ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง 112 สืบสวน

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง Chapter 112 สืบสวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

                หลังจากเว่ยฉางอิ๋งสอบถามลำดับเรื่องราวที่เจียงเจิงได้รับบาดเจ็บเรียบร้อยแล้ว นางก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ และสั่งให้เสิ่นจวี้กลับไปที่เรือนชั้นหน้า …เสิ่นจวี้เพิ่งจะออกไป เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาแล้ว เขาอมยิ้มเข้าประตูมาและได้เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าไม่น่าดูหนักหนาเข้าพอดี รอยยิ้มของเขาพลันหดหายไป ถามว่า “ผู้ใดทำให้เจ้าโมโห? คงมิใช่เสิ่นจวี้เสียมารยาทกับเจ้าหรอกนะ?” พูดไปพลางคิ้วก็ขมวดเข้ามา

                “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งฝืนยิ้ม แล้วเข้าไปช่วยเขาถอดเสื้อตัวนอก ถอดไปพลาง พูดไปพลางว่า “เจียงเจิงครูฝึกของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ช่วงสายๆ ถูกคนหามเข้ามาในเรือนของเราเพื่อทำการรักษา พอดีว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวอยู่ด้วย ยามนี้ช่วยชีวิตเอาไว้ได้แล้ว แต่คนยังอยู่ที่เรือนชั้นหน้าชั่วคราว…”

                “นี่สมควรแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงไม่รอให้นางพูดจบก็พยักหน้า กล่าวว่า “เจ้าก็ให้เขาอยู่ดีแล้ว ดีชั่วห้องพักแขกข้างหน้าก็ไม่ได้มีเพียงห้องเดียว หากต้องการใช้หยูกยาใดก็ให้ลงบัญชีของพวกเรา พวกเราก็ไม่ได้ขาดเหลืออันใด อย่าให้บ่าวไพร่ต้องอาทรร้อนใจ”

                เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ สั่งให้บ่าวออกไปจนหมดก่อน แล้วค่อยพูดต่อว่า “เขาเกือบถูกตีจนตายก็มีสาเหตุ คนที่ลงมือเป็นคนข้างกายองค์รัชทายาท”

                สีหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงเปลี่ยนไปทันใด และมิได้ร่ำไรรอให้ภรรยามาช่วยดูแลแล้ว เขาปลดเสื้อตัวนอกออกเอง ดาบเข้าเฝ้าก็ปลดลงด้วย แล้วเอาไปแขวนไว้บนราว นั่งลงบนเก้าอี้ พลางแสดงท่าทีให้ภรรยานั่งลงด้วย “เจ้าพูดให้ละเอียดสักหน่อย”

                เมื่อเห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วยเกี่ยวพันถึงองค์รัชทายาท เว่ยฉางอิ๋งจึงค่อนข้างเป็นกังวลขึ้นมาในใจ นางขบริมฝีปากแล้วจึงบอกว่า “เดิมทีก็เพียงออกจากโรงเตี๊ยมอันซุ่น …โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นหนึ่งในสินติดตัวของข้า นับแต่ท่านลุงเจียงมาถึงเมืองหลวงก็อยู่ที่นั่นมาโดยตลอด เพราะใกล้ๆ โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีร้านขายขนมหูปิ่งอยู่ร้านหนึ่งซึ่งคล้ายว่าจะเคยรู้จักกับท่านลุงเจียงมาก่อน ท่านลุงเจียงอยู่ว่างๆ จึงไปออกไปซื้อขนมหูปิ่งสักหน่อย วันนี้ก็เช่นกัน…”

                นางเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง กล่าวว่า “ข้าคิดว่าในเมื่อท่านลุงเจียงก็มิได้ไปชนขบวนขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทยังขืนมายัดเยียดข้อหาให้เขาเพื่อสิ่งใด? เกรงว่าคงเกี่ยวกับเรื่องหญิงเก็บบัวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิเมื่อคราก่อนกระมัง?”

                เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามเสียงหนัก “ทว่าเมื่อรู้ว่าท่านลุงเจียงผู้นี้…ในเมื่อตอนที่เขาไปซื้อขนมหูปิ่งยังคอยคิดถึงว่าต้องกลับไปสอนลูกศิษย์ แต่เหตุใดจึงยังไปที่ถนนเส้นนั้น? ระหว่างนี้ต้องถูกคนพาไปแน่ หรือว่าเขาไปเอง?”

                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “แม้จะรักษาชีวิตของท่านลุงเจียงเอาไว้ได้แล้ว แต่คนก็ยังหมดสติอยู่ เวลานี้จะถามได้ที่ใดกัน?” แล้วว่า “ได้ยินว่าหลังจากท่านลุงเจียงมาถึงเมืองหลวงก็มุ่งมั่นสอนสั่งจูเหล่ยศิษย์ของเขา เวลานี้จูเหล่ยผู้นี้ก็อยู่ที่เรือนชั้นหน้า ตามจริงแล้วเขาควรรู้เรื่องท่านลุงเจียงดีที่สุด ทว่าตอนที่ท่านลุงเจียงไปซื้อขนมหูปิ่ง จูเหล่ยก็ไม่ได้ตามไปด้วย จึงไม่น่ารู้เรื่องใด”

                “เรียกมาลองสอบถามดู” เสิ่นจั้งเฟิงลูบคาง ใคร่ครวญอยู่เป็นนานจึงเอ่ยออกมาก

                แม้เวลานี้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่มีเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ด้วย หากให้จูเหล่ยมาหาจึงไม่เป็นไร … เพราะเวลานี้เจียงเจิงพ้นขีดอันตรายแล้ว จูเหล่ยจึงสงบลงมาก แม้คนผู้นี้จะเป็นชาวบ้าน ทั้งยังเป็นชาวยุทธ ทว่าดูไปแล้วเขาก็รู้ธรรมเนียมของบ้านผู้มีตระกูลอยู่บ้าง เมื่อเข้าประตูมาก็คารวะ ตามองต่ำลง เพื่อไม่เห็นหน้าของเว่ยฉางอิ๋งซึ่งนั่งอยู่ข้าง เสิ่นจั้งเฟิงและสาวใช้ที่อยู่ซ้ายขวา …เขาเข้ามาอย่างรวดเร็ว คิดว่าเสิ่นเตี๋ยที่มากับเขาด้วยคงไม่ทันสอนธรรมเนียมเหล่านี้ให้แก่เขา โดยมากแล้วคงเป็นเจียงเจิงสอนให้

                เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นบอกให้เขาไม่ต้องมากพิธี ไม่รอให้เขาขอบคุณและขออภัย ก็ถามเข้าประเด็นในทันที “เจ้าคงจะรู้ว่าอาจารย์ของเจ้ากับเถ้าแก่ร้านขนมหูปิ่งที่เขาไปซื้อในวันนี้นั้นมีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน?”

                คำขออภัยและขอบคุณของจูเหล่ยเพิ่งจะมาถึงริมฝีปาก เมื่อได้ยินคำจึงกลืนลงคอไป รีบบอกว่า “ข้าน้อยเคยได้ยินท่านอาจารย์เอ่ยถึงหนหนึ่ง ว่าเขาเป็นสหายสนิทคนหนึ่งที่ท่านอาจารย์รู้จักตั้งแต่อยู่ในสำนักคุ้มภัยเมื่อสมัยอาจารย์ปู่ยังมีชีวิตอยู่ สมัยก่อนครั้งท่านอาจารย์ติดตามอาจารย์ปู่ทำงานคุ้มภัยก็เคยไปเยี่ยมเยือน จึงได้รู้จักกันขอรับ คนบ้านนี้แซ่อวี๋ บ้านเดิมคล้ายเป็นคนในแถบชานเมือง ภายหลังด้วยสาเหตุบางประการจึงย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงขอรับ หลังจากท่านอาจารย์พาข้าน้อยมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมอันซุ่นแล้วก็บังเอิญได้พบกันในละแวกโรงเตี๊ยม จากนั้นจึงมักจะไปอุดหนุนพวกเขาขอรับ”

                 “คนแถบชายเมือง” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเขาจึงย้ายจากชานเมืองมาที่เมืองหลวง?”

                จูเหล่ยส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าน้อยไม่เคยถามท่านอาจารย์ขอรับ”

                “แซ่อวี๋” เสิ่นจั้งเฟิงเห็นดังนั้นจึงถามว่า “รู้จักชื่อเขาหรือไม่?”

                “ได้ยินว่าเป็นชื่อคำเดียวว่า ฝู ขอรับ”

                เสิ่นจั้งเฟิงจึงสั่งเสิ่นเตี๋ยในทันใดว่า “เขียนสารไปที่บ้านของจางผิงซวี ฝากให้เขาช่วยตรวจสอบดู”

                จางผิงซวีเป็นบุตรชายสายหลักของตระกูลจางในชานเมือง มีฐานะไม่ต่ำต้อยในตระกูล ในเมื่อครอบครัวแซ่อวี๋นี้มีบ้านเดิมอยู่แถบชานเมือง ย่อมไม่พ้นสายตาของตระกูลจางไปได้

                ทว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นเสิ่นจั้งเฟิงไปตรวจสอบคนขายขนมหูปิ่งทั้งบ้านเสียใหญ่โต จึงอดจะสงสัยไม่ได้และเอ่ยถามเสียงเบาๆ ไปว่า “รู้ดังนี้ก็ฝากคนไปตรวจสอบแล้วหรือ?”

                เพราะจูเหล่ยยังอยู่ตรงหน้า เสิ่นจั้งเฟิงจึงยกมือน้อยๆ ส่งสัญญาณบอกภรรยาว่าค่อยคุยกันภายหลัง แล้วถามจูเหล่ยต่อว่า “นอกจากคนแซ่อวี๋บ้านนี้แล้ว ในละแวกโรงเตี๊ยมอันซุ่น อาจารย์ของเจ้ายังมีคนคุ้นเคยอื่นอีกหรือไม่?”

                “เรียนคุณชาย ไม่มีแล้วขอรับ” จูเหล่ยเพิ่มเติมไปอีกว่า “ท่านอาจารย์หาได้ชื่นชอบคบหาผู้คนส่งเดชไม่ขอรับ…คุณชาย ทว่าคนบ้านอวี๋มีปัญหาหรือขอรับ?” ด้วยความที่เขาเป็นชาวยุทธ เมื่อจูเหล่ยถามมาดังนี้ สีหน้าของเขาก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมา น้ำเสียงมีรัศมีการสังหารอยู่หลายส่วน!

                เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง แต่กลับเห็นเสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เวลานี้ยังสืบสวนไม่ชัดเจน ทุกเรื่องล้วนพูดยาก”

                จูเหล่ยลองสอบถามว่า “เช่นนั้นเหตุที่คุณชายไปสอบถามคนบ้านอวี๋…?”

                “รอจนสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน ข้าจะบอกกับเจ้า” เสิ่นจั้งเฟิงพูดอย่างอ่อนโยนแต่ไม่ปล่อยให้เขาสงสัยเรื่องใดอีก “อาจารย์ของเจ้าบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องให้เจ้าอยู่ดูแลใกล้ชิด ข้าก็จะไม่รบกวนเวลาเจ้าแล้ว”

                จูเหล่ยฟังออกว่านี่คือการไล่ตน แม้จะรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง ทว่าแม้เขาจะดูเป็นคนหยาบๆ แต่กลับรู้ว่าตอนนี้คนก็อยู่ภายในเรือน …เจียงเจิงก็เป็นเพียงแค่บ่าวติดตามคนหนึ่งของสะใภ้ในจวนแห่งนี้เท่านั้น ส่วนเขาก็แทบไม่มีความสัมพันธ์ใดกับ เว่ยฉางอิ๋งเลย เสิ่นจั้งเฟิงยอมอนุญาตให้พวกเขาศิษย์อาจารย์มาพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนชั้นหน้าก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว

                เขากล่าวคำขอขมาและขอบคุณพร้อมกับความเคลือบแคลงในใจ เสิ่นจั้งเฟิงรับไปอย่างราบเรียบ แล้วให้เขากลับไปที่เรือนชั้นหน้า …รอจนจูเหล่ยไปแล้ว จึงโบกมือให้พวกนางหวงซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทออกไป เว่ยฉางอิ๋งรีบเข้าไปโยกศอกของสามี “บ้านอวี๋นี้?”

                “ในเมื่อท่านลุงเจียงผู้นี้ไม่มีคนคุ้นเคยอื่นใดอีกนอกจากพวกเขาในละแวกโรงเตี๊ยมอันซุ่น จูเหล่ยก็บอกว่าอาจารย์ของเขาไม่ชอบคบค้ากับผู้คนส่งเดช คิดว่าเขาคงไม่น่าคบค้ากับผู้อื่นอีกโดยที่จูเหล่ยไม่รู้” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเย็นๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “ตามปากคำของโรงเตี๊ยมอันซุ่นและจูเหล่ยผู้นี้แล้ว เดิมทีท่านลุงเจียงไปซื้อขนมหูปิ่งแล้วก็จะกลับมาที่โรงเตี๊ยมเลย ในเมื่อไม่ได้กลับมาที่โรงเตี๊ยม และในละแวกนั้น นอกจากร้านขนมหูปิ่งแล้วก็ไม่มีคนรู้จักอื่นอีก การที่เขาจะไปที่ที่ห่างออกไปสองช่วงถนนและไปพบกับขบวนขององค์รัชทายาทนั้น มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนในสิบส่วนว่าบ้านอวี๋นี้ไหว้วานให้เขาไปทำบางอย่าง! ซึ่งเป็นได้อย่างยิ่งว่าจะต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงไม่ทันเอาขนมหูปิ่งกลับไปที่โรงเตี๊ยมก็ไปที่ถนนเส้นนั้นแล้ว!”

                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปว่า “หรือว่า บ้านอวี๋นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท?”

                “นี่เป็นเพียงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง” เสิ่นจั้งเฟิงผ่อนคลายน้ำเสียงลง กล่าวว่า “เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมเป็นคนของเจ้า เสิ่นจวี้ไปสอบถามมาด้วยตัวเอง คำที่เขาพูดก็คงเชื่อถือได้ แต่จูเหล่ยกับมิใช่คนของเจ้า บางทีอาจเชื่อถือไม่ได้ และอาจเป็นไปได้ว่าเขาจะร่วมมือกับคนนอกหักหลังอาจารย์ของตน ก่อนท่านลุงเจียงจะออกไป เขาอาจเป็นคนไหว้วานท่านลุงเจียงไปทำการบางอย่างให้ตรงถนนที่ขบวนขององค์รัชทายาทจะผ่านมา”

                “แต่ท่านลุงเจียงดูแลจูเหล่ยประหนึ่งบุตรชายที่รักของตนแท้ๆ…”

                เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า “เรื่องนี้สามารถอธิบายได้แต่ว่าท่านลุงเจียงจะไม่ทำเรื่องไม่ดีต่อจูเหล่ย  แต่กลับไม่อาจยืนยันได้ว่าจูเหล่ยจะไม่ทำการไม่ดีต่อท่านลุงเจียง! เจ้าก็มิได้เคยคุ้นกับคนผู้นี้ ลำพังแค่วันนี้ได้เห็นพอผ่านๆ ไม่กี่ชั่วยาม ไม่พอจะเชื่อถือได้”

                เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดสักพัก กล่าวว่า “เจ้าสืบสวนเรื่องนี้เช่นนี้ แล้วทางองค์รัชทายาทเล่า?” ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ต้องสืบสวนก็รู้ว่าต้องเป็นองค์รัชทายาทจงใจวางแผนแก้แค้น หากไม่แล้ว ทั้งที่เจียงเจิงก็ไม่ได้ไปชนกับขบวนขององค์รัชทายาท แล้วเหตุใดองค์รัชทายาทจึงต้องหาเรื่องเขาด้วย? ต่อให้คนบ้านอวี๋ไม่ได้มีปัญหาใด คนที่มีปัญหาก็ต้องเกี่ยวพันกับองค์รัชทายาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่

                แต่เวลานี้ องค์รัชทายาทอ้างว่าเจียงเจิงเดินไปชนขบวนของตนจึงลงมือทุบตีแล้วก็จากไป โดยไม่ได้เอ่ยถึงเสิ่นจั้งเฟิง ไม่ได้เอ่ยถึงเว่ยฉางอิ๋ง เห็นชัดว่าก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขามั่นคงนัก แม้ตนจะรู้สึกเคียดแค้นแสนสาหัสด้วยเรื่องของเจียงเจิง ทว่ากลับไม่ได้หวังว่าจะสามารถทวงความยุติธรรมให้แก่เจียงเจิงได้… อย่างไรเสียต่อให้ราชสำนักของต้าเว่ยจะถดถอยลงอีกเพียงใด ทั่วใต้หล้าในเวลานี้ก็ยังคงอยู่ในอุ้งมือของราชสกุลเซิน

                อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทบิดเบือนหาข้ออ้างว่าเจียงเจิงไปชนเขา ต่อให้ไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วบุกเข้ามาตีเจียงเจิงจนตายในโรงเตี๊ยมอันซุ่นเสียเลย …แล้วจะอย่างไรเล่า?

                เจียงเจิงก็เป็นเพียงแค่สามัญชนทั่วไป ทั้งยังมีฐานะเป็นบ่าวอยู่ครึ่งหนึ่งด้วย แต่เซินสวินกลับเป็นถึงองค์รัชทายาทผู้แสนสูงส่ง ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ความและยืนกรานจะแก้แค้นให้กับครูฝึกของตนให้จงได้ แต่ทุกคนในตระกูลเว่ยและตระกูลเสิ่นก็จะไม่ยินยอมให้ทำเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนในตระกูลเลื่องชื่อ มีกิจการใหญ่โต ทั้งมีอำนาจใหญ่หลวง กลับยิ่งต้องระวังให้มาก หาไม่แล้วเพียงแค่ไม่ระวังหนเดียวก็จะพลอยทำให้ทั้งตระกูลต้องเดือดร้อนไปด้วย

                ครานี้ เสิ่นจั้งเฟิงเขียนสารไปถึงจางผิงซวีด้วยเรื่องของคนบ้านอวี๋ เห็นชัดว่าเขาต้องการจะสืบสวนให้ถึงที่สุด หากให้องค์รัชทายาทรู้เข้า แล้วจะไม่ยิ่งโมโหโกรธายกใหญ่หรอกหรือ? ถึงยามนั้นขึ้นมา ผู้ใดจะรู้ว่าเรื่องราวจะลุกลามไปถึงขั้นใด?

                “เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงองค์รัชทายาทจึงต้องสืบสวนเช่นนี้” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเยาะหยันหนหนึ่ง… นี่กลับเป็นหนแรกที่เว่ยฉางอิ๋งเห็นสามีมีสีหน้าเย็นชาเช่นนี้ แววตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เอ่ยออกมาเรียบๆ ว่า “ฮ่องเต้ทรงสูงวัยนักแล้ว ไม่ต้องการให้ตำหนักตะวันออกมีการเปลี่ยนแปลงใดอีก เวลานี้มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าองค์รัชทายาทพระองค์นี้จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ยามนี้ยังไม่ทันได้ครองราชย์ก็ลงมือกับคนของเราแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเมื่อเขาขึ้นครองราชย์เลย!”

                เว่ยฉางอิ๋งตื่นตะลึง!

                แล้วเห็น เสิ่นจั้งเฟิงพูดต่อไปด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ว่า “เรื่องนี้จักส่งผลในวงกว้าง ต้องสืบสวนให้ชัดแจ้งในทันใด! หากเป็นเพียงคนข้างกายองค์รัชทายาทยุยง จนทำให้องค์รัชทายาทเลอะเลือนไปชั่วขณะ เช่นนั้นก็แล้วไป ก็เพียงกำจัดเจ้าคนชั่วผู้นั้นไปเสีย แล้วไปหาคนที่ดีมีใจภักดีซื่อตรงมาอยู่กับองค์รัชทายาทเป็นพอแล้ว แต่หาก… นี่เป็นความคิดขององค์รัชทายาทเอง ก็ต้องอาศัยจังหวะที่เขายังเป็นเพียงองค์รัชทายาทอยู่… ตระกูลสูงศักดิ์ของพวกเรารุ่งเรืองมาหลายร้อยปี จะยอมให้ผู้สืบราชบัลลังก์ที่เลอะเลือนไร้คุณธรรมมาสั่นคลอนได้อย่างไร!”

                เขาพูดเสียเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนไม่มีทางผิดจากนี้ไปได้ เว่ยฉางอิ๋งกลับฟังเสียจนสะท้าน นางขบริบฝีปากไว้ ผ่านไปเนิ่นนานจึงบอกว่า “ระ…เรื่องนี้ใหญ่เกินไปแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ต้องไปรายงานกับท่านพ่อท่านแม่หรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงพูดออกมาชัดเจนแล้ว หากเรื่องปั้นแต่งข้ออ้างมาทำร้ายเจียงเจิงจนบาดเจ็บสาหัสนี้เป็นความคิดขององค์รัชทายาทเอง เช่นนั้นเขาก็จะโค่นล้มองค์รัชทายาทลงเสีย!

                เสิ่นจั้งเฟิงไม่แม้จะเคยพบกับเจียงเจิง จึงเป็นไปไม่ได้ว่าที่เขาโมโหโกรธาจนถึงขั้นคิดการใหญ่โตเพียงนี้เพราะเจียงเจิงบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้จึงมีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนี้เท่านั้น …หากว่ากันถึงสาเหตุจริงๆ แล้ว ก็มิใช่เพียงเพราะหญิงเก็บบัวที่ไปซื้อหามาจากเจียงหนานและเจียงเจิงซึ่งเป็นครูฝึกคนหนึ่งเท่านั้น แต่ในถ้อยคำของเสิ่นจั้งเฟิงในยามนี้กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นโค่นล้มองค์รัชทายาท!

                เว่ยฉางอิ๋งคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นคนขี้ขลาด ทว่ายามนี้กลับอดตะลึงพรึงเพริดไม่ได้

                “ในเมื่อข้าบอกให้เสิ่นเตี๋ยไปส่งสาร เขาย่อมต้องไปรายงานกับทางท่านพ่ออยู่แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ยามนี้ต้าเว่ยกำลังถดทอย เรื่องโจรผู้ร้ายที่เกิดอยู่ทั่วหัวระแหงล้วนไร้กำลังไปจัดการ หลายสิบปีมานี้ก็ถูกรุกรานจากต่างแดนไม่หยุดหย่อน… เรื่องเหล่านี้ก็ทำให้คนปวดหัวมากพออยู่แล้ว หากยังมีองค์รัชทายาทที่หมายมั่นปั้นมือจะขุดรากถอนโคนตระกูลสูงศักดิ์ขึ้นมาอีกองค์…”

                เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสิ่นจั้งเฟิงก็หัวเราะออกมาหนหนึ่ง แล้วกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อไป หากแต่กลับมามีสีหน้าอ่อนโยนเหมือนเคย เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เรียกคนเขามาปรนนิบัติดูแลเถิด พวกเราควรทานอาหารเย็นได้แล้ว”

                …เว่ยฉางอิ๋งจ้องไปที่เขา ยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “เพิ่งพูดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ไปหยกๆ เจ้ายังทานลงอีกหรือ?”

___________________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด