ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 50 ร่ำลา

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 50 ร่ำลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

              “…!!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถาม “บ้านหลิวต้องโกรธแน่ๆ?”

                “จะไม่โกรธได้รึ?” ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะพลางว่า “หลิวไห้มีหลิวรั่ววั่วเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว หลิวรั่ววั่วเพิ่งจะถึงวัยเกล้าผม แต่กลับได้รับคำชื่นชมจากในตระกูลว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เฉลียวฉลาด ห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ทั้งยังมีท่าทีอยู่ลึกๆ ว่าต้องการจะมาสั่นคลอนฐานะของหลิวซีสวินอีกด้วย…ใช่แล้ว ครั้งหลิวซีสวินอายุได้สิบขวบและเข้าไปรับตำแหน่งราชองครักษ์ทั้งสามเมื่อก่อนนี้ มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าสาเหตุที่เขาเป็นได้เพียงราชองครักษ์อี้ซึ่งเป็นตำแหน่งท้ายสุดนั้น มีความเกี่ยวพันกับหลิวไห้หรือไม่ อย่างไรเสียแม้ครั้งนั้นหลิวรั่ววั่วจะยังเล็ก แต่หลิวไห้ก็ฝากความหวังอันใหญ่หลวงไว้ที่เขาตลอดมา ปรากฏว่าบ้านตระกูลจง… หากหลิวไห้ด่าทอพวกเขาเป็นการส่วนตัว ก็คงจักด่าไปว่า ‘พวกยากจนไร้หัวนอนปลายเท้าอันใดกัน ให้มาเป็นอนุของหลิวรั่ววั่วก็ยังไม่คู่ควรเลย ยังกล้าหวังตำแหน่งนายผู้หญิงของตระกูลในสายของตน! ทั้งยังส่งเพียงบ่าวผู้หนึ่งมาพูดเรื่องแต่งงานอีก’… จะว่าไปก็น่าขัน เกรงว่านี่คงจะเป็นหนแรกที่หลิวไห้ถูกคนตบหน้าเช่นนี้!”

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “แล้วภายหลังเป็นเช่นไร?”

                “หลิวไห้มิได้ถือสาจงเจี๋ย ทั้งไม่ไปล่วงเกินสนมจงแต่อย่างใด” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างราบเรียบ “แต่สนมจงมีฮองเฮากู้คอยหนุนหลังอยู่ เห็นแก่หน้าฮองเฮา หลิวไห้จึงเอ่ยเพียงว่า ‘บุตรสาวคนโตและคนรองยังมิได้แต่งงาน เรื่องแต่งงานของบุตรชายคนเล็กจึงยังไม่พิจารณาเป็นการชั่วคราว’ ว่าแล้วก็ยกน้ำชาส่งแขก ภายหลังได้นำความมาเอ่ยต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเฮา ฮ่องเฮาย่อมต้องออกคำสั่งให้สนมจงควบคุมจงเจี๋ยให้ดี… เดิมทีเรื่องนี้ก็ยุติแต่เพียงเท่านี้ อย่างไรเสียพื้นเพของพวกสกุลจงก็เพียงเท่านั้น ดังนั้นตระกูลใหญ่จึงเห็นเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้ไปถือสาเอาความใดกับพวกชาวบ้านเช่นนั้น!”

                เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซ่งไจ้สุ่ยก็ยิ้มเยาะน้อยๆ “ไม่คิดว่าผ่านไปไม่กี่วัน จงลี่ก็ผูกคอตาย!”

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วว่า “หลิวรั่วเหยีย? นางทำได้อย่างไร?” ตามหลักแล้วเมื่อบ้านจงก่อเรื่องน่าขันเช่นนี้ จงลี่ก็คงไม่ออกจากบ้านแล้วนี่ หากเป็นกุลสตรีดีๆ ในตระกูลใหญ่ทั่วไปก็ยังอาจส่งจดหมายไปถากถางนางทำนองนั้น แต่จงเจี๋ยก็ไม่รู้หนังสือสักตัว แล้วจงลี่จะรู้หนังสือได้อย่างไร?”

                “นางค่อนข้างสนิทสนมกับองค์หญิงชิงซิน ปลายปีก่อน ในวันประสูติขององค์หญิงชิงซิน องค์หญิงชิงซินส่งเทียบเชิญให้แก่จงลี่” ซ่งไจ้สุ่ยมีท่าทีอึกอักแล้วกล่าวว่า “เดิมทีครั้งจงเจี๋ยอยู่ที่ชิงโจวก็เป็นเพียงชาวนาผู้หนึ่ง แล้วคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างจงลี่จะมีสิ่งใดให้เปิดหูเปิดตา? พอถูกหลิวรั่วเหยียพูดใส่สองประโยคด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส นางก็หน้าตาแดงก่ำและวิ่งเตลิดออกไป… งานเลี้ยงยังไม่ทันเลิกก็กลับมาบ้านแล้ว จากนั้น คืนวันนั้นพี่สะใภ้ของนางก็เห็นว่านางไม่ออกมาจากห้องเสียที พอไปดูจึงพบว่านาง…”

                “ฮะ!” เว่ยฉางอิ๋งมิได้รู้สึกดีกับพวกบ้านจงซึ่งถือเป็นคนฝั่งฮองเฮากู้ แต่เมื่อได้ยินว่าหลิวรั่วเหยียเตรียมการบีบเค้นจงลี่จนตายก็อดจะรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจไม่ได้ บอกว่า “ในเมื่อเพิ่งจะเริ่มมาพูดคุยเรื่องการแต่งงานให้แก่จงลี่ คาดว่านางคงอายุไม่มาก เรียกได้ว่าเป็นสาวน้อยแรกแย้ม หลิวรั่ววั่วเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ เมื่อนางเห็นเข้าแล้วต้องใจถือเป็นเรื่องธรรมดา ว่ากันตามจริงก็คือบ้านจงเป็นหนูตกถังข้าวสาร ล้วนไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ อีกทั้งจงเจี๋ยก็คิดเองเออเองมากไปสักหน่อย จึงทำให้เกิดเรื่องตลกเช่นนี้ออกมา! อีกประการฮองเฮาก็ให้สนมจงควบคุมดูแลจงเจี๋ยแล้ว เรื่องนี้หากจะโทษก็ควรจะโทษจงเจี๋ยมากกว่าที่ทำการสะเพร่าเกินไป แต่หลิวรั่วเหยียก็ยังรีบเร่งไปบีบเค้นจงลี่จนตาย นี่ถือว่าไม่ยอมละเว้นคนอย่างไรเหตุผลเกินไปหน่อยแล้ว!”

                ซ่งไจ้สุ่ยโบกพัดวงกลม อุทานออกมาว่า “ก็มิใช่รึ? เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เดิมทีจงลี่ก็จะกลายเป็นเป้าให้คนเย้ยหยัน อีกทั้งการทาบทามเรื่องแต่งงานก็จะไม่ง่ายแล้ว นางก็ยังไปจัดการไม่ยอมละเว้น! จะว่าไปหลิวรั่วเหยียก็โตกว่าจงลี่เพียงสองปีเท่านั้น ปีก่อนนางยังถูกคนนินทากันว่าไปหมายปองสามีของเจ้าผู้นั้นด้วย! แต่กลับไม่เห็นอกเห็นใจความทุกข์ของผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย!”

                “จะว่าไป…” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างมีความคิดในใจว่า “สนมจงเป็นคนของฮองเฮา ยามนี้หลิวรั่วอวี้ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของหลิวรั่วเหยียคล้ายจะไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้วนี่? ตามหลักแล้วตระกูลหลิวควรจะเห็นแก่หน้าของฮองเฮายิ่ง หลิวไห้เองก็มิใช่ทำดังนี้หรอกหรือ? หลิวรั่วเหยียทำเช่นนี้กับน้องสาวของสนมจง มิใช่ว่าคิดจะหาเรื่องให้หลิวรั่วอวี้หรอกนะ?”

                ซ่งไจ้สุ่ยตกตะลึง รีบเอ่ยตามไปว่า “ตัวข้าเองก็เพิ่งกระโดดออกมาจากขุมนรกนั่น ยังมิทันได้รู้สึกยินดีเลย จึงไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องคนอื่น… ที่แท้มีการกำหนดตัวพระยาชาองค์รัชทายาทเอาไว้แล้วรึ?”

                “ยามข้าเพิ่งจะเข้าบ้าน พี่สะใภ้ใหญ่ของข้านั้น…” เว่ยฉางอิ๋งเล่าเรื่องที่นางหลิวขอให้ช่วยทำการรักษาไปอย่างคร่าวๆ ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วขึ้นมา บอกว่า “คุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นี้ก็น่าสงสารจริงๆ คนทั่วไปที่มารดาเสียไปเร็ว อย่างข้าดีชั่วก็ยังมีท่านย่ารักใคร่ มีท่านพ่อและพี่ชายทะนุถนอม แต่นางกลับตกอยู่ในเงื้อมมือของแม่เลี้ยง  นางจางนี่ก็ร้ายกาจเหลือเกิน มิน่าเล่าจึงสั่งสอนบุตรสาวเช่นหลิวรั่วเหยียออกมาได้!”

                แล้วว่า “ตามที่เจ้าพูดมา นางจางแม่ลูกล้วนอดรนทนไม่ไหวที่จะจับหลิวรั่วอวี้มาบีบให้มั่นคั้นให้ตายในเร็ววัน จึงวางแผนบีบจงหลี่จนตาย เพื่อให้หลิวรั่วอวี้ยังไม่ทันแต่งเข้าตำหนักตะวันออกก็มีศัตรูแล้วเสีย ซึ่งเรื่องนี้มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”

                เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เข้ากลับไม่รู้สึกว่านางจางแม่ลูกคิดจะบีบให้หลิวรั่วอวี้ตาย หลิวรั่วอวี้มีนิสัยอ่อนแอ มารดาของนางเสียไปเร็ว ครั้งนางจางเข้าบ้านมานั้น นางยังพูดได้ไม่คล่องเสียด้วยซ้ำ หากนางจางอยากให้นางตาย มีสักกี่วิธีที่จักทำไม่ได้? ดีชั่วอย่างไรหลิวไห้ก็มิใช่คนจิตใจดี เอาอกเอาใจภรรยาใหม่และบุตรธิดาของภรรยาใหม่ แต่กลับมิได้สนใจบุตรสาวจากภรรยาเก่าสักเท่าใด ข้าว่านางจางแม่ลูกคิดจะใช้ประโยชน์จากหลิวรั่วอวี้อย่างถึงที่สุดต่างหากที่เป็นเรื่องจริง”

                 “เรื่องราวในตระกูลใหญ่ต่างๆ … ผู้ใดจักสามารถกล่าวได้ชัดเจนเล่า?” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวคล้ายมีความคิดในใจว่า “จากที่เจ้าว่ามาดังนี้  หากหลิวรั่วอวี้ผู้นี้แต่งเข้าตำหนักตะวันออก ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะอยู่ได้นานเท่าใด? อย่าได้เดินทางเดียวกับลูกผู้พี่ข้างบิดาของนางเชียว!”

                เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง ซ่งไจ้สุ่ยอธิบายว่า “พระชายาองค์รัชทายาทองค์แรกในรัชสมัยนี้ก็เป็นบุตรสาวตระกูลหลิว ซึ่งก็คือผู้ที่ภายหลังต้องตายตกไปตามสามีผู้นี้”

                “ตระกูลหลิวเคยต้องทุกข์ทนด้วยเรื่องพระชายาองค์รัชทายาทมาแล้วหนหนึ่ง มิน่าเล่า…ยามนี้จึงเลือกเอาหลิวรั่วอวี้! ต่อให้เป็นบุตรสาวของภรรยาคนก่อนที่มารดาเสียไปนานแล้ว แต่ก็มิใช่ว่าแม่เลี้ยงจะใจร้ายเช่นนี้ทุกคน และไม่เกรงกลัวว่าจะถูกลอบกัดเอาภายหลัง” เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ทว่าฮองเฮากู้หลักแหลมปานนั้น ตระกูลหลิวก็ไม่รู้จักกลัวเสียบ้างว่า ภายหลังอาจจะกลายเป็นยินดีเก้อ”

                ซ่งไจ้สุ่ยแย้มยิ้มพลางว่า “ดีชั่วอย่างไรบุตรสาวในตระกูลก็มีมากมาย ตัวหลิวไห้เองก็ยังไม่เวทนาสงสาร บ้านอื่นๆ ในตระกูลก็คอยนั่งดูผลสัมฤทธิ์ของเรื่องนี้ ต่อให้ล้มเหลว ก็เป็นสายของหลิวไห้ที่ต้องได้รับโทษ หรือต้องเล่นงานตระกูลหลิวแห่งตงหูทุกผู้ทุกคนไปด้วย?”

                “ไม่พูดเรื่องตระกูลหลิวแล้ว ท่านว่าในวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน หากพระสนมเอกเอ่ยถามข้าเรื่องบรรดาน้องสาวของสามี ข้าจะบอกอย่างไรจึงจะดี?” เว่ยฉางอิ๋งขบคิด “ข้ากลับรู้สึกว่าอาจเป็นอย่างที่ท่านว่า ท่านคิดว่าข้าและพระสนมเอกก็ไม่เคยพบกันมาก่อน หากเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลก็แทบไม่มีเลย แต่หากจะพูดกันเรื่องแต่งงานของบุตรธิดา ก็มิใช่ว่าควรไปหาแม่สามีข้าหรอกหรือ? เรื่องแต่งงานของน้องสาวสามีข้าจะเป็นคนตัดสินใจได้อย่างไร?”

                ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะหมายตาไปทางพวกลูกผู้น้องผู้ชายของตระกูลเว่ย ฉางเฟิงนั่นแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วเกาชวนและเกาหยาเล่า?”

                “ท่านพี่ ท่านมิใช่คนนอก ข้าจะพูดความจริงกับท่านคำหนึ่งก็แล้วกัน… เกาชวนและเกาหยาแม้จะมิได้เป็นคนไม่ดี แต่ก็มิใช่คนฉลาดเฉลียวนัก” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างลำบากใจ

                ซ่งไจ้สุ่ยกลับบอกว่า “หากข้าเป็นพระสนมเอก ข้ากลับหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอย่าให้พวกเขาฉลาดเฉลียว! ให้ซื่อตรงสักหน่อยจึงจะดี! ข้าคิดว่าวานวานไม่มีบิดา มีเพียงพี่ชายเป็นที่ยึดเหนี่ยว พระสนมเอกเองก็อยู่แต่ภายในวัง หลายๆ เรื่องล้วนไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง อีกประการพระสนมเอกก็ยังถูกฮองเฮาคอยจับตาดูอยู่ด้วย! ยามนี้เติ้งจงฉีก็ยังเป็นเพียงแค่ราชองครักษ์อี้ ต่อให้วันหน้าออกจากราชองครักษ์ทั้งสามและมาเป็นขุนนางอื่น แต่เขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับภายในตระกูล เมื่อไม่มีตระกูลคอยช่วยผลักดัน ก็จะไม่อาจเลื่อนตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว จึงพูดได้ว่าวานวานไม่มีหลักให้พักพิง ถ้าได้สามีที่ฉลาดและเก่งกาจเกินไป แล้วเกิดมารังแกนางเข้า นางก็ทำได้เพียงแต่อดทน! มิสู้หาคนที่จิตใจดีและซื่อตรง แม้จะไม่ค่อยรู้ช่องทางให้ร่ำรวยนัก แต่หน้าตาของบุตรตระกูลใหญ่ก็มิได้น้อยหน้าสักกี่มากน้อย สองสามีภรรยาอยู่กันอย่างรักใคร่ปรองดอง มีสิ่งใดไม่ดีเล่า?”

                “พูดเช่นนี้ก็ถูกเหมือนกัน” เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดแล้วเอ่ยปาก “จะว่าไปจนวันนี้การต่อสู้ของพระสนมเอกและฮองเฮาก็ไม่เคยรู้ผลแพ้ชนะ หากต้องการจะหาสรรหาตัวเลือกให้หลานสาวอย่างจริงใจ พวกเกาชวนก็อยู่ไกลถึงเฟิ่งโจว ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเมืองหลวง ต่อให้วันหน้าพระสนมเอกพ่ายแพ้ ฮองเฮาก็คงไม่ถึงกับตามไปราวีหญิงที่แต่งงานไปแล้วถึงเฟิ่งโจว… สำหรับวานวานแล้ว นี่กลับเป็นแหล่งพักพิงที่ดีจริงๆ”

                 ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “ก็ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า? พระสนมเอกไรพระโอรส องค์ชายสิบหกและสิบเจ็ดก็ยังเล็กเพียงนั้น จนยามนี้ล้วนยังไม่ถึงสิบขวบ ต่อให้โค่นล้มฮองเฮาและองค์รัชทายาทได้ เรื่องวันหน้าก็ยังพูดยากอยู่ดี”

                เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกว่า “เช่นนั้นแล้ว ท่านพี่ท่านว่า หากพระสนมเอกมีความต้องการเช่นนี้จริงๆ แล้วข้าควรตอบไปเช่นไร?”

                “เจ้านี่โง่จริง!” ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะพู่ออกมา เอามือบังปากแล้วบอกว่า “เรื่องแต่งงานของน้องสามีเจ้า เจ้าไม่อาจตัดสินได้ แล้วเรื่องแต่งงานของลูกผู้น้องผู้ชายของเจ้า เจ้าก็ตัดสินใจได้เช่นนั้นรึ? ต่อท่านย่ารองรักเจ้าก็เถิด แต่ยามนี้ แต่งงานเจ้าก็แต่งออกมาแล้ว หรือว่าเพื่อเรื่องนี้เจ้าต้องกลับไปอ้อนท่านย่ารองถึงเฟิ่งโจวเป็นการเฉพาะ? หากพระสนมเอกมีความต้องการเช่นนี้ อย่างมากที่สุดก็เพียงให้เจ้าช่วยถ่ายทอดคำพูดให้เท่านั้น!”

                เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ก็มิใช่เพราะข้าเห็นว่ายามนี้ท่านว่างเสียจนจิตใจว้าวุ่น จึงได้มาถามท่านอย่างไรเล่า! แต่ท่านกลับมาหัวเราะเยาะข้าเสียได้!”

                ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะพลางว่า “ใส่พานมาให้ข้าหัวเราะเยาะ ข้าไม่เยาะเจ้า แล้วจะไปเยาะผู้ใด?” แล้วว่า “ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้เจ้าว่า แม่สามีเจ้าอนุญาตให้เจ้าไปคารวะญาติมิตรให้เสร็จในสองสามวันนี้?”

                “ใช่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งบอก “เพียงในเวลาไม่กี่วันนี้ และในวันนี้อยากมากที่สุดข้าทานอาหารเย็นเสร็จก็ต้องกลับไปแล้ว หากวันพรุ่งมาอีกก็ดูเหมือนว่าไม่ใครเหมาะ? หรือว่าท่านหาเหตุผลไปที่อื่น ข้า…”

                “เจ้าช้าก่อน!” ซ่งไจ้สุ่ยขัดคำขึ้นมา “เจ้าน่าจะรู้ว่าช่วงนี้ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้ามาซื้อคฤหาสน์อยู่ในเมืองหลวง และพาลูกผู้พี่ลูกผู้น้องหญิงสองคนของเจ้ามาอยู่ด้วย?”

                เว่ยฉางอิ๋งพูดอย่างประหลาดใจว่า “คราก่อนได้ยินมาว่าสามีของท่านอาหญิงใหญ่มารั้งตำแหน่งใกล้เมืองหลวงนี่? เหตุใดพวกเขาจึงมาซื้อบ้านในเมืองหลวง? ข้าไม่ได้รับข่าวคราว ยังนึกว่าล้วนอยู่กันใกล้ๆ เมืองหลวงเสียอีก! หากแม่สามีไม่อนุญาต ข้าก็ไม่สะดวกออกนอกเมือง”

                “ลูกผู้พี่และลูกผู้น้องของเจ้าทั้งสองคนอายุต่างกันเพียงหนึ่งปี ยามนี้ก็ถึงเวลาหมั้นหมายแล้ว ท่านอาหญิงใหญ่และสามีก็ไม่มีบุตรชาย ผู้คนในตระกูลที่หวังทรัพย์สมบัติในบ้านของพวกเขาล้วนวางแผนจะยกบุตรชายหลานชายของตนให้ไปเป็นบุตรบุญธรรมให้จงได้!” แม้จะบอกว่าเว่ยเซิ่งเซียนแต่งงานกับบุตรหลานของตระกูลซ่ง ซึ่งเมื่อนับไปแล้วก็เป็นคนร่วมตระกูลกับซ่งไจ้สุ่ย แต่เมื่อซ่งไจ้สุ่ยวิจารณ์คนร่วมตระกูลเหล่านี้กลับมิได้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย กลับยิ้มหยันแล้วว่า “คราก่อนเจ้าเขียนจดหมายมาหาข้า ข้าก็บอกกับท่านพ่อแล้ว เมื่อท่านพ่อออกปาก คนเหล่านี้จึงได้ยอมหยุด แต่กลับมาเร่งรัดท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าให้รีบๆ แต่งลูกสาวออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน… ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าทนรำคาญไม่ไหว ทั้งยังกลัวว่าหากสามีของนางต้องย้ายไปรับตำแหน่งแล้วจะไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ซึ่งจะทำให้ไม่อาจรู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของคนที่แม่สื่อแนะนำมา คิดไปแล้วจึงพาบุตรสาวกลับมาอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อให้สอบถามได้สะดวก!”

                นับแต่เว่ยฉางอิ๋งจำความได้ก็ไม่เคยพบเว่ยเซิ่งเซียนเลย แต่ไรมาแม่เฒ่าซ่งก็มิได้สนใจบุตรสาวของอนุ ยิ่งไม่ไปเอ่ยกับหลานชายและหลานสาวบ่อยนัก ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่คุ้นเคยกับนางเสียยิ่งกว่าเว่ยเจิ้งอิน ทว่าเมื่อได้ยินว่าท่านอาหญิงใหญ่ถูกตระกูลฝั่งสามีคอยตามรังควานอยู่เช่นนี้ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใคร่สบายใจนัก “คนเหล่านี้มีเจตนาไม่ดีเช่นนี้ ไยต้องไปรับลูกหลานของพวกเขามาเป็นบุตรบุญธรรมด้วย?”

                ซ่งไจ้สุ่ยคิดในใจว่า หากมิเป็นเพราะว่าท่านย่ารองเอาใจจดจ่อแต่เพียงลูกหลานที่เป็นสายเลือดโดยตรงของตน ไม่มองบุตรและธิดาจากอนุเป็นคนเสียด้วยซ้ำ ด้วยฐานะของเว่ยเซิ่งเซียนที่เป็นถึงบุตรสาวแท้ๆ ของเว่ยฮ่วน แล้วจะไปแต่งงานกับลูกหลานสายข้างเคียงของตระกูลซ่งได้อย่างไร ซ้ำยังถูกพี่สะใภ้น้องสะใภ้และญาติๆ รังแกและสบประมาทเช่นนี้? เพียงแต่แม่เฒ่าซ่งรักใคร่เว่ยฉางอิ๋งเป็นที่สุด ซ่งไจ้สุ่ยย่อมไม่เอ่ยเรื่องไม่ดีของท่านย่ารองของตนต่อหน้าลูกผู้น้อง จึงบอกแต่เพียงว่า “ต่อให้มีบ้านที่รู้จักพูดจากันด้วยเหตุผลซึ่งยอมยกบุตรมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่ลำพังญาติๆ ที่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดยอมไปหาเรื่องใส่ตัวหรอก”

                “ในเมื่อท่านอาหญิงใหญ่ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ข้าย่อมต้องไปคารวะ ท่านพี่รู้ว่าพวกนางอยู่ที่ใดหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดพลางเอ่ยถามไป

                ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “ข้าเองก็เพิ่งได้ยินมาเมื่อสองวันก่อนเพียงเท่านี้ ทั้งยังเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเป็นคนเอ่ยขึ้นมา คล้ายว่าพวกนางอยู่แถบบ้านเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า พี่สะใภ้ใหญ่ถึงได้รู้เรื่อง? ไม่สู้เจ้ากลับไปแล้วรอสักหน่อย ไม่แน่ว่าพวกนางจัดเรือนเสร็จแล้วก็จะส่งเทียบไปบอกเจ้าเอง อย่างไรเสียพวกเจ้าก็เป็นสายเลือดเดียวกัน คงไม่ถึงกับว่ามาอยู่ที่เมืองหลวงแต่กลับไม่บอกเจ้าหรอก หรือต่อให้ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าไม่พูด บ้านท่านอารองของเจ้าก็จะต้องส่งข่าวไปให้”

                “นี่ก็จริง” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า สองพี่น้องสนทนาสัพเพเหระกันอีกสักหน่อย ซ่งไจ้สุ่ยรั้งตัวเว่ยฉางอิ๋งให้อยู่ทานอาหารในเรือนเจียนเจีย ระหว่างนั้นแม้ว่านางฮั่วจะลุกไม่ขึ้นเพราะนางเพิ่งแท้งบุตร แต่ยังสั่งให้แม่นมแซ่เฉียวของตนนำอาหารสองสามชามมาให้ ถือเป็นการชดเชยที่ไม่ได้มาต้อนรับด้วยตนเอง

                ช่วงหลังเที่ยง ซ่งไจ้เจียงกลับมา… ลูกผู้น้องเข้าพบและคารวะลูกผู้พี่ เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าลูกผู้พี่รองหน้าตาเหมือนลูกพี่ใหญ่เสียจริงๆ สมแล้วที่เป็นพี่น้องกันแท้ๆ เพียงแต่ซ่งไจ้เจียงดูมีท่าทางเป็นมิตรและอบอุ่นมากกว่า เห็นชัดว่าน่าจะพูดจาได้ง่ายกว่าซ่งไจ้เถียน

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวทักทายกับเขาสักพัก ก็ถูกซ่งไจ้สุ่ยดึงกลับไปสนทนากันที่เรือนเจียนเจียอีกหน เป็นเช่นนี้ไปจนเย็น ซ่งไจ้สุ่ยสั่งให้คนจัดเตรียมอาหารเย็นให้เร็วขึ้น หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ไปส่งนางขึ้นรถที่ประตูรองด้วยตนเอง

                ทั้งยังพยายามยัดเยียดนกแก้วสองตัวและปลาหนึ่งอ่างขึ้นรถให้นางไปด้วย…

__________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด