ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 63 สนมเสี่ยวอี๋ สนมเจี๋ยอวี๋

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 63 สนมเสี่ยวอี๋ สนมเจี๋ยอวี๋ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                หลิวจือเดินไปตรงหน้าสนมเอกเติ้งอย่างระมัดระวัง แล้วรายงานไปด้วยเสียงบางเบาว่า “คุณชายเล็กหกล้มบาดเจ็บที่เข่าเพคะ องค์ฮองเฮาทรงเป็นห่วงอย่างมาก จึงเสร็จไปดูโดยฉับพลัน ยามนี้กำลังเสด็จมาแล้วเพคะ”

                เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่าคุณชายเล็กที่นางเอ่ยถึงคือผู้ใด พระสนมเอกกลับกระแอมไอออกมาหนหนึ่ง แล้วว่า “คนในตำหนักตะวันออกนับวันยิ่งเลอะเลือนเข้าทุกทีแล้ว! ทำการกันเช่นไร? ยามนี้อาหลินยังไม่ถึงสามขวบเลย เด็กเล็กๆ เพียงเท่านี้ก็ควรจะเอาใจใส่ให้มาจึงจะถูก! ถึงกับทำให้พระราชนัดดาของฮ่องเต้บาดเจ็บที่เข่า! ทั้งแม่นมและนางกำนัลตายกันหมดแล้วรึ?”

                 ได้ยินสนมเอกเอ่ยเช่นนั้น เว่ยฉางอิ๋งจึงเข้าใจขึ้นมา ประติดประต่อได้ว่าคุณชายน้อยที่เอ่ยถึงนี้ก็คือพระโอรสองค์เล็กขององค์รัชทายาท ตามกฎเกณฑ์ของต้าเว่ย พระธิดาในองค์รัชทายาททั้งหมดไม่แบ่งว่าเป็นจากพระชายาเอกหรือพระชายารองล้วนเรียกขานว่าพระธิดา พระโอรสจากพระชายาเอกเรียกขานว่าจวิ้นอ๋อง ส่วนพระโอรสจากพระชายารองนั้นทำได้เพียงต้องรอให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วจึงจะสามารถใช้ฐานะขององค์ชายขึ้นรับตำแหน่งท่านอ๋องได้โดยตรง

                และแน่นอนว่าพระโอรสจากพระชายารองซึ่งเป็นที่รักใคร่ก็ย่อมมีข้อแตกต่าง… เพียงแต่เวลานี้องค์รัชทายาทยังไม่ได้อภิเษก บรรดาพระโอรสและพระธิดาจากอนุทั้งหลายนี้ ไม่เคยแม้จะเข้าคารวะพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ว่าจะเป็นที่รักใคร่หรือไม่ ก็ล้วนยังมิได้มีพระยศใดๆ

                เมื่อไม่มีพระยศ แม้จะเป็นพระราชนัดดาในองค์ฮ่องเต้ จึงทำได้เพียงเรียกขานเช่นสามัญชนทั่วไปว่า ‘คุณชาย’ เท่านั้น

                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าฮองเฮากู้ถึงกลับผละจากงานเลี้ยงวันประสูติของพระธิดาเลี้ยงเพื่อรีบไปหาหลานย่าผู้นี้ จึงอดรู้สึกโชคดีแทนซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้… ไม่ว่าพระโอรสและพระธิดาขององค์รัชทายาทองค์อื่นๆ จะเป็นเช่นไร อย่างน้อยพระราชนัดดาที่สนมเอกเติ้งเรียกว่าอาหลินผู้นี้ก็เป็นที่โปรดปรานของฮองเฮากู้ยิ่งนัก สนมเอกบอกว่าเขายังไม่ทันสามขวบ แต่ต่อให้พระชายาองค์รัชทายาทเพิ่งจะแต่งเข้าตำหนักตะวันออกก็ตั้งครรภ์ในทันใด ทั้งยังเป็นบุตรชาย ก็ยังต้องอายุน้อยกว่าเขาสี่ปี

                วันหน้าหากเกิดการแก่งแย่งระหว่างพระโอรสทั้งสองขึ้นมา ผู้ใดจะสามารถพูดได้ชัดเจน?

                เพราะไม่ว่าจะคิดเห็นเช่นไรก็ล้วนเป็นลูกในไส้ทั้งนั้น!

                ในเมื่อคิดถึงซ่งไจ้สุ่ย เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกว่าหลิวรั่วอวี้ก็ออกจะน่าสงสารเกินไปหน่อย… เมื่อคิดไปดังนี้จึงเผลอหันไปสำรวจดูในท้องพระโรงรอบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหาตัวหลิวรั่วอวี้ไม่พบ นางรู้สึกสังหรณ์ใจ “ในหอเชียนชิวเมื่อครู่นี้ ยังเห็นหลิวรั่วอวี้และหลิวรั่วเหยียอยู่ด้วยกัน แต่ตอนที่ออกมาจากหอเชียนชิวนั้นก็คล้ายว่าไม่เห็นหลิวรั่วอวี้แล้ว ยามนี้ไยยังไม่กลับมา? หรือนางไม่กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินองค์หญิงหลินชวนหรือองค์ฮองเฮา?”

                ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของฮองเฮากู้ดังมาจากหลังฉากกั้นลมว่า “เหตุไฉนในท้องพระโรงจึงสงบเงียบเช่นนี้?”

                เมื่อทุกคนได้ยินเสียงของฮองเฮาจึงพากันเคร่งขรึมขึ้นมาเป็นทีว่าแสดงความเคารพ

                ฮองเฮาเปลี่ยนเครื่องทรงแล้วอมยิ้มพลางเดินเข้ามา นางลูบที่มวยผมเบาๆ แล้วมองไปรอบหนหนึ่ง กล่าวว่า “จนข้าคิดว่าข้าไปนานเกิน แล้วพวกเจ้าเกิดไม่พอใจ จึงออกจากงานเลี้ยงทิ้งข้าไปแล้วเสียอีก!”

                สนมเอกเติ้งยังคงเอามือเท้าที่แก้มและอิงตัวอยู่กับโต๊ะ แล้วตอบไปด้วยท่าทีเกียจคร้านว่า “เมื่อครู่ได้ยินหลิวจือบอกว่าอาหลินบาดเจ็บ ทำให้ทุกคนตกใจกันหมด! คนในตำหนักตะวันออกไม่ระวังเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าดูแลอาหลินกันอย่างไร!”

                ฮองเฮากู้ยกแขนเสื้อขึ้น แล้วกล่าวกับทุกคนที่ทยอยลุกขึ้นเตรียมตัวคำนับว่า “ทุกคนไม่ต้องมาพิธี นั่งเถิด นั่งเถิด” แล้วจึงตอบพระสนมเติ้งว่า “เป็นเพราะอาหลินซุกซนเอง แม่นมคอยหลอกล่อไม่ให้เขาปีนขึ้นไปบนโต๊ะ แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง ครานี้ตกลงมาไม่หนักหนา แต่ข้ากลับหวังให้เขาจำความได้ จักได้จำว่ามีบางเรื่องที่ทำไม่ได้ ทำแล้วก็ยากจะไม่ได้รับบาดเจ็บ พอย้อนกลับมา ผู้ที่เจ็บตัวก็จะเป็นตนเอง”

                สนมเอกเติ้งกล่าวอย่างราบเรียบว่า “คำของเสด็จพี่ฮองเฮาถูกต้องยิ่ง เพียงแต่ข้ากลับกังวลว่าอาหลินยังเล็กนัก อาจยังไม่เข้าใจความปรารถนาดีของเสด็จพี่ฮองเฮา ท้ายสุดแล้วกลับจะเข้าใจความหวังดีของเสด็จพี่ผิดไปเพคะ”

                แววตาฮองเฮากู้สว่างวาบขึ้นมาทันใด ยิ้มจางๆ แล้วว่า “น้องสนมเอกโปรดวางใจเถิด แม้ในใต้หล้าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชนกำแพงก็จะไม่หันหน้ากลับ และแม้ชนกำแพงก็ยังไม่หันหน้ากลับ ทว่าคนฉลาดมักมีจำนวนมากกว่า ข้าเห็นว่าอาหลินเฉลียวฉลาดนัก จักต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวังแน่”

                “เสด็จพี่ฮองเฮามีความปรารถนาดังนี้” สนมเอกเติ้งค่อยๆ ละเลียดจิบสุราลิ้นจี่เขียว แล้วว่า “เช่นนั้นข้าก็หวังให้เสด็จพี่สมดังฝันไวๆ เพคะ…หือ?” พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง สนมเอกเติ้งพลันวางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ในนี้คือสิ่งใด?”

                นางกำนัลที่คอยปรนนิบัตินางอยู่รีบรนย่อตัวลงมอง แล้วตอบอย่างระมัดระวังว่า “พระสนมเอก คล้ายจะเป็นผมเส้นหนึ่งเพคะ”

                “สกปรกตายแล้ว!” พระสนมเอกเติ้งผลักจอกสุราออกไปด้วยท่าทีรังเกียจ แล้วอุทานออกมาว่า “ทำงานกันอย่างไร? รีบเปลี่ยนของบนโต๊ะนี้ให้ข้าใหม่ทั้งหมด!

                …เมื่อสงครามฝีปากที่แฝงความไว้ในถ้อยคำระหว่างฮองเฮาและสนมเอกก่อนหน้านี้สงบลง ภายในท้องพระโรงก็สงบเงียบเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ฟังดูคล้ายว่าพระสนมเอกอยากถวายพระพระให้องค์ฮองเฮา ‘ฝันเป็นจริง’ แต่พูดได้เพียงครึ่งเดียว ก็กลับเปลี่ยนหัวข้อไปยังเส้นผมที่ร่วงลงไปในจอกสุราเสียแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการสาปแช่งหรือเย้ยหยันว่าความปรารถนาของฮองเฮาก็เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น

                บรรดาสตรีชั้นสูงล้วนพากันนั่งตัวตรงไม่ส่งเสียงใดๆ

                สีหน้าของฮองเฮากู้ค่อยๆ เขียวคล้ำลง แล้วมองไปยังที่นั่งเบื้องล่างหนหนึ่ง… หากนางไม่มองมาดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็แทบจะลืมไปแล้วว่าในท้องพระโรงวันนี้มิได้มีเพียงแค่ฮองเฮาและพระสนมเอกสองพระองค์นี้เท่านั้น… ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งเป็นกังวลว่าจะถูกพระสนมเอกไถ่ถาม ภายหลังเมื่อสังเกตดู ก็พบว่าวันนี้บรรดาสตรีชั้นสูงทั้งหลายกลับมองผ่านสนมสองนางที่กำลังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนเป็นอย่างมากในปีสองปีนี้ไปเสียแล้ว

                ผู้ที่ฮองเฮากำลังมองอยู่ในยามนี้เป็นสตรีในชุดเสินอีตัวยาวสีเหลืองอ่อนนางหนึ่ง เกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้ และปักปิ่นอุบะอัญมณีและเพชรรูปดอกทับทิมเอียงๆ อยู่บนหัวเพียงอันเดียว พวงประคำสีแดงเม็ดเล็กๆ ห้อยลงมาจนถึงขอบมวยผม ลับกับผิวขาวราวหิมะ ยิ่งทำให้ดูสดใสรื่นเริงมากขึ้น

                หญิงผู้นี้มีรูปโฉมงดงาม แม้ยามแย้มยิ้มสองคิ้วจะขมวดเข้ามาเล็กน้อย คล้ายว่ามีความกลัดกลุ้มเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา นับเป็นความงามจากความเศร้าสร้อยอย่างหนึ่ง ราวดอกกล้วยไม้ที่ยืนหยัดท้าลม แม้ในยามนิ่งเงียบก็ยังยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจจากผู้คน ธรรมดาและจืดชืด ทว่ายามมีคนสังเกตเห็นขึ้นมา ความงามที่เหงาหงอยคล้ายมีความในใจอยู่เต็มอก กลับดึงดูดให้คนใคร่อยากค้นหาได้อย่างง่ายดาย

                …นี่ก็คือสนมชั้นเสี่ยวอี๋แซ่จง เพราะบ้านนางยากจน เขาวังมาเป็นนางกำนัลด้วยฐานะบุตรสาวของชาวบ้านสามัญในชิงโจว ภายหลังด้วยพระสนมเอกเติ้งแนะนำสนมชั้นเจี๋ยอวี๋แซ่เมี่ยวเข้ามา ทำให้ตำแหน่งผู้เป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียวมาหลายปีของฮองเฮากู้ต้องสั่นคลอน นางจึงต้องสนับสนุนให้นางแซ่จงเข้ามาเป็นสนมเพื่อปันความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อสนมเจี๋ยอี๋แซ่เมี่ยว

                แม้จะบอกว่าสาเหตุที่ฮองเฮากู้คัดสรรนางจงมา ย่อมเพราะเล็งเห็นว่านางมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังสามารถควบคุมได้โดยง่าย ทว่าเมื่อนางสามารถถูกคัดเลือกให้มาเป็นกำลังเสริมของฮองเฮา ก็จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับความงามแบบอมทุกข์ที่เป็นเอกลักษณ์ของนางจงเป็นอย่างมากแน่นอน

                เว่ยฉางอิ๋งเผลอเงยหน้าขึ้นไปมองนางหลายหน… นางจงเปลี่ยนจากนางกำนัลมาเป็นสนม และสามารถปันความรักของฮองเต้มาจากสนมเจี๋ยอวี๋แซ่เมี่ยวไปได้ในทันใด ทว่าสนมเจี๋ยอวี๋แซ่เมี่ยวผู้นี้ กลับสามารถเข้ามาสั่นคลอนตำแหน่งของฮองเฮากู้ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นคนงามแห่งแผ่นดินทั้งยังมีชั้นเชิงเหนือคนได้ในทันทีเช่นกัน

                แม้ในที่นี้จะมีแผนการและแรงหนุนจากสนมเอก แต่เพียงคิดก็รู้ได้แล้วว่าความสามารถในตัวสนมเจี๋ยอวี๋แซ่เมี่ยวเองนั้นมีเพียงใด… สนมชั้นเจี๋ยอวี๋ผู้นี้มิได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งผิดหวังเลย สนมเจี๋ยอวี๋ราวอยู่ในวัยสิบแปดสิบเก้าปี คิ้วเข้มหน้านวล รูปโฉมงดงาม ดวงตาสุกใสแวววาว ดวงตาที่ประหนึ่งน้ำในฤดูใบไม้ผลิของฮองเฮากู้ก็ทำให้คนเคลิบเคลิ้มมากอยู่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงสงสัยเสียจริงๆ ว่าฮองเฮาฝึกฝนดวงตาดังน้ำในฤดูใบไม้ผลิคู่นี้ออกมาเป็นพิเศษหรือไม่ ทว่าดวงตาใสแจ๋วที่ขยับไปมายามสนมเจี๋ยอวี๋แซ่เมี่ยวทอดสายตาเหลียวซ้ายแลขวากลับไม่เหมือนกับดวงตาของฮองเฮากู้เลย

                คงเป็นเพราะเรื่องของอายุ ยามสนมเจี๋ยอวี๋แซ่เมี่ยวเหลียวตาไปมาเห็นชัดว่ามีชีวิตชีวากว่าฮองเฮานัก ทั้งยังดูคล่องแคล่วกว่า โดยเฉพาะยามสนมเมี่ยวยิ้มแล้วยักคิ้วหลิ่วตา ความมีชีวิตชีวาในตัวนางก็พลันโลดแล่นขึ้นมา… ว่ากันตามจริงแล้ว ความสุกสกาวในวัยแรกแย้มนั้น เมื่อเทียบกับความเยือกเย็นราบเรียบหลังจากผ่านอายุมาช่วงหนึ่ง ย่อมไม่เหมือนกันเลยจริงๆ

                ฮองเต้ก็พระชันษาล่วงหกรอบแล้ว นับแต่โบราณมา ผู้ที่ถูกขนานนามว่ามีอายุหมื่นปีผู้ใดไม่หวังจะให้ได้มีอายุยืนยาวไม่แก่เฒ่าและยังคงรู้สึกว่าอยู่ในวัยหนุ่มอยู่เสมอ? ฮองเฮากู้ยังคงมีรูปโฉมงดงาม ทว่าสนมเมี่ยวที่มีดวงตาใสดุดคลื่นน้ำแสนน่าลุ่มหลงคู่นั้นกลับยิ่งทำให้ฮองเต้รู้สึกถึงความสดใหม่และกระชุมกระชวยกระมัง?

                ก็มิน่าเล่าแม้ว่าจะมีสนมจงมาแบ่งปันความรักใคร่ ทว่าสนมเมี่ยวไม่เพียงยังคงเป็นสนมชั้นเจี๋ยอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายสิบหก องค์ชายสิบเจ็ดที่รับเลี้ยงดูก็ยังคงอยู่อย่างสุขสงบมาเนิ่นนาน

                เว่ยฉางอิ๋งหลับตาลง คิดในใจว่า “ฮองเฮากู้จักต้องชังสนมเอกมากแน่นอน” ไม่ว่าฮองเฮากู้จะมีดวงตางดงามสุกใสมาแต่กำเนิด หรือว่าต้องพยายามออกแรงฝึกฝนดวงตาที่สุกใสเหมือนน้ำทั้งคู่นี้ออกมา ทว่าคนใหม่ที่สนมเอกเติ้งต้องการสนับสนุนเข้ามานั้น นางซ้ายไม่เลือกขวาไม่เลือกแต่จำเพาะต้องมาเลือกคนที่มีในสิ่งที่ฮองเฮาชำนาญและภาคภูมิใจเป็นที่สุด จึงสามารถเอาชนะฮองเฮาได้ทันทีทันใด

                สนมเอกลงมือครานี้โหดเหี้ยมเอาการ

                ทางนี้นางกำลังใจลอย เมื่อกลับมาฟังอีกครั้ง สนมจงก็พูดไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วว่า “…เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่องค์ฮองเต้กำชับหม่อมฉันต่อหน้าพระพักตร์องค์ฮองเฮานะเพคะ”

                สีหน้าพระสนมเติ้งไม่สู้ดีเอามากๆ กำลังจะเอ่ยความ ทางสนมเมี่ยวนั้นก็กำลังยิ้มอย่างแช่มชื่น ดวงตาสุกใสประหนึ่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วงกำลังมองกวาดไป แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจไปทั้งรอยยิ้มว่า “น้องจง คำกล่าวนี้ช่างรบกวนความสำราญเสียจริงๆ วันนี้เป็นวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนนะ! คำพูดดีๆ เจ้าไม่พูด จักต้องมาเอ่ยเรื่องสุขภาพของเสด็จพี่เติ้งทำสิ่งใด? เสด็จพี่เติ้งมิใช่ยังสบายดีอยู่ที่นี่หรอกหรือ? มีโทสะไม่มีโทสะสิ่งใดกัน? เสด็จพี่เติ้งเป็นคนมีอารมณ์ดีมาแต่ไร วันนี้ก็เพียงเอ่ยไปคำสองคำเพราะเห็นเส้นผมร่วงลงในจอกสุราเท่านั้น ตามที่น้องจงเอ่ยมานั้น วันหน้าเมื่อเห็นถ้วยชามที่บ่าวไพร่นำมาให้พวกเรากินดื่มแล้วเกิดไม่พอใจ ก็จะไม่อาจพูดสิ่งใดได้เลยหรือ?”

                เอ่ยถึงตรงนี้ สนมเมี่ยวก็ร้องโธ่เอ๊ยออกมาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวกับฮองเฮากู้ด้วยท่าทีรังเกียจว่า “องค์ฮองเฮาอย่าทรงถือโทษ หม่อนฉันมิได้ต้องการบอกว่าคนของท่านที่นี่ไม่ดี หม่อมฉันเพียงคิดว่านางกำนัลที่ทำหน้าที่จัดเก็บข้าวของให้เสด็จพี่เติ้งก็ไม่ละเอียดรอบคอบเกินไปหน่อย ในเมื่อวันนี้เป็นวันประสูติขององค์หญิง แล้วยังจะเลินเล่อเช่นนี้ได้อย่างไร? เคราะห์ดีที่เสด็จพี่เติ้งอารมณ์ดี หากเป็นหม่อนฉัน ก็เกรงว่าจะทานข้าวไม่ลงไปหลายวันเชียวเพคะ… โธ่เอ๊ย ดูสิหม่อมฉันกำลังพูดสิ่งใดนี่? สรุปก็คือ น้องจง คำที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่นี้เกินไปจริงๆ แม้ฮ่องเต้จะทรงกำชับกำชากับเจ้าต่อพระพักตร์องค์ฮองเฮา ว่าต้องคอยเตือนให้เสด็จพี่เติ้งระวังสุขภาพอยู่เสมอ แต่ยามนี้เสด็จพี่เติ้งก็มิใช่อยู่ดีมีสุขหรอกหรือ? เจ้าว่าที่เจ้ามาเตือนเอายามนี้ เบาปัญญาเพียงใด?”

                แล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาบังปาก ยิ้มจนตาโค้ง กล่าวว่า “น้องจงเจ้าก็รู้นี่ ข้าน่ะ เป็นคนรู้หนักสือไม่กี่ตัว ดังนั้นจึงพูดจาตรงๆ องค์ฮ่องเต้เองก็ยังทรงชื่นชมข้าเรื่องนี้ เจ้าก็อย่าถือโทษเลย?” แล้วหันไปหาฮองเฮาพลางยิ้มอย่าน่ารักเหลือหลาย “องค์ฮองเฮาท่านว่าใช่หรือไม่เพคะ?”

                ดวงตาสุกใสน่าเคลิบเคลิ้มของนางไม่แพ้ของฮองเฮา น้ำเสียงก็อ่อนหวานน่าซาบซึ้งใจ นับว่าเป็นจุดที่สามารถเอาชนะฮองเฮากู้ได้ ในขณะที่มีเสียงพูดจาจ้อกแจ้กจอแจเหมือนนกหลายชนิดนับร้อยดังอื้ออึ้งอยู่ แต่นางกลับพูดออกมาด้วยน้ำสียงที่ไร้เดียงสาน่าฟัง ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามีเจตนาไม่ดีหรือจงใจวางแผนใดเลยแม้แต่น้อย…

                ฮองเฮากู้มองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกไปหนหนึ่ง หางตาของสนมจงกวาดไปเห็นสีหน้าของฮองเฮา เหมือนถูกจู่โจมเข้ามาในใจ นางออกแรงขบริมฝีปากล่าง แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “พี่เมี่ยวกล่าวไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงพระสนมเอก นี่เป็นเรื่องที่มาจากใจจริง! แม้พี่เมี่ยวจะเกี่ยงที่ข้าพูดมาก แต่เพื่อพระสนมเอก ข้าก็ต้องพูดเจ้าค่ะ!”

                แล้วหันไปกล่าวอย่างขึงขังกับสนมเอกเติ้งว่า “คราก่อนองค์ฮ่องเต้เคยตรัสว่ายามนี้พระสนมเอกอายุมากแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สุขภาพจะไม่เหมือนครั้งยังสาว ยามข้าได้อยู่ใกล้พระสนมเอกก็ให้ข้าคอยสังเกตด้วย อย่าให้พระสนมเอกต้องเสียสุขภาพแต่กลับไม่รู้องค์เอง! ข้าไม่กล้าขัดกระแสรับสั่งของฮ่องเต้! เมื่อครู่นี้พระสนมเอกเกิดมีโทสะขึ้นมาด้วยในจอกสุรามีเส้นผม ตามความเห็นของข้า ก็ควรจะออกจากงานเลี้ยงไปก่อน แล้วเชิญท่านหมอหลวงมาตรวจอาการเป็นวิธีที่ดีที่สุด!”

                เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งว่า เมื่อสนมจงเอ่ยถึง “องค์ฮ่องเต้เคยตรัสว่ายามนี้พระสนมเอกอายุมากแล้ว” สนมเอกเติ้งก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันใด และเมื่อได้ยินนางพูดอีกว่า “จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สุขภาพจะไม่เหมือนครั้งยังสาว” ก็เห็นชัดว่าในดวงตาของสนมเอกเติ้งมีแววแห่งโทสะ แล้วต่อมายังว่า “เสียสุขภาพแต่กลับไม่รู้องค์เอง” ลมหายใจของสนมเอกเติ้งก็พลันกระชันขึ้นมาทันใด!

                เมื่อมองเห็นว่าสนมเอกกำลังจะออกอาการด้วยระงับอารมณ์ไว้ไม่ไหว มุมปากของฮองเฮากู้ก็โค้งขึ้น ส่วนเติ้งวานวานก็กำลังดึงแขนของท่านอาของตนเอาไว้เต็มแรง… สมเป็นคนที่สนมเอกเลือกสรรมาจริงๆ สนมเมี่ยวพลันร้องเอะอะขึ้นมา “น้องจง! เจ้าว่าเช่นนี้ก็เกินไปแล้ว! วันนี้ในที่นี้ มีพระมารดาท่านอ๋องและมีฮูหยินผู้เฒ่า แม้ว่าตามความหมายของน้องแล้วพวกท่านล้วนเป็นคนที่มีอายุสักหน่อย ทว่ามีผู้ใดบ้างที่มิได้ยังคงงดงามสดใส? หากมีอายุมากกว่าน้องสักน้อยก็ไม่ได้แล้วหรือ? เช่นนี้แล้วจักให้องค์ฮองเฮาทำเช่นไรเล่า?”

                …ครานี้ ถึงคราวฮองเฮากู้หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว!

_____________________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด