ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 151-2 จดหมายถึงเฟิ่งโจว

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 151-2 จดหมายถึงเฟิ่งโจว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เว่ยฉางอิ๋งส่งจี้ชวี่ปิ้งกลับอย่างสำนึกในบุญคุณและขอบคุณเป็นพันเป็นหมื่นเท่า ตอนนี้นางหายปวดท้องและสงบสติอารมณ์ได้แล้ว หลังจากดื่มยาบำรุงครรภ์แล้วก็หลับลงได้อย่างสนิท นางเฮ่อที่มีเวลาว่างแล้วก็รีบกลับไปที่ในห้อง แล้วลงมือเขียนจดหมายที่ใจความทั้งเติมน้ำมันเพิ่มน้ำส้มสายชู ทั้งใส่น้ำเสียงน้ำหูน้ำตาลงไปอีก

วันต่อมา บ่าวซึ่งเป็นบ่าวติดตามเช่นกันก็นำจดหมายของนางหวงและนางเฮ่อเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนไปส่งที่เฟิ่งโจว

ณ รุ่ยอวี่ถัง หลังจากอ่านจดหมายของทั้งสองคนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินซ่งต่างพากันยินดีแล้วค่อยโศกเศร้าในภายหลัง ทั้งแม่สามีและสะใภ้ล้วนโมโหจนไม่อาจทนไหว!

ฮูหยินซ่งร่ำไห้กล่าวว่า “ท่านแม่เจ้าคะ บ้านสองข่มเหงฉางอิ๋งเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!”

จดหมายของนางหวงนับว่าเขียนอธิบายเรื่องราวต่างๆ อย่างเที่ยงตรง …แต่ของนางเฮ่อนั้นกลับเอาความรับผิดชอบทั้งหมดผลักไปไว้ที่บ้านสอง โดยเฉพาะเน้นย้ำว่าเมื่อฮูหยินซูรู้ว่าครรภ์ของเว่ยฉางอิ๋งไม่คงที่ก็มีสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง แม่นมเถาต้องแอบคอยดึงนางเอาไว้หลายครั้งเพื่อไม่ให้พูดคำพูดรุนแรง

แม้ฮูหยินซ่งจะรู้ว่าในจดหมายของนางเฮ่อจะต้องมีเรื่องเกินจริงอยู่หลายที่ แต่ความคิดของนางกลับเหมือนกับนางเฮ่อว่า บุตรสาวแสนดีของข้ากำลังตั้งท้อง ปรากฏว่ากลับแทบจะเก็บรักษาเอาไว้ไม่ได้ ทั้งยังต้องมีภาพลักษณ์ต่อหน้าแม่สามี ว่าไม่รู้จักระมัดระวังตนเอง …อย่างไรก็ต้องหาคนมาให้กล่าวโทษบ้างกระมัง?

คนที่ดูแลใกล้ตัวยังมีประโยชน์อยู่ แล้วหากไม่ไปลงกับบ้านสองแล้วจะให้ไปลงกับใคร?

อีกประการ บ้านสองก็ใช่ว่าไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้! นางเฮ่อบอกว่า “หากคุณหนูเจ็ดถูกบิดาบงการให้มาหาเรื่องฮูหยินน้อยของพวกเราหนแล้วก็หนเล่า ทำให้ฮูหยินน้อยต้องเดือดเนื้อร้อนใจทั้งวันทั้งคืน กอปรกับเมื่อไปที่จวนเว่ยในวันนั้น ขณะที่กำลังโต้แย้งกับนายท่านรองและฮูหยินรองอยู่ ฮูหยินรองเอ่ยถึงฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่เคารพยิ่ง ทำให้ฮูหยินน้อยบันดาลโทสะขึ้นมายกใหญ่ ด้วยร่างกายของฮูหยินน้อยที่แข็งแรงอยู่เสมอ แล้วจะมาเจ็บป่วยด้วยวุ้นชามเดียวได้ที่ใดกัน” เรื่องนี้ทำให้ฮูหยินซ่งแทบวิ่งปรี่ไปเมืองหลวงในทันทีทันใด แล้วไปถลกหนังคนบ้านสองทั้งบ้านไปเสียเลย!

แม่เฒ่าซ่งหน้าดำคร่ำเครียด แต่กลับไม่ได้ตอบในทันที อีกนานจากนั้นจึงกล่าวว่า “จะอย่างไร เว่ยฉางเจวียนก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อของพวกเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นอายุก็ยังน้อยนัก มองออกว่านางก็ไม่ได้ฉลาด ไม่พอจะไปเอาผิดกับนาง เวลานี้ท่านพ่อของพวกเจ้าก็กำลังวางแผนการใหญ่ ไม่จำเป็นต้องให้ไอ้เจ้าตัวเล็กนี่มาเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของฉางเฟิง”

แม้ปีก่อนเว่ยฮ่วนรับปากว่าจะบ่มเพาะให้เว่ยฉางเฟิงรับช่วงต่อรุ่ยอวี่ถัง แต่นั่นล้วนเป็นเรื่องที่ว่ากันเป็นภารภายใน ถ้าแนวโน้มต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง คำสัญญาเช่นนี้ก็ไม่ใคร่นับเป็นจริงจังได้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของตระกูล ความรุ่งโรจน์ของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวที่เป็นมาหลายร้อยปี แม้ปกติแล้วเว่ยฮ่วนจะยอมให้แม่เฒ่าซ่ง แต่หากเป็นการใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงเรื่องสำคัญแล้ว ก็หาใช่เรื่องที่แม่เฒ่าซ่งจะไปบงการได้

วานนี้รุ่ยอวี่ถังเพิ่งได้รับจดหมายขอขมา เรื่องที่เว่ยเซิ่งอี๋อบรมบุตรสาวไม่เข้มงวด ในจดหมายเขียนอธิบายว่า เว่ยฉางเจวียนซึ่งไปหาเรื่องลูกผู้พี่บ้านลุงนั้นถูกตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว เกรงว่าหากไม่ใช่ปีครึ่งปีก็จะคงออกนอกบ้านไม่ได้ …และไม่ลืมจะเอ่ยไปอีกประโยคหนึ่งพร้อมๆ กันว่า เดิมทีเว่ยฉางเจวียนคิดอยากกลับไปแสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่ที่เฟิ่งโจวมาก แต่จนใจเหลือที่เวลานี้กลับทำไม่ได้เสียแล้ว

แม่เฒ่าซ่งย่อมไม่ยอมปล่อยให้คำยุแยงและเป็นการฟ้องกลายๆ ในตอนท้ายของจดหมายนี้ ทำให้เว่ยฮ่วนเกิดความหมางใจกับหลานสาวบ้านใหญ่ จึงเอ่ยไปอย่างบางเบาประโยคหนึ่งว่า “เมื่อมีความต้องการนี้จริงๆ เหตุใดหลายปีมานี้จึงไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน? จวบจนเวลาที่ทำไม่ได้แล้ว กลับเอ่ยถึงขึ้นมาเสียแล้ว” ทำเอาเว่ยฮ่วนเองก็ต้องขมวดคิ้วหนแล้วหนเล่า แล้วเอ่ยปากไปคำหนึ่งด้วยหวังจะไกล่เกลี่ยว่า “คงเพราะอยากให้พวกเราสงสารหลานสาวอีกสักหน่อย จึงได้เติมความนี้มา หาได้ต้องการบอกว่าฉางอิ๋งไม่ดีไม่”

แม่เฒ่าซ่งพลันยิ้มเยาะ “โบราณว่าไว้ว่าหนึ่งในคนที่ไม่ควรตบแต่งด้วยก็คือบุตรสาวคนโตที่มารดาเสียไปแล้ว ด้วยกลัวจะไม่มีคนอบรมสั่งสอน พ่อแม่ของฉางเจวียนล้วนยังอยู่ แต่นางยังไม่รู้จักจารีตธรรมเนียมเช่นนี้อีก ดีที่เวลานี้พวกเราไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หาไม่ พวกเรายังจะออกไปข้างนอกได้อีกรึ? หน้าตาเฒ่าๆ ล้วนถูกนางทำให้เสียหายไปหมดแล้ว! หากมิใช่ว่าพวกเรารู้ว่านางเป็นลูกของนางตวนมู่จริงๆ ข้าก็ยังนึกว่าที่นางตวนมู่เอาใจนางเช่นนี้ก็ด้วยจงใจทำร้ายนางจนตายเสียอีก! เด็กสาวที่โตเพียงนี้แล้วกลับไม่ถูกอบรมให้ดีไม่มีสมองเช่นนี้ เซิ่งอี๋ก็ยังสงสารนางได้อย่างไม่ละอายใจอีกรึ? คนที่ปกครองบ้านได้เรียบร้อยจึงสามารถปกครองแคว้นให้สงบได้ …ด้วยความสามารถของเซิ่งอี๋นี้ เขาเป็นคนที่แม้แต่บ้านก็ยังปกครองได้ไม่เรียบร้อยเลยหรือ?”

เว่ยฮ่วนจะตอบก็ไม่ถูก ไม่ตอบก็ไม่ถูก เห็นชัดว่าคำพูดนี้ของฮูหยินผู้เฒ่ามีสองความหมาย หากตนเองบอกว่าบุตรชายคนรองจากอนุปกครองดูแลบ้านไม่ดี บุตรสาวคนเล็กของเขาจึงได้ไปหาเรื่องลูกผู้พี่ ทำเช่นนี้แล้ว แม้เรื่องจะดูเล็กลงและกลายเป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างหลานสาวปู่สองคน แต่หากตนเอ่ยปากไปว่าเว่ยเซิ่งอี๋ปกครองบ้านได้ไม่เรียบร้อย คำว่าบ้านนี้ก็อาจหมายรวมถึงตระกูลเว่ยทั้งตระกูลได้อีกด้วย

แม้เว่ยฮ่วนจะชื่นชมเว่ยฉางเฟิง ซึ่งเป็นหลานชายแท้ๆ ในบ้านใหญ่ที่ตนอบรมสอนสั่งมาด้วยตนเอง แต่เว่ยฉางเฟิงก็อายุน้อยเกินไปจริงๆ หลายปีมานี้อิทธิพลของรุ่ยอวี่ถังก็ถดถอยลงอย่างรุนแรง …ครั้งนั้น ด้วยเว่ยฮ่วนต้องการควบคุมเว่ยเจิ้งหย่า ในช่วงเวลาที่เขายังหนุ่มแน่นจึงขืนลาออกจากราชการและกลับมาปกครองดูแลที่เฟิ่งโจวด้วยตนเอง ทำให้ในสายของของรุ่ยอวี่ถังมีเพียงเว่ยเซิ่งอี๋บุตรชายคนรองที่คอยดูแลอยู่ในราชสำนัก

แม้ยังมีตระกูลในสายรองอื่นๆ อย่างเช่นเว่ยอวี้ ทว่าเมื่อยังมีเว่ยฮ่วนอยู่ เว่ยอวี้ย่อมไม่อาจมีความคิดอื่นใดไปได้ หลังจากเว่ยฮ่วนจากไปแล้ว เว่ยอวี้ในวัยที่เป็นปู่ของเว่ยฉางเฟิงได้ จะยังเคารพเว่ยฉางเฟิงเหมือนกับเว่ยฮ่วนหรือไม่? จะเป็นไปได้หรือ!

แม้บุตรหลานของตนไม่นับว่าหายาก แต่คนที่มีความสามารถกลับมีน้อยนัก ภายในตระกูลก็ยังมีฝั่งของจือเปิ่นถังที่คอยจ้องเหมือนเสือรอตะครุบเหยื่อ ส่วนเว่ยฉีเองก็ออกจากราชการแล้ว ทว่า…หากเว่ยฮ่วนตายไป แล้วเว่ยฉียังมีกำลังพอ ก็จะต้องวางแผนเอาคืนแน่นอน! ทางฝั่งของจิงผิงกงที่ตอนนี้ยังไม่มีท่าทีคุกคามชั่วขณะก็มีบุตรหลานอยู่หลายคน เว่ยซ่านสื่อและเว่ยซ่านกุยที่อายุยังน้อยก็ล้วนฉายแววเฉลียวฉลาดกตัญญูรู้ความออกมาให้เห็นแล้ว อีกสิบกว่าปีหรือยี่สิบปีจากนี้ ไม่แน่ว่าจะกลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับตำแหน่งประมุข…

ความโดดเด่นที่เว่ยฉางเฟิงมี ก็เพียงเมื่อนำมาเทียบกับคนในรุ่นราวคราวเดียวกับเขา หรืออย่างมากก็มีอายุมากกว่าเขาสักสิบปีกเท่านั้น แต่ยามมาอยู่ต่อหน้าคนที่โตกว่าเขารุ่นหนึ่งแล้ว ก็จะทำให้เขาดูอ่อนหัดเพราะด้อยด้วยประสบการณ์ เว่ยฮ่วนรู้ว่าไม่อาจโทษหลานชายว่าไม่มีความสามารถที่น่าตื่นตะลึงเพียงพอ เพราะเว่ยฉางเฟิงเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่สงบเงียบและดีงามเกินไป ที่เขามีพรสวรรค์ดังในวันนี้ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว และตัวเขาเองก็หมั่นเพียรเป็นที่สุดแล้วเช่นกัน

ทว่าเพราะไม่เคยถูกวันเวลาและประสบการณ์ขัดเกลามาก่อน ลำพังแค่แรงมุมานะและความเฉียบคมของคนหนุ่ม แต่ยังขาดเวลาให้ความเก่งกาจตกตะกอน อย่างไรก็ไม่อาจทำให้วางใจมอบหมายภาระสำคัญให้ได้

ฉะนั้นต่อให้เว่ยฮ่วนจะค่อนข้างโน้มเอียงไปทางเว่ยฉางเฟิง ทว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็ยังไม่อยากผลประกาศการคัดเลือกนี้ออกไป เพื่อให้ตระกูลเหลือทางให้ถอยสักทาง ในเมื่อเว่ยเซิ่งอี๋เป็นอีกทางไว้สำหรับถอยได้ หากเป็นไปได้เว่ยฮ่วนย่อมไม่คิดจะบีบเขาให้ตาย ภรรยาของเขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี เพียงแต่ถ้าเขาพูดออกไปดังนี้ แม่เฒ่าซ่งย่อมทำให้ความนี้แพร่ะกระจายออกไป พร้อมทั้งใส่ไฟลงไปด้วย เพื่อทำให้เว่ยเซิ่งอี๋หมดหวังเสียที

หากเว่ยฮ่วนบอกว่าเว่ยเซิ่งอี๋สามารถดูแลปกครองบ้านให้เรียบร้อยได้ เช่นนั้นก็เท่ากับปฏิเสธเรื่องที่เว่ยเซิ่งอี๋เขียนมาในจดหมาย ว่าสาเหตุที่เว่ยฉางเจวียนไปหาเรื่องเว่ยฉางอิ๋งก็เพราะนางยังเด็กไม่ประสาว่าไม่เป็นความจริง หากแต่เป็นเว่ยเซิ่งอี๋บงการมา …สรุปก็คือการแก่งแย่งระหว่างบุตรบ้านใหญ่และบุตรจากอนุเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนฉลาดจอมวางแผนเช่นเว่ยฮ่วนก็ยังต้องรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก

หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เว่ยฮ่วนจึงเอ่ยถึงผลการเรียนของเว่ยฉางเฟิงไปเสียเลย เพื่อจะได้กลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปเสีย …เขาทำเช่นนี้ แม่เฒ่าซ่งเองก็รู้ว่าความจริงแล้วเว่ยฮ่วนยังคงลังเล และไม่อาจตัดสินใจตัวเลือกของประมุขคนต่อไปได้ ซึ่งนางย่อมไม่ยอมผลักเว่ยฮ่วนให้โน้มเอียงไปทางเว่ยเซิ่งอี๋ด้วยเช่นกัน

เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่แม่เฒ่าซ่งสนทนากับเว่ยฮ่วนเป็นการส่วนตัว ฮูหยินซ่งย่อมไม่รู้เรื่อง แต่นางรู้ว่าแม่เฒ่าซ่งรักเว่ยฉางอิ๋งไม่น้อยไปกว่าที่ตนรัก ยิ่งไปกว่านั้นแม่เฒ่าซ่งยังเป็นคนที่วางแผนได้แยบยลลึกล้ำนัก เวลานี้ได้ยินแม่สามีออกปาก นางจึงไม่ร้องไห้แล้ว เช็ดหน้าตาแล้วบอกว่า “เช่นนั้นความหมายของท่านแม่คือ?”

“เอานางตวนมู่ไว้ได้ไม่ได้แล้ว” แม่เฒ่าซ่งเอ่ยเรียบๆ โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ “เฉี่ยนซิ่วมิใช่บอกแล้วว่า ตวนมู่อู๋เซ่อแห่งตระกูลตวนมู่ก็เพิ่งถูกหย่าและส่งกลับบ้าน? หากตระกูลตวนมู่ไม่อยากให้บุตรสาวถูกหย่าร้างและส่งกลับบ้านอีก …พวกนางย่อมรู้ว่าควรทำเยี่ยงไร”

ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างไม่ยอมใจว่า “ยังมีเว่ยเซิ่งอี๋ เขาเป็นนายของบ้านสองทั้งบ้าน สะใภ้ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย”

“ไม่ต้องรีบ” แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างใจเย็น “เวลานี้เขายังมีประโยชน์อยู่ รอจนวันเขาหมดประโยชน์แล้ว ตัวข้านั้นหรือ…ลงบัญชีเอาไว้ให้ฉางอิ๋งของพวกเราแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย จนแทบเหมือนกับกำลังสนทนาเรื่องทั่วไป ทว่าทุกคนอยู่ในโถงรวมทั้งฮูหยินซ่งด้วย ล้วนรู้สึกสะท้านไปถึงขั้วหัวใจอย่างไร้ที่มาที่ไป

________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด