ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 83 ซุนฝู

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 83 ซุนฝู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                …ในตำหนักฉางเล่อ ฮองเฮากู้ที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องขององค์รัชทายาท ที่ใดเล่าจะมีแก่ใจไปตั้งใจฟังเรื่องขัดแย้งระหว่างองค์หญิงอันจี๋และองค์หญิงหลินชวน นางจึงอ้างว่าไม่สบาย แล้วประเหลาะองค์หญิงทั้งสองไปสองสามคำให้กลับไปเสีย เมื่อกลับมาในห้องบรรทม ใบหน้าของหน้าก็ปรากฏร่องรอยความยุ่งเหยิงขึ้นมาจริงๆ

                นางกำนัลคนสนิทรีบยกชาโสมมาให้ แล้วหยิบเอาค้อนหยกมา คุกเข่าข้างตั่ง ทุบขาให้นางเบาๆ

                “ให้หลินเต๋อเข้ามารายงานเถิด” ฮองเฮากู้ดื่มชาโสมไปถ้วยหนึ่ง จึงมีเรี่ยวแรงกลับมาและสั่งไปดังนั้น

                นางกำนัลเห็นว่าสีหน้าของนางยังคงซีดขาวอยู่ จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ พลันกล่าวเตือนด้วยเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาทเอนหลังสักพักดีหรือไม่เพคะ? ดีชั่ว ฮูหยินซูก็รู้ทางหนีทีไล่ดี จึงเกิดความสงสัยที่ความเป็นมาของหญิงเก็บบัวเหล่านั้น ต่อให้ทางตำหนักหมิงกวงมีแผนการใดแต่ก็ไม่เคยลงมือมาก่อน อย่างไรฝ่าบาทก็รักษาพระวรกาย…”

                “มีพระราชโอรสที่ไม่ได้ดังใจเช่นนี้แล้วจักให้ข้ารักษาร่างกายอย่างไร?” ฮองเฮากู้สูดหายใจลึกพลางว่า “ข้ารู้ว่าเขาอดใจกับความงามไม่ได้เลย ไม่ว่าจะตักเตือนเขากี่หน ว่าหากต้องการคนงามผู้ใดขอเพียงสั่งให้คนไปคัดเลือกมาจากประชาชน บุตรสาวชาวบ้านทั่วไป ต่อให้แต่งงานแล้ว เป็นถึงองค์รัชทายาทหากต้องการก็เอามาได้ ฮ่องเต้ก็ไม่เคยสนพระทัยในเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่อย่าได้ไประรานพวกตระกูลมีชื่อ! เครือข่ายความสัมพันธ์ของตระกูลใหญ่โตเหล่านี้ หยั่งรากลึกลงไปทั่วต้าเว่ย! แม้ได้ชื่อว่าเป็นสามัญชน ทว่าแม้แต่องค์ฮ่องเต้ก็ยังต้องทรงเกรงกลัว! แต่เป็นตายอย่างไรเขาก็กลับไม่ยอมฟังใส่หู! เรื่องนี้ทำให้ข้าโกรธแทบตายแล้ว!”

                นางกำนัลกล่าว “ฮองเฮาโปรดระงับโทสะ!” แล้วว่า “แม้ตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่จะมีอำนาจกว้างขวาง แต่องค์รัชทายาทก็ยังเป็นพระหน่อเนื้อของฮ่องเต้… ฐานะของฮองเฮาและองค์รัชทายาทในยามนี้ก็มั่นคงดังขุนเขานะเพคะ!”

                “มั่นคงดังขุนเขา? เจ้านึกว่าตำแหน่งสูงศักดิ์นี้ง่ายดายเพียงนั้นรึ?” ฮองเฮาได้ยินคำกลับเยาะหยันยิ่ง กล่าวว่า “เรื่องขององค์รัชทายาทพระองค์แรกนั้น ล้วนว่ากันว่าเป็นเพราะภายหลังที่อดีตฮองเฮาเฉียนมีท่านอ๋องไช่แล้ว นางก็ต้องการให้แต่งตั้งท่านอ๋องไช่พระโอรสของนางเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ จึงไปกล่าวให้ร้ายองค์รัชทายาทพระองค์แรกต่อฮ่องเต้ จนเป็นเหตุให้เซินรุ่ยซึ่งเป็นทั้งพระโอรสของฮองเฮาพระองค์แรกและเป็นทั้งพระราชโอรสพระองค์โตของฮ่องเต้ต้องสิ้นพระชนม์…ครั้งนั้น หากมิใช่เพราะแรกเริ่ม ข้าและนางเติ้งร่วมมือกันเพื่อล้มล้างนางเฉียน แล้วนางเติ้งกังวลว่าข้าจะเกรงกลัวฐานะและความรักที่ฮ่องเต้มีต่อนางเฉียนจนไม่กล้าลงมือหนัก แล้วเล่าเรื่องความเป็นมาภายในให้ข้าฟัง ข้าก็จะนึกว่านางเฉียนร้ายกาจนัก เพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้ฮ่องเต้ปลดองค์รัชทายาทได้แล้ว!”

                นางกำนัลตื่นตกใจ เรื่องนี้แม้แต่นางเองก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน “ความหมายของฝ่าบาทคือ?”

                “หลังจากฮองเฮาหลิวสิ้นประชนม์ ตระกูลหลิวก็ยิ่งเอาอกเอาใจเซินรุ่ย และเซินรุ่ยก็ยังแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลหลิวให้นางมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท…ยิ่งไปกว่านั้นสามีภรรยาก็รักใคร่กันอย่างมาก แล้วเรื่องนี้จะไม่ทำให้ฮ่องเต้กังวลพระทัยหรือ? ฮองเฮาส่งเสียงหึออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า “แต่ไรมาตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกก็มีอำนาจเด่นชัดมากพออยู่แล้ว โดยเฉพาะอำนาจทางทหารของหลิวและเสิ่นนั้นรุ่งเรืองนัก แล้วฮ่องเต้จะทรงวางพระทัยมอบอำนาจการปกครองต้าเว่ยให้แก่พระโอรสที่เกิดจากฮองเฮาหลิวทั้งยังมีความใกล้ชิดกับตระกูลหลิวได้อย่างไร? จะทรงไม่หวั่นเกรงหรือว่าสักวัน…ต้าเว่ยจะกลายเป็นดินแดนของตระกูลหลิวและเสิ่น?”

                นางกำนัลกล่าวพึมพำว่า “ฝ่าบาทหมายถึงว่า ที่องค์ชายใหญ่เซินรุ่ยถูกถอดพระยศนั้น เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้มาแต่ต้นหรือเพคะ?”

                “ย่อมเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้” ฮองเฮากู้เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “นางเฉียนก็เพียงรับความผิดนี้ไปแทนฮ่องเต้เท่านั้น …ครั้งนางเฉียนยังอยู่ในตำแหน่ง ตระกูลเฉียนแห่งซิงเหอรุ่งโรจน์ปานใด? เจ้าดูบรรดาบุตรหลานในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหก มีจำนวนเท่าใดที่ล้วนแต่งบุตรสาวตระกูลเฉียนมาเป็นภรรยา! แต่พอนางเฉียนถูกถอดพระยศ เหตุใดตระกูลเฉียนจึงได้ถดถอยลงไปอย่างหนัก? หาใช่เพราะตระกูลหลิวได้ทีขี่แพะไล่ แก้แค้นที่นางทำร้ายองค์ชายใหญ่? หากแต่เป็นฮ่องเต้ทรงแสร้งทำเป็นรักใคร่นางเฉียนและทรงดำเนินการเรื่องต่างๆ ก็เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการจะยับยั้งไม่ให้องค์ชายใหญ่ซึ่งมีความใกล้ชิดกับตระกูลหลิวได้สืบราชบัลลังก์ ทั้งยังไม่ทำให้บรรดาตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายเกิดความหวาดระแวงด้วย…”

                เอ่ยถึงตรงนี้ ฮองเฮากู้สูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “ชาวบ้านร้านตลาดล้วนพากันครหานินทากันอย่างลับๆ ว่าฮ่องเต้ลุ่มหลงอิสตรีจนละเลยราชกิจ ต่างเห็นว่าฮ่องเต้คล้ายทรงโง่เขลาเบาปัญญา แต่ความจริงแล้ว หากฮ่องเต้ทรงโง่เขลาเบาปัญญาทั้งไร้สามารถแล้ว บรรดาตระกูลเลื่องชื่อต่างๆ …ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นเสาหลักของแคว้นเหล่านี้ จะให้ความเคารพนบนอบต่อราชสำนักเช่นในวันนี้ได้อย่างไร?”

                นางกำนัลตั้งสติ กล่าวกว่า “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา จักต้องไม่ยอมให้ตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกได้สมหวังแน่นอนเพคะ เพียงแต่แม้ฝ่าบาทก็ถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ แต่หม่อมฉันขอบังอาจเอ่ยคำไม่สมควร ยามนี้ตระกูลกู้แห่งหงโจวก็เป็นเพียงตระกูลใหญ่ เมื่อมีตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกอยู่ อย่างไรฮ่องเต้ย่อมไม่อาจไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้ ครานี้องค์รัชทายาททรงทำการเกินไปจริงๆ ทว่าฝ่าบาทก็จัดการได้อย่างทันท่วงที หม่อมฉันคิดว่า หากท่านในตำหนักหมิงกวงผู้นั้นรู้เรื่องเข้า ป่านนี้ก็คงกำลังปวดเศียรเวียนเกล้า หาทางยับยั้งไม่ให้พวกเราผลักไสเรื่องนี้ไปที่ตัวนางอยู่กระมัง! ไยฝ่าบาทต้องกังวลพระทัยอีกเพคะ?”

                ฮองเฮากู้ส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าไม่เข้าใจ ยามนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป ต้าเว่ยไม่ใช่ต้าเว่ยในยุครุ่งโรจน์นั่นอีกแล้ว”

                “ฝ่าบาท?” นางกำนัลตื่นตกใจ

                “หากเป็นต้าเว่ยในยุครุ่งโรจน์ ตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ทั้งหลายย่อมต้องอดรนทนไม่ไหวที่มีองค์รัชทายาทเช่นสวินเอ๋อร์ และสามารถใช้กำลังที่มีอยู่ในมือยึดดินแดน เลือกคนไม่ใช้ตามใจ เพื่อขุดรากถอนโคนราชสำนักที่เคยอุ้มชูพวกเขาแล้ว!” ฮองเฮากู้หัวเราะหยันหนหนึ่ง กล่าวว่า “แต่ยามนี้แคว้นต้าเว่ยกำลังค่อยๆ เสื่อมถอย ทั้งชายแดนทางเหนือ ชายแดนทางตะวันตกมีปีใดบ้างที่ไม่เกิดไฟสงคราม? ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งของตระกูลหลิวและตระกูลเสิ่นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น แล้วเหตุใดจึงรุนแรงขึ้น? ก็มิใช่เพราะเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาก่อน ด้วยเกรงว่าหากไม่ดูแลให้ดีก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกหูและอี๋[1]?!”

                น้ำเสียงของฮองเฮาเย็นยะเยือก “ในสภาพการณ์เช่นนี้ แล้วผู้สืบราชบัลลังก์ยังไม่ได้ความอีก… ครั้งราชวงศ์ก่อนล่มสลาย พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนธงรบมาสวามิภักดิ์กับต้นตระกูลเซินได้อย่างรวดเร็ว แล้วยามนี้… เจ้าว่าพวกเขาจักทำเช่นใด?”

                นางกำนัลสะท้านไปทั้งตัว กล่าวว่า “เรื่องนี้… หม่อมฉันคิดว่า สถานการณ์… คงยังไม่ถึงขั้นนั้นกระมังเพคะ?”

                “ฮ่องเต้พระชันษาใกล้เจ็ดสิบแล้ว” แววตาของฮองเฮากู้เย็นเฉียบ กล่าวว่า “มีฮ่องเต้อยู่ก็ยังคงมีอำนาจยิ่งใหญ่ แม้ประชาชนทั่วหล้าจะมีชีวิตอยู่อย่างยากแค้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเกิดจลาจลใหญ่! แต่หากฮ่องเต้… เจ้าคิดว่าสวินเอ๋อร์เขา… สามารถข่มตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหก ข่มตระกูลใหญ่ในใต้หล้าได้ไหวหรือ? ยังมีประชาชนที่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่มานานปี… เมื่อถึงยามนั้น ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตชนิดดวงตะวันดวงจันทร์แปรปรวนเลยทีเดียว!”

                นางกำนัลฟังเสียจนขนหัวลุก ตกตะลึงไปพักใหญ่ จึงตอบคำไปว่า “แต่ว่าฮองเฮาเพคะ องค์รัชทายาท…ก็ยังมีพระองค์นี่เพคะ!”

                “แต่ข้าเป็นบุตรสาวตระกูลกู้แห่งหงโจว!” ฮองเฮากู้เม้มปาก ในดวงตาแสนเย้ายวนใจดังน้ำในฤดูใบไม้ผลิกลับวิบวับไปด้วยความเย็นยะเยือกแสนสาหัสดังน้ำแข็งฤดูใบไม้ผลิ “ครั้งองค์ไทเฮาเติ้งพระมารดาของฮ่องเต้ยังอยู่ ตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงรุ่งเรืองอยู่พักใหญ่ มีชื่อเสียงและอำนาจเทียบเท่าหกตระกูลสูงศักดิ์! จนมาถึงในยุคที่นางเฉียนเป็นฮองเฮาหลายปีนั้น ตระกูลเฉียนแห่งซิงเหอก็เคยรุ่งโรจน์ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลสูงศักดิ์! ด้วยอานิสงส์ของไทเฮาเติ้งและอดีตฮองเฮาเฉียน เจ้าดูสิว่าทุกวันนี้ฮูหยินในเมืองหลวงเหล่านั้นมีกี่มากน้อยจึงได้มีโอกาสแต่งเข้าไปเป็นนายหญิงดูแลบ้านเรือนในตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหก! ทว่าครั้งไทเฮาเติ้งยังอยู่ ฮ่องเต้ก็มีเพียงพระสนมเอกเติ้งผู้เดียว แต่กลับแต่งตั้งให้บุตรสาวตระกูลหลิวเป็นฮองเฮา… ดังนั้นพวกตระกูลสูงศักดิ์จึงได้ยอมอดทนเรื่อยมา!”

                “แต่สวินเอ๋อร์ไม่ได้ความเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็คิดได้ว่า หากเขาได้สืบทอดราชบัลลังก์ แล้วไม่ได้ข้าไปดูแลราชกิจให้เขา เขาจะปกครองใต้หล้านี้ได้ที่ใด? หากข้าไปดูแลราชกิจให้เขา ตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกจะยอมให้ตระกูลสูงศักดิ์มีตระกูลกู้แห่งหงโจวเพิ่มขึ้นมาอีกได้อย่างไร!” ฮองเฮาเอ่ยเสียงหนักว่า “พูดได้ว่าครั้งนั้นไทเฮาเติ้งมิเคยได้มาก้าวก่ายเรื่องต่างๆ ในราชสำนัก แต่ก็ยังสามารถทำให้นางเติ้งรุ่งโรจน์อยู่ได้พักหนึ่ง แล้วพวกตระกูลสูงศักดิ์หรือจะยอมเสี่ยงกับเรื่องนี้!”

                นางกำนัลเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “หากฝ่าบาทจัดการอย่างเที่ยงธรรมเสียก่อน รอจนมีรากฐานมั่นคงแล้ว จึงค่อยไปช่วยตระกูลกู้…”

                “จัดการอย่างเที่ยงธรรม?” ฮองเฮากู้เอ่ยอย่างเกรงกลัวว่า “จะพูดสักคำก็ยังไมได้ ต่อให้เที่ยงธรรมเพียงใดแล้วจัดมีประโยชน์ใด? เมื่อสวินเอ๋อร์ขึ้นครองราชย์แล้ว หากข้าต้องการจะเข้าไปดูแลราชกิจอย่างจริงจัง ก็จำเป็นต้องอาศัยแรงจากในตระกูล แต่จำเป็นต้องคอยประคับประคองคนในตระกูลด้วย จึงจะสามารถช่วงชิงอำนาจกับตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ต่างๆ ได้! เพื่อไม่ให้เป็นแค่ไทเฮาที่มีแต่เพียงชื่อ แต่ความจริงแล้วกลับถูกพวกเขาควบคุมไว้! นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ช่วยไมได้! ผู้ใดให้สวินเอ๋อร์ไร้ความสามารถ แล้วให้ข้าเป็นสตรีอันดับหนึ่ง! ซึ่งไม่อาจเป็นดังเช่นฮ่องเต้ ที่อาศัยเพียงฐานะที่อยู่สูงสุดก็สามารถปกครองชนชั้นสูงในใต้หล้านี้ได้?”

                นางสูดหายใจลึกๆ “พูดเรื่องเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เจ้าไปเรียกหลินเต๋อเข้ามาเถิด แม้เรื่องนี้จะเคยทูลฮ่องเต้ไปแล้ว ตามหลักแล้วนางเติ้งคงหาหลักฐานใดมาไม่ได้ ทว่าดังคำเจ้า หากสามารถยัดเยียดเรื่องนี้ไปให้ทางนางเติ้งได้ก็เป็นเรื่องดี”

                นางกำนัลโค้งตัวกล่าวกว่า “เพคะ!”

                สักพักจากนั้นหลินเต๋อก็ถูกพาตัวเข้ามา เมื่อถวายบังคมตามธรรมเนียมแล้ว ฮองเฮากู้จึงเอ่ยถามเขาถึงความจริงเรื่องหญิงเก็บบัว

                เมื่อหลินเต๋อได้ฟังก็พลันเหงื่อตก กุมพู่ปัดฝุ่นรีบคุกเข่าลงทันใด แล้วก้มหน้าผากลงติดพื้น วิงวอนว่า “ขอฝ่าบาทประทานอภัยที่กระหม่อมปกปิดความจริงก่อนหน้านี้พะยะค่ะ!”

                “ที่นี่ไม่มีผู้อื่นอยู่ เจ้าและนางอวิ๋นล้วนเป็นบ่าวคนสนิทของข้า ไยต้องแสร้งตีหน้าซื่อเช่นนี้?” ฮองเฮากู้เอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหว

                หลินเต๋อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ลุกขึ้นมา จึงกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หญิงเก็บบัวเหล่านั้นเป็นองค์รัชทายาทให้คนไปซื้อมาจากเจียงหนานจริงๆ พะยะค่ะ เพราะคลองในตำหนักตะวันออกคับแคบ ไม่อาจทำให้เห็นทิวทัศน์เช่นในเจียงหนาน ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงทรงจัดให้พวกนางไปอยู่เรือนรับรองริมทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ นับแต่ย่างเข้าฤดูร้อน ก็ทรงสั่งให้พวกนางลงไปเก็บบัวในทะเลสาบทุกวัน แล้วองค์รัชทายาทจะทรงฉลองพระองค์อย่างสามัญชนและทรงเรือไปชมท่ามกลางใบบัวดอกบัวพะยะค่ะ”

                ฮองเฮากู้เอ่ยเสียงหนักว่า “เช่นนั้นเหตุใดหญิงเก็บเหล่านั้นจึงได้ไปเกี้ยวพาชายที่ผ่านไปมา? คงมิใช่ว่ายามไปซื้อหาคนมามิได้ตรวจสอบให้ดี จนมีคนแฝงตัวเข้ามาเป็นไส้ศึกหรอกนะ?

                “…คนข้างกายองค์รัชทายาทบอกว่า หลังจากองค์รัชทายาททรงไปชมการเก็บบัวสองสามวันก็ทรงรู้สึกเบื่อ จึงตรัสกับบ่าวข้างกายคำหนึ่งว่า ‘หญิงเก็บบัวที่ว่ากันก็เพียงแค่เท่านี้เอง’ ซุนฝูที่ถูกส่งให้ไปซื้อหาคนมาจากเจียงหนานก่อนหน้านี้กังวลว่าจะถูกองค์รัชทายาททรงตำหนิว่าทำการไม่ได้ความ จึงออกความคิดแก่องค์รัชทายาท” หลินเต๋ออ้ำอึ้งกล่าวว่า “ซุนฝูทูลองค์รัชทายาทว่า ต้นไม้ใบหญ้าในทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิหนาแน่นนัก ที่ฟางโจวเติ่ง…มีที่ลับหูลับตาคนมากมาย มิสู้สั่งให้หญิงเก็บบัวยั่วยวนชายที่ผ่านไปมาให้เข้าไปที่ลับตา… สักพัก… เพื่อให้องค์รัชทายาทได้ทอดพระเนตรหาความสำราญ จากนั้นองค์รัชทายาทก็…ก็…”

                ฮองเฮากู้แทบกระอักเลือด!

                นางเอ่ยทั้งเสียงสั่นเครือว่า “สมัยก่อน ในรัชสมัยของฮ่องเต้ฮั่นหลิงตี้ ให้สร้างอาคารไม้ไผ่ที่อุทยานตะวันตก ทำคลองผันน้ำเข้ามาล้อมรอบอุทยานเอาไว้เพื่อปลูก ‘ดอกบัวหลวง’ จากนั้นก็ให้นางกำนัลเปลื้องผ้าเปลือยกายเล่นวิ่งไล่จับอยู่ภายใน ให้เป็น ‘โรงเล่นน้ำเปลือย’ …เรื่องนี้มิใช่ฉาวโฉ่มาเป็นร้อยปี? แต่นั่นก็ยังอยู่ภายในอุทยาน! ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ…ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิยังเป็น ยังเป็นทะเลสาบนอกเมือง หาเป็นที่ส่วนตัวไม่ สวินเอ๋อร์ไอ้เจ้า…ไอ้เจ้าโง่! เขาทำเช่นนี้เพราะกลัวว่าพวกเราแม่ลูกจะไม่ตกอยู่ในสภาพย่อยยับชื่อเสียงบ่นปี้หรือไร?!”

                หลินเต๋อรู้แต่แรกแล้วว่าฮองเฮาจะต้องโกรธด้วยเรื่องนี้ไม่น้อย จึงได้ขอขมาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ยามนี้ยิ่งตัวสั่นงันงกไม่กล้าแม้จะหายใจแรงๆ!

                 นางกำนัลอวิ๋นที่อยู่ข้างกายฮองเฮากู้มานาน แม้แต่เรื่องใหญ่โตอย่างเรื่องของพระราชโอรสองค์โตเซินรุ่ยที่ถูกฮ่องเต้ถอดถอนพระยศไปแล้วก็ยังฟังได้ ยามนี้จึงเพิ่งจะกล้าเอ่ยปากว่า “ฮองเฮาเพคะ นี่ล้วนเป็นเพราะซุนฝูไร้ยางอาย ยุยงองค์รัชทายาทเพคะ!”

                “ซูนฝูย่อมไร้ยางอายอยู่แล้ว!” ฮองเฮากู้หลับตาลง เนิ่นนานจึงเอ่ยเสียงต่ำออกมาว่า “แต่สวินเอ๋อร์กลับเลอะเลือนไปเชื่อคำพูดเช่นนี้! เขายังไม่ทันได้สืบราชบังลังก์เลยก็คิดจะเป็นฮ่องเต้โฉดแล้วรึ?”

                “ฮองเฮา!” นางอวิ๋นฟังได้ว่าน้ำเสียงของฮองเฮาไร้ซึ่งความหวังใดๆ จึงอดจะตื่นตะลึงไม่ได้ รีบเข้าไปจับแขนนางกล่าวว่า “องค์รัชทายาทเพิ่งจะเกล้าผม ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้มาแต่ไร คาดว่าด้วยเหตุนี้จึงได้ทรงเลินเล่อหย่อนยานไปบ้าง และถูกซูนฝูผู้นั้นสบโอกาสยุยงเพคะ! เมื่อกำจัดซุนฝูไปแล้ว ฮองเฮาจึงค่อยอบรมองค์รัชทายาทอย่างเต็มทีอีกครั้ง อย่างไรองค์รัชทายาทก็ทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮองเฮา แล้วจะทรงไม่ตื่นรู้ขึ้นมาได้อย่างไรเพคะ?”

                ฮองเฮากู้เม้มปากเน้น เนิ่นนานจึงเอ่ยออกมาว่า “หลินเต๋อเจ้าจงไปนำซุนฝูผู้นั้นไปคุมขังในคุกใต้ดิน ต้องถามให้แน่ชัดว่ามันถูกผู้ใดบงการให้แฝงตัวเข้ามาในตำหนักตะวันออก เพื่อให้ร้ายองค์รัชทายาทหรือไม่!” ฮองเฮาค่อยๆ เอ่ยทีละคำว่า “ก่อนจะถามได้ความ ห้ามให้ซุนฝูตายเด็ดขาด! เข้าใจแล้วหรือไม่?”

                เห็นว่าเมื่อฮองเฮามีท่าทีอ่อนลงและเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมา นางอวิ๋นจึงลอบโล่งใจ…ฮองเฮากู้จะโกรธจะเคืองอีกสักปานใดก็ช่วยไม่ได้ เพราะนางมีบุตรชายผู้นี้เพียงผู้เดียว หากไม่ประคับประคองเขาแล้วจะให้ไปประคับประคองผู้ใดเล่า? ไม่ว่าองค์รัชทายาทเซินสวินจะไม่ได้ความเพียงใด ในเมื่อฮองเฮายังอยู่ก็ไม่อาจไม่คิดการเพื่อเขาได้

                อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็ทรงมีพระราชโอรสเกือบยี่สิบพระองค์ มิได้ทรงสนพระทัยพระราชโอรสในตำหนักตะวันออกสองพระองค์ที่เกิดจากสนมเท่าใดนัก และไม่มีทางข้ามไปยกพระราชบัลลังก์ให้แก่พระราชนัดดา ฮองเฮากู้จึงหวังแต่เพียงว่าตนจะสามารถช่วยเซินสวินประคับประคองช่วงเวลาที่เป็นผู้สืบราชบัลลังก์นี้เอาไว้ รอจนวันหน้า เมื่อตนได้ครองตำแหน่งไทเฮาในตำหนักฮุยซูแล้ว จึงค่อยฝากความหวังไว้ที่หลานชายของตน

                ฮองเฮากู้ต่อสู้อยู่ในวังมาทั้งชีวิต แม้พระโอรสจะไม่ได้ความ ทว่านางก็มิใช่คนที่ยอมรับกับโชคชะตาอย่างง่ายดายปานนั้น…. เซินหลินบุตรชายองค์เล็กในตำหนักตะวันออกเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง …ฮองเฮาจึงยังมีความหวังอยู่ ไม่ว่าจะผิดหวังกับองค์รัชทายาทเพียงใด แต่เพื่อหลานชายของตนแล้ว ฮองเฮาก็ไม่อาจไม่ปลุกใจตนให้ฮึกเหิมขึ้นมา

                หลินเต๋อรีบกล่าวว่า “กระหม่อมเข้าใจพะยะค่ะ!”

                เขาไม่กล้าไปทั้งเช่นนี้ จึงเอ่ยเสียงต่ำถามไปว่า “ขอให้ฮองเฮาทรงบอกกล่าวสักหน่อยว่า เป็นผู้ใดบังอาจให้ร้ายองค์รัชทายาทเช่นนี้พะยะค่ะ?” ซึ่งก็คือการสอบถามว่านางต้องการให้ซุนฝูพูดสิ่งใด

                ฮองเฮากู้เอ่ยอย่างเย็นยะเยือกว่า “อีกไม่กี่วันองค์ชายสิบเอ็ดเซินปั๋วก็จะได้รับการสถาปนาเป็นท่านอ๋องและไปที่แคว้นศักดินาแล้ว วันก่อนเขาขอฮ่องเต้เสกสมรสกับเว่ยลิ่งเยวี่ยบุตรสาวสายหลักแห่งจือเปิ่นถัง… ข้าเอ่ยไปคำหนึ่งว่าเว่ยลิ่งเยวี่ยเป็นคนสุภาพเรียบร้อย แม้จะเป็นกุลสตรีตระกูลเลื่องชื่อ ทว่ามีนิสัยอ่อนโยนเกินไป ไม่เหมาะจะเป็นพระชายาท่านอ๋อง คงเพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาคิดแค้น… ไม่แน่ว่าอาจไปซื้อตัวซุนฝูเพื่อให้ไปทำเรื่องเลอะเลือนและยัดเยียดความผิดแก่พี่ชายเช่นนี้!”

                “กระหม่อมรับพระบัญชา!” หลินเต๋อถวายบังคมอย่างตั้งใจ แล้วหันหลังถอยออกไป

                ณ ตำหนักหมิงกวงในเวลาไล่เลี่ยกัน สนมเอกเติ้งวางมือไว้บนถาดหยกมีขา เหยาเถาใช้เข็มเงินปาดเอาดอกเทียนบดในโถหยกทีละน้อย มาทาทับบนเล็บสีดังผลส้มที่ทามาแล้วชั้นหนึ่งของสนมเอกเติ้งอย่างระมัดระวัง

                เมื่อทาทับหนนี้เสร็จแล้วคาดว่าสีจะต้องแจ่มชัดเหมือนเลือดแล้ว

                สนมเอกเติ้งสังเกตดูเล็บของตน พลันเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ซุนฝูตายแล้วหรือไม่?”

                “ทูลพระสนมเอก ยังเหลือลมหายใจสุดท้ายเพคะ” เหยาเถามองไปยังถังทองแดงหยดน้ำที่มุมห้องพลางเอ่ยเสียงเบา

                “น่าเสียดายจริงๆ” สนมเอกเติ้งถอนหายใจ “กว่าจะลบเลี่ยงหูตาของนางกู้แล้วให้คนเข้าไปอยู่ข้างๆ ไอ้เจ้าโง่เซินสวินได้สักคนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย… ทว่าซุนฝูผู้นี้ก็ทึกทักว่าตนฉลาดเกินไป หากจะยุยงให้เซินสวินทำเรื่องเลอะเลือนไร้มโนธรรมและล่วงเกินบุตรหลานตระกูลใหญ่โตต่างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้หญิงเก็บบัวเลือกไล่ตามแต่ชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้างดงามหรูหรา… โดยเฉพาะคนที่พาภรรยามาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหน้าตาของหญิงเก็บบัวพวกนั้นแต่ละคนก็ไม่นับว่าดี ย่อมทำให้ชายหนุ่มที่ถูกขวางทางและถูกเกี้ยวพาราสีเกิดความรังเกียจ และเมื่อรู้เบื้องหลังของพวกนางแล้วก็จะไม่ชอบใจเซินสวิน เรื่องนี้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ชัดเจนเกินไป …เป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย จึงทำให้ข้าอดขุ่นเคืองใจไม่ได้”

                เหยาเถาเอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องนี้จะโทษพระสนมเอกได้อย่างไรเพคะ? เป็นซุนฝูอยากจะสร้างผลงาน…”

                “ข้าเข้าใจ” สนมเอกเติ้งผ่อนลมหายใจออกมา กล่าวว่า “ก่อนนี้ ข้าเคยให้สัญญากับเขาไว้ว่าจะเลี้ยงดูครอบครัวของเขา เรื่องนี้ยังคงเป็นไปดังนั้น นางกู้ก็จะไม่อาจตรวจสอบได้ว่าครอบครัวจริงๆ ของเขานั้นอยู่ที่ใด… ข้าเพียงอยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าคราหน้าหากจะใช้คนอีกก็จักต้องกำชับเป็นมั่นเหมาะว่าไม่ให้พวกมันทำการเร่งร้อนเกินไป ดีชั่ว ข้าก็รอมาหลายปีแล้ว ยิ่งใกล้จะถึงที่สุด ก็ยิ่งต้องรอบคอบให้มาก อย่าได้มีเหตุให้เรือล่มเมื่อจอดเป็นเด็ดขาด เข้าใจแล้วหรือไม่?

                เหยาเถาคำนับแล้วกล่าวว่า “เพคะ!”

___________________________

[1] หูและอี๋ หูเป็นชนเผ่าที่อยู่ทางเหนือ อี๋เป็นชนเผ่าที่อยู่ทางตะวันตก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด