ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 82 องค์หญิงอันจี๋

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 82 องค์หญิงอันจี๋ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เมื่อออกมาจากตำหนักเว่ยยาง ฮูหยินซูยิ้มอ่อนๆ หนหนึ่ง เห็นชัดว่าพึงพอใจกับผลการเข้าเฝ้าฯ คราวนี้มาก

                เห็นแม่สามีอารมณ์ดีไม่เลว เว่ยฉางอิ๋งเองก็โล่งใจ

                ฮูหยินซูประคองปิ่นมุขประดับผมที่ขอบมวยผม กำลังจะเอ่ยคำกับนาง แต่กลับได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากที่ไม่ไกลนัก….

                เมื่อหันมองตามเสียงไป มองเห็นว่าที่ใต้เงาต้นหลิวต้นหนึ่งที่อยู่ข้างนอกตำหนักเว่ยยาง มีหญิงสาวในเสื้อหลากสีสองคนกำลังผลักๆ ดึงๆ กันพลางเดินเข้ามาทางนี้ มีนางกำนัลกลุ่มหนึ่งที่ดูคล้ายทั้งร้อนใจทั้งจนปัญญาเดินตามมา แต่ขัดที่นายของตนสูงศักดิ์ยิ่ง จึงทำได้เพียงเอ่ยเตือนไปอย่างอ่อนโยน ไม่กล้าออกแรงรั้งตัวนางไว้

                มองเห็นเด็กสาวในชุดหลากสีทั้งสองคนนี้ ฮูหยินซูพลันขมวดคิ้วคราวหนึ่ง แล้วกุมมือสะใภ้ เอ่ยเสียงต่ำว่า “นางมองเห็นเราแล้ว…พอถวายบังคมเสร็จแล้วก็ไปนะ เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งใด!”

                ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็มองออกแล้ว เด็กสาวเสื้อหลากสีที่อยู่ในนั้นกำลังถูกดึงสาบเสื้อ คล้ายว่าถูกลากให้เดินตามมาตลอดทาง และคอยเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา พลางร้องไห้สะอึกสะอื้นมาตลอดทางผู้นั้น….มิใช่องค์หญิงหลินชวนหรอกหรือ?

                ในวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน นางนั่งตรงสง่าอยู่บนที่นั่งหลักคอยรับการถวายพระพรจากบรรดาสตรีชั้นสูงทั่วเมือง ดูช่างองอาจปานใดสง่างามปานใด? ช่างขับความสูงส่งเลอเลิศของกิ่งทองใบหยกให้เห็นเด่นชัดยิ่งนัก

                แต่ยามนี้กลับไม่เห็นความสง่าของกิ่งทองใบหยกขององค์หญิงพระองค์นี้เลยแม้แต่น้อย  …นางสวมเสื้อส้างหรูแขนแคบคอป้ายสีแดงลูกท้อและถูกทึ้งไว้แน่นและลากไปข้างหน้าจนไม่อาจไม่เดินไปได้ คงเพราะเคยออกแรงดิ้นรนมาก่อนหน้านี้ ทำให้เสื้อส้างหรูในยามนี้ยับยุ่งเหยิงไปหมด สาบเสื้อยับเยิน กระทั่งชายเสื้อที่มัดไว้ในกระโปรงยังถูกดึงออกมาห้อยอยู่ที่ข้างกระโปรง และไม่มีเวลาจะมาจัดให้เรียบร้อย

                องค์หญิงหลินชวนที่หน้าตาเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเดินไปพลางร้องไห้ไปพลาง ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความคับแค้นใจที่ถูกรังแก อย่าเอ่ยถึงท่าทีและความสง่างามขององค์หญิงเลย สภาพของนางในยามนี้เห็นชัดว่ายังน่าอนาถเสียยิ่งว่าเด็กหญิงทั่วไปที่ถูกรังแกอย่างหนักเสียอีก…

                จากนั้นก็หันไปมองคนที่กำลังดึงตัวนาง ซึ่งดูไปแล้วยังมีอายุน้อยกว่าองค์หญิงหลินชวนสักหน่อยด้วย เป็นเพียงเด็กสาวที่อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีที่ยังมิได้ปักปิ่น นางทำผมม้วนเป็นท่อนสองข้างซ้ายขวา บนมวยผมปักปิ่นดอกโบตั๋นที่ร้อยจากลูกปัดเม็ดเล็กสีแดง แล้วผูกผมด้วยแถบผ้าห้าสี้ เพราะนางเดินอย่างเร่งร้อน มีแถบผ้าสองเส้นถูกลมพันมาข้างหน้า และห้อยย้อยลงมาบนสร้อยห่วงวงกลมดอกมู่ตานตรงหน้าอกของนาง

                เด็กสาวผู้นี้แม้จะส่วนเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสเช่นเดียวกับองค์หญิงหลินชวน แต่เมื่อเดินมาใกล้ๆ ตรงหน้าก็จะพบว่าเสื้อผ้าของนางล้วนเป็นของเก่าแล้วครึ่งหนึ่ง มิได้ดูใหม่แต่อย่างใด ทั้งรูปแบบก็เป็นแบบเก่า เทียบไม่ได้กับความมั่งคั่งสูงส่งของเสื้อผ้าใหม่หรูหราที่องค์หญิงหลินชวนสวมอยู่ทั้งตัว แต่หากว่ากันเรื่องรูปโฉม เด็กสาวผู้นี้กลับดูงดงามกว่าองค์หญิงหลินชวนมาก คิ้วโค้งวงพระจันทร์ดวงตาดังน้ำในฤดูใบไม้ร่วงบนใบหน้าเล็กเรียว เป็นสาวงามตัวน้อยโดยกำเนิดที่งดงามเสียยิ่งกว่าดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิโดยแท้

                เพียงแต่ความร้ายกาจของนางเห็นชัดว่าก็ไม่แพ้รูปโฉมงามๆ ของนางเช่นกัน นางดึงทึ้งองค์หญิงหลินชวนที่ตัวสูงกว่านางครึ่งหนึ่งให้เดินไป ทั้งยังลากองค์หญิงหลินชวนเสียจนเดินโซเซ …เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นแล้วว่าในบรรดานางกำนัลตรงหน้า มีอยู่สองสามคนเคยดูแลปรนนิบัติอยู่ข้างหลังองค์หญิงหลินชวนในงานเลี้ยงคราก่อนด้วย คาดว่าคงจะเป็นสาวใช้คู่ใจขององค์หญิง พวกนางเอื้อมมือออกมาหลายครั้งด้วยหวังจะปัดเด็กสาวที่กำลังดึงคอเสื้อขององค์หญิงหลินชวนผู้นี้ออก แต่ก็ล้วนถูกเด็กสาวผู้นี้ร้องต่อว่าต่อขานเสียงดังจนต้องถอยไป พวกนางจึงทำได้เพียงเดินตามมาอย่างร้อนรน…

                ฮูหยินซูยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก รอจนพวกนางมาถึงตรงหน้าพอดี จึงนำคนที่ตนพามาเข้าไปคำนับ “หม่อนฉันถวายบังคบองค์หญิงทั้งสองเพคะ!”

                เว่ยฉางอิ๋งคำนับตามไป ฟังจากคำทักทายของฮูหยินซูก็รู้แจ้งแล้วว่าผู้ที่กล้ามาดึงทึ้งองค์หญิงหลินชวนอยู่ข้างนอกตำหนักเว่ยยางผู้นี้คือผู้ใด…องค์หญิงอันจี๋ เป็นหนึ่งในองค์หญิงทั้งสามพระองค์ของต้าเว่ยที่ยังไม่ได้อภิเษกซึ่งนางเป็นองค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุด

                เมื่อเข้าวังหนก่อนก็ได้ยินพวกของเสิ่นจั้งหนิงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า องค์หญิงอันจี๋คอยรังแกองค์หญิงหลินชวนเรื่อยมา ครั้งนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ยังฉงนนักว่าในเมื่อองค์หญิงพระองค์นี้ไม่เป็นที่โปรดปราน แล้วเหตุใดจึงสามารถไปรังแกถึงองค์หญิงหลินชวนได้? อย่างไรเสียงองค์หญิงหลินชวนก็เป็นที่โปรดปรานนัก ยิ่งไปกว่านั้นดูไปแล้วก็ไม่ได้เป็นคนอ่อนแออันใดนี่!

                ครั้งนั้นซูอวี๋ลี่บอกว่า รอเว่ยฉางอิ๋งได้พบกับองค์หญิงอันจี๋ด้วยตัวเองก็จะรู้แล้วว่าแม้องค์หญิงหลินชวนจะเป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้ก็หาใช่คู่ปรับของน้องสาวร่วมราชวงศ์ผู้นี้ไม่…

                ยามนี้มองดูสภาพที่องค์หญิงหลินชวนร้องห่มร้องไห้อยู่ภายใต้กำมือขององค์หญิงอันจี๋ เว่ยฉางอิ๋งจึงอดรู้สึกนับถือองค์หญิงผู้นี้ขึ้นมาไม่ได้ …นางไม่กลัวเลยหรือว่าหลังฮ่องเต้ทรงทราบว่าองค์หญิงหลินชวนถูกรังแกแล้วจะลงโทษนางอย่างหนักด้วยความโกรธกริ้ว? ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่านหญิงเจินอี้อีก! ต่อให้ฮ่องเต้ไม่อาจสังหารพระราชธิดาพระองค์หนึ่งเพื่อพระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่ง ทว่าดูจากอายุขององค์หญิงอันจี๋ก็จวนจะถึงวัยอภิเษกแล้ว? กลับไม่กลัวบ้างเลยหรือว่าองค์หญิงหลินชวนจะเสนอความคิดหรือเพราะฮ่องเต้ทรงกริ้วแล้วจงใจให้นางแต่งงานกับคนไม่ได้เรื่องได้ราว?

                องค์หญิงหลินชวนในยามนี้ร้องไห้เสียจนไม่รู้จักทิศทางแล้ว เดี๋ยวก็ปาดน้ำตา เดี๋ยวก็เช็ดน้ำมูก ไม่ได้ห่วงใดๆ เลยว่าคนที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าคือผู้ใด นางรู้แค่เพียงว่าต้องคอยพยายามเอาผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มไปหมดเช็ดหน้า

                กลับเป็นองค์หญิงอันจี๋เสียอีกที่หยุดเดิน พลางหันมามองฮูหยินซูแล้วมองมาที่เว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่ง พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “กลับเป็นพวกเราที่รู้จักกาลเทศะ มองไม่เห็นว่าข้ากำลังลากหลินชวนให้เดินตามมา หากกลัวว่าเกิดเรื่องก็หันหลังไปเสีย! และนับว่าเป็นการเคารพต่อข้าด้วย”

                ฮูหยินซูใช้รอยยิ้มเชิงขอขมาที่แม้ยามอยู่ต่อพระพักตร์ฮองเฮากู้ก็ยังไม่เคยใช้ยิ้มให้นาง พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาททั้งสองล้วนเป็นกิ่งทองใบหยก คนเช่นพวกหม่อมฉันจะกล้าเสียมารยาทได้อย่างไรเพคะ?”

                คำพูดนี้ทำให้องค์หญิงอันจี๋พึ่งพอใจนัก คล้ายเป็นการยอมศิโรราบโดยดีเช่นนั้น แล้วเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “คนที่เจ้าพามาคือสะใภ้ใหม่ของเจ้าที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาผู้นั้นใช่หรือไม่? หน้าตาดีไม่เลว งดงามโดดเด่น เป็นคู่สร้างคู่สมกับเสิ่นจั้งเฟิงบุตรชายของเจ้าพอดิบพอดี”

                “หม่อมฉันขอบพระทัยในคำชมของฝ่าบาทแทนบุตรชายและสะใภ้เพคะ” ฮูหยินซูรู้จักนิสัยขององค์หญิงอันจี๋ผู้นี้เป็นอย่างดี แล้วอธิบายแทนเว่ยฉางอิ๋งไปว่า “สะใภ้ใหม่ของหม่อมฉันผู้นี้ วันนี้เพิ่งจะเข้าวังมาเป็นครั้งที่สอง ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทจึงไม่กล้าเอ่ยคำมากนัก หวังให้ฝ่าบาทประทานอภัยด้วยเพคะ!”

                องค์หญิงอันจี๋เห็นว่าแต่ต้นจนจบพวกนางล้วนเคารพนบนอบยิ่งนัก จึงเผยรอยยิ้มออกมา กล่าวว่า “เป็นสะใภ้ใหม่นี่อย่างไรก็ค่อนข้างเหนียมอาย วันหน้าเข้าออกบ่อยแล้วก็จะรู้สึกเป็นปกติเอง ข้าไม่ถือสานางหรอก… พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด ข้ายังต้องไปทวงถามความยุติธรรมกับเสด็จแม่ฮองเฮาของหลินชวน ไม่สนทนากับพวกเจ้าแล้ว”

                ฮูหยินซูปกปิดความปรีดายิ่งนักเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “หม่อมฉันถวายบังคมส่งฝ่าบาทเพคะ!”

                “ฮูหยินขั้นหนึ่งนี่รู้จักธรรมเนียมดีจริงๆ” องค์หญิงอันจี๋ได้ยินคำจึงยิ้มกว้างออกมา แล้วไม่ได้สนใจพวกนางอีกจริงๆ หากแต่ออกแรงลากองค์หญิงหลินชวน หันหน้าไปตวาดใส่นางว่า “รีบเข้าไปให้ข้าเดี๋ยวนี้! หากยังยึดๆ ยื้อๆ อีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทึ้งเสื้อผ้าเจ้าออกให้หมดเสียตรงนี้ ให้เจ้าไม่มีหน้าไปเจอผู้คนอีกชั่วชีวิตเลย?!”

                การขู่เข็นเช่นนี้กลับเป็นคำที่องค์หญิงเอ่ยออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัลอีก! เว่ยฉางอิ๋งถึงกับตาค้างปากสั่น!!!

                แต่กลับเห็นว่าองค์หญิงหลินชวนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวดใจและสะอึกสะอื้นไม่ยอมหยุดพลันสะดุ้งขึ้นมาคล้ายว่าถูกมีดแทงเอาเช่นนั้น แล้วกล่าวอย่างตื่นตกใจทำสิ่งใดไม่ถูกว่า “ขะ…ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

                …องค์หญิงหลินชวนผู้หน้าสงสาร ดูท่าว่านางจะถูกน้องสาวผู้นี้จัดการเสียจนหงอไม่กล้าโต้ตอบใดๆ แล้ว

                หลังจากส่งทั้งสองพระองค์เข้าประตูตำหนักเว่ยยางไปด้วยสายตาแล้ว ฮูหยินซูส่งเสียงอูออกมาคำหนึ่ง แล้วล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อออกมาซับเหงื่อ เว่ยฉางอิ๋งก็รีบเอาผ้าเช็ดหน้าของตนมาช่วยแม่สามีซับเม็ดเหงื่อที่หน้าผาก

                ทั้งสองคนจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย… เมื่อมองเห็นว่านางกำนัลรอบๆ ตัวห่างออกไปไกลแล้ว ฮูหยินซูจึงเตือนสะใภ้ด้วยเสียงต่ำว่า “อย่าได้ไปล่วงเกินองค์หญิงอันจี๋ผู้นั้นเป็นเด็ดขาด!”

                เว่ยฉางอิ๋งเห็นองค์หญิงหลินชวนในสภาพนั้น ก็เข้าใจประเด็นนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว นางกล่าวอย่างเกรงกลัวว่า “สะใภ้เข้าใจเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็สงสัยว่า “ท่านแม่เจ้าคะ สะใภ้ได้ยินว่าฝ่าบาทพระองค์นี้… คล้ายมิได้เป็นที่โปรดปรานนัก?”

                “ต่อให้ไม่เป็นที่โปรดปราน ทว่าก็ยังเป็นสายพระโลหิตอยู่ดี และนางเองก็มิได้มีความผิดใหญ่หลวงใด ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ไม่อาจปลดนางจากตำแหน่งองค์หญิงด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยนี่?” ฮูหยินซูได้ยินคำสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด “เจ้าอย่าได้คิดว่านางไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจะเพิกเฉยต่อนางได้เชียว! ก่อนนี้ก็มีสตรีชั้นสูงที่ไม่มีหัวคิดเกี่ยงว่านางยังเล็กทั้งท่านหญิงเจินอี้ก็ไม่เป็นที่รักมานานปีจึงเพิกเฉยต่อนาง! ปรากฏว่าถูกนางถอดเอารองเท้าไม้มาตีจนหัวแตกต่อหน้าธารกำนัลยังไม่พอ ในขณะที่กำลังทุบตีก็ยังดึงทึ้งเสื้อผ้าของสตรีชั้นสูงผู้นั้นออก… ทำให้สตรีชั้นสูงผู้นั้นอับอายจนเมื่อกลับบ้านก็ไปผูกคอตาย!”

                “…” เมื่อจินตนาไปถึงภาพคนระดับกิ่งทองใบหยกถอดรองเท้าไม้ไล่ตีสตรีชั้นสูง ทั้งยังดึงทึ้งเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก เว่ยฉางอิ๋งก็ตาค้างปากสั่นบอกว่า “แล้วเรื่องนี้ ฮ่องเต้และฮองเฮา?” แน่นอนว่าในรัชสมัยนี้ย่อมให้อภิสิทธิ์แก่องค์หญิง ทว่ากับองค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดปราน… ทั้งยังมีองค์หญิงหลินชวนซึ่งเป็นโจทก็อีกคน องค์หญิงอันจี๋ไม่น่าจะอยู่อย่างสุขสงบปลอดภัยกระมัง?

                ฮูหยินซูกล่าวว่า “นางปล่อยผมนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักเซวียนหมิงวิงวอนขอความตาย บอกว่าตนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ แต่กลับถูกสตรีชั้นสูงผู้ต่ำต้อยนางหนึ่งลบหลู่ แล้วพระราชธิดาของฮ่องเต้พระองค์นี้จะมีหน้ามีตาอยู่ได้อย่างไร? เจ้าว่าแม้แต่พระเกียรติของราชสำนักนางก็ยังยกออกมาอ้างได้ แล้วฮ่องเต้จะตรัสสิ่งใดได้? ตระกูลของสตรีชั้นสูงผู้นั้นทั้งมาขอขมา ทั้งส่งสตรีชั้นสูงผู้นั้นกลับบ้านฝั่งมารดาไป…”

                เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะคำหนึ่ง “ท่านแม่บอกว่าสตรีชั้นสูงผู้นั้นผูกคอตายแล้วนี่เจ้าคะ?”

                “ครานั้นมีสาวใช้มาพบนางเข้าพอดี” ฮูหยินซูกล่าว “ก็เพราะนางไม่ระวังเพียงครั้ง ไม่เพียงทำให้ตนเองต้องลงเอยด้วยการถูกส่งกลับบ้านฝั่งมารดา ทั้งบ้านสามีและบ้านมารดาล้วนถูกจัดการเสียจนยับเยินไปหมด! เจ้าว่านี่คุ้มหรือ? เดิมทีองค์หญิงอันจี๋ก็เป็นองค์หญิงโดยแท้อยู่แล้ว การนอบน้อมต่อนางก็ไม่นับเป็นการประจบประแจงแต่อย่างใด หากแต่เป็นธรรมเนียมที่ประชาชนทั่วไปพึงปฏิบัติอยู่แล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทพระองค์นี้ยังชอบถือสาหาความปานนี้ด้วย ดังนั้นเจ้าจงจำไว้ให้ดี ในราชวังแห่งนี้ หากเจ้าคุ้นเคยกับองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซินแล้วก็พอจะทำตัวสบายๆ ได้บ้าง ทว่ากับพระองค์นี้ ไม่ว่ายามใดก็ล้วนต้องเคารพนบนอบเข้าไว้ ต่อให้นางเกรงใจเจ้า เจ้าก็ยังต้องนอบน้อมต่อนางให้จงมาก รู้หรือไม่?”

                กิ่งทองใบหยกพระองค์นี้ กล้าข่มขู่พี่สาวร่วมราชวงศ์ซึ่งเป็นที่รักของฮ่องเต้ว่า ‘จะดึงทึ้งเสื้อผ้าเจ้าออกจนหมด’ ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยทำร้ายร่างกายสตรีชั้นสูง เว่ยฉางอิ๋งหรือจะไม่กล้าเคารพนบนอบ? นางพลันปาดเหงื่อและจดจำเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี แล้วถามอีกว่า “เรื่องของสตรีชั้นสูงในครานั้น แม้องค์หญิงอันจี๋จะลงมือหนักและไม่ละเว้นคนเกินไป ทว่าอย่างไรก็เพราะมีสาเหตุ ทว่าเรื่องที่นางคอยทำให้องค์หญิงหลินชวนลำบากนี้?”

                “นางไม่กลัวตายไม่กลัวโทษทัณฑ์ แล้วฮ่องเต้และฮองเฮาจักเท่าเช่นใดได้?” ฮูหยินซูส่งเสียงหึคำหนึ่ง กดเสียงลงต่ำ กล่าวว่า “อย่างไรเสีย ดีชั่วนางก็มิได้เป็นที่รักอย่างใดขององค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว นางจึงไม่กลัวจะทำให้ฮ่องเต้ทรงว้าวุ่นพระทัยเพราะนางอีกสักน้อย กลับเป็นองค์หญิงหลินชวนเสียอีกที่กลัวว่าหากวันหนึ่งไปทูลฟ้องสองสามครั้งแล้วจะทำให้ฮ่องเต้ทรงรำคาญตนเอา”

                …นี่เรียกว่าคนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า[1]ใช่หรือไม่?

                เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจแล้ว ดีชั่วอย่างไรมารดาขององค์หญิงอันจี๋ผู้นี้ก็ไม่เป็นที่รักมานานปีแล้ว ตนเองก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะก่อเรื่องเช่นใด ขอเพียงไม่ทำเรื่องบ้าคลั่งไร้เหตุผลจนเกินไป ด้วยฐานะที่อย่างไรนางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็จะไม่จัดการนางหนักหนานัก ให้ลงทัณฑ์ต้องโทษบ้างเล็กๆ น้อยๆ นางก็หาสนใจไม่!

                กลับเป็นองค์หญิงหลินชวนเสียอีกที่พระมารดาสนมเม่าผินเสียไปแล้ว ฮองเฮากู้พระมารดาเลี้ยงสูงศักดิ์ก็สูงศักดิ์อยู่ ทว่าจะอย่างไรฮองเฮากู้ก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของนาง ทั้งตนเองก็ยังมีองค์รัชทายาทและองค์หญิงชิงซินซึ่งเป็นที่รักของฮ่องเต้มากเช่นกัน แม้จะเลี้ยงดูนางอย่างดูแลใส่ใจและให้ความสำคัญเพียงใด ก็ไม่อาจคำนึงถึงนางได้เช่นเดียวกับมารดาแท้ๆ

                ยิ่งไปกว่านั้นการตายของสนมเม่าผินก็คล้ายจะเกี่ยวพันกับฮองเฮากู้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย และดูไปแล้วก็ไม่เหมือนว่าองค์หญิงหลินชวนจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับฮองเฮากู้เสียทีเดียว…

                แม้องค์หญิงหลินชวนจะเป็นที่รักของฮ่องเต้ ทว่าลำพังแค่ในรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์นี้ก็เปลี่ยนฮองเฮามาแล้วสามพระองค์ องค์รัชทายาทก็เปลี่ยนมาสามพระองค์เช่นกัน สนมที่เป็นที่โปรดปรานในวังยิ่งเปลี่ยนไปมามากมายกว่านั้น ทั้งฮองเฮา สนม พระราชโอรสและพระราชธิดาที่ฮ่องเต้เคยเห็นว่าล้ำค่านั้นมีมากมาย มากมาย มากมายนัก!

                มากเสียจนเกรงว่าแม้แต่องค์ฮ่องเต้เองก็ยังจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเคยมีมามากมายเท่าใดเลย

                อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย องค์หญิงหลินชวนหรือจะกล้าไปทูลฟ้องทุกครั้งที่ถูกรังแก? ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อไปทูลฟ้องมากๆ เข้า จะทำให้ฮ่องเต้เกิดรำคาญนางขึ้นมาและไม่รักใคร่นางหรือไม่?

                ว่ากันตามตรง การที่ฮองเฮากู้ให้ความสำคัญกับองค์หญิงหลินชวน ประการแรกก็เพื่อสร้างชื่อเสียงอันดีงามให้แก่ตน ประการที่สองก็คงไม่พ้นมีความเกี่ยวข้องกับฐานะ ‘องค์หญิงโปรดปราน ฮ่องเต้ไม่ขัด’ ขององค์หญิงหลินชวนยามอยู่ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้

                หากไม่ได้เป็นที่รักของฮ่องเต้แล้ว ด้วยความเคลือบแคลงใจขององค์หญิงหลินชวนเรื่องการเสียชีวิตของพระมารดาสนมเม่าผิน จึงจงใจหันมาต่อต้านฮองเฮากู้ และมีแนวโน้มจะไปซบอกสนมเอกเติ้ง ฮองเฮากู้จะยอมละเว้นนางก็แปลกแล้ว!

                ดังนั้นต่อให้องค์หญิงหลินชวนเป็นที่รักมากว่าองค์หญิงอันจี๋มาก แต่ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งกันระหว่างพี่น้อง อย่างไรนางก็ทำได้เพียงต้องพึ่งตนเอง…

                แต่ความร้ายกาจขององค์หญิงอันจี๋ก็กลับเกินที่คนทั่วไปจะรับได้เสียนี่… ลำพังว่ากันเรื่องของสตรีชั้นสูงผู้นั้นเถิด เวลานี้องค์หญิงอันจี๋เพิ่งพระชันษาสิบสามสิบสี่ปี นับแต่เว่ยฉางอิ๋งออกเรือนมาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เห็นได้ว่าเรื่องนี้ซาไปแล้ว เรื่องใหญ่โตเพียงนี้หากไม่ใช่เวลาสักสองสามปีแล้วจะซาลงไปได้อย่างไร?

                แล้วเมื่อสองสามปีก่อน องค์หญิงอันจี๋เพิ่งจะมีพระชันษาเท่าใดเอง? เกรงว่ายังไม่ทันสิบขวบเสียด้วยซ้ำ!

                แม้สตรีชั้นสูงจะเกรงกลัวต่อฐานะองค์หญิงของนางจึงมิได้ตอบโต้เท่าใด แต่เกรงว่าตอนนั้นองค์หญิงอันจี๋ยังสูงไม่ถึงไหล่ของสตรีชั้นสูงผู้นั้นเลย แต่นางกลับสามารถตีหัวสตรีชั้นสูงผู้นั้นจนแตกได้! ชุดพิธีการที่ใช้เข้าเฝ้าฯ ทั้งหนักและหนาเพียงใด ก็ยังถูกดึงทึ้งออกมาได้…เห็นได้ว่าแม้องค์หญิงพระองค์นี้จะไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ลำพังความร้ายกาจที่มีในตัวนี้ก็สามารถจัดการสตรีมีตระกูลส่วนใหญ่ได้อย่างแน่นอน…

                ดังนั้น แม้องค์หญิงหลินชวนจะโตกว่าน้องสาวผู้นี้ ก็กลับหาใช่คู่ปรับของนางไม่ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็มีเรื่องให้ต้องคอยห่วง จึงไม่อาจไม่ปล่อยให้นางรังแก…

                มิน่าเล่าตั้งแต่ลูกผู้พี่จนถึงแม่สามี จึงล้วนมีท่าทีเกรงกลัวเป็นนักหนายามเอ่ยถึงองค์หญิงอันจี๋… เว่ยฉางอิ๋งคิดอยู่เงียบๆ ว่า ‘ที่แท้ผู้คนล้วนหวาดกลัวคนชั่วร้ายเช่นนั้นหรือ?’

_____________________________

[1] คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า หมายถึง คนที่ไม่มีอะไรต้องเสียย่อมไม่กลัว แต่คนมีสิ่งที่ต้องห่วงจึงต้องหวาดกลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด