ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 70 เผยเหม่ยเหนียง

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 70 เผยเหม่ยเหนียง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                สองคนมาถึงเรือนหลังของจวนเซียงหนิงปั๋ว ฮูหยินซูกลับมาจากข้างหน้าแล้ว กำลังดูรายการข้าวของพลางคุยธุระอยู่กับนางหลิว เมื่อเห็นเสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่ประหลาดใจ กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้จั้งฮุยก็กลับมาเช่นกัน ท่านหัวหน้ากู้ช่างมีน้ำจิตน้ำใจช่วยเหลือจริงๆ”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ดีชั่วอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์ คนที่ท่านแม่จะใช้งานได้ก็มิใช่มีมากขึ้นแล้วหรือขอรับ?”

                ฮูหยินซูต่อว่าพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าก็ไปคอยต้อนรับแขกเถิด เพราะยังไม่มีพ่อแม่บ้านที่มีความสามารถมาทำงานนี้”

                “อย่างไรก็ยังสามารถแบ่งเบาภาระของท่านแม่ได้สักน้อย” เสิ่นจั้งเฟิงกระเซ้ามารดา “อีกประการ ลูกยังสามารถบีบไหล่ทุบขาให้ท่านแม่ได้”

                “ไปๆๆ!” ฮูหยินซูไล่เขา “ข้ากำลังเขียนรายการข้าวของอยู่นะ เจ้ามาบีบไหล่ ข้าก็จะเขียนเบี้ยวน่ะสิ” แล้วสั่งให้เขาออกไปว่า “เจ้าไปข้างหน้า แล้วไปถามพ่อบ้านแม่บ้านข้างหน้าว่ามีเรื่องใดให้ช่วยหรือไม่ ส่วนข้างหลังนี่เจ้าก็อย่ามาสร้างความวุ่นวายเลย”

                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มสู้พลางกล่าวไปอีกสองสามประโยคจึงถูกนางไล่ไปได้ เมื่อให้ลูกชายไปแล้ว ฮูหยินซูจึงสอบถามเว่ยฉางอิ๋งว่า “ท่านอาหญิงใหญ่บ้านเจ้ากลับมาอยู่ที่เมืองหลวง ส่งคนมาคงเพราะอยากให้เจ้าไปพบกระมัง?”

                เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบไปว่า “เป็นดังนั้นเจ้าค่ะ แต่สะใภ้คิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของน้องสี่ แม้สะใภ้อายุยังน้อยไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ และทำสิ่งใดไม่ได้ แต่ก็สามารถคอยช่วยเหลือท่านแม่และพี่สะใภ้ได้ สองสามวันนี้จะปลีกตัวไปได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ท่านอาหญิงใหญ่ส่งมาก็บอกว่า ท่านอาหญิงใหญ่กำชับมาว่า ในเมื่อสะใภ้ออกเรือนแล้ว ก็จักต้องยึดถือเอาเรื่องของบ้านสามีเป็นสำคัญ ให้สะใภ้ว่างลงแล้วจึงค่อยไปพบเจ้าค่ะ คนที่มาวันนี้ก็เพียงมาเชิญคำหนึ่ง และมาบอกสะใภ้ว่าท่านอาหญิงใหญ่และพวกลูกผู้น้องยามนี้อยู่ที่ใด หาได้เร่งรัดสะใภ้ให้ไปพบไม่เจ้าค่ะ”

                ฮูหยินซูได้ยินนางบอกว่ายึดถือเอาเรื่องของบ้านสามีเป็นสำคัญ พลันเผยสีหน้าพอใจออกมา กล่าวว่า “ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าบอกว่าท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าผู้นี้ไม่ได้พบเจอกันมานานปี ในเมื่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข คิดว่าคงจะคิดถึงเจ้านัก ทว่าเจ้าก็เห็นแล้ว ท่านอาสะใภ้รองเสียไปเร็ว ทั้งฮุยเอ๋อร์ก็เป็นบุตรชายคนโตของท่านอารองของพวกเจ้า การแต่งงานของเขาจึงไม่อาจทำพอผ่านๆ ได้ แม้เจ้าอายุยังน้อยและเพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน แต่อย่างไรก็เป็นพี่สะใภ้ของเขา! ท่านอารองของพวกเจ้าก็บอกแล้วว่าเจ้ามีวาสนาดี หลายเรื่องจึงขาดเจ้าช่วยไม่ได้จริงๆ”

                “สะใภ้รับคำชมของท่านแม่ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ สองวันมานี้หากไม่ได้ท่านและพี่สะใภ้ลำบากลำบนคอยชี้แนะ สะใภ้ก็เป็นเหมือนกับหุ่นไม้ที่ไม่รู้เรื่องใดเลยเช่นนั้นเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้ม

                ฮูหยินซูยิ้มพลางว่า “ผู้ใดก็ล้วนเป็นเช่นนี้มาก่อนทั้งนั้น ยามยังสาวคอยทำตามแม่สามีพี่สะใภ้ ทำไปทำมาตนเองก็จะรู้แล้ว” แล้วว่า “น้องชายและน้องสาวที่อยู่ถัดลงไปจากพวกเจ้ายังมีอีกหลายคน วันหน้ายังมีหลานชายหลานสาว คนอายุเยี่ยงข้าก็คงจะดูแลจัดการไม่ได้อีกสักกี่ครั้ง ภายหลังก็ต้องมอบหมายให้พวกเจ้าเป็นคนจัดการ”

                เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มและหันไปมองนางหลิว “สะใภ้โง่นัก ยังต้องขอร้องพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”

                แม้สองวันมานี้นางหลิวจะอารมณ์ไม่ใคร่ดี แต่เวลานี้ก็ยังฝืนยิ้มออกมา แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ข้าเรียนรู้จากท่านแม่จากงานแต่งงานของน้องหญิงใหญ่ น้องหญิงรอง น้องรองและพวกเจ้า เมื่อนับรวมกับงานแต่งของน้องสี่ครานี้ก็นับเป็นครั้งที่ห้าแล้ว ทว่าหากไม่มีท่านแม่คอยกำกับดูแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็ยังมีหลายเรื่องที่ไม่อาจแน่ใจได้เจ้าค่ะ”

                ฮูหยินซูเห็นว่ายิ่งพูดจาเรื่อยเปื่อยก็จะยิ่งทำให้เสียเวลา จึงบอกว่า “เรียนๆ ไปเดี๋ยวก็เป็นเอง เมื่อจัดการหนแรกพวกเจ้าย่อมไม่อาจวางใจได้ แต่หากทำตามที่เคยทำในครั้งก่อนสักครั้ง ก็จะรู้ว่าที่แท้ที่ว่ายากนั้นก็ไม่ยาก… จั้งฮุยทางนี้ก็เหลืออีกไม่กี่วันจะถึงวันงานแล้ว รอน้องสี่ของพวกเจ้ายกน้ำชาแล้ว เจ้าก็ค่อยไปหาท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้า เมื่อถึงยามนั้นแล้วก็จักได้ไม่ต้องกังวลใจ”

                เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องกล่าวว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ”

                ทำงานทุกเรื่องตั้งแต่ต้นจนปลายมาดังนี้ คนที่ในตัวไม่ได้มีข้อห้ามอะไรก็จะถูกมอบหมายงานให้ทำ ทุกคนต่างวุ่นวายกันจนหัวหมุน ที่สุดก็มาถึงวันที่แปดเดือนหกเสียที เสียงฆ้องเสียงกลองรับสะใภ้ใหม่เข้าประตู พี่สะใภ้น้องสะใภ้ที่ยามนี้ผ่อนคลายลงแล้วต่างพากันเบียดเสียดเข้ามาดูสะใภ้ใหม่ในห้องหอด้วยกัน… เสิ่นจั้งฮุยเปิดผ้าคลุมหน้าออกอย่างยินดีปรีดา และได้เห็นว่าเผยเหม่ยเหนียงซึ่งอยู่ในชุดเจ้าสาวปักดิ้นทองลายดอกไม้นั้นงดงามเหมือนชื่อนาง บนใบหน้ารูปเมล็ดแตงขาวหมดจดเป็นคิ้วทรงภูเขา[1] ตาเมล็ดท้อสุกใส แต้มดอกท้อหนึ่งดอกที่หว่างคิ้วยิ่งขับให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดังหิมะ งดงามจับตา

                ก่อนเสิ่นจังฮุยแต่งงานไม่เคยพบภรรยามาก่อน ได้ยินแต่เพียงพี่หญิงใหญ่เสิ่นจั้งจูบอกเป็นการส่วนตัวว่ามีหน้าตาไม่เลวเลย ยามนี้รูปโฉมของเผยเหม่ยเหนียงเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีปนเปนั้น ก็อดจะจิตใจเบิกบานสดใสไปด้วยไม่ได้ เขาเอาแต่เหม่อมองเผยเหม่ยเหนียงไม่วางตา… จนทำให้บรรดาพี่สะใภ้พากันหัวเราะขึ้นมา เสิ่นจั้งหนิงหัวเราะฮิๆ ร้องเสียงดังไปว่า “ก่อนนี้มิใช่บอกว่าพี่ชายสามตัดใจจากพี่สะใภ้สามไม่ได้ จนไม่อยากออกจากห้องหอไปคำนับสุราในงานเลี้ยงเสียแล้ว ตอนพี่ชายสามครานั้นหรือจะถึงขั้นพี่ชายสี่เหม่อมองพี่สะใภ้สี่ในยามนี้กัน?”

                คำพูดนี้ทำให้ทุกคนล้วนอดกลั้นไม่ไหว และหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

                เสิ่นจั้งฮุยและเผยเหม่ยเหนียงอายจนหน้าแดง และเผลอไปสบตากันหนหนึ่ง พลางมองกันด้วยสายตาหยาดเยิ้ม… ทุกคนกระเซ้าว่าให้พวกเขาทำพิธีดื่มสุราคล้องแขนกันให้เสร็จ แล้วเร่งให้เสิ่นจั้งฮุยออกไปคารวะสุรา และต้องกระเซ้าเผยเหม่ยเหนียงสองสามคำตามธรรมเนียม

                ทว่าหลังจากที่สามีไปแล้ว คุณหนูตระกูลเผยผู้นี้กลับเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา ไม่ว่าทุกคนจะเย้าแหย่อย่างไรนางก็ไม่ยอมพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประหม่าอายหรือว่าตื่นเต้นเสียจนหงุดหงิดเสียแล้ว ทุกคนก็กลัวว่าจะทำให้งานมงคลหมดสนุก จึงไม่พูดสิ่งใดอีก เมื่อดูเวลา จึงอวยพรนางไปสองสามคำ และออกจากประตูไปพร้อมกัน

                ระหว่างทางกับไปงานเลี้ยง นางหลิวแอบวิพากษ์วิจารณ์กับเว่ยฉางอิ๋งไปคำหนึ่ง “ดูไปแล้วน้องสะใภ้สี่ผู้นี้ไม่ใคร่ใจกว้างนัก”

                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ พลางว่า “คงเพราะเป็นเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ไม่ปิดบังพี่สะใภ้ วันนั้นข้าเองก็กลัวเป็นอย่างยิ่ง ตนเองยังไม่รู้เลยว่าพูดสิ่งใดออกไปบ้าง”

                นางหลิวบอกว่าเผยเหม่ยเหนียงไม่ใคร่ใจกว้างสักเท่าใด ประการแรกเพราะความเงียบงันของเผยเหม่ยเหนียงนั้นแสดงออกให้เห็นถึงใจคอของคนตระกูลเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการไม่ให้เกียรติพี่สะใภ้ของลูกผู้พี่ด้วย… อย่างไรเสียนางหลิวก็วุ่นวายเตรียมงานแต่งนางเข้าบ้านมาตั้งหลายวัน เพียงกระเซ้านางไปตามเหตุการณ์ไม่กี่คำ แม้สักคำก็ยังไม่ตอบมา ย่อมอดจะทำให้คนหมดสนุกไม่ได้ ประการที่สองกลับรู้สึกอยู่บ้างว่าตระกูลเผยของนางนั้นเป็นเพียงตระกูลใหญ่ ส่วนสะใภ้เช่นพวกนางทั้งสามคนล้วนถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเล เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความเงียบงันของนางเผยจึงคล้ายเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจยามอยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้เช่นนั้น

                ยามนี้เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมิได้คล้อยตามคำพูดของตน นางหลิวจึงไม่พูดสิ่งใดอีกแล้ว เพียงบอกว่า “ข้าจะไปทานอะไรเรื่อยเปื่อยสักหน่อยแล้วก็จะกลับแล้ว วันพรุ่งยังต้องเตรียมงานยกน้ำชาของสะใภ้ใหม่อีก หลังจากนั้น ก็จะได้พักผ่อนดีๆ สักสองสามวัน สองวันมานี้น้องสะใภ้สามก็เหนื่อยแล้วกระมัง?”

                “หัวเรือใหญ่ล้วนเป็นท่านแม่และพี่สะใภ้ท่านเป็นคนทำ ข้าก็เพียงช่วยบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างถ่อมตน “ข้ากลับไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

                “พอพ้นวันพรุ่งไปเจ้าก็จะไปเยี่ยมท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าได้แล้ว” นางหลิวสนทนาสรรพเพเหระกับนางระหว่างเข้าไปในงานเลี้ยง…

                เช้าวันต่อมา ตระกูลสายของเสิ่นเซวียนมารวมกันอีกครั้งในโถงกลาง เพื่อเตรียมตัวรับสะใภ้ใหม่มาทำความรู้จัก

                อาศัยจังหวะที่เสิ่นจั้งฮุยและสะใภ้ใหม่ยังไม่มา เสิ่นเซวียนจึงสอบถามถึงผลการเรียนของหลานชายหลานสาวสักสองสามคำ เพราะเสิ่นซูหมิงเป็นหลานชายเพียงคนเดียวในยามนี้ ทั้งยังเป็นหลานชายในสายหลัก จึงได้รับความสำคัญจากเสิ่นเซวียนเป็นพิเศษ และเรียกเขาเข้ามาใกล้ๆ ตัวเพื่อสอบถามผลการเรียนโดยเฉพาะ

                ทว่าไม่รู้เป็นเพราะสองสามวันมานี้นางหลิวล้วนกำลังยุ่งกับเรื่องของจวนเซียนหยิงปั๋วจนละเลยไม่เข้มงวดกับบุตรชาย และเพราะเดิมทีเสิ่นซูหมิงก็เนคนที่ไม่ใคร่ตั้งใจร่ำเรียนอยู่แล้วหรือไม่ จึงท่องบทกวีที่มีอักษรร้อยกว่าตัวออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ จนทำให้เสิ่นเซียนต้องขมวดคิ้วหนัก… เห็นสภาพการณ์ดังนั้น เขาก็ท่องไปและหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากฮูหยินซูผู้เป็นย่าไปด้วย

                ฮูหยินซูดูแลจัดการเสิ่นจั้งหนิงซึ่งเป็นบุตรสาวอย่างเข้มงวดอย่างยิ่ง แต่กับหลานชายคนโตกลับผ่อนปรนเอามากๆ เมื่อเห็นเสิ่นซูหมิงมองมา จึงช่วยพูดให้เขาว่า “พวกของจั้งฮุยก็จะมาแล้ว ท่านมาเรียกซูหมิงท่องหนังสือเอายามนี้ เขาก็คิดแต่จะดูอาสะใภ้คนใหม่ แล้วจะตั้งอกตั้งใจได้ที่ใดกัน? ค่ำๆ ค่อยมาทดสอบเขาเถิด”

                สีหน้าของเสิ่นเซวียนไม่น่าดูอย่างยิ่ง กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องมาช่วยเขาพูด กลอนบทนี้ให้ท่านอาจารย์สอนเขาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ปรากฏว่าจนยามนี้ก็ยังท่องไม่คล่อง จักต้องเอาแต่ห่วงเล่นไม่ตั้งใจท่องเป็นแน่” แล้วเรียกคนเอาไม้เรียวเข้ามา “ซูเหยียนเพิ่งจะสี่ขวบ กลอนโบราณต่างๆ ส่วนมากแล้วนางก็ท่องได้หมด เจ้าเป็นพี่ชายคนโต แต่ยังสู้น้องสาวไม่ได้ วันนี้หากไม่ให้เจ้าอยู่ฝึกฝน ก็คงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกผู้ดีตีนแดงหยิบโย่งจนได้!”

                พอเสิ่นซูหมิงได้ยินว่าจะเอาไม้เรียวมาก็ร้อนรนขึ้นมาทันใด แล้วเบือนหน้าไปไปทางเสิ่นจั้งลี่บิดาของเขาและร้องว่า “ท่านพ่อช่วยข้าด้วย!”

                ในใจเว่ยฉางอิ๋งจะร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง คิดในใจว่าหากบิดาเจ้าจะตีเจ้า แล้วเจ้าไปหาท่านปู่ให้ช่วยก็ยังแล้วไป แต่ยามนี้ท่านปู่จะตีเจ้า แล้วเจ้าไปหาบิดาเจ้าจะมีประโยชน์ใด… ทว่า เสิ่นจั้งลี่กลับออกมาช่วยพูดให้จริงๆ ด้วย เขายิ้มสู้พลางว่า “ท่านพ่อโปรดอย่าเคืองโกรธเจ้าเด็กคนนี้เลยขอรับ เพราะพรสวรรค์ของเขาก็ไม่ทัดเทียมกับเหยียนเอ๋อร์มาแต่ไร…”

                “ก็เพราะว่าพรสวรรค์ไม่ทัดเทียม จึงต้องหมั่นเพียรเพิ่มเติมให้มาก!” เสิ่นเซวียนถลึงตาแรงใส่เสิ่นจั้งลี่ พลางกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “เลี้ยงดูไม่อบรม เป็นความผิดของบิดา! โตจนป่านนี้แล้ว เจ้ากลับยังคอยให้ท้ายเขา นี่เป็นบุตรชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้ากลัวว่าเจ้าจะทำร้ายเขาไม่ได้หรือไร?”

                เสิ่นจั้งลี่ถูกต่อว่าเสียจนทำหน้าไม่ถูก นางหลิวเป็นห่วงว่าเขาจะยั่วโมโหพ่อสามีโกรธต่อไปอีก จึงฉุดแขนเสื้อเขาไว้เต็มแรง เพียงแต่เสิ่นจั้งลี่รักใคร่เอ็นดูบุตรชายยิ่งนัก เขาจึงยังสะบัดนางหลิวจนหลุด ทำหน้าทนเข้าไว้พลางเอ่ยไปว่า “ลูกรู้ผิดแล้ว แต่ยามนี้น้องสี่และน้องสะใภ้สี่ก็จวนจะมาแล้ว…”

                ฮูหยินซูเอ่ยปากอีกครั้ง “หากท่านอยากจะตีจะดุด่าลูก เวลาใดจะทำไม่ได้? แต่กลับจะต้องมาทำตอนที่หลานชายหลานสะใภ้จะมายกน้ำชา เรื่องนี้หากแพร่ออกไป ผู้คนยังจะบอกว่าท่านไม่พอใจหลานชายหลานสะใภ้ อุตส่าห์เป็นถึงท่านลุงใหญ่ แต่กลับจงใจต่อว่าต่อขานให้พวกลูกหลานดู! น่าฟังหรือไร?”

                เสิ่นเหลี่ยนสือ เสิ่นจั้งเฟิงและคนอื่นๆ ต่างพากันเอ่ยทัดทาน คุณชายหกเส่นเหลี่ยนคุนและคุณชายแปดเสิ่นเหลี่ยนเหิงพากันดึงเสิ่นซูหมิงไปข้างหลัง ดีชั่วอย่างไร ทำเช่นนี้ก็พอจะทำให้เสิ่นเซวียนคลายโทสะลงบ้าง… และเคราะห์ดีที่เป็นดังนี้ เมื่อทุกคนช่วยกันทัดทานเรื่องนี้จนสงบลงแล้ว ข้างนอกก็มีคนมารายงานว่าเสิ่นจั้งฮุยพาเผยเหม่ยเหนียงเดินผ่านมุมประตูมาแล้ว และกำลังมาทางนี้

                จึงทำให้ทุกคนที่อยู่กันเต็มโถงต่างสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย หน้าตาผมเผ้าให้กันและกัน และจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากน้อยฮูหยินซูก็เรียกให้คนเอาถ้วยน้ำชาที่ดื่มไปครึ่งหนึ่งเททิ้งไปเสีย… รอจนเสิ่นจั้งฮุยและเผยเหม่ยเหนียงเข้ามาพร้อมกันแล้ว ในโถงก็เรียบร้อยเป็นระเบียบยิ่งนัก

                ผ่านไปหนึ่งคืน จากคุณหนูเผยห้ากลายมาเป็นฮูหยินน้อยสี่ตระกูลเสิ่น เห็นชัดว่าเผยเหม่ยเหนียงดูเปิดเผยผ่อนคลายขึ้นมาก แม้บนใบหน้าจะมีสีเลือดผาดขึ้นมาด้วยความเขินอายอยู่บ่อยครั้ง ทว่าเมื่อได้ยินพวกพี่สะใภ้พูดจาหยอกล้อก็ไม่ได้ไม่ส่งเสียงใดอีก หากแต่ตอบกลับมามากบ้างน้อยบ้างสองสามคำ เดิมทีพวกของนางหลิวที่ถูกเมินเชยมาเมื่อคืนนี้ เมื่อรู้ว่าน้องสะใภ้ผู้นี้ไม่ชอบพูดจา ยามนี้จึงเพียงแสดงท่าทีเป็นมิตรไปตามธรรมเนียมด้วยการหยอกเย้าไปเรื่อยเปื่อยคำหนึ่ง แต่กลับถูกนางเผยตอบกลับมาหลายคำ จึงพากันอึ้งเล็กน้อยว่า น้องสะใภ้สี่ผู้นี้ไม่เหมือนกับคนที่เหนียมอายไม่กล้าพูดจาเลยนี่?

                เช่นนั้นที่ไม่ยอมตอบคำคืนวานนี้ หรือจะเป็นเรื่องตั้งใจ?

                กำลังคิดไปดังนั้น นางตวนมู่พลางเอื้อมมือไปประคองเผยเหม่ยเหนียงให้ลุกขึ้น แย้มยิ้มแล้วว่า “วานนี้เห็นแต่น้องสะใภ้ไม่สนใจเรื่องที่พวกเราเย้าหยอก พวกเราก็ยังหลงนึกว่าน้องสะใภ้เป็นคนไม่ชอบพูดจาเสียอีก วันนี้จึงเพิ่งพบว่าน้องสะใภ้มีคารมไม่เบาเชียว จนวานนี้หลอกพวกเราเสียสนิท”

                เผยเหม่ยเหนียงได้ยินคำ จึงกล่าวไปอย่างมิได้เสแสร้งว่า “วานนี้ข้าเหนื่อยเกินไปเจ้าค่ะ”

                นางตวนมู่รอสักพัก เห็นว่านางไม่ได้พูดมาอีกประโยคว่า “จึงกลายเป็นเพิกเฉยต่อบรรดาพี่สะใภ้แล้ว” หรือคำพูดทำนองขอขมาใดๆ จึงจำเป็นต้องฝืนยิ้ม “เช่นนั้นก็เป็นพวกพี่สะใภ้ทำไม่ถูกต้องแล้ว ที่คิดไม่ถึงว่ายามเจ้าออกเรือนก็จะเหน็ดเหนื่อยเพียงนี้ แต่กลับยังพาเจ้าพูดนั่นพูดนี่ มิน่าเล่าเจ้าจึงไม่ใคร่เอ่ยปากนัก”

                เวลาเช่นนี้หากพูดตามมารยาท เผยเหม่ยเหนียงก็ควรจะพูดว่า “คำกล่าวนี้ของพี่สะใภ้รอง ความจริงแล้วก็เป็นเพราะข้าใช้การไม่ได้ พอเหนื่อยแล้วสมองก็หมุนไม่ทัน จึงไม่รู้ว่าจะตอบพวกพี่สะใภ้อย่างไรจึงจะดี ทั้งกลัวว่าหากพูดผิดไปก็จะไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงได้เงียบเสียเจ้าค่ะ” เพื่อทำให้นางตวนมู่ได้มีทางลง แต่เผยเหม่ยเหนียงกลับกล่าวอย่างเปิดเผย ไม่สะทกสะท้านว่า “พี่สะใภ้รองไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้ามิได้โทษพวกพี่สะใภ้หรอกเจ้าค่ะ”

                “…” นางตวนมู่นิ่งเงียบ

                นางหลิวบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น ลอบคิดในใจว่าเคราะห์ดีที่ตนเองไม่ได้เป็นคนถามและมิได้พูดกับตนเอง หาไม่แล้วนางก็คงจะชักสีหน้าใส่ไปทันใดแล้ว… เพราะนางตวนมู่ไม่มีบุตรชาย ดังนั้นในวันที่สองที่เสิ่นโจ้วขอร้องให้พี่สะใภ้และหลานสะใภ้ไปช่วยงานที่จวนนางจึงไปอยู่ด้วยเพียงครึ่งวัน แต่นางหลิวกลับทำงานวุ่นวายอยู่กับแม่สามีตั้งแต่ต้นจนจบเชียวนะ!

                ทั้งนางเองก็ไม่เหมือนกับเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งจะแต่งเข้าบ้านมาไม่นาน ไม่เคยผ่านงานเช่นนี้มาก่อน จึงทำได้เพียงเป็นผู้ช่วยทำเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญนัก นับตั้งแต่นางหลิวออกเรือนมาก็เคยพบเห็นงานแต่งงานในบ้านสามีมาห้างานแล้ว แม้ปากนางจะถ่อมตนว่าไม่กล้าทำงานเพียงลำพัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางก็สามารถจัดการงานได้ตามลำพังตั้งนานแล้ว

                ประเด็นนี้นางซูเองก็เข้าใจดี จากการทำงานมาสองสามวันนี้ นอกจากตัวฮูหยินซูเองแล้วก็มีนางหลิวที่นับว่าวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยที่สุด… ดูเอาเถิด นางวุ่นวายเสียจนไม่มีแม้แต่เวลาไปดูแลการเรียนของบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว จนทำให้เสิ่นซูหมิงเสียหน้าขนานใหญ่ต่อหน้าท่านปู่ เป็นเรื่องเป็นราวจนคนทั้งบ้านต้องเข้ามาช่วยพูดปรามแก้ไขสถานการณ์!

                อุตส่าห์ทุ่มเทมากมายเพียงนี้ แม้ไม่ได้ร้องขอให้เผยเหม่ยเหนียงแต่งเข้าบ้านมาแล้วต้องสำนึกบุญคุณหรือขอบคุณเป็นนักหนา แต่ดีชั่วก็ควรจะพูดจาให้ใจชื้นสักคำกระมัง? ทว่าคำพูดประโยคหนึ่งว่า “ข้ามิได้โทษพวกพี่สะใภ้” ของน้องสะใภ้สี่นี้  หากไม่เป็นเพราะบุตรสาวคนโตของนางหลิวก็อายุสิบขวบแล้ว และนางก็ดูแลเรือนหลังมานาน ยามนี้นางอยากจะเข้าไปชี้ที่จมูกของเผยเหม่ยเหนียงแล้วถามไปประโยคหนึ่งเสียจริงๆ ว่า “เจ้าถือดีอย่างไรมาโทษพวกเรา?!”

                เว่ยฉางอิ๋งเองก็ออกจะหมดคำพูด…

                ความจริงแล้ว ตอนแรกที่นางได้ยินว่าคุณหนูเผยห้าเป็นคนขี้อายและขี้กลัว คนแรกที่นางนึกถึงก็คือท่านอาสะใภ้สามแซ่เผยที่บ้านฝั่งมารดาของตน… แต่นั่นก็เพราะนางมีชาติกำเนิดไม่ทัดเทียมกับตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว จึงกลัวว่าผู้อื่นจะพากันบอกว่านางไม่คู่ควรจะเป็นอาสะใภ้ของเหล่าสะใภ้ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ยามนั้นยังเคยคิดไปว่าหากเผยเหม่ยเหนียงเป็นคนเช่นนี้แล้ววันหน้าจะมาเป็นสะใภ้ใหญ่ในสายของเสิ่นโจ้วได้อย่างไรกัน!

                ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อดูจากในตอนนี้แล้ว แม้ทั้งเผยเหม่ยเนียงและนางเผยจะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน แต่กลับไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน นางผู้นี้อย่าว่าแต่มีท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจยามอยู่ต่อหน้าคนในบ้านสามีซึ่งอยู่ในตระกูลที่สูงกว่าตระกูลของตนเลย ความถือดีในตัวนางกลับมีอย่างล้นเหลือเสียอีก…

                แม้คำพูดประโยคนี้ของเผยเหม่ยเหนี่ยแทบจะไปล่วงเกินพี่สะใภ้ทั้งสามคน ทว่าในที่นี้นั้นข้างบนยังมีผู้ใหญ่ถัดลงมาก็มีหลานๆ และเป็นโอกาสที่สะใภ้ใหม่เข้าบ้านมายกน้ำชาในวันแรก เมื่อมองไปยังเสิ่นจั้งฮุยสามีของนาง ก็ไม่รู้ว่าได้ยินคำพูดสองประโยคนี้หรือไม่ เพราะเขายังคงจดจ้องไปที่ภรรยาด้วยสายตาที่อ่อนโยนยิ่ง ด้วยท่าที่อย่างกับว่าการยกน้ำชาจะทำให้นางอ่อนล้าเกินไปเช่นนั้น… นางตวนมู่แอบกลืนเลือดลงคอ กล่าวว่า “ต้องขอบใจน้องสะใภ้แล้ว”

                เมื่อได้นางเป็นตัวอย่าง รอจนมาถึงคราวของเว่ยฉางอิ๋ง นางก็แอบขอบคุณพี่สะใภ้รองจริงๆ ที่ให้บทเรียนเป็นตัวอย่างแก่นาง… เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่แม้จะเอ่ยถึงเรื่องเมื่อวาน แล้วเอ่ยคำอวยพรพวกเขาไปอย่างเป็นทางการ เรียกคนให้เอาของกำนัลแสดงความยินดีมาให้ และรีบส่งพวกเขาออกไปให้พ้นตัวเสียไวๆ

_______________________________

[1] คิ้วทรงภูเขา เป็นคิ้วไม่หนาไม่บาง วาดเอียงขึ้นและมีมุมหักโค้งลง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด