ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 99 ท่าที

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 99 ท่าที at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “แสดงท่าทีอย่างหนึ่ง? ท่าทีอันใด? ท่าทีที่ใช้คนของข้าแต่กลับไม่ยินดีจะบอกข้าเช่นนั้นรึ?” และน้ำเสียงของนางก็ไม่พอใจแล้ว “แม้จะเป็นแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเล ก็มิใช่ว่าจักต้องทำเป็นยโสโอหังอยู่ตลอดเวลา นี่มันทำให้คนรังเกียจเสียจริงๆ !”

                เพราะในห้องเวลานี้ไม่มีคนอื่นอยู่ นางหวงจึงบอกกับนางว่า “แรกเริ่มที่ท่านหมอเทวดาจี้ถูกเชิญให้มารักษานายท่านใหญ่ที่บ้านของเรานั้น เดิมทีท่านคิดจะอยู่เพียงแค่ครึ่งปี เพราะค่ารักษาที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มีจำนวนมหาศาล ท่านหมอเทวดาจี้ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็เก็บค่าเดินทางไปซีเหลียงได้เพียงพอแล้ว ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นกังวลถึงนายท่านใหญ่จึงยืนกรานให้ท่านหมอเทวดาจี้อยู่ในจวนสองปี จึงยอมปล่อยคนไปเจ้าค่ะ”

                ไม่คิดว่ายังมีเรื่องราวอีกมุมหนึ่งเช่นนี้อยู่ด้วย เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงไปสักพัก จึงว่า “ดังนั้นเขาจึงคิดแค้นเคืองอยู่ในใจรึ?” มิน่าเล่าท่าทีที่มีต่อตนในวันนี้จึงได้แย่นัก ไม่แม้จะพูดกับตนสักคำ …แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หากครั้งนั้นไม่ได้ตระกูลเว่ยช่วยพูดให้เขา สวรรค์รู้ดีว่าใต้หล้านี้จะมีหมอเทวดาจี้หรือไม่?

                จี้ชวี่ปิ้งมีบุญคุณกับเว่ยเจิ้งหง นั่นเป็นเรื่องภายหลัง แต่เป็นตระกูลเว่ยที่ปกป้องจี้ชวี่ปิ้งอยู่ก่อน จึงมีจี้ชวี่ปิ้งมารักษาเว่ยเจิ้งหงในภายหลัง ดังนั้นจะว่าไปก็คิดได้ว่าเป็นการตอบแทบน้ำใจอันดีที่ตระกูลเว่ยมีต่อเข้าในสมัยนั้น หากจี้ชวี่ปิ้งคิดแค้นด้วยเรื่องนี้ ก็แล้งน้ำใจเกินไปหน่อยแล้ว

                นางหวงส่ายหน้า “สมัยนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนบอกกับท่านหมอเทวดาจี้ด้วยตนเองว่า ด้วยเหตุที่ท่านหมอเทวดาจี้มีความแค้นกับตระกูลเติ้ง ไม่ว่าจี้อิงจะร่วมมือกับสนมชั้นซูเฟยแซ่ฮั่วทำร้ายองค์ชายหกหรือไม่ แต่อย่างไร คดีนี้ฮ่องเต้ก็ทรงตัดสินดังนั้นไปแล้ว ดังนั้นเพื่อรักษาหน้าตา ตระกูลเติ้งย่อมไม่อาจปล่อยเขาไปง่ายๆ ตอนนั้นชื่อเสียงของท่านหมอเทวดาจี้ยังไม่เป็นที่เลื่องลือ หากเดินทางไปซีเหลียงทั้งเช่นนี้ ก็เท่ากับไปแล้วไปลับ แม้ตระกูลเว่ยจะไม่มีทางไม่สนใจท่านหมอเทวดาจี้ ทว่า นอกจากอำนาจของตระกูลเว่ยจะอยู่ในเฟิ่งโจวแล้วก็มีเพียงในเมืองหลวงเท่านั้น หลังจากท่านหมอเทวดาจี้ออกจากเมืองหลวงไป หากเกิดเรื่องอีก ตระกูลเว่ยเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะช่วยเหลืออีกแล้ว ท่านหมอเทวดาจี้รู้สึกว่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดนั้นมีเหตุผล จึงรับปากจะอยู่ในจวนเว่ยต่อไป ความจริงแล้วชื่อเสียงการเป็นหมอเทวดาเลื่องชื่อในเขตทะเลนี้ก็เป็นตระกูลเว่ยของพวกเราช่วยแพร่ออกไปให้เจ้าค่ะ”

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ภายหลังเล่า?” มิใช่ท่านย่าประเหลาะเขาจนสำเร็จแล้วหรือ? หรือระหว่างนั้นจี้ชวี่ปิ้งก็เกิดเสียใจขึ้นมาภายหลัง? และหันกลับมาเคืองแค้นท่านย่า?

                “ภายหลังท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าเขาจนปัญญากับโรคของนายท่านใหญ่แล้วจริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเองจึงเห็นด้วยกับเรื่องที่เขาจะไปจากจวนเว่ย เพียงแต่…” นางหวงยิ้มเจื่อนหนหนึ่ง กล่าวว่า “ครั้งนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่เห็นด้วยที่ท่านหมอเทวดาจี้จะไปซีเหลียงเจ้าค่ะ”

                “เพราะเหตุใดเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย

                “ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่า แม้ครานั้นร่างกายของนายท่านใหญ่จะดีขึ้นอย่างมาก ทว่าการที่นายท่านใหญ่มักจะป่วยสามวันดีสี่วันไข้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตลอดฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกกลัว อุตส่าห์ไปหาหมอมาตั้งมากมาย ก็มีเพียงท่านหมอเทวดาจี้ที่เก่งกาจที่สุด แม้ท่านหมอเทวดาจี้จะบอกว่าเขาไม่อาจรักษาร่างกายของนายท่านใหญ่ให้ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว ทว่าหากมีท่านหมอเทวดาจี้อยู่ตรงหน้า คนทั้งบ้านเราย่อมสบายใจขึ้นมาสักหน่อย! ฮูหยินผู้เฒ่าจะวางใจให้ท่านหมอเทวดาจี้ไปซีเหลียงซึ่งเป็นที่ห่างไกลเพียงนั้นได้อย่างไร… แล้วหากว่าท่านหมอเทวดาจี้ไปแล้วไปลับ หรือต้องเสียเวลาเพราะหนทางยาวไกล แล้วนายท่านใหญ่ของเรา…จักทำเช่นใดเล่า?” นางหวงเอ่ยเสียงเบา

                เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมาว่า ท่านย่าหวั่นใจเรื่องอาการเจ็บป่วยของบิดานาง ทั้งยังพบเพียงจี้ชวี่ปิ้งที่สามารถช่วยชีวิตบิดาเอาไว้ได้เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าเป็นตายอย่างไรนางย่อมไม่ยอมปล่อยไปแน่ ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็ไม่อนุญาตให้เขาจากไปไกลเกินไป แรกเริ่มนั้นเมื่อจี้ชวี่ปิ้งอยู่ต่อจนครบครึ่งปีแล้ว ท่านย่าก็พูดเรื่องตระกูลเติ้ง เรื่องชื่อเสียง ข้ออ้างต่างๆ นานาก็ล้วนยกมาหมด!

                แต่เป้าหมายที่แท้จริงของแม่เฒ่าซ่งก็คือต้องการให้จี้ชวี่ปิ้งอยู่ต่อไป เมื่อเป็นดังนี้ หากอาการป่วยของเว่ยเจิ้งหงเกิดกำเริบขึ้นมา ก็จะได้เชิญเขามารักษาได้ในทันที

                ดังนั้นจี้ชวี่ปิ้งจึงอยู่ที่จวนเว่ยมาสองปี จวนเว่ยเองก็ช่วยทำให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือจริงๆ …เวลานี้จี้ชวี่ปิ้งคิดว่าตนเองมีชื่อเสียงและเงินทองเพียงพอแล้ว และสามารถไปซีเหลียงได้แล้ว แต่หนนี้แม่เฒ่าซ่งไม่ได้ยกเรื่องตระกูลเติ้งมาอ้าง แต่กลับเปิดเผยเป้าหมายที่แท้จริงออกมาว่า เพื่อบุตรชายขอนาง นางไม่เห็นพ้องให้จี้ชวี่ปิ้งไปที่ที่อยู่ห่างไกลจากบุตรชายของนาง!

                เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของเว่ยเจิ้งหงย่อมเข้าใจการกระทำของท่านย่าดี ทว่าก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของจี้ชวี่ปิ้ง ความรังเกียจและไม่พอใจในอกที่นางมีต่อท่าทีเพิกเฉยของจี้ชวี่ปิ้งที่มีต่อตนในเวลานี้พลันจางหายไปหลายส่วน จึงถามว่า “จี้ชวี่ปิ้งต้องการไปซีเหลียงเพียงนั้น เพราะเหตุใด?”

                นางหวงถอนหายใจกล่าวว่า “แต่แรกนั้นคนในครอบครัวของจี้อิงที่ไม่ถูกตัดหัวทั้งหมดล้วนถูกเนรเทศไปที่ซีเหลียง แม้ท่านหมอเทวดาจี้จะเร่ร่อนอยู่ข้างถนน แต่ก็ยังคอยคำนึงถึงอยู่เสมอมา นับแต่รักษานายท่านใหญ่ของพวกเรา เขาก็คิดว่าหากเก็บเงินทองได้เพียงพอแล้วก็จะไปติดตามถามหาที่ซีเหลียง แม้กระทั่งว่า ด้วยคนเหล่านั้นยากจะพ้นจากความผิดไปได้ ท่านหมอเทวดาจี้ก็ตัดสินใจว่าเมื่อไปซีเหลียงแล้วก็ไม่กลับมาอีก เพื่อจะได้ตั้งรกรากอยู่ที่ซีเหลียงกับคนในครอบครัวและได้คอยอยู่ดูแล ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจะยอมให้เขาไปซีเหลียงได้ที่ใด? เพราะเมื่อไปครานี้ หากหาคนไม่พบก็ยังดี หากหาพบขึ้นมาแล้วเป็นตายอย่างไรเขาก็ไม่กลับมาแล้ว นายท่านใหญ่ของพวกเราก็…”

                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำ ก็พลันไม่เข้าใจ “ในเมื่อไม่ต้องการให้เขาไปซีเหลียง แต่เพื่อคนในครอบครัวของเขาแล้ว ไยไม่ส่งคนจำนวนหนึ่งไปช่วยเขาตามหาและคอยดูแล เพื่อให้เขาอยู่รักษาท่านพ่อได้อย่างวางใจเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นจี้อิงก็ตายไปแล้ว องค์ชายหกสิ้นพระชนม์ไปแต่ยังเล็กก็ยังมีข้อกังขาอีกมากมาย ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นสนมฮั่วและจี้อิงเป็นคงลงมือจริงๆ … การที่ตระกูลเติ้งทำให้บ้านจี้ลำบากนั้น หนึ่งก็เพื่อหน้าตาของนางเติ้งและสนมเอก สองกลับเป็นเพราะฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินคดีนี้เอง จึงไม่อาจไม่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน หากหาคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันไปสับเปลี่ยนตัวกับคนในครอบครัวของจี้อิง หรือไม่ก็แจ้งไปเลยว่าทุกคนล้วนตายไปหมดแล้ว และค่อยสลับตัวเอาคนในครอบครัวตัวจริงกลับมา …ตระกูลเติ้งก็คงจะไม่เลอะเลือนจนถึงขั้นต้องว่ากันถึงตาย และมาล่วงเกินบ้านเรากระมัง? ต่อให้ในเมืองหลวงมีคนมากมายพูดจากันไปร้อยแปดพันเก้า มีคนจำนวนมากที่คุ้นเคยกับพวกเขาอาจทำให้ความลับรั่วไหลได้โดยง่าย และทำให้ฮ่องเต้ไม่อาจไม่ทำการใดได้ แต่ภายหลังที่ท่านปู่ล้มป่วย ก็มิใช่ว่าพวกเราเชื่อตามคำทำนายและกลับมาอยู่ที่เฟิ่งโจวแล้วหรอกหรือ?”

                นางหวงเอ่ยอย่างเห็นใจว่า “ที่ฮูหยินน้อยพูดมานั้น ครั้งฮูหยินผู้เฒ่าต้องการรั้งตัวท่านหมอเทวดาจี้เอาไว้ในจวนก็เคยคิดถึงเรื่องนี้ตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ แต่จนใจเหลือที่คนในครอบครัวของจี้อิงเหล่านั้นอัปโชคเสียจริงๆ! คนที่เราส่งไปตามหาที่ซีเหลียงตามไปยังสถานที่ที่พวกเขาถูกเนรเทศ แต่กลับได้รู้ว่าคนบ้านจี้เคยอยู่สุขสบายมานานปี ระหว่างทางที่ถูกเนรเทศมาจึงล้มตายไปจำนวนมาก สุดท้ายคนที่ไปถึงที่เนรเทศกลับเหลืออยู่เพียงสามคน ภายหลังเพราะการรุกรานของพวกตี๋ คนทั้งสามนี้ก็ถูกส่งไปทำงานก่อสร้าง ชายแดนนั้นเดิมทีก็ลำบากยากแค้นอยู่แล้ว ประสาอะไรกับผู้ต้องโทษ? พวกเขาทนรับไม่ไหวจึงหาโอกาสหนี ปรากฏว่าสองคนถูกผู้คุมตามจับได้และลงโทษจนตาย ส่วนอีกคนกลับไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด ไม่เคยพบศพ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเจ้าค่ะ”

                “เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คงจะเป็นญาติเพียงคนเดียวที่จี้ชวี่ปิ้งยอมรับแล้วกระมัง? ขอเพียงหาตัวเขาพบก็จะมีข้อแลกเปลี่ยนกับจี้ชวี่ปิ้งได้” เว่ยฉางอิ๋งถามว่า “หาคนผู้นี้ไม่พบเลยหรือ?”

                “ฮูหยินผู้เฒ่าเคยทยอยส่งคนไปตามหาสามชุด ครั้งสุดท้ายยังนำหนังสือของท่านประมุขของเราไปคารวะตระกูลสายรองของตระกูลเสิ่นที่อยู่แถบนั้น เพื่อขอให้ตระกูลเสิ่นช่วยเหลือแต่ก็ไม่พบเจ้าค่ะ” นางหวงถอนหายใจ “ตามการคาดเดาของคนตระกูลเสิ่นที่ช่วยตามหานั้น ด้วยประสบการณ์ของพวกเขา คนผู้นี้หากมิได้ตายอยู่ที่ใดสักแห่งที่ไม่มีผู้ใดรู้ และศพถูกสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร จนคนที่ผ่านไปมาก็ยังไม่พบเห็นแล้ว ก็คงจะไปอยู่กับพวกตี๋ ทว่าที่ซีหลียงนั้น พวกตี๋และพวกเราชาวเว่ยมีความแค้นที่หนักหนาสาหัสต่อกัน คนที่ถูกพวกตี๋จับไปโดยมากแล้วก็จะถูกลงโทษจนตาย ยิ่งไปกว่านั้นวิธีการที่ใช้ก็โหดเหี้ยมนัก จึงไม่อาจพบเจอซากศพได้ …สรุปแล้ว เมื่อตระกูลเสิ่นบอกว่าพวกเขาหาไม่พบ ก็มีแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่จะตายแล้ว หรือแอบหลบซ่อนตัวอยู่ในป่านอกชายแดนเจ้าค่ะ”

                “เมื่อส่งคนไปแล้วกลับมาบอกดังนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมจะยิ่งไม่ยินยอมให้ท่านหมอเทวดาจี้ต้องไปเสียเวลาอย่างไร้ประโยชน์อีก” ความสามารถของคนตระกูลเสิ่นในซีเหลียง ก็เหมือนกับความสามารถของรุ่ยอวี่ถังในเฟิ่งโจว เมื่อพวกเขาต้องการหาคนสักคน หากมิใช่ว่าไม่เหลือแม้แต่กระดูกจริงๆ ก็ไม่มีทางจะหาไม่พบเลยแม้แต่น้อย

                 ดังนั้นแล้ว แม้แต่คนตระกูลเสิ่นเองก็ยังหาไม่พบ คนที่หนีไปผู้นั้นจึงบอกได้เลยว่าจะต้องตายไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือตายอย่างไม่เหลือซาก หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้ตายอยู่ในแผ่นดินต้าเว่ยจึงทำให้คนตระกูลเสิ่นหาไม่พบ แม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นคนในตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียวกันย่อมเชื่อการวิเคราะห์ของตระกูลเสิ่น

                นางหวงถอนหายใจพลางว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ ไม่มีหนทางขัดความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่าทว่าก็กลับไม่ยอมเชื่อคำฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหมด จักต้องไปด้วยตนเองสักครั้งจึงจะวางใจได้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจวางใจให้เขาเดินทางไปไกลจริงๆ จึงให้คนคอยจับตาดูท่านหมอเทวดาจี้เอาไว้ตลอดเวลา… ดังนั้นท่านหมอเทวดาจี้จึงทั้งรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ ทั้งเคืองแค้นตระกูลเว่ยของเราเจ้าค่ะ ความสับสนภายใจจิตใจเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ตัวท่านหมอเทวดาเองก็ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนเลยเจ้าค่ะ”

                เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดสักพักแล้วว่า “ท่านย่าไม่อนุญาตให้ท่านหมอเทวดาอยู่ห่างจากท่านพ่อไกลเกินไป แล้วเหตุใดไม่พาท่านหมอเทวดาไปที่เฟิ่งโจวเล่า?” ดีชั่วอย่างไรจากเฟิ่งโจวไปเมืองหลวงก็ต้องเดินทางทางถึงสิบกว่าวัน!

                นางหวงยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ด้วยเหตุที่ไม่อนุญาตให้เดินทางไปซีเหลียง ท่านหมอเทวดาจึงพาลด้วยความโกรธเคืองและไม่ยอมไปเฟิ่งโจว… ฮูหยินผู้เฒ่าพยายามอยู่หลายครา ท่านหมอเทวดาจึงเอ่ยไปตรงๆ ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าว่า… หากไม่เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าหลงเชื่อแพทย์หลวงในสำนักแพทย์หลวง มัวแต่ชักช้าไม่ไปเชิญท่านมารักษา จนทำให้ล่วงเลยเวลาในการรักษานายท่านใหญ่ของพวกเรา นายท่านใหญ่ก็จะไม่ถึงกับ… ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังสองครั้งก็เป็นทุกข์ด้วยความเจ็บปวดใจ ภายหลังจึงไม่อาจได้ยินคำว่า ‘จี้’ และพบหน้าท่านหมอเทวดาจี้ได้อีกต่อไป แม้จะรู้ว่าเป็นท่านหมอเทวดาจี้จงใจทำ แต่เมื่อคิดว่าแม้แต่กับฮูหยินผู้เฒ่า ท่านหมอเทวดาจี้ก็ยังกล้าอ้างเอาความตายมาบีบคั้น หากยิ่งบีบท่านหมอเทวดาจนเหลืออดขึ้นมา แล้วเกิดตัดสินใจขั้นสุดท้ายไปลงมือกับนายท่านใหญ่… ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงสั่งให้พวกเราบิดบังเรื่องนี้กับท่านประมุข และไม่ให้พูดถึงอีก ส่วนท่านหมอเทวดาจี้นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็ปล่อยให้เขาอยู่ที่เมืองหลวงตามความต้องการของเขา แม้จากเฟิ่งโจวไปเมืองหลวงจะห่างไกลกัน  ทว่าอย่างไรก็ยังใกล้ว่าซีเหลียง และยังหาได้ง่ายด้วย …นับว่าต่างถอยกันคนละก้าว”

                นางถอนหายใจ “ดังนั้น วันนี้ข้าน้อยจึงได้ปรามฮูหยินน้อยว่าอย่าได้ถือสาท่านหมอเทวดาจี้เลย ท่านเคยร่ำรวยมาก่อนและภายหลังต้องมาพบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ต้องพบพานผู้คนที่คอยเหยียบย้ำซ้ำเติมมานับครั้งไม่ถ้วน ในใจย่อมเต็มไปด้วยความคับแค้นที่ไม่อาจระบายออกมาได้ ย่อมมีนิสัยประหลาดเป็นธรรมดา  ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินผู้เฒ่าคอยรั้งตัวไม่ให้ท่านหมอเทวดาไปซีเหลียงเรื่อยมา อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นแผลในใจของท่านหมอเทวดา ความผิดถูกในเรื่องนี้ล้วนไม่อาจเอ่ยได้ชัดเจน อย่างไรเสียทุกคนย่อมมีความคาดหวังและความคิดของตนเอง…”

                เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่เป็นนาน จึงว่า “ดังนั้นท่านอาว่า จี้ชวี่ปิ้งเขาสามารถใช้คนของข้าได้ แต่กลับไม่ยอมให้ท่านอาบอกกล่าวกับข้า ก็เพื่อแสดงท่าทีว่าเขายอมรับเพียงไมตรีของท่านอา แต่ไม่คิดจะมีความเกี่ยวพันกับตระกูลเว่ยให้มากกว่านี้หรือ?” แต่ว่าเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ควรปิดบังนายที่แท้จริงของตน ซึ่งก็คือคนที่จี้ชวี่ปิ้งเคืองแค้นไปตลอดชีวิตนี่!

                “กลับมิได้เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ” นางหวงนิ่งคิด แล้วว่า “ความจริงแล้วท่านหมอเทวดาจี้ไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องมีความเกี่ยวพันกับตระกูลเว่ยของเรามากน้อยเพียงใด ก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าขัดขวางไม่ให้ท่านไปซีเหลียง ในขณะที่ท่านหมอเทวดาจี้กำลังเดือดดาลก็ถึงกับเอ่ยว่า ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่ารับปากให้เขาไปซีเหลียง หากหาญาติเพียงคนเดียวของเขาไม่พบ เขาก็ยินยอมจะกลับมาเป็นแพทย์รับใช้ให้ตระกูลเว่ยชั่วชีวิต”

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “หากตอนนั้นร่างกายของท่านพ่อยังดี…”

                “คำสัญญานี้มีเรื่องลำบากใจที่สุดก็คือที่ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่า ‘หาไม่พบ’ ที่ว่า ‘หาไม่พบ’ นี้ ความจริงแล้วต้องหาอยู่กี่มากน้อยจึงจะนับว่า ‘หาไม่พบ’ ?”  นางหวงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าหนทางไปซีเหลียงห่างไกล สามารถให้เวลาแก่ท่านหมอเทวดาจี้ได้มากที่สุดหนึ่งปี แต่ท่านหมอเทวดาจี้คิดว่าเขาใช้ชั่วชีวิตเพื่อแลกกับคำสัญญานี้ อย่างน้อยต้องมีเวลาหาห้าปี… แล้วฮูหยินผู้เฒ่าจักกล้าให้เขาจากไปห้าปีได้ที่ใด?”

                แล้วว่า “ดังนั้นเหตุที่ยามนี้ท่านหมอเทวดาจี้ใช้บ่าวของฮูหยินน้อยแต่กลับยอมให้ข้าน้อยบอกกับฮูหยินน้อยก็หมายความว่า ท่านหมอเทวดาหาได้สนใจว่าบ่าวของตระกูลเว่ยจะเข้าออกในเรือนพักของเขา ทว่าความแค้นเคืองที่เขามีต่อตระกูลเว่ยก็ยังมิได้จางหาย…”

                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มออกมา นางฟังเข้าใจแล้ว ว่ากันตามตรงก็คือความจริงแล้วจี้ชวี่ปิ้งกำลังระบายอารมณ์ …เมื่อตนเองมีฝีมือแพทย์ที่เลื่องชื่อสูงส่งในเขตทะเล สามารถใช้เข็มพลิกฟื้นเป็นตาย แต่ชั่วชีวิตนี้กลับต้องถูกจำกัดด้วยอำนาจ …จากคนร่ำรวยมาตกต่ำก็เพราะอำนาจ สิ่งที่ช่วยเขาก็คืออำนาจ ยามนี้สิ่งที่มากีดกั้นไม่ให้เขาไปตามหาญาติเพียงคนเดียวที่อาจหลงเหลืออยู่บนโลกก็คือกำลังอำนาจ…

                 ก็มิน่าเล่าที่ครานี้จี้ชวี่ปิ้งทั้งขัดคำนาง ทั้งจงใจแกล้งเยาะหยันเสิ่นจั้งเฟิง อีกทั้งสะบัดแขนเสื้อจากไป …เป็นดังคำนางหวง ในอกของจี้ชวี่ปิ้งเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ไร้ที่ระบาย …จึงทำได้เพียงมาระบายใส่ผู้คนที่ไม่อาจไม่มาขอรับการรักษาที่บ้านเขาได้…

                ใช้คนของเว่ยฉางอิ๋งแต่กลับไม่ยอมให้บอกเว่ยฉางอิ๋งก็ด้วยเหตุนี้ ข้าใช้บ่าวของเจ้ามาคอยดูแลรับใช้ข้า แต่ก็จะไม่บอกเจ้าสักคำ! เพราะข้าเคืองโกรธเจ้า แล้วจะอย่างไร?

                เมื่อจินตนาการว่าในขณะที่จี้ชวี่ปิ้งผู้สง่าแสนสูงส่งผู้นั้นแสดงท่าทีประหลาดออกมา แต่ในใจกลับมีความคิดเหมือนเด็กเจ้าอารมณ์ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกเพียงว่าไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

___________________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด