ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 61 เรื่องวุ่นวาย

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 61 เรื่องวุ่นวาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เจ้าถามพวกเรา แล้วพวกเราจะถามผู้ใด?”

                เมื่อคุณหนูเฉียนหกส่งเสียงเอะอะโวยวายก่อนหน้านี้ก็ทำให้คนมากมายที่อยู่โดยรอบหยุดเดิน ไม่ก็หันมากระซิบกระซาบกันหรือคอยมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น จึงพากันหันมารอดูเรื่องสนุก ยามนี้เห็นเว่ยฉางอิ๋งตอบคำ จึงมีคนกล่าวอย่างหัวเราะครึ่งไม่หัวเราะครึ่งว่า “น้องมั่วเอ๋อร์ ฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นผู้นี้กล่าวก็มีเหตุผล จะว่าไปนางและคุณหนูใหญ่ตระกูลซูต่างก็เดินอยู่ข้างหน้าเจ้า แล้วจักรู้ได้ที่ใดว่าดอกไม้มาถูกเจ้าได้อย่างไร? อีกประการพวกนางก็มิได้มีเรื่องบาดหมางกับเจ้า อยู่ดีๆ จะไปขว้างใส่เจ้าทำสิ่งใด?”

                เมื่อคุณหนูเฉียนหกเฉียนมั่วเอ๋อร์ถูกเตือน นางจึงยิ้มหยันพลางว่า “มิผิด หากมิใช่ว่าข้าพูดเรื่องจริงจนไปแทงใจดำคนบางคนเข้า แล้วจะมีคนอับอายจนโกรธและมาลงไม้ลงมือรึ?” นางปล่อยแขนเสื้อลง เมื่อทุกคนมองเห็นภาพที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อล้วนอดจะร้องอ๊ะออกมาหนหนึ่งไม่ได้… กลับเห็นว่าที่ใต้จมูกของนางมีน้ำสีแดงเปื้อนอยู่ คล้ายเห็นว่าที่มุมปากเป็นรอยช้ำแถบหนึ่ง แล้วยังมีน้ำสีแดงเข้มกว่าสีของน้ำดอกทับทิมสายหนึ่งไหลลงมา คล้ายเป็นรอยเลือด

                เดิมทีทุกคนได้ยินว่านางถูกดอกทับทิมกระเด็นมาถูกก็ต่างพากันคิดว่าไม่เป็นสิ่งใด เพราะคิดว่าเป็นเพียงแค่ดอกไม้ดอกหนึ่งเท่านั้น แต่กลับไม่คิดว่าที่มุมปากของเฉียนมั่วเอ๋อร์เป็นรอยช้ำก็ยังแล้วไป แต่นี่กลับมีเลือดออกด้วย! การลงมือที่หนักหนาเช่นนี้เพียงคิดก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด นี่เป็นแค่ดอกทับทิม หากเป็นของแข็งเช่นก้อนหิน หรือปิ่น ก็มิใช่ว่าจะกระแทกเสียจนใบหน้ายับเยินหรอกหรือ?

                ทันใดนั้นเองสายตาที่มองมายังเว่ยฉางอิ๋งต่างก็ค่อยๆ มีแววความหวาดกลัวขึ้นมา… ณ ที่นี้ ในวันนี้ มีผู้ใดที่มิใช่พวกกุลสตรีบอบบาง? จะว่าไปพวกนางล้วนมิเคยมีความแค้นใดกับเว่ยฉางอิ๋งมาก่อน เพียงแค่รู้สึกขัดหูขัดตาที่ชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งก็ป่นปี้หมดแล้ว แต่กลับยังได้ออกเรือนและเข้าวังมาถวายพระพรในวันประสูติขององค์หญิงอย่างออกหน้าออกตาอีก

                หรือต่อให้มีเรื่องโดยอ้อมที่ทำให้ต้องบาดหมางกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกชัดเจนเช่นเดียวกับเฉียนมั่วเอ๋อร์ และยั่วโมโหคนที่ดุดันร้ายกาจเข้าจริงๆ หากนางไม่ปราณี คิดเอาจริงขึ้นมาและทำให้ตนเสียโฉม… เมื่อถึงยามนั้นขึ้นมา แล้วจะมาตามจองล้างจองผลาญไม่ยอมปล่อย ก็มิใช่ว่าไม่เกิดประโยชน์ใดแล้วหรอกหรือ?

                ‘ลูกผู้ดีไม่นั่งใต้หอสูง[1]’ ทุกคนพลันนึกถึงคำกล่าวนี้ขึ้นมา… แม้แต่หญิงสาวที่จงใจช่วยพูดให้เฉียนมั่วเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป ทั้งยังค่อยๆ ถอยไปข้างหลังก้าวสองก้าว ค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในกลุ่มคนและไม่ส่งเสียงอีก

                ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ผิดไปจากเดิม ได้ยินเพียงเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างบางเบาไปว่า “โอ๊ะ เจ้าพูดแทงใจดำข้าเรื่องใด แล้วข้าจะต้องอับอายจนโกรธอันใดกัน?”

                “เจ้ายังมีหน้ามาถาม?” เฉียนมั่วเอ๋อร์เอาผ้าขึ้นมาเช็ดที่มุมปาก ยิ้มเยาะพลางว่า “เจ้ากล้าถาม แต่ข้ากลับไม่กล้าตอบ! ในใจเจ้ากล้าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องรึ??”

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้าถือกำเนิดในหนึ่งในหกของตระกูลสูงศักดิ์แห่งดินแดนแถบทะเล แต่งกับสามีที่คู่ควรเหมาะสมกัน แม้จะออกเรือนได้ไม่นานทว่าก็นับว่ารักใคร่ปรองดองกับสามีเป็นอย่างดี ยามอยู่ต่อหน้าญาติพี่น้องฝั่งสามีก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แม้แต่แม่สามีแท้ๆ ก็ยังไม่เคยบอกว่าข้าไม่ดีอย่างไร ข้ากลับไม่รู้เลยว่าข้ามีสิ่งใดไม่ดี ที่ต้องให้พวกไร้แก่นสารเช่นเจ้ามาพูด?”

                ซูอวี๋ลี่ก็ยิ้มหยันว่า “คุณหนูเฉียนหก หากนับเรื่องอายุท่านก็อ่อนกว่าลูกผู้น้องข้า หากนับเรื่องฐานะท่านก็เป็นสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน ส่วนลูกผู้น้องข้านั้นเป็นภรรยาคนแล้ว หากนับเรื่องอันดับตระกูล ตระกูลเฉียนของพวกท่านหรือจะเทียบเทียมตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวและตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงได้? อีกประการวันนี้ก็ยังอยู่ในวัง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นวันประสูติขององค์หญิง เดิมทีเรื่องของสามัญชนธรรมดามารบกวนฝ่าบาทก็นับว่าไม่ถูกอยู่แล้ว! ประการต่อมาในวังนี้ก็ยังมีองค์ฮองเฮาซึ่งเป็นพระมารดาของแผ่นดิน มีพระสนมเอกผู้ทรงศักดิ์ และยังมีผู้สูงศักดิ์ท่านอื่นๆ อยู่อีกด้วย นอกจากนี้ก็ยิ่งมีแม่สามีของลูกผู้น้องของข้าอยู่ แล้วมันยามใดกันที่บุตรสาวตระกูลเว่ย สะใภ้ตระกูลเสิ่นต้องให้บุตรสาวตระกูลเฉียนเช่นเจ้ามาสั่งสอน? เจ้ามีหน้ามีตาใหญ่โตเสียเหลือเกินนะ!”

                ซูอวี๋ลี่เติบโตมาในเมืองหลวง เข้าออกวังหลวงมานานปี เพียงเปิดปากออกมาก็กล่าวโทษเฉียนมั่วเอ๋อร์ว่าไม่เคารพองค์หญิง ไม่ให้ความสำคัญกับองค์ฮองเฮาและพระสนมเอก ทั้งยังก้าวก่ายเรื่องหลังบ้านของบ้านผู้อื่นด้วย

                เฉียนมั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าอย่ามากล่าวหาข้าด้วยความผิดเหล่านี้นะ! แน่นอนว่าทั้งตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวและตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงย่อมมีชื่อเสียงสูงส่ง ดังนั้นข้าจึงบอกว่า เว่ยฉางอิ๋งเจ้ามีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่เลื่องชื่อในใต้หล้าเช่นนี้นับเป็นโชคดีเพียงใด? ในเมื่อเป็นดังนี้ แล้วไฉนจึงไม่รู้จักละอายใจ เหยียบย่ำชื่อเสียงตระกูลตน…”

                “ข้าไม่รู้จักละอายใจเหยียบย่ำชื่อเสียงตระกูลตนเช่นใด?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะออกมาเบาๆ แต่แววตากลับเย็นยะเยือกดังน้ำแข็ง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “เจ้าอธิบายให้ข้าฟังชัดๆ เป็นดี หาไม่แล้วอย่าได้โทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”

                เฉียนมั่วเอ๋อร์ชี้นิ้วไปทางคนที่อยู่รอบๆ ตัว แล้วกล่าวเหยียดหยามว่า “เจ้าอย่าได้แสร้งทำเป็นเลอะเลือนที่นี่นะ เจ้าลองถามคนที่นี่ดูสิ! มีผู้ใดไม่รู้เรื่องเรื่องนั้นของเจ้า!” เฉียนมั่วเอ๋อร์นึกว่าตามที่ทุกคนพากันครหานินทาเว่ยฉางอิ๋งก่อนหน้านี้ เมื่อเวลานี้ตนออกมาเป็นคนนำก็จะต้องทำให้คนทั้งกลุ่มลุกขึ้นมาโจมตีนางได้ และสามารถกำจัดความยโสของเว่ยฉางอิ๋งลงได้จนสิ้นซาก

                เพียงแต่นางมิได้คิดเลยว่าคนที่นางชี้นิ้วไปหานั้นกลับพากันขมวดคิ้ว ไม่พูดไม่จาพลางขยับตัวหลบออกไปจากทิศทางที่นางชี้มา

                เพราะความจริงแล้วพวกนางหยุดเดินก็เพราะอยากชมเรื่องสนุก แล้วจะได้คอยซ้ำเติมในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ สรุปแล้วก็คือเพื่อหาความสำราญ หาใช่ต้องการจะถูกจัดการไปด้วย เมื่อครู่นี้ทุกคนล้วนได้เห็นความร้ายกาจของเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้ไปแล้ว แล้วผู้ใดจักยอมออกหน้ามาอีกเล่า?

                ใจนางถดถอยขึ้นมาทันใด ว่าแล้วก็พลันคิดถึงเหตุผลต่างๆ นานาออกมาได้จนหมด ‘คล้ายว่าผู้ใหญ่ในบ้านจะเคยเอ่ยถึงว่าแม่เฒ่าซ่งแห่งรุ่ยอวี่ถังนั้นใจคออำมหิตนัก สามารถกำราบคนทั้งตระกูลจนหวาดกลัวไม่กล้าทำสิ่งใดสุ่มสี่สุ่มห้า แม่เฒ่าซ่งก็มีหลานสาวแท้ๆ อยู่เพียงผู้เดียว ได้ยินว่าความรักใคร่ที่มีต่อนางนั้นมากว่าความรักที่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลตวนมู่มีให้กับพระชายาท่านอ๋องไช่ในสมัยนั้นมากนัก เดิมทีพวกเราก็มิได้มีความแค้นใดกับเว่ยฉางอิ๋ง จะมีก็เพียงแค่ไม่พอใจที่ทั้งๆ ที่นางก็มิได้มีชื่อเสียงดีงามแล้วยังมาวางท่าเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นเท่านั้น… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันหน้าก็อย่าได้ไปสนใจนางเป็นพอแล้ว ไยต้องลำบากไปล่วงเกินนางด้วยเรื่องอคติเพียงเท่านี้! หากสร้างศัตรูตัวฉกาจโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ แม้กลับไปแล้วผู้ใหญ่จะไม่ตำหนิ แต่คิดดูแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าอยู่ดี’

                ‘วันนี้ ยามเข้ามาในท้องพระโรงก็คล้ายเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งยืนอยู่ข้างหลังพระสนมเอก ไม่แน่ว่าอาจเป็นที่ต้องพระทัยของพระสนมเอก? แย่ล่ะสิ หากคิดเรื่องนี้ได้เร็วสักหน่อย แล้วเหตุใดต้องหยุดคอยดูเรื่องสนุก! แม้จะบอกว่าพระสนมเอกไร้พระโอรสและเป็นเพียงสนมเอกเท่านั้น แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของฮ่องเต้ แม้จะบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จักละอาย ทว่ายามนี้มีพระสนมเอกคอยอบรมนางแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอีก’

                ‘ที่คุณหนูใหญ่ตระกูลซูกล่าวก็ถูกต้อง… ต่อให้อยากจะทำให้เว่ยฉางอิ๋งผู้นี้ได้รับความอัปยศ แล้วเหตุใดจักต้องมาลงมือในวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนเสียให้ได้? องค์หญิงกำลังทรงเกษมสำราญเพราะได้คุณหนูหมิ่นเอาอกเอาใจ หากต่อมากลับพบว่าตรงนี้กำลังวิวาทกัน แล้วจะสบายพระทัยหรือ? เฉียนมั่วเอ๋อร์เจ้านี่รูปโฉมงดงามแต่กลับไม่มีความคิด! อย่าได้ทำให้พวกเราต้องล่วงเกินองค์หญิงเลย!’

                เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็มีคนส่งสายตาให้กัน แล้วเริ่มเดินหลบไปช้าๆ ค่อยๆ ออกไปจากกลุ่มคน และเดินตามกลุ่มขององค์หญิงหลินชวนที่อยู่ข้างหน้าไป

                ในกลุ่มนั้นมีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังจะขยับเท้า เว่ยฉางอิ๋งพลันกวางตาไปเห็นจึงเอ่ยขึ้นมาทันใดว่า “เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น!”

                หญิงสาวผู้นั้นดูไปแล้วมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเฉียนมั่วเอ๋อร์ หน้าตานางงดงามไม่เบา มีคิ้วใบหลิวตาเม็ดลูกท้อ สวมเสื้อส้างหรูสีหินเขียว คาดกระโปรงประดับมุก บนมวยผมนอกจากปิ่นดอกไม้ต่างๆ แล้วยังปักดอกกุหลาบหนูขนาดเท่าปากชามหนึ่งดอก มองไปแล้วงดงามโดดเด่นนัก นางได้ยินเสียงก็พลันสะดุ้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างหวาดผวา ดวงตาคล้ายมีน้ำตาคลอ มองดูแล้วทำให้รู้สึกสะเทือนใจ

                เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างเย็นชา กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้มิใช่เจ้าถามน้องมั่วเอ๋อร์ของเจ้าว่า อยู่ดีๆ เหตุใดนางจึงถูกดอกไม้กระเด็นไปชนหรอกหรือ? เหตุใดยามนี้น้องมั่วเอ๋อร์ของเจ้ายังมิทันเอ่ยคำให้ชัดเจนเลย แล้วเจ้าจักไปที่ใด?”

                “ข้า…” หญิงสาวผู้นี้ขบริมฝีปากแน่น น้ำตาพลันหยดลงมาทันใด  กล่าวว่า “ข้าก็เพียงถามไปเช่นนั้นเอง! หาได้มีความหมายอื่นใดไม่!”

                “เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ให้ดี ห้ามไปไหน!” เว่ยฉางอิ๋งคร้านจะเอ่ยสิ่งใดกับนางให้มากความ จึงเอ่ยออกไปอย่างเย็นชาคำหนึ่ง แล้วหันมาทางเฉียนมั่วเอ๋อร์ “คนที่เจ้าชี้บ้างก็อยากจะเดินจากไปบ้างก็ไม่ยอมเอ่ยปาก เจ้าดูเอาว่าเจ้าอยากผู้ใดพูดก่อน หรือจะให้ข้าช่วยถามให้?”

                เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ คนที่อยู่รอบๆ ซึ่งยังไม่เดินจากไปพลันมีสีหน้าระแวดระวังตัวขึ้นมา สายตาที่มองยังเฉียนมั่วเอ๋อร์ก็กลายเป็นเหินห่าง… เมื่อเฉียนมั่วเอ๋อร์สัมผัสได้ว่าท่าทีของทุกคนเปลี่ยนไป นางจึงรู้สึกเคียดแค้นอยู่ในใจ ‘ล้วนเป็นพวกเจ้าเริ่มก่อน แล้วชักนำให้ข้าเข้าไปผสมโรงนินทาด้วย แต่พวกเจ้านี่กลับดีเหลือหลาย บอกจะไปก็ไป แต่กลับทิ้งข้าไว้ที่นี่ให้เว่ยฉางอิ๋งรังแกได้ตามใจรึ?’

                เดิมทีนางคิดจะใช้หลักการกฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก มีคนตั้งมากมายที่นินทาเว่ยฉางอิ๋ง ต่อให้อันดับของตระกูลเว่ยและตระกูลเสิ่นจะสูงส่ง แต่อย่างไรก็ไม่อาจล่วงเกินคนตระกูลไปเสียทั้งหมด ดังนั้นเมื่อตนเองเข้าไปผสมโรงพูดไม่กี่คำ นอกจากจะทำให้ยิ่งสนิทชิดเชื้อกับสหายยิ่งขึ้นแล้ว นางก็ยังไม่ต้องมีสิ่งใดแลกเปลี่ยนด้วย… ก็ผู้ใดใช้ให้เว่ยฉางอิ๋งมีชาติกำเนิดสูงส่ง มีผู้ใหญ่คอยเอาใจรักใคร่เป็นที่สุดมาแต่เล็ก ลำพังเพียงเรื่องนี้ก็ทำให้หลายๆ คนที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เช่นกันแต่กลับมิได้เป็นที่รักใคร่เช่นนางเกิดความริษยาแล้ว

                ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้แต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิง

                ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องฐานะในตระกูลของเสิ่นจั้งเฟิงและเรื่องที่เขาได้รับความไว้พระทัยยิ่งยามอยู่ต่อพระพักตร์องค์ฮองเต้ ว่ากันแต่เพียงเรื่องครั้งชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งป่นปี้ยับเยินเมื่อปีก่อน ก็เมื่อข่าวลือออกมาจากตระกูลแล้วว่าจะไปถอนหมั้นที่เฟิ่งโจว แต่คุณชายสามตระกูลเสิ่นผู้นี้กลับขืนไปขอลาจากองค์ฮ่องเต้ แล้วรีบตามไปเฟิ่งโจวยืนกรานจะให้เป็นไปตามสัญญาแต่งงานต่อไป… แม้จะบอกว่าในภายหลังตระกูลเสิ่นปกปิดรายละเอียดของเรื่องนี้ และแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยมีเรื่องถอนหมั้นใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าก็ยังคงมีเสียงเล่าลือแพร่ออกมาอย่างลับๆ…

                บอกว่าเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงทำเช่นนี้ก็ด้วยทนซ้ำเติมคู่หมั้นไม่ได้

                สามีที่ช่างเอาอกเอาใจทั้งยังพรั่งพร้อมทั้งความสามารถและรูปร่างหน้าตา จะไม่ให้คนริษยาได้หรือ?

                สมมุติว่ายามนี้เว่ยฉางอิ๋งอยู่ต่อหน้าธารกำนัลแล้วมีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกำลังยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ไม่ว่ากับผู้ใดนางก็ต้องคอยแสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจและประจบเอาใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อความโกรธของทุกคนสงบลงแล้ว แม้จะต้องถูกกระแนะกระแหนบ้างคำสองคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กลับยอมแสดงละครตบตากลบเกลื่อนยามได้พบปะผู้คน… ก็จะถือว่าเป็นการให้ทานแก้เว่ยฉางอิ๋ง และระหว่างให้ทาน พวกนางก็จะได้รื่นเริงบันเทิงใจกันไปด้วยมิใช่หรือ?

                ทว่านอกจากเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้มีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ แล้ว กระทั่งในขณะที่นางถูกครหานินทา แม้แต่จะสลดหดหู่และรีบหนีไปก็ยังไม่มี! ทุกคนจึงพากันรู้สึกว่าตนถูกยั่วโมโห คำครหานินทาจึงค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จะว่าไป ก่อนหน้านี้เฉียนมั่วเอ๋อร์ก็มิได้มีความรู้สึกร้ายหรือดีใดๆ ต่อเว่ยฉางอิ๋ง ก็เพียงเห็นทุกคนล้วนวิพากษ์วิจารณ์กันดังนี้ จึงแสดงออกไปแบบนั้นเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนและจะได้อวดอ้างตนเองไปด้วย

                แต่ความดุดันและร้ายกาจของเว่ยฉางอิ๋งในยามนี้ ทุกคนจึงไม่กล้าออกหน้าอีก และกลับทิ้งนางไว้ที่นี่เพียงลำพัง

                เฉียนมั่วเอ๋อร์โกรธแค้นอยู่ภายในใจ รู้สึกแต่เพียงรุ่มร้อนไปทั้งหัว ไม่อาจคิดสิ่งใดได้มากมาย จึงไปสุ่มดึงมือหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ มาคนหนึ่ง “พี่กู้ เมื่อครู่นี้มิใช่ท่านบอกว่าเป็นพี่น้องกับคนเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ?”

                หญิงสาวที่ถูกลากออกมามีอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี คิ้วยาวตาหงส์ มองดูเค้าหน้าคล้ายฮองเฮากู้อยู่หลายส่วน เพียงแต่มิได้งดงามเท่าฮองเฮาและองค์หญิงชิงซินเท่านั้น ในเมื่อมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน ทั้งยังแซ่กู้ คาดว่าจะต้องเป็นคุณหนูตระกูลกู้แห่งหงโจวแล้ว คุณหนูกู้ผู้นี้แม้เดิมทีมิได้มีท่าทีจะจากไปในทันทีทันใด ทว่าก็ไม่ได้ก้าวออกมา ยามนี้ถูกเฉียนมั่วเอ๋อร์รั้งตัวเอาไว้และเล่าคำที่นางวิพากษ์วิจารณ์เว่ยฉางอิ๋ง ใบหน้าของนางพลันมีความผิดปกติทั้งอับอายทั้งเคืองโกรธและทำตัวถูกแสดงออกมา พลางนึกชังอยู่ในใจว่า “ข้าก็สู้อุตส่าห์อยู่ต่อเพื่อรอเจ้าโดยเฉพาะ ไม่คิดว่าเจ้ากลับทำดีเพียงนี้ ถึงขึ้นมาให้ร้ายข้า!”

                คุณหนูกู้มีสีหน้าหนักอึ้ง สะบัดมือนางออก กล่าวว่า “ข้ามิได้บอกว่าเป็นฮูหยินสามตระกูลเสิ่นสักหน่อย เอ่ยถึงเรื่องระหว่างบ่าวในบ้านต่างหาก… คุณหนูเฉียนหกท่านคิดมากเกินไปแล้ว”

                เฉียนมั่วเอ๋อร์เรียกนางว่า ‘พี่กู้’ แต่นางกลับเรียกเฉียนมั่วเอ๋อร์ว่า ‘คุณหนูเฉียนหก’ ความห่างเหินที่อยู่ในถ้อยคำ ผู้ใดเล่าจะฟังไม่ออก? ยามนี้ในกลุ่มคนที่เดินห่างออกไปก็มีเสียงหัวเราะเยาะหยันเบาๆ ดังออกมา จนทำให้เฉียนมั่วเอ๋อร์หน้าบวมแดงขึ้นมาในบัดดล

                นางขบริมฝีปากแน่น… ดีชั่วก็ล่วงเกินคนไปแล้วคนหนึ่ง จึงไม่กลัวจะต้องไปล่วงเกินอีกคนหนึ่งอีก ดังนั้นนางจึงเอ่ยถึงสตรีที่แต่งงานแล้วนางหนึ่งที่กำลังเห็นท่าไม่ดีและคิดจะรีบจากไปว่า “พี่สะใภ้เติ้ง เมื่อครู่นี้ท่านก็มิใช่ว่า…”

                สตรีแต่งงานแล้วแซ่เติ้งผู้นั้นถูกเว่ยฉางอิ๋งเอียงตาไปมองหนหนึ่ง แล้วนางก็พลันเหลือบตาไปยังกำไลที่ข้อมือของเว่ยฉางอิ๋ง… กำไลอันนั้นหลอมจากทองแท้เสียด้วย ดูไปแล้วก็รู้สึกว่าจะต้องหนักมาก หากแม่เสือสาวตระกูลเว่ยผู้นี้โมโหโกรธาขึ้นมา แล้วซัดกำไลนี้มา นางเติ้งผู้นี้ก็ไม่อาจแน่ใจว่าตนจะหลบได้พ้น! แม้ภายหลังเว่ยฉางอิ๋งจะต้องโทษ ทว่าหากตนเองเสียโฉมแล้ว ออกไปนอกบ้านไม่ได้ยังเป็นเรื่องเล็ก พี่น้องของสามีและสามีรังเกียจเอาต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ … อีกทั้งเรื่องนี้ก็มิได้เป็นความแค้นใหญ่หลวงถึงขั้นเป็นตาย หากต้องชดใช้ด้วยชีวิตตนทั้งชีวิตเพียงเพราะไปวิพากษ์วิจารณ์คนแปลกหน้าคนหนึ่ง จักมีประโยชน์อันใด?

                นางไม่กล้าปล่อยให้เฉียนมั่วเอ๋อร์พูดจนจบความ จึงรีบร้อนขัดคำขึ้นมาว่า “คุณหนูเฉียนหกท่านกำลังกล่าวสิ่งใด? ข้าคิดว่าแม่สามีข้ายังอยู่ในท้องพระโรง เกรงว่าจะต้องการคนปรนนิบัติ ต้องรีบไปสักหน่อยแล้ว!” เมื่อนางพูดจบด้วยเกรงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเรียกตนไว้ นางจึงยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งชนนั่นชนนี่จากไปไกลอย่างรวดเร็ว

                เมื่อนางเติ้งจากไปด้วยสภาพน่าอเนจอนาถ ก็ประหนึ่งเป็นการส่งคำเตือนแก่ทุกคน ว่าแล้วทุกคนจึงพากันกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้องค์หญิงยังเริ่งให้พวกรีบกลับเข้าไปในท้องพระโรง หากยังคงชักช้าอยู่ที่นี่ หากให้ฝ่าบาททรงทราบก็จักต้องไม่พอใจพวกเราเป็นแน่!”

                “พูดถูกยิ่งแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด!”

                กระทั่งเป็นห่วงว่าหากทิ้งเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ผู้เดียวก็จะทำให้นางโกรธและหันมาเล่นงานพวกนางด้วย ยังมีคนในกลุ่มหันมาทักทายเว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่เว่ยก็รีบไปเถิด ยามนี้เกรงว่าฝ่าบาทจะไปถึงในท้องพระโรงแล้ว หากเห็นพวกเราชักช้าไม่ไปเสียที เกรงว่าจะทรงถามถึงเอาได้เจ้าค่ะ”

                 ทั้งยังมีคนเย้ยเยาะเฉียนมั่วเอ๋อร์ว่า “ไม่แน่ว่าเป็นนางเดินไม่ระวังเอง ตนเองถูกดอกไม้ชนเอาหนหนึ่ง ก็นึกว่าตนตกทีนั่งลำบากน่าสงสาร จึงจงใจไปหาเรื่องพี่สาวตระกูลเว่ย! แล้วกลับรั้งตัวพวกเราทั้งหมดเอาไว้ที่นี่ จนต้องเมินเฉยต่อคำสั่งขององค์หญิง เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ทำให้คนทั้งหมดต้องเดือดร้อน สร้างเวรสร้างกรรมจริงๆ!”

                “ใช่แล้วๆ ว่าไปก็แปลกนัก ดอกไม้นี้ไม่ไปถูกผู้อื่นโดนแต่นางผู้เดียว ผู้ใดจักรู้ว่าเป็นสวรรค์ลิขิตหรือไม่?”

                เฉียนมั่วเอ๋อร์ฟังคำเย้ยหยันถากถางจากทุกคน แม้มิได้ไม่น่าฟังเท่าที่ได้ยินจากในกลุ่มคนเมื่อครู่นี้ ทว่าคนที่ทุกคนเย้ยหยันก่อนหน้านี้คือเว่ยฉางอิ๋งนี่ แต่ยามนี้กลับมาเป็นตัวนางเอง… หน้าอกนางจึงขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงอยู่เป็นนาน แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้โฮเสียงดังออกมา ร้องไห้ไปพูดไปว่า “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าแต่ละคนล้วนนินทากันอย่างออกรสออกชาติ ข้าก็เพียงพูดเสียงดังสักหน่อยจึงถูกเลือกออกมาเชือดไก่ให้ลิงดูก็เท่านั้น! พวกเจ้ามีคนตั้งมากมาย พอเห็นนางซัดดอกไม้มาถูกข้าบาดเจ็บ ในใจก็พลันพะว้าพะวังไม่กล้าเอ่ยปากแล้ว แล้วยามนี้ก็หันมาผลักทุกเรื่องไว้ที่ตัวข้า?! หากมิใช่เพราะพวกเจ้าเป็นคนเริ่มต้น ข้าเองก็มิได้รู้จักเว่ยฉางอิ๋งสักหน่อย แล้วข้าจะไปนินทานางทำสิ่งใด? พวกเจ้าทำเช่นนี้มันรังแกกันชัดๆ ข้าจะต้องไปเอ่ยเรื่องนี้ต่อพระพักตร์ฮองเฮา และจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด!”

                เมื่อทุกคนถูกนางต่อว่าตั้งนั้นก็พลันทำหน้าไม่ถูก คุณหนูกู้ที่เมื่อครู่นี้ถูกเฉียนมั่วเอ๋อร์ดึงตัวไปกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เจ้าไม่ไปบอก ข้าก็จะไปบอกกับท่านอาอยู่แล้ว!วันประสตูขององค์หญิงหลินชวนแท้ๆ ควรให้พวกเจ้ามาวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นต่างๆ นานาที่ใด? ท่านอาของข้าเองก็ยังไม่เคยว่ากล่าวฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นอย่างใด แล้วเจ้าจะมาเก่งกาจกว่าท่านอาข้าเช่นนั้นรึ?”

                เฉียนมั่วเอ๋อร์โกรธเสียจนสั่นไปทั้งตัว และไม่เรียกพี่กู้แต่อย่างใดแล้ว พลันกล่าวเสียงดังว่า “ยามนี้เจ้าพูดเช่นนี้แล้วรึ? เมื่อครู่ที่ตรงนั้น มิใช่เจ้าพูดเสียงแข็งว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จักละอายใจ! เจ้ากล้าบอกว่าเจ้าไม่เคยพูดเช่นนี้รึ?! หากเจ้ายังกล้าสาบานให้ตาย! ข้าก็กลับกล้าสาบานให้ตายว่าเมื่อครู่นี้เจ้าพูดเช่นนี้จริงๆ!”

________________________________

[1] ลูกผู้ดีไม่นั่งใต้หอสูง หมายถึง ลูกผู้ดีย่อมต้องคอยรักษาเนื้อรักษาตัว เช่นการไม่ไปนั่งใต้หอสูงเพื่อป้องกันไม่ให้พังลงมาทับ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด