ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 106 ตวนมู่มาหา

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 106 ตวนมู่มาหา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                ฮูหยินซูยังไมทันร่างรายชื่อคุณชายที่ยังไม่ได้แต่งงานและมีอายุเหมาะสมของแต่ละตระกูลในเมืองหลวงออกมา ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็กลับมาเยี่ยมเยือนที่บ้านแล้ว

                ทุกคนในจวนราชครูต่างพากันประหลาดใจกับการมาเยือนของศิษย์เอกของหมอเทวดาผู้นี้ยิ่งนัก เดิมทีฮูหยินน้อยรองนางตวนมู่กำลังตรวจผลการเรียนของบรรดาบุตรสาว หลังจากได้ยินข่าวก็รีบร้อนอาบน้ำแปรงผมเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรีบมาตรงหน้าฮูหยินซู …ไม่คิดว่ายังไม่ทันก้าวขึ้นบนระเบียงทางเดิน ก็กลับมาได้ยินว่า ฮูหยินซูที่อยู่ข้างในกำลังเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูแปดมาหาฉางอิ๋งรึ?”

                นางตวนมู่ที่อยู่ข้างนอกได้ยินเข้า ฝีเท้าของนางพลันช้าลง พลางมีสีหน้าฉงนสงสัย แล้วส่งสัญญาณให้สาวใช้ที่อยู่หน้าประตูไม่ต้องไปรายงาน ปล่อยชายกระโปรงลงและตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ…

                แต่ได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวที่อยู่ข้างในตอบกลับมาดังกังวานว่า “ฮูหยินกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ คราก่อนสะใภ้ของท่านติดตามบุตรชายของท่านไปตรวจรักษากับอาจารย์ของซินเหมี่ยว พอดีว่าเวลานั้นซินเหมี่ยวก็อยู่รับใช้ท่านอาจารย์ด้วย เมื่อได้พบกับสะใภ้ของท่านก็รู้สึกถูกชะตา สนทนากันถูกคอนัก จึงนัดว่าจะมาพบกันอีกเจ้าค่ะ วันนี้ซินเหมี่ยวมีเวลาว่าง นึกถึงสัญญาที่เคยให้ไว้ จึงมาโดยไม่รับเชิญ ต้องขอให้ฮูหยินอภัยด้วยเจ้าค่ะ”

                ฮูหยินซูย่อมต้องให้อภัย หากไม่เอ่ยถึงว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวมีฐานะเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของจี้ชวี่ปิ้ง ลำพังที่นางเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว เป็นน้องสาวร่วมตระกูลของนางตวนมู่สะใภ้คนรอง สำหรับคุณหนูผู้ดีของตระกูลที่ไม่ด้อยไปกว่าบ้านตน ฮูหยินซูย่อมไม่เสียมารยาทกับนาง ยามนี้จึงกลบเกลื่อนท่าทีประหลาดใจแล้วเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ที่ว่ามานี้ หากไม่เอ่ยถึงสัญญาของฉางอิ๋งกับเจ้า ลำพังพี่สาวของเจ้าคือสะใภ้รองของบ้านเรา พวกเราก็ล้วนเป็นเครือญาติกัน เมื่อเจ้ามาก็เหมือนกับมาบ้านตนเอง ไยต้องเกรงอกเกรงใจเล่า?”

                ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างน่าเอ็นดูว่า “ซินเหมี่ยวขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!”

                “เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า จะว่าไปคราก่อนท่านแม่ข้าล้มป่วยก็ยังต้องลำบากเจ้าแล้ว” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนรักษาแม่เฒ่าเติ้งจนหาย แม้คราวนั้นฮูหยินซูจะขอบคุณแล้วขอบคุณอีก แต่เพราะนางไม่คุ้นเคยกับตวนมู่ซินเหมี่ยวนัก คราวนี้จึงยังต้องมีพิธีรีตองสักหน่อย ฮูหยินซูจึงขาดไม่ได้ที่จะยกย่องความดีงามและฝีมือแพทย์ของตวนมู่ซินเหมี่ยวอีกครั้ง

                นางตวนมู่ที่อยู่ข้างนอกฟังคำพูดจาตามมารยาทไปพักหนึ่ง จึงขบริมฝีปาก จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ และกลับมาอยู่ในกริยาที่เป็นปกติ พยักหน้าให้สาวใช้หนหนึ่ง สาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่เข้าใจแล้วจึงเข้าไปรายงานข้างในคำหนึ่ง ฮูหยินซูจึงหยุดสนทนาและเรียกนางเข้ามา

                นางตวนมู่เข้าประตูมาด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เห็นตวนมู่ซินเหมี่ยวสวมเสื้อส้างหรูคอป้ายปักลายกิ่งก้านและดอกลำโพงบนพื้นสีส้มอมชมพู คาดกระโปรงหลัวฉวินพิมพ์ลาย เกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้ ปักดอกไม้อัญมณีรูปดอกซานฉาอยู่บนมวยผม ปิ่นอุบะรูปนกหลวน กำลังนั่งเรียบร้อยในที่นั่งรองจากฮูหยินซู ท่าทีสำรวมมุมปากอมยิ้ม ด้วยท่าทีตามแบบฉบับของคุณหนูผู้ดีมีตระกูล

                นางตวนมู่ยิ้มน้อยๆ พลางคำนับฮูหยินซูและทักทายน้องสาวร่วมตระกูลอย่างสนิทสนมยิ่ง “เหมี่ยวเอ๋อร์วันนี้มาได้จังหวะเชียว ห้องครัวเล็กกำลังทำขนมกุหลาบกวนแป้ง ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบทานขนมนี้ กำลังคิดจะให้คนส่งไปให้สักหน่อยอยู่เชียว”

                ตวนมู่ซินเหมี่ยวลุกขึ้นมาคารวะพี่สาวร่วมตระกูล ยิ้มพลางว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ เพียงแต่ท่านพี่ก็ไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น ข้ามาหาพี่เว่ยเจ้าค่ะ สักพักท่านพี่ส่งไปที่เรือนของพี่เว่ยเป็นพอแล้วเจ้าค่ะ”

                นางตวนมู่มีสีหน้าประหลาดใจ กล่าวว่า “เจ้ามาหาน้องสะใภ้สาม?” แล้วพลันเปลี่ยนเป็นสงสัย “เหตุใดจู่ๆ จึงมาหาน้องสะใภ้สามเล่า?”

                “คราก่อนได้พบกันที่คฤหาสน์ท่านอาจารย์เจ้าค่ะ เมื่อได้พบพี่เว่ยก็รู้สึกถูกชะตานัก จึงนัดกันว่าเมื่อข้าว่างแล้วจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าค่ะ” ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มจางๆ พลางว่า “วันนี้จึงมาเล่นกับพี่เว่ยเจ้าค่ะ” แล้วเหลียวซ้ายแลขวาสักพัก “ยามนี้พี่เว่ยกำลังยุ่งอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”

                ฮูหยินซูจึงสอบถามแม่นมเถา “ฉางอิ๋งเล่า? ยังไม่ให้คนไปเรียกอีกรึ?”

                แม่นมเถาเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “ส่งคนไปเรียกแล้วเจ้าค่ะ คิดว่าเรือนจินถงอยู่ไกลจากที่นี่ จึงยังไม่มาเจ้าค่ะ”

                นางว่าไปดังนี้ นอกจากตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ไม่คุ้นเคยกับจวนราชครู ทั้งฮูหยินซูและนางตวนมู่ล้วนเข้าใจดีว่า ตวนมู่ซินเหมี่ยวมาที่บ้านตระกูลเสิ่นเป็นครั้งแรก เวลานี้คนทั้งบ้านตระกูลเสิ่นล้วนไม่ได้เจ็บไข้ แต่แล้วจู่ๆ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็มาที่บ้าน ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องคิดว่านางมาหานางตวนมู่ซึ่งเป็นพี่สาวร่วมตระกูล

                ดังนั้นฮูหยินซูต้อนรับนางอยู่ที่นี่ จึงไม่ต้องไปสั่งบ่าวไพร่ พวกนางก็จะรีบวิ่งไปเชิญนางตวนมู่มาจากเรือนอู๋ฮวาแล้ว

                จนกระทั่งนางตวนมู่มาจึงเพิ่งได้ยินว่าที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวมานั้น กลับเพราะมาหาเว่ยฉางอิ๋งต่างหาก…คราวนี้เกรงว่าต่อให้คนไปเรือนจินถงเร่งรีบเท่าใดก็ยังไปไม่ถึงเลย!

                สีหน้าของนางตวนมู่ออกจะไม่น่าดูนัก เพียงแต่เมื่อคิดสักพักก็กลบเกลื่อนไปเสีย แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปก็เกรงว่ายามนี้น้องสะใภ้สามค่อนข้างยุ่งอยู่จริงๆ สองวันก่อนพวกคนซื้อของเกิดเรื่องเล็กน้อย เวลานี้น้องสะใภ้สามกำลังจัดการอยู่ เกรงว่าจะเสียเวลาด้วยเหตุนี้”

                ฮูหยินซูหรี่ตามานางหนหนึ่งอย่างมีนัยยะ ความหมายที่นางตวนมู่เอ่ยนั้นเห็นชัดว่ากำลังบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งจงใจเพิกเฉยต่อตวนมู่ซินเหมี่ยว จะวาไปตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เป็นน้องสาวร่วมตระกูลของนางตวนมู่ นับไปแล้วก็น่าจะใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งกว่าเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งจะแต่งงานมาอยู่ที่เมืองหลวงเมื่อต้นปี ทว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวมาที่จวนราชครูครั้งแรกกลับมาหาเว่ยฉางอิ๋ง หาได้มาหานางตวนมู่ซึ่งเป็นพี่สาวร่วมตระกูลของตนไม่ เรื่องนี้ก็ทำให้นางตวนมู่ค่อนข้างวางตัวลำบากแล้ว ฟังคำที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวเพิ่งจะเรียกขาน… กลับเรียกนางตวนมู่อย่างเรียบเฉยว่า ‘ท่านพี่’ แม้แต่ลำดับในตระกูลก็ยังคร้านจะเรียก แต่กลับเรียกเว่ยฉางอิ๋งอย่างสนิทสนมว่า ‘พี่เว่ย’

                เรื่องเช่นนี้ต่อให้เป็น ฮูหยินซูเองก็ยังรู้สึกไม่ยินดี เพียงแต่การที่นางตวนมู่ระงับอารมณ์ไม่อยู่และมาใส่ความน้องสะใภ้ต่อหน้าแม่สามีเช่นนี้ ฮูหยินซูก็ยังต้องตักเตือนนางสักหน่อย …เมื่อถูกฮูหยินซูส่งสายตามองดังนี้ นางตวนมู่เองก็รู้สึกว่าตนใจร้อนเกินไป จึงยิ้มอย่างขัดเขินเป็นการชดเชย “ทว่าในเมื่อน้องสะใภ้สามนัดกับเหมี่ยวเอ๋อร์เจ้าเอาไว้แล้ว คิดว่าเมื่อมีคนไปรายงานแล้วก็จักต้องรีบมาแน่นอน”

                ตวนมู่ซินเหมี่ยวทึ้งผ้าเช็ดหน้า ยิ้มอย่างสำรวมสงบเสงี่ยม กล่าวว่า “ฮูหยินและท่านพี่โปรดวางใจ ซินเหมี่ยวกลับมิได้รีบร้อนอันใดเจ้าค่ะ จะว่าไปคราก่อนก็ไม่ได้นัดกับพี่เว่ยว่าจะมาวันใด จู่ๆ วันนี้ก็มาหาที่บ้าน จึงกลัวว่าจะรบกวนพี่เว่ยเป็นที่สุดเจ้าค่ะ” แล้วว่า “หากพี่เว่ยมีธุระ วันพรุ่งซินเหมี่ยวค่อยมาใหม่ก็ได้เจ้าค่ะ”

                เมื่อมาเห็นกริยามารยาทที่ใจกว้างเป็นผู้ดีทั้งยังรู้จักเกรงอกเกรงใจผู้อื่นของตวนมู่ซินเหมี่ยวในยามนี้ ในสายตาของฮูหยินซูซึ่งไม่ใคร่คุ้นเคยกับนางนักก็รู้สึกว่าคุณหนูผู้ดีก็ควรจะมีกริยาท่าทางเช่นนี้ แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะไปไหว้ครูเป็นศิษย์ของแพทย์ซึ่งขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติ ทว่าเมื่อดูจากชาติตระกูลก็เป็นคุณหนูมีตระกูลอย่างเต็มตัว …นางจึงไม่รู้สึกแปลกใจ พลางยิ้มแย้มและปราศรัยกับนางว่า “จะได้อย่างไร? แม้ไม่ได้นัดวันกันเอาไว้ แต่อย่างไรก็นัดกันไว้แล้ว ฉางอิ๋งควรต้องเตรียมตัวต้อนรับเจ้าจึงจะถูก.. คงเพราะหนทางไกล และพวกบ่าวขี้เกียจพากันชักช้า คุณหนูแปดโปรดนั่งรอสักครู่ ประเดี๋ยวเมื่อฉางอิ๋งมาแล้วข้าจะให้นางขอขมาเจ้า!”

                “ซินเหมี่ยวมิกล้าหรอกเจ้าค่ะ” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างเกรงใจ “เดิมทีพี่เว่ยก็โตกว่าซินเหมี่ยว ว่ากันว่าใหญ่เล็กตามลำดับ ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินก็บอกแล้วว่า ที่ยามนี้พี่เว่ยยังไม่มาก็เพราะเรือนจินถงอยู่ไกล…”

                “คุณหนูแปดอ่อนโยนนอบน้อมจริงๆ…” แรกเริ่มนั้นฮูหยินซูเพียงเห็นว่านางโดดเด่นเทียบเท่ากับกลุสตรีในตระกูลสูงศักดิ์  เวลานี้ยิ่งเอ่ยชมนางด้วยสีหน้ามีเมตตากว่าเดิม

                นางตวนมู่อมยิ้มอยู่ข้างๆ สีหน้าสงบราบเรียบ ทว่ากลับกำผ้าเช็ดหน้าแน่นเข้าเรื่อยๆ …ฮูหยินซูไม่คุ้นเคยกับตวนมู่ซินเหมี่ยว นางตวนมู่ซึ่งเป็นพี่สาวร่วมตระกูลหรือจะไม่รู้จักน้องสาวร่วมตระกูลผู้นี้ของตนเป็นอย่างดี?

                สิ่งที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวเคยประสบมานั้นคล้ายคลึงกับจี้ชวี่ปิ้งอาจารย์ของนาง นานมาแล้วครั้งตวนมู่เวยเหมี่ยวพี่สาวคนโตของนางยังเป็นพระชายาองค์รัชทายาทอยู่ นางก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายด้วยบารมีของพี่สาวผู้นี้ และครานั้นแม่เฒ่าตวนมู่ก็ยังอยู่ คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าตวนมู่รักเป็นที่สุดกลับไม่ใช่ตวนมู่ซินเหมี่ยว หากแต่เป็นตวนมู่เวยหมี่ยว นางจึงมองหลานสาวคนเล็กผู้นี้ต่างจากพี่สาวมาโดยตลอด

                ปรากฏว่าภายหลังฮองเฮาเฉียนถูกถอดยศ องค์รัชทายาทก็ถูกปลดตามไปด้วย พระชายาองค์รัชทายาทก็กลายมาเป็นสามัญชน ด้วยเหตุที่สามีตรอมใจตาย แล้วไม่นานจากนั้นจึงเพิ่งได้รับพระยศเป็นไช่อ๋องผู้เฒ่าและนางก็ได้เป็นพระมารดาไช่อ๋อง แต่เคราะห์ดีที่ยังมีบุตรชายจากตระกูลในชั้นตระกูลใหญ่อยู่หนึ่งคน จึงสามารถทำให้ตวนมู่เวยเหมี่ยวประคองชีวิตมาได้ หาไม่แล้วมีความเป็นไปได้แปดหรือเก้าในสิบส่วนว่าพระมารดาไช่อ๋องจะต้องตายตามสามีไปตามรอยพี่สาวร่วมตระกูลของหลิวรั่วอวี้ซึ่งเป็นพระชายาองค์รัชทายาทองค์แรกในรัชสมัยปัจจุบันไปแล้ว

                หลังจากตวนมู่เวยเหมี่ยวเกิดเรื่องแล้ว ก็ทำให้แม่เฒ่าตวนมู่ซึ่งรักนางเป็นที่สุดได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างมาก การที่นางเป็นม่ายยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสะเทือนใจอีกครั้งหนึ่ง ที่สุดแล้วพระราชโองการแต่งตั้งไช่อ๋องยังไม่ทันลงมา ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่ก็มาด่วนจากไปเสียก่อน …โดยพื้นฐานแล้วฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่ผู้นี้ต้องตรอมใจตายเพราะหลานสาวนั่นเอง

                ตวนมู่เวยเหมี่ยวและตวนมู่ซินเหมี่ยวสองพี่น้องไม่มีพี่ชายน้องชายแท้ๆ นางเฉียนมารดาแท้ๆ ของสองพี่น้องเป็นคนแข็งกร้าว แต่ไรมาก็เข้ากับสามีไม่ได้เอามากๆ

                ครั้งเจ้านายของตำหนักเว่ยยางยังแซ่เฉียนอยู่นั้น แม้นางเฉียนจะไม่เป็นที่รักของสามี ทว่ายังนับว่าโชคดี หลังจากบุตรสาวคนโตเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว สามีก็ดีกับนางมากขึ้นมาก ภายหลัง… นางเฉียนเพิ่งจะเสียไปเมื่อสองปีก่อน นับๆ ดูแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เพิ่งจะออกทุกข์เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่เสียไป ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็คอยอยู่เฝ้ามารดา สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลังเดียวกัน กระทั่งไม่ก้าวเข้าคฤหาสน์ตระกูลตวนมู่เลย

                หลังจากนางเฉียนเสียไป ตวนมู่ซินเหมี่ยวยังคงอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น นอกจากจะไปที่เยี่ยมพี่สาวและหลานน้าที่จวนไช่อ๋องเดือนละครั้งแล้ว ก็ห่างเหินกับตระกูลตวนมู่เป็นอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่แม้ว่าเมื่อนับไปแล้วนางตวนมู่กับน้องสาวผู้จะมีท่านทวดคนเดียวกัน ทว่าทั้งสองคนกลับไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าใด และคราก่อนที่ไปเชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวมารักษาแม่เฒ่าเติ้งนั้น นางก็ต้องถึงขึ้นไปขอร้องท่านแม่แซ่ตวนมู่อาศัยฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ในตระกูลไปเชิญนางถึงเรือน

                และเพราะว่าปีก่อนนี้บิดาของตวนมู่ซินเหมี่ยวแต่งงานใหม่ ฮูหยินที่แต่งงานใหม่นี้แซ่โจว เป็นบุตรสาวในตระกูลโจวแห่งซีหลินซึ่งอยู่ในชั้นตระกูลใหญ่ ฐานะตระกูลไม่เทียบเท่าตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว และไม่ยอมยินยอมถูกพวกอนุกลุ่มหนึ่งที่ถือดีว่าตนที่มีความชอบที่มีบุตรชายข่มเอา จึงได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลังโดยการไปรับตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับมาอยู่ด้วย …อาศัยชื่อเสียงดีงามว่าตนรักลูกเลี้ยงยิ่งนัก ไปจัดการคนในเรือนหลังอย่างสาหัสสากรรจ์ เอาอนุที่บุตรชายใกล้จะถึงวัยเกล้าผมไปขายหลายคน และไล่บ่าวชรากลุ่มใหญ่ออกไป ควบคุมคนทั้งเรือนดังนี้ เมื่อจัดการเรือนหลังจนราบคาบแล้ว ก็มีอำนาจล้นมือ แต่ก็ยังได้มีชื่อเสียงที่ดีงามว่าเป็นผู้ที่เห็นความสำคัญของบุตรสาวจากภรรยาคนก่อนของสามี และถูกมองวาเป็นตัวอย่างของมารดาผู้มีเมตตา

                เพียงแต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับมีความเคียดแค้นอยู่ในใจ แม้จะกลับมาที่บ้านแล้วก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับคนในบ้านเท่าใดนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนร่วมตระกูลคนอื่นๆ เลย นางตวนมู่มักได้ยินมารดาของตนวิจารณ์น้องสาวร่วมตระกูลผู้นี้ว่า “นางเคยมีประสบการณ์คล้ายกับจี้ชวี่ปิ้ง สองศิษย์อาจารย์เป็นคนหัวอกเดียวกัน ที่เดิมทีก็เป็นเด็กไร้เดียงสามที่ร่าเริงซุกซนทั่วไป แต่ยามนี้กลับถูกเรื่องราวในใต้หล้าทำให้หัวใจเย็นชา มองดูท่าทีแสนเกรงอกเกรงใจกับทุกคนทุกเรื่อง ความจริงแล้วหาได้แยแสเรื่องใดไม่ นอกจากเวยเหมี่ยวแม่ลูก รวมทั้งบิดาของนางแล้ว ต่อให้คนนอกนั้นจะเป็นตายก็มิใช่ว่านางจะเก็บมาใส่ใจ หากต้องการจะคบหากับนางจริงๆ นั้นไม่ง่าย ทว่าหากล่วงเกิน นางก็จะจดจำเจ้าไปไว้ชั่วชีวิต… ดังนั้น ก็ต้องปฏิบัติกับนางเช่นเดียวกับปฏิบัติต่อองค์หญิงอันจี๋ ต่อให้ไม่มีเรื่องใดต้องขอร้องนาง ก็อย่าได้ไปล่วงเกินนาง เพื่อมิให้เมื่อนางเคียดแค้นขึ้นมาและจัดการเจ้าเอา ไม่คุ้มค่าเลย”

                นางตวนมู่จดจำคำนี้เอาไว้ในใจ จึงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจน้องสาวร่วมตระกูลผู้นี้ยิ่งเสมอมา เพราะตนเองเคยได้ฟังคำวิจารณ์ของมารดามา ดังนั้นเมื่อเห็นว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้คน ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็มักทำตัวเกรงอกเกรงใจแต่เฉยชาและเหินห่าง ยามลับหลังกลับเป็นคนดุร้ายเกรี้ยวกราดเจ้าโทสะผิดมนุษย์มนา นางตวนมู่จึงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ดีชั่วอย่างไรก็รู้ว่าน้องสาวผู้นี้เป็นคนเช่นนี้มาแต่ไร!

                แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเปรียบเทียบ …ยามนี้มองดูท่าทีที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวมีต่อเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางตวนมู่ก็ไม่อาจเป็นสุขได้!

                นางนิ่งคิดเรื่องนี้ไม่พูดจา สักพักใหญ่หลังจากนั้น ในที่สุด เว่ยฉางอิ๋งก็มาแล้ว เมื่อคารวะเรียบร้อยแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เรียกขานนางว่าพี่เว่ยด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ข้าคิดถึงพี่เสียยิ่งนัก! ยังมิทันส่งเทียบมาแจ้งก็มาเสียแล้ว พี่คงไม่ถือโทษข้าหรอกนะ?”

                ดีจริงนะ! พอได้พบกับเว่ยฉางอิ๋ง แม้แต่คำว่า ‘เว่ย’ นางก็ยังตัดทิ้งเสียแล้ว! นี่คงจะสนิทสนมเทียบเท่ากับตวนมู่เวยเหมี่ยวเพียงนั้นเลยสิท่า? นางตวนมู่ลอบขบฟัน ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ๋อร์กล่าวถูกต้องนัก น้องสะใภ้สาม นี่หาใช่ว่าข้าซึ่งเป็นพี่สาวจะช่วยพูดแทนน้องหรอกนะ ก่อนหน้านี้เจ้าก็นัดกับเหมี่ยวเอ๋อร์เอาไว้แล้ว แล้วเหตุใดยามนี้จึงมาช้านัก? จนท่านแม่เอ่ยปากว่าเมื่อเจ้ามาถึงก็จะให้เจ้าขอขมาเหมี่ยวเอ๋อร์แล้ว! ดูเจ้าสิ!”

                นางตวนมู่ริษยาอยู่ในใจจนอัดอั้นใจนัก และไม่ได้สนใจคำเตือนของแม่สามีก่อนหน้านี้แล้ว …อย่างไรเสีย ฮูหยินซูก็จะไม่มีทางส่งนางกลับบ้านเพราะสาเหตุนี้ ตามความเข้าใจของนางที่มีต่อแม่สามีแล้ว หากวันนี้ไม่ฟังความนางอย่างมากก็จะต้องรอให้แขกกลับไปก่อนจึงค่อยมาต่อว่าตน พอถึงยามนั้นค่อยยอมรับผิดดีๆ เป็นสิ้นเรื่องแล้ว ทว่าหากปล่อยเว่ยฉางอิ๋งไปทั้งเช่นนี้ นางทนไม่ไหวจริงๆ !

                ฮูหยินซูขมวดคิ้วแน่น เหลือบตาไปทางสะใภ้รอง แต่เพราะมีตวนมู่ซินเหมี่ยวอยู่ด้วยจึงไม่ได้เอ่ยคำใด

                เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวมา พลันคิดถึงว่าจะต้องมอบแหวนฝั่งหยกที่มีราคาไม่ธรรมดาของตนวงนั้นให้นางไป ตนเองก็รู้สึกตัดใจไม่ได้เสียจริงๆ …เพราะประเด็นสำคัญก็คือต้องให้นางไปด้วยเหตุผลที่เลอะเลือนยิ่ง จึงไม่สบายใจอยู่เป็นทุนเดิม ยามนี้มาได้ยินนางตวนมู่ค่อนแคะตนเช่นนี้อีก นางจึงเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “ข้านึกว่าที่คุณหนูตวนมู่แปดบอกว่าจะมาหาข้าเป็นคำพูดตามมารยาทเสียอีก กอปรกับในวันที่ได้พบกับคุณหนูแปดนั้น ข้าไปกับท่านพี่เพื่อไปขอให้ท่านหมอเทวดาจี้ตรวจรักษา ข้าเอาแต่คิดถึงท่านพี่ เมื่อกลับมาแล้วกลับลืมบอกกับท่านแม่และพี่สะใภ้ไปเสียสนิท เมื่อวันนี้คุณหนูแปดมาเยี่ยมข้าจริงๆ และข้าไม่ได้ออกไปรับ ต้องขอให้คุณหนูแปดอภัยด้วย!”

                พูดไปพลางจะหันไปคำนับตวนมู่ซินเหมี่ยว …ทว่ายามนี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวมีเรื่องที่ต้องขอร้องนาง เดิมทีก็ควรจะพินอบพิเทานางอยู่แล้ว ที่ใดจะกล้าให้นางมาขอขมาจริงๆ? จึงรีบเข้าไปประคองนางเอาไว้ แล้วบ่นว่า “พี่เว่ย ทำสิ่งใดกัน? ทั้งที่เป็นข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าว พี่เว่ยไม่โทษข้าก็บุญแล้ว ข้าจะไปโทษพี่เว่ยได้อย่างไร? หากจะขอขมาก็คงเป็นข้าขอขมาพี่จึงจะถูกเจ้าค่ะ!”

                ทั้งสองคนต่างพากันแย่งขอขมาอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น ทว่าดวงตาของฮูหยินซูกลับมีแววสงสัยขึ้นมา ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดอยู่ไม่หยุดปากว่านางและสะใภ้สามได้พบกันก็ถูกชะตา ดูคล้ายสนิทสนมเสียอย่างยิ่ง กระทั่งสนิทยิ่งกว่านางตวนมู่ซึ่งเป็นพี่สาวร่วมตระกูลเสียอีก… เหตุใดดูไปยามนี้กลับมิได้เป็นเช่นนั้น?

                โดยเฉพาะเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้มีท่าทีสนิทสนมกับตวนมู่ซินเหมี่ยวเลยแม้สักน้อย!

                สะใภ้ของตนเอง ตนเองย่อมเข้าใจดี ฮูหยินซูรู้ว่าครั้งเว่ยฉางอิ๋งยังเป็นคุณหนูอยู่ นางได้รับความรักใคร่จากญาติผู้ใหญ่เป็นอันมาก ทว่าก็ไม่ได้เอาแต่ใจจนถึงขั้นไร้เหตุผล หากตวนมู่ซินเหมี่ยวมีเจตนาดีกับนางจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ควรจะมีท่าทีห่างเหินเย็นชาเช่นนี้จึงจะถูกสิ?

                นี่มันเป็นเรื่องใดกันแน่?

                ทางนี้ฮูหยินซูกำลังจับตาดูอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ ตวนมู่ซินเหมี่ยวและ เว่ยฉางอิ๋งบอกปัดกันไปมา ที่สุดตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่อาจทานแรงของเว่ยฉางอิ๋งที่ฝึกวรยุทธมาแต่เล็กจึงถูกจับเอาไว้ให้รับการคารวะเสีย …ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองเห็นว่าในสายตาของเว่ยฉางอิ๋งมีความไม่พอใจนางตวนมู่อยู่ ทว่าเพราะกังวลว่าจะถูกพี่สาวร่วมตระกูลของนางยั่วยุเอา จนทำให้เว่ยฉางอิ๋งโมโหแล้วจะไม่ได้เครื่องหยกมาถึงมือ จึงรู้สึกไม่พอใจนัก …อย่างไรเสียที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่มีที่ใดไม่กล้าล่วงเกินนางตวนมู่อยู่แล้ว นางจึงหันไปทางพี่สาวร่วมตระกูลอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ข้ามาเยี่ยมพี่เว่ยดีๆ ฮูหยินซูซึ่งเป็นแม่สามีของพวกท่านก็ยังไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใดเลย ท่านพี่ก็เอาแต่บีบคั้นให้พี่เว่ยมาขอขมาข้าอยู่หนแล้วหนเล่า เกรงว่าพวกเราจะไม่บาดหมางกันหรือไร! ท่านพี่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?!”

______________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด