ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 206-1 ตวนมู่รั่วเหมย

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 206-1 ตวนมู่รั่วเหมย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งเท่านั้นที่มีความกังวลเช่นนี้ ณ จวนหมิ่น หมิ่นจือเสียสามีภรรยาเองก็กำลังอบรมบุตรสาวว่า “เวลานี้เรื่องแต่งงานกับตระกูลซ่งก็นับว่ากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ในบรรดาบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลาย ซ่งไจ้เจียงขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนจิตใจดี หาไม่แล้วเขาก็จะไม่มีทางทนรับตวนมู่อู๋เซ่อที่ทั้งไม่ดีงาม ไร้บุตรชายให้มาเป็นฮูหยินน้อยรองบ้านซ่งได้ตั้งหลายปี หลังจากลูกข้าแต่งเข้าไปแล้ว เพียงแต่ปฏิบัติตนตามจารีตธรรมเนียม อยู่ร่วมกับพี่สะใภ้ใหญ่และน้องสาวของสามีให้ดี ก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าสามีภรรยาจะไม่ปรองดองกันแล้ว”

หมิ่นอีนั่วรับฟังอย่างนอบน้อม “ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ”

“แม้ลูกข้าจะเข้าไปแต่งงานเป็นภรรยาคนใหม่ของเขา ทว่าซ่งไจ้เจียงไร้บุตรชาย ทั้งตวนมู่อู๋เซ่อก็ถูกปลดไปแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องก้มหัวยามอยู่ต่อหน้านาง แม้จะบอกว่าเป็นการแต่งงานใหม่ ทว่านอกจากเป็นเพียงคำเรียกขานแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกับภรรยาคนแรกเลย” ตวนมู่รั่วเหมยเอ่ยอย่างอารมณ์ดียิ่งว่า “ในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ ทายาทของตระกูลซ่งในสองรุ่นนี้นับว่ามีน้อยนัก ทว่าท่านตวนหุ้ยกงและท่านเสนาบดีตรวจการก็มิใช่คนที่จะรออยู่เฉยๆ ทั้งซ่งไจ้เจียงก็เป็นบุตรชายของภรรยาเอก แม้จะเป็นบุตรชายคนรอง ไม่อาจรับช่วงต่อเจียงหนาถัง แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านตวนหุ้ยกงหรือท่านเสนาบดีตรวจการล้วนมิได้ละเลยเขา การแต่งงานครานี้ก็เป็นเพราะสวรรค์คุ้มครองโดยแท้ เพราะตวนมู่อู๋เซ่อไร้วาสนา ทำลายการแต่งงานที่ดีๆ จนสิ้น หาไม่แล้วจะถึงคราวของลูกข้าได้ที่ใด?”

แม้ว่านับไปแล้วตวนมู่อู๋เซ่อก็เป็นหลานสาวร่วมตระกูลของตวนมู่รั่วเหมย แต่ประการแรกนั้น ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในตระกูลสายเดียวกัน ประการที่สองหลานสาวหรือจะเทียบกับบุตรสาวได้? ตวนมู่รั่วเหมยรู้สึกพึงพอใจเป็นหนักหนาที่ตวนมู่อู๋เซ่อถูกปลด มิใช่นางเป็นคนขอหย่าหรือว่าจู่ๆ มาตายลง แล้วต้องทำให้หมิ่นอีนั่วบุตรสาวของตนต้องมาทำพิธีแต่งงานต่อหน้าป้ายชื่อของนาง จึงกำชับบุตรสาวหนแล้วหนเล่าว่าอย่าได้ทำผิดเช่นตวนมู่อู๋เซ่อ ต้องปรองดองกับคนในบ้านสามีให้จงดี

“นางฮั่ว ฮูหยินน้อยใหญ่ตระกูลซ่งเป็นคนที่มีชั้นเชิง ลำพังดูจากที่นางจัดการ ตวนมู่อู๋เซ่อก็รู้ได้ถึงความร้ายกาจของนางแล้ว ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษนางได้ทั้งหมด ตัวของตวนมู่อู๋เซ่อเองก็ข่มเหงผู้อื่นอย่างหนักหนาอยู่ก่อนหน้า! ซ่งไจ้เถียนบุตรชายคนโตผู้นั้นก็เก่งกล้าสามารถมาแต่ไร การที่เขาได้รับช่วงต่อเจียงหนานถังก็เป็นเรื่องที่สมควรตามศักดิ์และสิทธิ์แล้ว เมื่อลูกข้าแต่งเข้าบ้านไป ขอเพียงไม่มีความคิดที่ไม่ควรมี คอยดูแลสามีใช้ชีวิตให้ดีๆ เกรงว่านางฮั่วจะต้องไม่มีทางอยู่ดีๆ ก็มาสร้างความลำบากให้แก่เจ้า …ในเมืองหลวงนี้นางมีชื่อเสียงว่าดีงามมาแต่ไร เพื่อชื่อเสียงนี้ก็จะไม่มีทางจงใจหาเรื่องหาราวเจ้า เจ้าก็เคารพนบนอบนางสักหน่อย ดีชั่วนางก็เป็น พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า เคารพนบนอบนางก็เป็นการสมควรแล้ว”

ตวนมู่รั่วเหมยสั่งความไปอย่างละเอียด “ซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเป็นว่าที่น้องสาวสามีเจ้า ก็ห้ามไปสร้างความลำบากแก่นางด้วย …นางเป็นสตรีเปี่ยมความสามารถที่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งอบรมสอนสั่งมาตามแบบฉบับของพระมารดาแห่งแผ่นดินเชียว หากมิใช่เพราะบังเอิญมาเสียโฉม ต่อให้องค์รัชทายาทเหลวแหลกไร้คุณธรรมอีกสักเท่าใด  ตำหนักตะวันออกในยามนี้ก็จะไม่เลอะเทอะเช่นนี้แล้ว อย่าได้คิดว่าเป็นเพราะนางเสียตำแหน่งว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทไป ทั้งยังเสียโฉมจนทำให้ทุกวันนี้ต้องอยู่แต่ภายในเรือน แล้วเจ้าจะดูแคลนนาง …ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องฝีมือและกลอุบายที่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งสอนสั่งนางมาเลย เพียงเรื่องที่ในเวลานี้สายหลักของตระกูลซ่งมีคุณหนูผู้นี้เพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นบุตรีภรรยาเอก และนางยังเป็นน้องสุดท้องด้วย! เพียงคิดก็รู้แล้วว่าบิดาและพี่ชายของนางจะต้องรักใคร่นางยิ่งนัก!”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เสียงนางก็ต่ำลง “ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางเสียตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทไป ที่แท้แล้วเป็นเพราะนางโชคไม่ดีหรือว่าตระกูลซ่งเกี่ยงว่าองค์รัชทายาทเหลวแหลกเกินไป จึงจงใจให้นาง…”

หมิ่นจือเสียที่เดิมทีนั่งฟังภรรยาอบรบบุตรสาวมาโดยตลอด เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ก็กระแอมไอหนหนึ่ง กล่าวว่า “ข่าวลือที่ไม่เป็นทางการ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้านเรา ก็อย่าพูดเลย”

“ข้าก็เพียงต้องการให้ลูกได้รู้ตื้นลึกหนาบางเอาไว้ และอย่าได้ดูดายต่อซ่งไจ้สุ่ยผู้นั้นเท่านั้น หาได้ทำเรื่องที่ไม่จำเป็นไม่” ตวนมู่รั่วเหมยตาขวางใส่เขาและเอ็ดไป “อีกประการที่นี่ในเวลานี้ก็ไม่ได้ให้บ่าวคนสนิทแม้สักคนอยู่ด้วย มีเพียงเราสองคนพูดเรื่องสำคัญกับลูก และลูกก็หาใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ แล้วนางจะเอาไปพูดเรื่องเปื่อยหรือ?”

หมิ่นอีนั่วรีบช่วยไกล่เกลี่ยให้บิดาว่า “ท่านพ่อก็เพียงเตือนให้ลูกระวังกริยาวาจา อย่าเสียมารยาทแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ลูกย่อมจดจำไว้ในใจ ต้องขอให้ท่านพ่อและท่านแม่สอนสั่งลูกต่อไปด้วยเจ้าค่ะ”

ด้วยเหตุที่เรื่องหน้าที่การงานของหมิ่นจือเสียถูกครอบครัวของภรรยาสนับสนุนอยู่ไม่น้อย แต่ไรมายามเขาอยู่ต่อหน้าภรรยาจึงค่อนข้างจะยอมให้ เวลานี้ถูกนางเอ็ดเอาคำหนึ่ง แม้จะอยู่ต่อหน้าบุตรสาวก็ยังอดหงอลงไปสักหน่อยไม่ได้ ทว่าเขาก็พูดขัดไปแล้ว แม้จะไม่พูดสิ่งใดอีก ทว่าสีหน้าก็ไม่ได้เปรมปรีดิ์เหมือนตอนแรกแล้ว

ตวนมู่รั่วเหมยเอ่ยต่อไปว่า “สรุปก็คือไม่เคยได้ยินว่าคนบ้านซ่งมีคนที่อยู่ด้วยยากลำบากเป็นพิเศษอันใด เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาดีๆ เป็นพอแล้ว ทว่าหากมีคนที่มาหาเรื่องเจ้าจริงๆ เจ้าก็อย่าได้อดทนและยอมจนเกินไป แม้ชั้นตระกูลของบ้านเราไม่ทัดเทียมตระกูลซ่ง ทว่าก็มิใช่ว่าแม้แต่เรื่องเหตุเรื่องผลก็ไม่อาจไปพูดกับตระกูลซ่งได้! ขอเพียงเจ้าปฏิบัติตนตามจารีตธรรมเนียม ก็ไม่ต้องกลัวว่าผู้ใดจะกล้ามารังแกเจ้าแล้ว!”

หมิ่นจือเสียอดพูดไม่ได้อีกว่า “คนในบ้านซ่งมีคนไม่มาก ตามหลักแล้วเมื่ออีเอ๋อร์แต่งเข้าไปก็ไม่มีสิ่งใดให้เราต้องเป็นกังวล เพียงแต่ในบรรดาคุณหนูมีตระกูลที่อีเอ๋อร์สนิทสนมมาแต่เล็ก ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูเจ็ดบ้านเว่ยผู้นั้นไม่ถูกกับคุณหนูเว่ยสามซึ่งเป็นลูกผู้พี่ แต่ตระกูลซ่งกลับเป็นบ้านลุงของคุณหนูเว่ยสาม อย่างไรเสียวันหน้าอีเอ๋อร์ก็ควรอยู่ห่างจากคุณหนูเว่ยเจ็ดสักหน่อยเป็นดี เพื่อมิให้คุณหนูเว่ยสามรู้เข้าแล้วจะไม่พอใจ แล้วไปบอกกับบ้านลุงของนางเอา”

“ฟังท่านพูดเข้า แม้ท่านเสนาบดีตรวจการซ่งจะเป็นลุงของเว่ยฉางอิ๋ง ทว่าพอลูกเราแต่งงานไปแล้ว ก็เป็นสะใภ้ของท่านเสนาบดีตรวจการซ่ง สะใภ้เป็นคนของ ตระกูลซ่ง บ้านฝั่งแม่และบ้านสามีของเว่ยฉางอิ๋งมีบ้านใดที่แซ่ซ่งบ้าง?” ตวนมู่รั่วเหมยเอ่ยอย่างไม่พอใจ “รอลูกเราแต่งเข้าไปก่อน เว่ยฉางอิ๋งต่างหากที่เป็นคนนอก! คนนอกไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนใน! หากนางไปพูดมากเรื่องความสนิทชิดเชื้อส่วนตัวของลูกข้ากับบ้านลุงของนาง ข้ายังต้องไปสอบถามกับฮูหยินซูที่จวนราชครูสักหน่อยว่าอบรมสะใภ้มาอย่างไร?”

 หมิ่นจือเสียขมวดคิ้วพลางเตือนนางว่า “ตระกูลเสิ่นปกป้องคนของตนมาแต่ไร!”

“นั่นก็นับเป็นเหตุผลใดไม่ได้!” ตวนมู่รั่วเหมยแค่นเสียงเอ่ย “เมื่อลูกเราแต่งเข้าไป การที่นางจะมีมารยาทกับคนในครอบครัวสามีก็เป็นการสมควร แต่แม้แต่ ลูกผู้น้องของสามีก็ยังต้องคอยปรนนิบัติดูแลอย่างระมัดระวังอีก …ถือดีอันใด? พี่น้อง ตระกูลเว่ยไม่ถูกกันนั่นก็เป็นเรื่องของตระกูลเว่ย หากเว่ยฉางอิ๋งไม่ชอบที่ลูกเราคบหากับเว่ยฉางเจวียน นางมีปัญญาก็ไปหาเรื่องเว่ยฉางเจวียนสิ! มาหาเรื่องลูกเราเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? บุตรสาวตระกูลหมิ่นรังแกได้ง่ายๆ รึ?”

 “ข้าก็เพียงเอ่ยถึงเท่านั้น! อีกประการ คุณหนูเจ็ดบ้านเว่ยนั้นก็คล้ายว่ามิใช่คนดีงามอันใด แม้บ้านใหญ่และบ้านสองของตระกูลเว่ยจะขัดแย้งกัน ทว่านางเป็น ลูกผู้น้องเป็นฝ่ายเข้าไปหาเรื่องลูกผู้พี่ ไม่เคารพลูกผู้พี่ สลับลำดับอาวุโส เห็นชัดว่านางก็คงไม่ได้ดีไปได้สักเท่าใด ว่ากันว่าสรรพสิ่งแบ่งตามชนิด คนแบ่งตามกลุ่ม อยู่ใกล้ชิดคนเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนเคลือบแคลงว่าลูกเราก็เป็นคนชนิดนั้นหรอกหรือ?”

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 206-1 ตวนมู่รั่วเหมย

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 206-1 ตวนมู่รั่วเหมย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งเท่านั้นที่มีความกังวลเช่นนี้ ณ จวนหมิ่น หมิ่นจือเสียสามีภรรยาเองก็กำลังอบรมบุตรสาวว่า “เวลานี้เรื่องแต่งงานกับตระกูลซ่งก็นับว่ากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ในบรรดาบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลาย ซ่งไจ้เจียงขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนจิตใจดี หาไม่แล้วเขาก็จะไม่มีทางทนรับตวนมู่อู๋เซ่อที่ทั้งไม่ดีงาม ไร้บุตรชายให้มาเป็นฮูหยินน้อยรองบ้านซ่งได้ตั้งหลายปี หลังจากลูกข้าแต่งเข้าไปแล้ว เพียงแต่ปฏิบัติตนตามจารีตธรรมเนียม อยู่ร่วมกับพี่สะใภ้ใหญ่และน้องสาวของสามีให้ดี ก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าสามีภรรยาจะไม่ปรองดองกันแล้ว”

หมิ่นอีนั่วรับฟังอย่างนอบน้อม “ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ”

“แม้ลูกข้าจะเข้าไปแต่งงานเป็นภรรยาคนใหม่ของเขา ทว่าซ่งไจ้เจียงไร้บุตรชาย ทั้งตวนมู่อู๋เซ่อก็ถูกปลดไปแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องก้มหัวยามอยู่ต่อหน้านาง แม้จะบอกว่าเป็นการแต่งงานใหม่ ทว่านอกจากเป็นเพียงคำเรียกขานแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกับภรรยาคนแรกเลย” ตวนมู่รั่วเหมยเอ่ยอย่างอารมณ์ดียิ่งว่า “ในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ ทายาทของตระกูลซ่งในสองรุ่นนี้นับว่ามีน้อยนัก ทว่าท่านตวนหุ้ยกงและท่านเสนาบดีตรวจการก็มิใช่คนที่จะรออยู่เฉยๆ ทั้งซ่งไจ้เจียงก็เป็นบุตรชายของภรรยาเอก แม้จะเป็นบุตรชายคนรอง ไม่อาจรับช่วงต่อเจียงหนาถัง แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านตวนหุ้ยกงหรือท่านเสนาบดีตรวจการล้วนมิได้ละเลยเขา การแต่งงานครานี้ก็เป็นเพราะสวรรค์คุ้มครองโดยแท้ เพราะตวนมู่อู๋เซ่อไร้วาสนา ทำลายการแต่งงานที่ดีๆ จนสิ้น หาไม่แล้วจะถึงคราวของลูกข้าได้ที่ใด?”

แม้ว่านับไปแล้วตวนมู่อู๋เซ่อก็เป็นหลานสาวร่วมตระกูลของตวนมู่รั่วเหมย แต่ประการแรกนั้น ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในตระกูลสายเดียวกัน ประการที่สองหลานสาวหรือจะเทียบกับบุตรสาวได้? ตวนมู่รั่วเหมยรู้สึกพึงพอใจเป็นหนักหนาที่ตวนมู่อู๋เซ่อถูกปลด มิใช่นางเป็นคนขอหย่าหรือว่าจู่ๆ มาตายลง แล้วต้องทำให้หมิ่นอีนั่วบุตรสาวของตนต้องมาทำพิธีแต่งงานต่อหน้าป้ายชื่อของนาง จึงกำชับบุตรสาวหนแล้วหนเล่าว่าอย่าได้ทำผิดเช่นตวนมู่อู๋เซ่อ ต้องปรองดองกับคนในบ้านสามีให้จงดี

“นางฮั่ว ฮูหยินน้อยใหญ่ตระกูลซ่งเป็นคนที่มีชั้นเชิง ลำพังดูจากที่นางจัดการ ตวนมู่อู๋เซ่อก็รู้ได้ถึงความร้ายกาจของนางแล้ว ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษนางได้ทั้งหมด ตัวของตวนมู่อู๋เซ่อเองก็ข่มเหงผู้อื่นอย่างหนักหนาอยู่ก่อนหน้า! ซ่งไจ้เถียนบุตรชายคนโตผู้นั้นก็เก่งกล้าสามารถมาแต่ไร การที่เขาได้รับช่วงต่อเจียงหนานถังก็เป็นเรื่องที่สมควรตามศักดิ์และสิทธิ์แล้ว เมื่อลูกข้าแต่งเข้าบ้านไป ขอเพียงไม่มีความคิดที่ไม่ควรมี คอยดูแลสามีใช้ชีวิตให้ดีๆ เกรงว่านางฮั่วจะต้องไม่มีทางอยู่ดีๆ ก็มาสร้างความลำบากให้แก่เจ้า …ในเมืองหลวงนี้นางมีชื่อเสียงว่าดีงามมาแต่ไร เพื่อชื่อเสียงนี้ก็จะไม่มีทางจงใจหาเรื่องหาราวเจ้า เจ้าก็เคารพนบนอบนางสักหน่อย ดีชั่วนางก็เป็น พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า เคารพนบนอบนางก็เป็นการสมควรแล้ว”

ตวนมู่รั่วเหมยสั่งความไปอย่างละเอียด “ซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเป็นว่าที่น้องสาวสามีเจ้า ก็ห้ามไปสร้างความลำบากแก่นางด้วย …นางเป็นสตรีเปี่ยมความสามารถที่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งอบรมสอนสั่งมาตามแบบฉบับของพระมารดาแห่งแผ่นดินเชียว หากมิใช่เพราะบังเอิญมาเสียโฉม ต่อให้องค์รัชทายาทเหลวแหลกไร้คุณธรรมอีกสักเท่าใด  ตำหนักตะวันออกในยามนี้ก็จะไม่เลอะเทอะเช่นนี้แล้ว อย่าได้คิดว่าเป็นเพราะนางเสียตำแหน่งว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทไป ทั้งยังเสียโฉมจนทำให้ทุกวันนี้ต้องอยู่แต่ภายในเรือน แล้วเจ้าจะดูแคลนนาง …ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องฝีมือและกลอุบายที่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งสอนสั่งนางมาเลย เพียงเรื่องที่ในเวลานี้สายหลักของตระกูลซ่งมีคุณหนูผู้นี้เพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นบุตรีภรรยาเอก และนางยังเป็นน้องสุดท้องด้วย! เพียงคิดก็รู้แล้วว่าบิดาและพี่ชายของนางจะต้องรักใคร่นางยิ่งนัก!”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เสียงนางก็ต่ำลง “ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางเสียตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทไป ที่แท้แล้วเป็นเพราะนางโชคไม่ดีหรือว่าตระกูลซ่งเกี่ยงว่าองค์รัชทายาทเหลวแหลกเกินไป จึงจงใจให้นาง…”

หมิ่นจือเสียที่เดิมทีนั่งฟังภรรยาอบรบบุตรสาวมาโดยตลอด เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ก็กระแอมไอหนหนึ่ง กล่าวว่า “ข่าวลือที่ไม่เป็นทางการ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้านเรา ก็อย่าพูดเลย”

“ข้าก็เพียงต้องการให้ลูกได้รู้ตื้นลึกหนาบางเอาไว้ และอย่าได้ดูดายต่อซ่งไจ้สุ่ยผู้นั้นเท่านั้น หาได้ทำเรื่องที่ไม่จำเป็นไม่” ตวนมู่รั่วเหมยตาขวางใส่เขาและเอ็ดไป “อีกประการที่นี่ในเวลานี้ก็ไม่ได้ให้บ่าวคนสนิทแม้สักคนอยู่ด้วย มีเพียงเราสองคนพูดเรื่องสำคัญกับลูก และลูกก็หาใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ แล้วนางจะเอาไปพูดเรื่องเปื่อยหรือ?”

หมิ่นอีนั่วรีบช่วยไกล่เกลี่ยให้บิดาว่า “ท่านพ่อก็เพียงเตือนให้ลูกระวังกริยาวาจา อย่าเสียมารยาทแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ลูกย่อมจดจำไว้ในใจ ต้องขอให้ท่านพ่อและท่านแม่สอนสั่งลูกต่อไปด้วยเจ้าค่ะ”

ด้วยเหตุที่เรื่องหน้าที่การงานของหมิ่นจือเสียถูกครอบครัวของภรรยาสนับสนุนอยู่ไม่น้อย แต่ไรมายามเขาอยู่ต่อหน้าภรรยาจึงค่อนข้างจะยอมให้ เวลานี้ถูกนางเอ็ดเอาคำหนึ่ง แม้จะอยู่ต่อหน้าบุตรสาวก็ยังอดหงอลงไปสักหน่อยไม่ได้ ทว่าเขาก็พูดขัดไปแล้ว แม้จะไม่พูดสิ่งใดอีก ทว่าสีหน้าก็ไม่ได้เปรมปรีดิ์เหมือนตอนแรกแล้ว

ตวนมู่รั่วเหมยเอ่ยต่อไปว่า “สรุปก็คือไม่เคยได้ยินว่าคนบ้านซ่งมีคนที่อยู่ด้วยยากลำบากเป็นพิเศษอันใด เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาดีๆ เป็นพอแล้ว ทว่าหากมีคนที่มาหาเรื่องเจ้าจริงๆ เจ้าก็อย่าได้อดทนและยอมจนเกินไป แม้ชั้นตระกูลของบ้านเราไม่ทัดเทียมตระกูลซ่ง ทว่าก็มิใช่ว่าแม้แต่เรื่องเหตุเรื่องผลก็ไม่อาจไปพูดกับตระกูลซ่งได้! ขอเพียงเจ้าปฏิบัติตนตามจารีตธรรมเนียม ก็ไม่ต้องกลัวว่าผู้ใดจะกล้ามารังแกเจ้าแล้ว!”

หมิ่นจือเสียอดพูดไม่ได้อีกว่า “คนในบ้านซ่งมีคนไม่มาก ตามหลักแล้วเมื่ออีเอ๋อร์แต่งเข้าไปก็ไม่มีสิ่งใดให้เราต้องเป็นกังวล เพียงแต่ในบรรดาคุณหนูมีตระกูลที่อีเอ๋อร์สนิทสนมมาแต่เล็ก ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูเจ็ดบ้านเว่ยผู้นั้นไม่ถูกกับคุณหนูเว่ยสามซึ่งเป็นลูกผู้พี่ แต่ตระกูลซ่งกลับเป็นบ้านลุงของคุณหนูเว่ยสาม อย่างไรเสียวันหน้าอีเอ๋อร์ก็ควรอยู่ห่างจากคุณหนูเว่ยเจ็ดสักหน่อยเป็นดี เพื่อมิให้คุณหนูเว่ยสามรู้เข้าแล้วจะไม่พอใจ แล้วไปบอกกับบ้านลุงของนางเอา”

“ฟังท่านพูดเข้า แม้ท่านเสนาบดีตรวจการซ่งจะเป็นลุงของเว่ยฉางอิ๋ง ทว่าพอลูกเราแต่งงานไปแล้ว ก็เป็นสะใภ้ของท่านเสนาบดีตรวจการซ่ง สะใภ้เป็นคนของ ตระกูลซ่ง บ้านฝั่งแม่และบ้านสามีของเว่ยฉางอิ๋งมีบ้านใดที่แซ่ซ่งบ้าง?” ตวนมู่รั่วเหมยเอ่ยอย่างไม่พอใจ “รอลูกเราแต่งเข้าไปก่อน เว่ยฉางอิ๋งต่างหากที่เป็นคนนอก! คนนอกไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนใน! หากนางไปพูดมากเรื่องความสนิทชิดเชื้อส่วนตัวของลูกข้ากับบ้านลุงของนาง ข้ายังต้องไปสอบถามกับฮูหยินซูที่จวนราชครูสักหน่อยว่าอบรมสะใภ้มาอย่างไร?”

 หมิ่นจือเสียขมวดคิ้วพลางเตือนนางว่า “ตระกูลเสิ่นปกป้องคนของตนมาแต่ไร!”

“นั่นก็นับเป็นเหตุผลใดไม่ได้!” ตวนมู่รั่วเหมยแค่นเสียงเอ่ย “เมื่อลูกเราแต่งเข้าไป การที่นางจะมีมารยาทกับคนในครอบครัวสามีก็เป็นการสมควร แต่แม้แต่ ลูกผู้น้องของสามีก็ยังต้องคอยปรนนิบัติดูแลอย่างระมัดระวังอีก …ถือดีอันใด? พี่น้อง ตระกูลเว่ยไม่ถูกกันนั่นก็เป็นเรื่องของตระกูลเว่ย หากเว่ยฉางอิ๋งไม่ชอบที่ลูกเราคบหากับเว่ยฉางเจวียน นางมีปัญญาก็ไปหาเรื่องเว่ยฉางเจวียนสิ! มาหาเรื่องลูกเราเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? บุตรสาวตระกูลหมิ่นรังแกได้ง่ายๆ รึ?”

 “ข้าก็เพียงเอ่ยถึงเท่านั้น! อีกประการ คุณหนูเจ็ดบ้านเว่ยนั้นก็คล้ายว่ามิใช่คนดีงามอันใด แม้บ้านใหญ่และบ้านสองของตระกูลเว่ยจะขัดแย้งกัน ทว่านางเป็น ลูกผู้น้องเป็นฝ่ายเข้าไปหาเรื่องลูกผู้พี่ ไม่เคารพลูกผู้พี่ สลับลำดับอาวุโส เห็นชัดว่านางก็คงไม่ได้ดีไปได้สักเท่าใด ว่ากันว่าสรรพสิ่งแบ่งตามชนิด คนแบ่งตามกลุ่ม อยู่ใกล้ชิดคนเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนเคลือบแคลงว่าลูกเราก็เป็นคนชนิดนั้นหรอกหรือ?”

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+