ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 13 คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 13 คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

              ยามนี้ข้างนอกยังคงมีฝนตก ชายเสื้อของเสิ่นจั้งเฟิงจึงมีรอยเปื้อนโคลนหลายแห่ง เขาเข้ามาพูดกับเว่ยฉางอิ๋งคำหนึ่ง แล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง

              นางว่านเห็นเขากลับมาแล้ว จึงได้บอกปัดเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งชวนนางทานข้าวด้วยและออกไป

              เว่ยฉางอิ๋งรอจนเสิ่นจั้งเฟิงออกมา จึงกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ยามข้าไปคารวะท่านแม่ บ้านซูส่งข่าวมาว่าท่านยายหมดสติไป…เจ้าอยู่กับท่านพ่อรู้เรื่องแล้วหรือไม่?”

              เสิ่นจั้งเฟิงหยิบจอกน้ำเฉินเซียงที่นางดื่มไปครึ่งหนึ่งก่อนหน้านี้มาดื่มอึกหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด แล้วว่า “เมื่อครู่ได้ยินคนบอกแล้ว ท่านพ่อให้พี่ใหญ่ไปดูด้วยเช่นกัน พวกเราเพิ่งจะแต่งงานใหม่ไม่ค่อยสะดวกออกนอกบ้าน” ตามธรรมเนียมแล้วคู่สามีภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานใหม่ไม่ควรออกเยี่ยมเยือนผู้อื่นหรือออกไปนอกบ้าน

              ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฮูหยินซูก็ดี เสิ่นเซวียนก็ดี จึงให้แต่เพียงสะใภ้รอง และบุตรชายคนโตออกหน้า ไม่ให้บ้านสามไปเกี่ยวข้องด้วย

              เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังจอกเงินของตนที่อยู่ในมือเขา ได้แต่เม้มปากไม่พูดสิ่งใด เพียงกล่าวว่า “ท่านแม่พาพี่สะใภ้รองและจั้งหนิงไป บอกข้าว่าหากมีเรื่องให้ขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อครู่ข้าถามพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าให้ข้ามาจัดเรือนของตนก็พอแล้ว”

              “ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่ก็พูดเช่นนี้แล้ว เจ้าก็จัดการในเรือนของเราให้เรียบร้อยก็พอแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “ดีชั่วอย่างไรพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นคนที่ดูแลเรื่องในบ้านมาโดยตลอด ยามนี้เมื่อทำธุระของเราเสร็จแล้วก็ไม่มีเรื่องใหญ่ใดให้ต้องเป็นกังวล”

              เขาไม่แม้จะเอ่ยถึงหลิวรั่วอวี้ แต่กลับเอ่ยออกมาเองว่า “เมื่อครู่ท่านพ่อให้ข้าไปหาเพื่อบอกว่า วันมะรืนนี้ให้ข้าเข้าวังไปรายงานตัวหลังขอลาพัก และอย่าลืมไปขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วย”

              เว่ยฉางอิ๋งถามว่า “เรื่องที่ฮ่องเต้อนุญาตให้เจ้าลาพักหรือ?” อย่าได้มองแค่เพียงว่าวันมะรืนเสิ่นจั้งเฟิงต้องเข้าไปรายงานตัวหลังลาพักแล้ว หากนับกันตั้งแต่เขาเดินทางไปรับเจ้าสาวที่เฟิ่งโจวทั้งไปกลับ ระยะเวลาที่ฮ่องเต้ให้เขาลาพักหนนี้นับว่าไม่น้อยเลย

              “ก็ไม่ทั้งหมด” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “วันที่พวกเราแต่งงาน ฮ่องเต้ได้พระราชทานไข่มุกเม็ดหนึ่งมาให้ในโอกาสนี้ด้วย ท่านพ่อเกรงว่าข้าไม่รู้จึงได้กำชับอีกหน”

              เรื่องเช่นนี้เพียงส่งคนสักคนมาบอกก็พอแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงรับตำแหน่งราชองครักษ์ชินตั้งแต่อายุสิบห้า คอยอยู่ข้างกายฮ่องเต้มาก็ห้าปีแล้วนับเป็นที่พอพระทัยยิ่ง แต่เพียงแค่เรื่องที่ต้องไปขอบพระทัยฮ่องเต้ ก็มิต้องให้เสิ่นเซวียนเป็นคนมาบอกเอง เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าที่เสิ่นเซวียนเรียกเขาไปพบยังต้องมีเจตนาอื่นอีก มีความเป็นไปได้ยิ่งว่าฮูหยินซูต้องการจะทดสอบตนโดยลำพังสักหน… เพียงแต่ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะโชคดีหรือไม่ที่แม่เฒ่าเติ้งมารดาของฮูหยินซูจู่ๆ ก็มาหมดสติ ทำให้ฮูหยินซูไม่มีแก่ใจจะมาทดสอบสะใภ้เสียแล้ว

              เว่ยฉางอิ๋งยังคงรู้สึกกังวลต่ออาการป่วยของแม่เฒ่าเติ้ง หลังจากทานอาหารกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว จึงเอ่ยถามว่าโดยปกติแล้วแม่เฒ่าเติ้งรักษากับท่านหมอท่านใด

              เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “เป็นแพทย์หลวงจี้ในสำนักแพทย์หลวง”

              “เป็นจี้ชวี่ปิ้งรึ?” เว่ยฉางอิ๋งโล่งอก กล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินท่านแม่บอกว่า วิชาแพทย์ของท่านหมอจี้ท่านนี้เป็นเลิศนัก”

              หารู้ไม่ว่าเสิ่นจั้งเฟิงกลับส่ายหน้า “มิใช่ท่านหมอเทวดาจี้ แต่เป็นจี้ฉงหย่วน เมื่อนับไปก็มีศักดิ์เป็นอาในตระกูลของท่านหมอเทวดาจี้”

              เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจนัก “ท่านหมอเทวดาจี้?” ฉายาว่าหมอเทวดานี้ก็นับว่าเป็นการให้เกียรติเขาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเสิ่นจั้งเฟิงเองก็ยังเรียกขานเขาเช่นนี้ ทว่า… “หรือว่าจี้ชวี่ปิ้งมิได้เป็นแพทย์หลวง?”

              เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้าบอกว่า “ไม่ใช่”

              “เพราะเหตุใด?” เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจยิ่ง ครานั้นยามเว่ยเจิ้งหงมีร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด มีหมอใดที่ตระกูลเว่ยไม่ได้เชิญมารักษาเขา? สุดท้ายแล้วก็ยังมีเพียงจี้ชวี้ปิ่งที่สามารถรักษาได้ ตามฐานะของตระกูลเว่ยแล้ว แพทย์ที่เชิญมาเป็นอันดับแรกย่อมต้องเป็นแพทย์หลวงและคนในสำนักแพทย์หลวง ความสามารถทางการแพทย์ของจี้ชวี่ปิ้งนั้น มีหรือที่แม้แต่จะเข้าทำงานในสำนักแพทย์หลวงก็ยังทำไม่ได้?

              เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ไม่ยอมเข้าสำนักแพทย์หลวง หลายปีก่อนยังเปิดสำนักแพทย์ของตน ภายหลังคล้ายว่ามีเรื่องบาดหมางบางประการกับในตระกูล จนแม้แต่สำนักแพทย์ก็ยังปิดไปเสียแล้ว ยามนี้หากมิใช่คนคุ้นเคยพาเข้าไปพบก็จักไม่รักษาให้ ทั้งยังใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษอีกด้วย”

              เขากล่าวเสียงหนักว่า “ทว่าในเมื่อท่านแม่พาพี่สะใภ้รองไปด้วย หากท่านแพทย์หลวงจี้ไม่อาจรักษาได้ ก็คงให้พี่สะใภ้รองกลับไปที่บ้านมารดาของนางสักหน หากไม่อาจเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาได้ อย่างไรศิษย์ของเขาก็จักต้องมา”

              เรื่องที่จี้ชวี่ปิ้งไม่ยอมเป็นแพทย์หลวงกลับไม่ได้ยากจะเข้าใจ เพราะอย่างไร จี้อิงปู่ของเขาซึ่งเคยเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง แต่สุดท้ายกลับต้องเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในราชสำนัก ตัวตายทั้งยังทำให้ภรรยาและบุตรต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย แม้แต่จี้ชวี่ปิ้งเองก็ยังต้องระหกระเหินไปทั่ว ได้รับความลำบากเหลือแสน จึงอาศัยพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาที่ละก้าว จนได้ฉายาว่าหมอเทวดา

              ทว่าความหมายในคำพูดเสิ่นจั้งเฟิงนั้นคือหากบ้านซูไม่อาจเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาได้ ก็คงต้องให้นางตวนมู่ออกหน้า… เว่ยฉางอิ๋งจึงถามอย่างสงสัยว่า “ยามนี้เชิญท่านหมอเทวดาจี้มารักษายากเย็นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” ในสายตาของนาง ฐานะของตระกูลซูก็ไม่ได้น้อยหน้าตระกูลตวนมู่? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการมารักษาฮูหยินผู้เฒ่าด้วย?”

              เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวเตือนไปว่า “ท่านยายเป็นบุตรสาวตระกูลเติ้ง”

              เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เข้าใจ ก่อนนี้ฮูหยินซ่งท่านแม่ของนางมิใช่เคยบอกแล้วหรือ? ว่าข้อหาของจี้อิงคือช่วยเหลือพระสนมฮั่วในตำแหน่งสนมซูเฟยวางแผนทำร้ายองค์ชายหกพระโอรสของพระสนมเอกเติ้ง? หลังจากนั้นด้วยจี้ชวี่ปิ้งอายุยังน้อยจึงได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนที่เคยรักษากับจี้อิงยามเขายังทำงานอยู่จึงรอดพ้นจากโทษทัณฑ์มาได้ แต่เพราะอำนาจของตระกูลเติ้ง สกุลจี้จึงไม่กล้าปกป้องเขา ทำได้เพียงปล่อยให้เขาเร่ร่อนไปทั่ว

              ในเมื่อหลังจากคนผู้นี้มีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว แม้แต่สำนักแพทย์หลวงก็ยังไม่ยอมเข้า หากวันนี้จะไม่ยอมรักษาคนตระกูลเติ้งก็มิใช่เรื่องแปลก เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งนึกว่าจี้ชวี่ปิ้งซึ่งมีชาติกำเนิดในตระกูลแพทย์ที่ทำงานสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ก่อนนี้ก็คงจักเป็นคุณชายที่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ หลังจากที่บ้านเกิดเรื่องแล้วก็ต้องทนลำบากอยู่นาน หลังจากนั้นด้วยมารักษาบิดาของตน จึงเป็นการปลุกชื่อเสียงของปู่ของเขาขึ้นมาอีกหน และไปเข้าตาของตระกูลใหญ่ต่างๆ… ว่ากันตามหลักการแล้วเขาควรจักเปิดสำนักแพทย์ซึ่งทำการรักษาด้วยวิชาทางฝั่งของจี้อิง ต่อให้ไม่เข้าสำนักแพทย์หลวงก็ควรจะต้องคบค้าสมาคมกับตระกูลใหญ่ต่างๆ เอาไว้ให้มากจึงจะถูก

              แต่ยามนี้ดูไปแล้วจี้ชวี่ปิ้งก็มิได้มีความคิดเช่นนี้ กลับกันเขายังคงเก็บเรื่องโทษทัณฑ์ของปู่ของตนเอาไว้ในใจไม่ลืม จนถึงขั้นที่ความสัมพันธ์ที่มีต่อตระกูลก็ไม่ใคร่ดีนัก… หาไม่แล้วจี้ฉงหย่วนซึ่งมาตรวจรักษาให้แม่เฒ่าเติ้งในยามนี้ก็เป็นอาของจี้ชวี่ปิ้ง เหตุใดจึงต้องให้นางตวนมู่กลับไปบ้านของตนจึงสามารถเชิญมาได้เล่า?”

              ทว่าเรื่องของนางตวนมู่… หรือในบรรดาตระกูลที่เคยปกป้องจี้ชวี่ปิ้งในครานั้นก็มีตระกูลตวนมู่รวมอยู่ด้วย? เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าตระกูลเว่ยมีส่วนช่วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮูหยินซ่งเคยพูดจากปาก ยิ่งไปกว่านั้นนางหวงซึ่งติดตามตนมาด้วยยามแต่งงานยังได้รับการสอนสั่งเรื่องวิธีปรุงอาหารยาจากจี้ชวี่ปิ้งด้วย… หรือว่าความสัมพันธ์ของตระกูลตวนมู่และจี้ชวี่ปิ้งจะแน่นแฟ้นเสียยิ่งกว่าตระกูลเว่ย?

              นางจึงลองสอบถามไป

              เสิ่นจั้งเฟิงยิ้ม กล่าวว่า “ศิษย์เพียงคนเดียวของท่านหมอเทวดาจี้ก็คือคุณหนูแปดแห่งตระกูลตวนมู่ ก่อนออกเรือนนั้นพี่สะใภ้รองของเราคือคุณหนูรองของบ้านตระกูลตวนมู่ ดังนั้น…”

              “คุณหนูตระกูลตวนมู่ถึงกับได้คารวะท่านหมอเป็นอาจารย์หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งตกใจ “ญาติผู้ใหญ่ของคุณหนูแปดผู้นี้ยินยอมหรือ?”

              แม้ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะถูกเรียกขานอย่างให้เกียรติว่าเป็นหมอเทวดาแต่อย่างไรก็เป็นคนในตระกูลช่าง คุณหนูในชนขั้นปกครองจะลดตัวลงไปคารวะเขาเป็นอาจารย์ได้อย่างไร? ดังเช่นเว่ยฉางอิ๋ง แม้ว่าจะร่ำเรียนเพลงยุทธ์ของตระกูลเจียงจากเจียงเจิงมาเจ็ดแปดส่วน แต่ในนามแล้วอย่างไรก็ไม่ใช่ศิษย์ของเจียงเจิง ซึ่งก็มิใช่ว่าเว่ยฉางอิ๋งดูแคลนเจียงเจิง ทว่าต่อให้นางอยากจะไหว้ครู แต่พวกแม่เฒ่าซ่งก็จะไม่มีวันเห็นด้วย

              “พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องมีร่างกายไม่สู้ดีมาโดยตลอด” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “พระมารดาไช่อ๋องก็คือพี่สาวแท้ๆ ของคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ ก่อนนี้ครั้งฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่ยังไม่เสีย นางก็รักใคร่พระมารดาไช่อ๋องเป็นที่สุด ส่วนพระมารดาไช่อ๋องก็รักใคร่คุณหนูแปดเป็นที่สุด ปรากฏว่าในภายหลัง… นับแต่นั้นมาพระมารดาไช่อ๋องก็ไม่ยอมพบใครอีกนอกจากฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูแปด ยามล้มป่วยก็ไม่ยอมให้หมอไปรักษา คุณหนูแปดจึงคอยรบเร้าฮูหยินผู้เฒ่าว่าต้องการจะเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดาจี้ ประการแรกฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่สงสารพระมารดาไช่อ๋องมาก ประการที่สองก็ทนนางรบเร้าไม่ไหว จึงได้ตกปากรับคำ”

              เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งยังคงมองตนด้วยสายตาประหนึ่งว่ามีหมอกอยู่เต็มหัว เขาพลันงงงันขึ้นมา คิดดูสักพักจึงได้เข้าใจ แล้วรีบอธิบายไปว่า “ไช่อ๋องผู้เฒ่าก็คือองค์ชายสี่”

              เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมา…องค์ชายสี่ ก็มิใช่อดีตองค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชสมัยนี้ซึ่งเป็นพระโอรสของอดีตของฮองเฮาเฉียนหรอกหรือ? ครานั้นองค์ชายสี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทด้วยพระมารดาอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ ภายหลังอตีดฮ่องเฮาเฉียนต้องโทษให้ปลิดชีวิตด้วยข้อหาวางแผนทำร้ายนางใน และมิได้คืนบรรดาศักดิ์ให้ องค์ชายสี่จึงถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งองค์รัชทายาทไปด้วยเช่นกัน พระองค์มิได้คลุ้มคลั่งจนปลิดชีวิตตนเองเหมือนพระเชษฐา หากแต่ตรอมพระทัยจนสิ้นพระชนม์อยู่ในแคว้นศักดินาในเวลาหลายปีต่อมา

              ดูไปแล้วเมื่อสิ้นพระชนม์จึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นไช่อ๋องผู้เฒ่า ผู้ที่เคยเป็นพระชายาองค์รัชทายาทจึงกลายเป็นพระมารดาไช่อ๋อง ส่วนเดิมทีที่เป็นพระโอรสในองค์รัชทายาทก็กลายมาเป็นไช่อ๋อง

              เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไปถึงซ่งไจ้สุ่ยลูกผู้พี่ของนางไม่ได้

              หากซ่งไจ้สุ่ยมิได้เสียโฉม หนนี้ก็เกรงว่าคงต้องแต่งเข้าวังตะวันออกไปแล้วกระมัง? เพียงไม่ทันระวังตัว ชีวิตอย่างพระมารดาไช่อ๋อง ผู้ที่อยู่ในวัยสาวสะพรั่งแต่กลับต้องถูกกักขังอยู่แต่ในเรือน ใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการเฝ้าดูแลบุตรชาย ก็จะต้องกลายมาเป็นชีวิตในวันพรุ่งของซ่งไจ้สุ่ย

              ต่อให้องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ อดีตฮองเฮาเฉียน อดีตพระสนมแซ่ฮั่ว…คนเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว

              แต่แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะสามารถยกเลิกสัญญาแต่งงานได้ดังหวัง ทว่าอนาคตของนางก็เท่ากับถูกทำลายไปสิ้นแล้ว

              เว่ยฉางอิ๋งอดจะทอดถอนใจไม่ได้

              เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้ว่านางคิดไปถึงซ่งไจ้สุ่ย ยังนึกว่านางสงสัยเรื่องของพระมารดาไช่อ๋องอยู่ จึงขยายความต่อไปอีกว่า “คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่มีพรสวรรค์ในด้านการแพทย์มาก ก่อนนี้พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่ตลอดเวลา หลายปีมานี้ได้นางเป็นคนรักษาก็กลับดีขึ้นอย่างมาก เท่าที่รู้มาท่านหมอเทวดาจี้ชมเชยว่านางเรียนรู้วิชาของเขามาได้หกส่วนแล้ว ท่านยายทางนั้นนางก็ไปดูด้วย แต่คาดว่าคงจักจนปัญญา”

              “แต่ก็หวังว่าท่านยายจะสามารถหายในเร็ววัน!” เว่ยฉางอิ๋งพูดไปดังนั้น แต่ในใจกลับคิดว่า “ก็มิน่าเล่าพี่สะใภ้รองผู้นี้จึงได้พยายามแสดงออกนักหนา ตนเพิ่งจะเข้าบ้านก็มาขัดแข้งขัดขา ที่แท้ก็เพราะนางมีบุตรสาวที่คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าเป็นเทพธิดาน้อย ทั้งบ้านฝั่งมารดายังมีน้องสาวร่วมสกุลที่มีวิชาแพทย์สูงส่ง

              วิชาแพทย์ของคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่นั้นเก่งกล้าถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นหญิง จึงทำให้เหล่าตระกูลสูงศักดิ์สามารถเชิญนางมาได้สะดวกกว่าเชิญแพทย์หลวงมากนัก ไม่แน่ว่าผู้คนสูงศักดิ์ภายในวังก็อาจจะชอบเรียกหานางด้วย… ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปสอบถามข่าวคราวต่างๆ ก็ดี หรือบุญคุณและน้ำใจก็ดี…ก่อนนี้ที่จี้ชวี่ปิ้งสามารถพ้นภัยมาได้ ก็มิใช่เพราะบุญคุณและน้ำใจที่จี้อิงปู่ของเขาเคยสร้างเอาไว้หรอกหรือ?

              ก็ดังเช่นหนนี้ แม่เฒ่าเติ้งมารดาของฮูหยินซูล้มป่วยลง หากบรรดาแพทย์หลวงล้วนไม่อาจรักษาได้ แต่กลับเป็นเพราะเรื่องที่จี้อิงเคยประสบมา จี้ชวี่ปิ้งจึงไม่อยากจะช่วยคนบ้านสกุลเติ้งเลยแม้แต่น้อย แต่นางตวนมู่กลับสามารถเชิญคุณหนูแปดบ้านตวนมู่ซึ่งเป็นศิษย์ที่จี้ชวี่ปิ้งสอนสั่งมากับมือมาได้ เพียงคิดก็รู้แล้วว่า จี้ชวี่ปิ้งมีศิษย์ผู้นี้เพียงผู้เดียว หากคุณหนูแปดบ้านตวนมู่ไม่อาจรักษาแม่เฒ่าเติ้งได้และไปขอร้องให้อาจารย์มา แม้จี้ชวี่ปิ้งจะไม่ยอมปล่อยว่างความแค้นแล้วมารักษาด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยก็ต้องให้คำชี้แนะมาบ้าง

              หรือต่อให้จี้ชวี่ปิ้งไม่ไยดี อย่างไรบ้านตระกูลซูก็ย่อมเป็นหนี้บุญคุณนาง

              ลำพังเพียงเรื่องนี้ วันหน้าฮูหยินซูก็จะต้องดีกับนางตวนมู่มากขึ้นสักหน่อย เพราะอย่างไรสะใภ้ผู้นี้ก็เป็นผู้ที่พาคนมาช่วยมารดาของนาง

              ทว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งพอจะรู้สึกได้ว่าไม่อาจมองผ่านนางตวนมู่ผู้นี้ไปได้ แต่กลับมิได้รู้สึกว่าต้องเป็นกังวลเกินไป ไม่ว่าฮูหยินซูจะเอาอกเอาใจหรือดีต่อนางตวนมู่เพียงใด เสิ่นเหลี่ยนสือก็มิใช่บุตรชายแท้ๆ ของฮูหยินซู

              ส่วนเสิ่นจั้งลี่นั้น นอกจากเขาจะเป็นบุตรชายแท้ๆ แล้วยังเป็นบุตรชายคนโตอีกด้วย เช่นนี้แล้วกลับมิได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้ที่จะมาเป็นประมุขของตระกูล แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่รู้ว่าพี่สามีคนโตผู้นี้มีปัญหาที่ใด แต่คิดว่าตระกูลคงมิอาจฝากความหวังไว้ที่เสิ่นจั้งลี่ได้มากนัก

              …หลังจากทานอาหารเที่ยงแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่มีเรื่องใดให้ทำ ฟังเสียงฝนไป จึงเริ่มหารือกันเรื่องการจัดเรือนขึ้นมา

              ห้องพักแขกที่เรือนหน้า เว่ยฉางอิ๋งมอบหมายให้นางหวงและนางว่านไปจัดการ คิดว่ารอจนพวกนางจัดแจงเรียบร้อยแล้วตนเองไปดูสักหน หากไม่มีที่ใดขาดตกพกพร่องก็เสร็จการแล้ว อย่างไรเสิ่นจั้งเฟิงก็บอกแล้วว่า เพียงให้เพื่อนพ้อง…ซึ่งความจริงก็คือที่ปรึกษาไม่กี่คนของเขามาอาศัยพักค้างแรมบ้างบางคราว

              กลายเป็นห้องหนังสือเล็กเสียอีกที่เว่ยฉางอิ๋งเอารายชื่อสิ่งของที่จะนำเข้าไปวางไปบอกเขา เสิ่นจั้งเฟิงฟังแล้วก็เพิ่มเติมไปอีกสองสามรายการ สุดท้ายทั้งสองคนจึงไปดูพวกบ่าวจัดวางสิ่งของแต่ละชิ้นในห้องหนังสือด้วยกันเสียเลย เมื่อมองดูส่วนที่จัดออกมาแล้วจึงค่อยสั่งว่าให้เพิ่มหรือลดสิ่งใด ทั้งยังให้คนนำดอกไม้ตามฤดูกาลสองสามกระถางเข้าไปจัดวางเพิ่มอีก คอยปรับเปลี่ยนอยู่เช่นนี้จนถึงเวลาอาหารค่ำจึงตัดสินใจว่าจะนำอาวุธเข้าไปจัดวางเพิ่มเติมด้วย

              เมื่อมองดูห้องหนังสือเล็กที่จัดใหม่ทั้งหมด ทั้งสองคนล้วนรู้สึกอิ่มเอมใจที่ทำงานได้ลุล่วง

              ท้ายสุดก็เหลือเพียงผนังด้านหนึ่ง

              เสิ่นจั้งเฟิงเสนอว่า “แขวนภาพวาดโบราณ? เจ้าชอบผลงานของผู้ใด ข้าจะไปดูว่าในคลังมีหรือไม่ หากว่ามีก็จะไปขอจากท่านแม่มา”

              เว่ยฉางอิ๋งขบคิดเรื่องผนังนี้อยู่นาน ในสมองพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา จึงสั่งให้คนเอากระบี่ ‘ลู่หู’ ที่เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีออกมา

              “นี่กลับเป็นความคิดที่ดีทีเดียว” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำ พลางหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าประหลาด… ความจริงแล้วที่วันนี้เสิ่นเซวียนเรียกเขาไปพบ เป้าหมายโดยอ้อมก็คือต้องการจะบอกว่าในเมื่อได้มอบกระบี่คู่ชายหญิงคู่หนึ่งให้เป็นของกำนัลรับไหว้ไปแล้ว ดีชั่วอย่างไรสะใภ้ก็ไม่ได้ใช้กระบี่ ‘ลู่หู’ เช่นนั้นก็…

              ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงที่หมายปองกระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มนี้มานานแล้วเช่นเดียวกับเสิ่นโจ้ว มีหรือจะยอมคืนให้เขา? ไม่ว่าเสิ่นเซวียนจะพูดเช่นใดเขาก็ไม่ยอมรับปาก บอกแต่เพียงว่าของที่มอบให้ภรรยาไปแล้วเขารู้สึกกระดากใจที่จะออกปากขอคืนมา

              เขายังรู้สึกกระดากใจ แล้วมีหรือเสิ่นเซวียนจะไม่กระดากใจและไปเอ่ยปากกับสะใภ้? เขาจึงโกรธเคืองหายใจฮึดฮัดอยู่เป็นนานจนเกือบจะปรี่เขาไปชกเสิ่นจั้งเฟิงเสียแล้ว ภายหลังมีข่าวส่งมาว่าแม่เฒ่าเติ้งหมดสติ เสิ่นเซียนจึงเรียกบุตรชายคนโตมาหาและสั่งให้เขาไปเยี่ยมดู เสิ่นจั้งเฟิงจึงอาศัยโอกาสนี้เอาตัวรอดออกมา

              ซึ่งเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจให้เว่ยฉางอิ๋งล่วงรู้

              เสิ่นจั้งเฟิงคิดว่า ‘หากท่านพ่อรู้ว่าอิ๋งเอ๋อร์เอากระบี่เล่มนี้มาแขวนเป็นของตกแต่งในห้องหนังสือเล็ก… ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกกลัดกลุ้มเพียงใด?’ เมื่อกำลังคิดดังนี้สีหน้าของเขาจึงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขึ้นมา…

              เมื่อกระบี่ ‘ลู่หู’ ส่งมาถึง เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนรับมาเพื่อจะนำไปแขวนเอง เว่ยฉางอิ๋งชี้บอกตำแหน่งที่ต้องการแขวนก่อน จากนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อสำรวจดู แล้วรู้สึกว่ายังไม่ใคร่พอใจจึงขยับไปซ้ายขวาอีกหลายหน เสิ่นจั้งเฟิงขยับเปลี่ยนตำแหน่งตามคำนางหลายหนจึงทำให้นางพยักหน้าพอใจได้

              เมื่อแขวนกระบี่เสร็จแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงถอยออกมา นางหวงจึงยัดผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้เว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งเอาแต่จับจ้องไปที่กระบี่จึงไม่ทันคิดสิ่งใด พลางส่งผ้าผืนให้เสิ่นจั้งเฟิงเช็ดมือแล้วว่า “ตำแหน่งนี้พอเหมาะพอเจาะจริงๆ เจ้าว่าอย่างไร?”

              เสิ่นจั้งเฟิงรับผ้ามาพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาของ จึงยิ้มออกมา แล้วว่า “เจ้าว่าดี เช่นนั้นก็ต้องดี”

_________________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด