว่า “ตามความเห็นของหม่อมฉัน หากพระสนมเอกกังวลว่าคุณชายจะหลงใหลเว่ยฉางอิ๋งจนส่งผลต่ออนาคต ความจริงก็ยังมิต้องให้คุณชายแต่งภรรยา มิสู้หาหญิงสาวงามๆ บริสุทธิ์ผุดผ่องสักคนสองคนไปปรนนิบัติคุณชายเสียก่อน! เช่นนี้เมื่อคุณชายได้เปิดหูเปิดตามากแล้ว ก็จะไม่หลงใหลกับหญิงงามโดยง่ายแล้วเพคะ”

                “ข้าเองก็มิใช่ว่าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน” สนมเอกเติ้งกลับส่ายหน้าพลางว่า “แต่เจ้าลองคิดดู ยามนี้ฉีเอ๋อร์และวานวานสองคนใช้ชีวิตอยู่อย่างอาศัยพึ่งพิงกันและกัน ข้างบนก็ไร้ผู้ใหญ่คอยช่วยดูแล วานวานเจ้าเด็กคนนี้ก็มีชั้นเชิงไม่พอ ยามนี้บ่าวชราที่นางคอยควบคุมดูแลอยู่ ก็อาศัยว่าผู้คนที่เคยดูแลพวกนางพี่น้องมานานปี ซึ่งนับว่ามีความภักดีซื่อตรง จึงสามารถดูแลบ้านเรื่องได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หากวันใดพวกอนุงามๆ เหล่านี้เกิดทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมา แล้วทำเอาเรือนหลังวุ่นวายไปหมด วานวานควบคุมพวกนางไม่ไหว ย้อนกลับมาก็มิใช่ว่าจะเป็นฉีเอ๋อร์ที่ต้องเดือดร้อนใจ? อีกประการหากเป็นเช่นนี้ฉีเอ๋อร์ก็ต้องได้ชื่อว่าเป็นคนที่หลงใหลในหญิงงาม วันหน้าเมื่อต้องไปเจรจาเรื่องแต่งงาน หากต้องการทาบทามบุตรสาวจากบ้านตระกูลสูงสักหน่อยก็จะยากแล้ว”

                เหยาเถารีบบอกว่า “เป็นหม่อมฉันเลอะเลือนเอง เคราะห์ดีที่พระสนมเอกละเอียดรอบคอบ หาไม่แล้วหม่อมฉันก็คงจะเป็นคนทำร้ายคุณชายเสียแล้วเพคะ!”

                “ดังนั้น อย่างไรก็ยังต้องแต่งภรรยาเอกให้เขาเสียก่อน” สนมเอกเติ้งมิได้ตำหนินาง หากแต่กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ภายหลังหากเขายังคงคิดถึงเว่ยฉางอิ๋งอยู่ ค่อยจัดหาอนุงามๆ มาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจให้เขาก็ยังไม่สาย”

_____________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด